วันเวลาปัจจุบัน 19 ส.ค. 2025, 03:19  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2024, 11:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




FB_IMG_1727482727085 (1).jpg
FB_IMG_1727482727085 (1).jpg [ 141.47 KiB | เปิดดู 1157 ครั้ง ]
การวินิจฉัยโดยประเภทแห่งธรรมทั้งหลายที่อยู่ภายใน
[๕๖๔] ข้อว่า โดยประเภทแห่งธรรมทั้งหลายที่อยู่ภายใน ความว่าก็เว้นตัณหา
และธรรมที่ไม่มีอาสวะ ธรรมทั้งปวงที่เหลือหยั่งลงภายในในทุกสัจ
ตัณหาวิจริต ๓๖ หยั่งลงภายใน ในสมุทัยสัจ
กถาโดยพิสดารแห่งสัจจะ

นิโรธสัจไม่เจือปน (กับอะไร).
วิมังสิทธิบาท ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ เป็นธรรมที่หยั่งลง
ภายใน ในมรรคสัจ โดยหัวข้อคือ สัมมาทิฏฐิ, วิตก ๓ มีเนกขัมวิตกเป็นต้น หยั่งลงภาย
ในในมรรคสัจ โดยอ้างถึงสัมมาสังกัปปะ. วจีสุจริต ๔ ก็หยั่งลงภายในในมรรคสัจ โดย
อ้างถึงสัมมาวาจา กายสุจริต ๓ ก็หยั่งลงภายใน ในมรรคสัจ โดยอ้างถึงสัมมากัมมันตะ
อัปปิจฉตาและสันตุฏฐิกา ก็หยั่งลงใน ในมรรคสัจ โดยหัวจ้อคื สัมมาอาชีวะ อีก
อีกอย่างหนึ่งเพราะมีสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ทั้งหมดนี้ทีเดียวเป็นอริยะ
กันตศีล และเพราะอริยกันตศีลจะพึงถือเอาด้วยหัตถ์คือศรัทธา สัทธินทรีย์ สัทธาพละ
และฉันทิทธิบาท จึงหยั่งลงภายในในมรรคสัจ เพราะสัทธินทรีย์ สัทธาพละ และฉันทิทธิ-
บาทเหล่านั้นมี อริยกันตศีลจึงมี, สัมมัปปธาน ๔ อย่าง วิริยิทธิบาท วิริยินทรีย์ วิริยพละ
และวิริยสัมโพชฌงค์ หยั่งลงภายในในมรรคสัจ โดยอ้างถึงสัมมาวายามะ. สติปัฏฐาน ๔
อย่าง สตินทรีย์ สติพละ สติสัมโพชฌงค์ หยั่งลงภายในในมรรคสัจ โดยอ้างถึงสัมมาสติ.
สมาธิ ๓ มีสวิตักกสวิจารสมาธิเป็นต้น จิตตสมาธิ สมาธินทรีย์ สมาธิพละ ปีติสัมโพชฌงค์
ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ หยั่งลงภายในในมรรคสัจ
โดยอ้างถึงสัมมาสมาธิ,

พึงทราบวินิจฉัยแม้โดยประเภทแห่งธรรมที่หยั่งลงภายในในอริยสัจนี้ ด้วยประการ
ดังกล่าวมาฉะนี้

พรรณนาการวินิจฉัยประเภทแห่งธรรมที่หยั่งลงภายใน

(๕๖๔] คำว่า ธรรมทั้งปวงที่เหลือ ได้แก่ โลกิยธรรมที่เหลือ ๘๑. ตัณหา ๓
หมวด ๑๒ หน คือ กามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา อยู่ในอายตนะ ๑๒ ทั้งภายใน
และภายนอก ชื่อว่า ตัณหาวิจริต ๓๖ หรือตัณหาวิจริตที่มิได้บ่งถึง การจำแนกกาลตรัส
ไว้ตามนัยที่มาในคัมภีร์ขุททกวิภังค์. เพราะในการระบุถึงการจำแนกกาลนั้น ก็เป็นตัณหา-
วิจริต ๑๐๘.

คำว่า นิโรธสัจไม่เจือปน คือ ไม่เจือปนกับอะไร ๆ เพราะความที่นิโรธสัจเป็นหมวด
เดียว อธิบายว่า ประเภทที่หยั่งลงภายในในนิโรธสัจนั้นจักมีมาแต่ไหน. แม้เมื่อโพธิปักขิย-
ธรรมมีวิมังสิทธิบาทเป็นต้นจะต่างกันโดยกิจอยู่ โดยอรรถก็สงเคราะห์เข้าด้วยสัมมาทิฏฐิ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2024, 12:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


พราะความเป็นอันเดียวกัน เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวความที่โพธิปักขิยธรรมมีวิมังสิทธิ-
บาทเป็นต้น เป็นธรรมที่หยั่งลงภายในในมรรคนั้น โดยมุขคือ สัมมาทิฏฐิ.
(๑๐๐) คำว่า วิตก ๓ มีเมกขัมมวิตกเป็นต้น ความว่า ในขณะที่เป็นโลกีย์ วิตก
จำแนกด้วยอำนาจการประกอบด้วย อโลภะ เมตตา และกรุณา ในขณะแห่งมรรค วิตกมี
๓ อย่าง ด้วยอำนาจการตัดด้วย โลภะ พยาบาท และวิจิกิจฉา ได้เด็ดขาด เพราะฉะนั้น ท่าน
จึงกล่าวว่า วิตกแม้ข้อเดียวก็มี. ในสัมมาวาจาเป็นต้น ก็มีนัยนี้. ก็เพราะเมื่อความมักน้อย
และความสันโดษมี สัมมาอาชีวะจึงมี บัณฑิตพึงเห็นการรวมเอาความมักน้อยและความ
สันโดษนั้นเข้ากับสัมมาอาชีวะนั้น อริยกันตศีลเหล่านั้น พึงถือเอาด้วยหัตถ์คือศรัทธาด้วย
เพราะการถือเอาศีลอันชื่อว่า อริยกันตะ เหตุที่พระอริยะทั้งหลายไม่พึงล่วงละเมิดแม้ใน
ภพอื่นแม้เพราะเหตุแห่งชีวิต ซึ่งได้แก่ศีลมีสัมมาวาจาเป็นต้น หัตถ์คือศรัทธานั้นก็ย่อมเป็น
อันถือเอาด้วยทีเดียว เพราะฉะนั้น สัทธินทรีย์และสัทธาพละซึ่งมิใช่อื่นไปจากอริยกันตศีล
นั้น ท่านจึงกล่าวว่า หยั่งลงภายในในมรรคสัจนั้น เพราะอธิบายว่า ก็ฉันทะเป็นคุณที่ดำ
เนินตามศรัทธา ท่านจึงกล่าวว่า แม้ว่าฉันทะหยั่งลงภายในในมรรคสัจนั้น. สองบท
ว่า เตสํ อตฺถิตาย ความว่า เพราะความที่ศีลจะมิได้ก็โดยเหตุที่มี สัทธินทรีย์ สัทธาพละ
และฉันทิทธิบาท ท่านจึงถือเอาธรรมทั้ง ๓ อย่าง นั้นด้วยศีลทั้ง ๓ อย่าง เพราะฉะนั้น
ธรรมทั้ง ๓ อย่าง จึงหยั่งลงภายในในมรรคสัจนั้น. ท่านอาจารย์เรียก จิตติทธิบาท ว่า
จิตตสมาธิ.
จริงอยู่ สมาธิท่านกล่าวด้วยหัวข้อว่า จิตตะ เช่นในคำว่า จิตฺตํ ปญฺญญฺจ ภาวยํ
เพราะฉะนั้น แม้จิตก็ควรซึ่งภาวะที่จะพึงกล่าวด้วยหัวข้อคือสมาธิ. ก็แม้สมาธิย่อมเป็น
ธรรมมีประมาณยิ่งด้วยการเจริญจิตติทธิบาท เพราะฉะนั้น ท่านจึงไม่เรียกว่าเป็น จิตติท-
ธิบาท เหมือนอย่างเรียกวิมังสิทธิบาทเป็นต้น แล้วเรียกว่า จิตตสมาธิ ในที่นี้. ปีติและ
ปัสสัทธิ เป็นอุปการะแก่สมาธิ โดยพระบาลีว่า กายของผู้มีใจประกอบด้วยปิติ ย่อมระงับ
บุคคลผู้มีกายระงับแล้ว ย่อมเสวยสุข จิตของบุคคลผู้มีความสุข ย่อมเป็นสมาธิ เพราะ
ฉะนั้น ท่านจึงถือเอาด้วยศัพท์ว่า สมาธิ. ส่วนอุเบกขา ท่านก็ถือเอาด้วยศัพท์ว่า สมาธิ
เพราะมีอุปการะแก่สมาธิ และเพราะมีกิจเหมือนกับสมาธินั้น เพราะฉะนั้น พึงเห็นความที่
ธรรมเหล่านี้เป็นสภาวะที่หยั่งลงภายใน โดยศัพท์อันเป็นประธานคือสมาธิ.
    พรรณนาการวินิจฉัยประเภทแห่งธรรมที่หยั่งลงภายใน จบ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร