วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 06:52  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2022, 15:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8580


 ข้อมูลส่วนตัว




1645226253390.jpg
1645226253390.jpg [ 24.99 KiB | เปิดดู 1044 ครั้ง ]
๑๑๓
ในบรรดาสังโยชน์ ๑๐ เหล่านั้น

สังโยชน์ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ, วิจิกิจฉา, และ สีลัพพตปรามาสย่อมดับไปเมื่อบรรลุ
อนัญญาตัญญัสสามิตินทรีย์(ปัญญาในโสดาปัตติมรรค)

สังโยชน์ ๗ คือ กามฉันทะ, พยาบาท, รูปราคะ, อรูปราคะ, มานะ, อุทธัจจะ, และ อวิชชาที่เหลือ
ย่อมดับไปเมื่อบรรลุอัญญินทรีย์(ปัญญาในมรรคเบื้องบน ๓)

ญาณที่รู้เห็นอย่างนี้ว่า"ชาติของเราสิ้นแล้ว"เป็นญาณรู้ความสิ้นไป(ของชาติ)(ขยญาณ)และญาณที่รู้เห็นว่า
กิจอื่นที่ควรทำเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี เป็นญาณรู้การไม่เกิดขึ้น(ของปฏิสนธิจิต)(อนุปปาทญาณ)
ญาณทั้งสองอย่างนี้เป็นอัญญาตาวินทรีย์(ปัญญาในอรหันตผล)

ในอินทรีย์เหล่านั้น อินทรีย์เหล่านี้ คือ อนัญญาตัญญัสสามิตินทรีย์ และอัญญินทรีย์ ย่อมดับไปเมื่อบุคคล
บรรลุอรหันตผลอันสูงสุด

ในบรรดาญาณเหล่านั้น ญาณทั้ง ๒ เหล่านี้ คือ ญาณรู้ความสิ้นไป(ของชาติ)(ขยญาณ)และญาณ
รู้การไม่เกิดขึ้น(ของการปฏิสนธิจิต)(อนุปปาทญาณ)เป็นปัญญาอย่างเดียวกัน(อรหัตตผลญาณ)
แต่ชื่อทั้ง ๒ ย่อมปรากฏโดยประเภทแห่งอารมณ์ เพราะเมื่อพระอรหันต์รู้ว่า"ชาติของเราสิ้นแล้ว"
ญาณดังกล่าวย่อมได้ชื่อว่า "ขยญาณ" เมื่อท่านรู้ว่ากิจอื่นที่ควรทำเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
ย่อมได้ชื่อว่า อนุปปาทญาณ

ปัญญา (ที่เป็นเครื่องตัดกระแส) ชื่อปัญญา เพราะมีสภาวะหยั่งลงเห็น
สติ (ที่เป็นเครื่องกั้นกระแส)นั้นชื่อว่า สติ เพราะมีลักษณะทำให้จิตไม่เลื่อนลอย(เหมือนเสมอปักลงดิน
ตามอารมณ์ที่พบเห็น

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2022, 17:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8580


 ข้อมูลส่วนตัว


อนัญญาตัญญัสสามิตินทรีย์ คือ ปัญญาในโสดาปัตติมรรค
ทำหน้าที่ละสังโยชน์ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ, วิจิกิจฉา, และสีลัพพตปรามาส
เมื่อบุคคลบรรลุโสดาปัตติมรรคแล้ว สังโยชน์ ๓ ข้างต้นย่อมหมดสิ้นไป โสตาปัตติมรรคจิต ย่อมดับไป
สังโยชน์ ๓ ย่อมดับไปพร้อมกับโสดาปัตติมรรคจิตไม่กลับมีขึ้นมาอีกเลย

อัญญินทรีย์ คือปัญญาในมรรคเบื้องบน ๓ ทำหน้าที่ละสังโยชน์ ๗ คือ กามฉันทะ, พยาบาท,
รูปราคะ, อรูปราคะ, มานะ, อุทธัจจะ, และ อวิชชาที่เหลือ เมื่อบุคคลบรรลุมรรคเบื้องบน ๓ แล้ว
สังโยชน์เหล่านั้นย่อมหมดสิ้นไปตามสมควรแก่มรรคนั้นๆ

อัญญาตาวินทรีย์ ปัญญาในอรหันตผลทำหน้าที่รู้เห็นว่า ชาติสิ้นแล้ว และรู้เห็นว่ากิจอื่นที่ควรทำ
เพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี กิจดังกล่าวหมายถึง ปริญญากิจ คือกิจในการรู้ชัดทุกขสัจ

ปหานกิจ คือ กิจในการละสมุทัยสัจ สัจฉิกิริยากิจ คือ กิจในการกระทำให้แจ้งนิโรธ และภาวนากิจ
คือ กิจในการเจริญมรรคสัจ

เมื่อบุคคลบรรลุมรรคเบื้องบน ๓ อนัญญัสสามิตินทรีย์ย่อมดับไป และเมื่อเบาบรรลุอรหัตตผล
อัญญินทรีย์ย่อมดับไป ดังนั้น ธรรมที่มีในภูมิ ๓ ที่เกิดขึ้นเสมอแก่บุคคลผู้บรรลุพระนิพพาน
ก็ดับไปเช่นเดียวกัน เพราะแม้กระทั้งธรรมที่เป็นเหตุให้บรรลุพระนิพพานยังแปรปรวนดับไป
สังขตธรรมในภูมิ ๓ ก็ต้องดับไปโดยแท้

ขยญาณ คือ ญาณรู้เห็นความสิ้นไปของชาติ และอนุปปาทญาณ คือญาณรู้การไม่เกิดขึ้นของปฏิสนธิจิต
ญาณทั้งสองนี้เป็นชื่ของอรหัตตผลญาณเหมือนกัน แต่เรียกเป็นสองชื่อตามปัจจเวกขณญาณ
ที่รับเอาอารมณ์ต่างกันซึ่งเป็นความสิ้นไปของชาติและการไม่เกิดขึ้นของปฏิสนธิจิต

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2022, 16:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8580


 ข้อมูลส่วนตัว


คำว่า อปิลาปน (ไม่เลื่อนลอย) ประกอบรูปศัพท์จาก น ศัพท์ + ปฺลุ ธาตุ (คติยํ=ไป)+ ฌาเป การิตปัจจัย+ยุ ปัจจัย

สติมีลักษณะ หน้าที่ อาการปรากฏ และเหตุใกล้คือ
๑. มีลักษณะทำให้จิตไม่เลื่อนลอย(อปิลาปนลกฺขณา)คือ ทำให้จิตหยั่งลงในอารมณ์ที่พบเห็น
เสมือนปักลงดิน
๒. มีหน้าที่ไม่หลงลืม(อสมฺโมสรสา)คือ ทำให้ระลึกได้อยู่เสมอ
๓. มีการรักษาจิตเป็นเครื่องปรากฏ(อารกฺปจฺจุปฏฺฐานา) คือ รักษาจิตไว้ให้อยู่กับปัจจุบันอารมณ์
๔. มีสัญญาเป็นเหตุใกล้(สญฺญาปทฏฺฐานา)คือ สติในขณะระลึกนึกถึงความดีเป็นเหตุใกล้
คือสัญญา ซึ่งเป็นความจำได้หมายรู้ ดังคัมภีร์อรรถกถา กล่าวว่า กายาทิสติปฏฺฐานา
(มีเหตุใกล้คือที่ตั้งของสติมีกองรูปเป็นต้น)ดังนั้น วิปัสสนาจึงมีไม่ได้โดยปราศจากการเจริญสติ
รับรู้สภาวธรรมเป็นอารมณ์ ดังสาธกในอรรถกถาว่า
โค้ด:
ยสฺมา ปน กายเวทนาจิตฺตธมฺเมสุ กญฺจิ ธมฺมํ อนามสิตฺวา ภาวนา นาม นตฺถิ.
ตสฺมา เตปิ อิมินาว มคฺเคน โสกปริเทเว สมติกฺกนฺตาติ เวทิตพฺพา.
อนึ่ง ขึ้นชื่อว่าภาวนาที่ไม่เนื่องด้วยกาย เวทนา จิต ธรรม อย่างใดอย่างหนึ่งย่อมไม่มี
ดังนั้น พึงทราบว่าแม้เหล่านั้นล่วงพ้นความโศกและความรำพันคร่ำครวญได้ด้วยทางสายนี้

ด้วยเหตุนี้ การใคร่ครวญพิจารณาด้วยจินตมยปัญญาจึงไม่ใช่การปฏิบัติธรรม ความจริงแล้ว
โยนิโสมนสิการที่กล่าวไว้ในพระสูตรต่างๆ มีความหมายตามศัพท์ว่า"การใส่ใจด้วยปัญญา"บางแห่ง
หมายถึงการพิจารณาใคร่ครวญหาเหตุผล บางแห่งหมายถึงการเจริญสตืระลึกรู้สภาวธรรมปัจจุบัน
โดยมีปัญญาหยั่งเห็นสภาวลักษณะ หรือสามัญญลักษณะประกอบร่วมกับสติ(ดูข้อ ๗ เรื่องภาวนมยปัญญา)

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2022, 16:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8580


 ข้อมูลส่วนตัว


พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์มี ๓ ประการ เป็นไฉน คือ
อนัญญาตัญญัสสามิติยทรีย์(อินทรีย์ที่เป็นไปอย่างนี้ว่า)เรารู้จักอริยสัจ ๔ ที่ยังไม่รู้แจ้ง
โสตาปัตติมรรคญาณ ) อัญญินทรีย์(อินทรีย์ของบุคคลผู้ประกอบในหน้าที่รู้อริยสัจ ๔ หรือพระนิพพานอีก
ญาณในมรรคเบื้องบน ๓ และผลเบื้องต่ำ ๓ ) และอัญญาตาวินทรีย์(อินทรีย์ของพรขีณาสพผู้รู้แจ้งแล้ว
ปัญญาในอรหัตตผล)

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนัญญาตัญญัสสามิตินทรีย์เป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมยังฉันทะให้เกิด ย่อมพยายาม ย่อมปรารถนาความเพียร ย่อมประคองจิตไว้ ย่อมทำความเพียร
เพื่อตรัสรู้อริยสัจคือทุกขสมุทัย ที่ยังมิได้ตรัสรู้... อริยสัจคือนิโรธ...อริยสัจคือมรรค
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้เป็นอนัญญาตัญญัสสามิตินทรีย์(ปัญญาในโสตาปัตติมรรค)
พระดำรัสนี้ชื่อว่า ทัสสนะ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร