วันเวลาปัจจุบัน 22 มิ.ย. 2025, 03:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง





กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2009, 16:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คัดจากหนังสือ สัจจะธรรม
จะแสวงหาหรือไม่แสวงหา
ก็เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในตัวมันเอง

โดย หลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต
วัดร่มโพธิธรรม บ้านหลักร้อยหกสิบ กิ่งอำเภอหนองหิน จังหวัดเลย

พิมพ์ครั้งแรก กุมภาพันธ์ 2544
จำนวนพิมพ์ 3,000 เล่ม
ผู้เรียบเรียง นพ. ดิลก พูนสวัสดิ์

คำนำ

คนเรามักจะมองข้ามสัจจะธรรมออกไปไขว่คว้าหาอะไรใหม่ๆ ด้วยวิธีการซับซ้อน วุ่นวาย และเยิ่นเย้อ โดยหารู้ไม่ว่าอมฤตธรรมแห่งสัจจะธรรมทั้งหลายที่เรากำลังแสวงหานั้นมันมีของมันสมบูรณ์อยู่แล้วในทุกสภาวะตลอดเวลา เหมือนประหนึ่งความว่างที่แทรกอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทุกอณูของสรรพสิ่งในโลกนี้ตั้งแต่กำเนิดมีโลกนี้ขึ้น มันไม่ใช่สิ่งใหม่ ๆ ที่ใคร ๆ จะไปสร้างขึ้นมาได้เลย การปฏิบัติเพื่อให้จิตเข้าใจสัจจะภาวะนี้อย่างแท้จริง จนสามารถกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกัน
หนังสือเล่มนี้ ข้าพเจ้าได้รวบรวมและเรียบเรียงจากพระธรรมเทศนาของหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต แห่งร่มโพธิธรรมสถาน กิ่งอำเภอหนองหิน จังหวัดเลย ซึ่งท่านได้อบรมสั่งสอนศิษยานุศิษย์เพื่อให้เข้าใจถึงสัจจะธรรมที่มีอยู่แล้วในทุกธรรมชาติ ท่านได้ชี้ให้เห็นรหัสนัยที่จะเข้าถึงสัจจะธรรม ด้วยวิธีการที่ลัดตรงไม่ซับซ้อนเกินไปจนยากแก่การปฏิบัติ

แนวทางการดำเนินจิตตามคำสอนของท่าน เป็นภาวะสมดุลพร้อมแห่งสติ สมาธิ ปัญญา เป็นทางที่ตรงดิ่งสู่วิมุติภาวะได้อย่างฉับพลันแท้จริง ขอเพียงแต่ท่านผู้สนใจปฏิบัติ ได้ศึกษาทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ จนเกิดสัมมาทิฐิขึ้นภายในดวงจิต ก็สามารถจะปฏิบัติตนและดำเนินจิตตามได้โดยไม่ยาก

ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือเล่มนี้จะมีประโยชน์ต่อผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติจริงทุกท่าน จึงได้พยายามรวบรวมเรียบเรียงขึ้นอย่างเต็มกำลังความสามารถที่มีอยู่ เพื่อพิมพ์แจกเป็นธรรมบรรณาการ แด่ท่านผู้สนใจ แต่กระนั้นก็ตาม ย่อมอาจมีข้อบกพร่องเกิดขึ้นได้บ้าง มันก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ขอท่านผู้อ่านอย่าได้ยึดถือด้วยทิฐิมานะเลย
คุณประโยชน์อันใดที่เกิดจากหนังสือเล่มนี้ ที่มีต่อพระพุทธศาสนาและสาธุชนทั่วไป ข้าพเจ้าขอน้อมขึ้นบูชาพระคุณ พระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ อันเป็นสรณะที่แท้จริงของสรรพดวงจิตทั้งหลาย และขอบูชาพระคุณของหลวงพ่อที่ท่านได้ตรากตรำงานหนักทุ่มเททั้ง กำลังกาย กำลังใจ และสติปัญญาในการอบรมสั่งสอนศิษย์มาโดยตลอด และขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่านจงมีกำลังใจมุ่งมั่น ในการดำเนินจิตอย่างถูกต้องไปได้ตลอดจนได้ดวงตาเห็นธรรม และเข้าถึงสัจจะธรรมที่มีอยู่แล้วกันถ้วนหน้าเทอญ

ด้วยความปรารถนาดี
ผู้เรียบเรียง

สมดุลอยู่แล้วตามธรรมชาติ

ถ้ามันคิดมากเราจะเอาอะไรแก้ความคิด ?
ถ้ามันฟุ้งซ่านเราจะเอาอะไรแก้ความฟุ้งซ่าน ?
ถ้าพูดว่าจะหาวิธีนู้นวิธีนี้มาแก้ ความจริงแล้วก็เป็นเพียงการเปลี่ยนอารมณ์ เปลี่ยนสภาพจิต ไม่ใช่การแก้หรอก แค่เบี่ยงเบนความสนใจ แต่ไม่ใช่การแก้ การแก้ก็ไม่ต้องแก้อะไร ถ้ามันคิดมากก็ทิ้งความคิดปล่อยให้มันคิดของมันเอง มันก็แค่นั้นแหละ
ตัวมันเองย่อมคลี่คลายอยู่ในตัวของมันเอง ตัวมันเองย่อมดับในตัวมันเอง ทุกอย่างเป็นเอกสภาวะหมด อนัตตภาวะหมด ธรรมชาติมันเองย่อมคลี่คลายในธรรมชาติมันเอง หรือ ธรรมชาติมันเองย่อมดับในธรรมชาติมันเองอยู่แล้ว

เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปหาอะไรมาแก้ไห้ยุ่งยาก ถ้าฟุ้งซ่านก็ปล่อยให้ฟุ้งซ่านของมันเอง เมื่อปล่อยให้ฟุ้งซ่านของมันเองก็ เรียกว่า ไม่มีอัตตาในฟุ้งซ่าน ไม่หลงสำคัญตัวเองเป็นผู้ฟุ้งซ่าน คือมันจะไม่ตอกย้ำความเป็นตัวเองเป็นผู้ฟุ้งซ่าน ให้มันหนักสาหัสมากขึ้น ถ้าปล่อยให้มันฟุ้งซ่านของมันเองอย่างนี้ก็เรียกว่า จิตเริ่มคลายแล้วจากการกำอารมณ์ฟุ้งซ่านนั้น เรียกว่ารู้เห็นนี้เริ่มคลี่คลายแล้ว เริ่มไม่กำอารมณ์ฟุ้งซ่านนั้นแล้ว

ถ้าเรามองโดยผิวเผินจะแยกไม่ออกเลยระหว่างจิตกับสิ่งถูกรู้ ระหว่างเห็นกับสิ่งถูกเห็น จิตรู้จิตเห็นกับความรู้สึกนึกคิดปรุงแต่งทั้งปวงมันแยกกันไม่ออก ถ้าดูโดยผิวเผินแล้วจะแยกกันไม่ออกเลยว่าอะไรเป็นอะไร และถ้ายิ่งใช้ความเป็นตัวเองเข้าไปพิจารณาแยกแยะยิ่งสับสนใหญ่เลย จะไม่รู้จักเลยว่าจิตรู้เดิมแท้กับความเป็นตัวมันเองมันคนละเรื่องกัน ถ้าจะใช้ตัวเองเข้าไปพิจารณาแยกแยะว่ามันเป็นอันนั้นอันนี้ จะไม่รู้จักเลยว่า สภาวะเดิมแท้ของจิตกับโมหะที่สำคัญในความเป็นตัวเองมันคนละสภาวะกัน จะไม่เข้าใจได้เลย เหมือนกับความคิดกับจิตเห็นนั่นแหละ ถ้ามองโดยผิวเผินแล้วเหมือนประหนึ่งว่ามันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่จริงๆแล้วคนละสภาวะกัน

ตามกฎของธรรมชาติแล้วทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นได้ก็ดับได้ เกิดร้อยก็ดับร้อย ทุกสิ่งทุกอย่างก็มีธรรมชาติแห่งความผันแปรอยู่ในธรรมชาติของมันทุกอณู นั่นหมายความว่า ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมคลี่คลายกันเองตามกฎธรรมชาติ ดังนั้นถ้าว่าคิดมากแล้วเอาอันนั้นมาแก้ อันนี้มาแก้ ... อย่าเลย ปล่อยให้มันคิดของมันเองนั่นแหละ จะคิดมากก็ปล่อยให้มันคิดมากของมันเอง จะคิดน้อยก็ให้มันคิดน้อยของมันเอง จะนึกให้มันนึกของมันเอง มันจะดับเมื่อไรก็ให้มันดับของมันเอง อย่างนี้เรียกว่าไม่หลงมีตัวเองเข้าไปขัดแย้งกับปรากฏการณ์ในระบบจิตวิญญาณอันเป็นธรรมชาติหนึ่งเท่านั้น ไม่หลงมีตัวเองไปกำระบบอารมณ์ที่มันเกิดขึ้น หรือกำสภาวะจิตที่มันเกิดขึ้น เหมือนกันกับความสงบ ถ้าจิตเขาจะสงบก็ปล่อยเขาสงบเอง อย่างนี้ก็จะไม่หลงมีตัวมีตนเข้าไปบำเพ็ญเพื่อความสงบ เพราะตราบใดที่ยังสำคัญโดยความเป็นตัวเองเข้าไปเพื่อเป็นผู้สงบอยู่ มันจะไม่สงบจริงคือ มันไม่สงบจากความเป็นตัวตน
ไม่หลงกำสภาวะธรรมชาติจิต

ดังนั้น ในขณะที่ยังมีตัวมีตนเป็นผู้สงบอยู่มันไม่สงบจริง มันไม่สงบจากบาปจริง มันไม่สงบจากกุศล อกุศลจริง มันต้องสงบจากความมีตัวตน สงบจากความเป็นตัวตน ดังนั้นมันต้องปล่อยถ้าไม่กล้าปล่อย มันก็จะกำเอาไว้อยู่เสมอ จิตวิญญาณนี้ ตัณหามันจะพารู้พาเห็น ไปกำโน่นกำนี่ ติดนั้น ติดนี่ ยึดนั่น ยึดนี่ ไม่ต้องไปแก้หรอกในธรรมชาติจิตทั้งหมด แค่ปล่อยให้เขาเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นเอง แล้วก็คลี่คลายกันเอง สิ่งไหนเกิดแล้วก็ปล่อยให้มันดับกันเอง หรือไม่ดับกันเองนั่นล่ะจึงจะสงบจากตัวตน ไร้การมีตัวมีตนในธรรมชาติที่มันเกิดที่มันเป็นนั้น อารมณ์ไหนมันก็มีก็มีไปมันจะไม่มีก็แล้วแต่มันจะไม่มี เรียกว่ามันมีของมันเองไม่มีของมันเอง อย่างนี้ จะไม่หลงมีตัวมีตนในอารมณ์ในการมีอารมณ์และการไม่มีอารมณ์ ฉะนั้นการมีอารมณ์กับการไม่มีอารมณ์ หรือการมีความคิดกับการไม่มีความคิด มันจะไม่แตกต่างกัน ถ้ามันเป็นธรรมชาติ ที่มันเกิดเองแล้วมันจะไร้อัตตาหมด ไม่แตกต่างกันเลยไม่ใช่จ้องแต่จะไม่คิด จ้องแต่จะสงบ ก็ตัวจ้องนั่นแหละเป็นตัวทุกข์เลย ตัวตัณหา ตัวอุปทานเลย ไม่ใช่จ้องแต่จะสงบ แล้วปฏิเสธความไม่สงบ จ้องแต่จะเงียบ แล้วปฏิเสธความไม่เงียบ ตัวปฏิเสธความไม่สงบบ้าง ตัวปฏิเสธความไม่เงียบบ้าง นั่นล่ะคือ ตัวไม่สงบที่แท้จริงเรียกว่ามีตัวตนในการปฏิเสธ คือยิ่งไม่สงบจากการมีตัวตน

แล้วถ้าจิตมันไม่หยุดไม่อยู่มันไม่นิ่งล่ะ จะแก้ไขอย่างไร ? การหาสิ่งนั้นสิ่งนี่มาเป็นอุบายมันไม่ใช่เป็นการแก้ไข เป็นเพียงการเปลี่ยนอารมณ์ เป็นเพียงการบรรเทา เป็นการเบี่ยงเบนความสนใจ เมื่อมันยังมีตัวสนใจอยู่ เดี๋ยวมันก็หาเรื่องใส่จิตใส่ใจไปเรื่อย จิตมันจะอยู่หรือมันจะไม่อยู่ จะไปแก้ไขอย่างไร? ถ้าพูดถึงจะปลงโลก ปลงธรรม ปลงสังสารวัฏ ปลงกาย ปลงจิต ให้มันชัดเจนแจ่มแจ้ง ก็คือต้องปล่อย ถ้าเขาจะอยู่ก็ปล่อยให้เขาอยู่เอง ถ้าเขาไม่อยู่ ก็ปล่อยให้เขาไม่อยู่เขาเอง เรียกว่า ถ้าจะอนิจจังก็ปล่อยให้อนิจจังเอง ถ้านิจจังก็ปล่อยให้นิจจังเอง ถ้าจะทุกข์ขังก็ปล่อยให้ทุกข์เอง ถ้าจะอนัตตาก็ปล่อยให้อนัตตาเอง เรียกว่าให้เป็นเองตามธรรมชาติที่เขาเป็นเองอยู่แล้ว อัตโนมัติอยู่แล้ว อยู่ก็ปล่อยให้อยู่เอง ไม่อยู่ก็ปล่อยให้เขาไม่อยู่เอง อย่างนี้เรียกว่าอยู่หมัดแล้ว ลงอนัตตาหมด เมื่อจิตมันอยู่ก็ปล่อยให้มันอยู่ของมันเอง จิตมันไม่อยู่ก็ปล่อยให้มันไม่อยู่ของมันเอง อย่างนี้เรียกว่าเริ่มหมดตัวตนเข้าไปยึดถือการอยู่และการไม่อยู่ในระบบนามธาตุ ระบบนามธาตุนี่ก็อนิจจังทั้งระบบ นามธาตุก็คือระบบจิตใจ ในกระบวนการแห่งจิตวิญญาณทั้งหมด มันก็อนิจจังทั้งระบบ ไม่นิ่งไม่เฉยจริงทั้งระบบนั่นล่ะ

แค่เข้าใจแล้วปล่อยไปตามวิถีธรรมชาติ

ดังนั้นในการไปจ้องที่จะบังคับให้จิตมันอยู่ มัววิตกกังวลกับการอยู่ การไม่อยู่ ของจิต เรียกว่าคนไม่เข้าใจอนิจจัง จะมัวไปมองหาอนิจจังภายนอกที่ไหน การที่วิตกกังวลกับการอยู่บ้าง ไม่อยู่บ้างของจิต เรียกว่า ไม่เข้าใจความเป็นอนิจจังของระบบนามธาตุ ฉะนั้นไม่ต้องไปแก้หรอกปล่อยให้อนิจจังเป็นอนิจจัง มันอยู่ก็ปล่อยให้มันอยู่ของมันเอง มันไม่อยู่ก็ปล่อยให้มันไม่อยู่ของมันเอง..... แค่เข้าใจ นี่ก็เป็นอริยมรรคแล้ว เพราะคำว่าแค่เข้าใจหรือเข้าใจ มันเป็นธรรมชาติของสติสัมปชัญญะ สมาธิ ปัญญา ไปเรียบร้อยแล้ว แค่เข้าใจนี่มันจะ balance กันดี มันสมดุลกันดี สติ สมาธิ ปัญญา จะสมดุลกันดี แค่เข้าใจตามที่มันเป็น หรือตามที่มันไม่เป็น แต่ก็ปล่อยให้มันอนิจจังกันเอง แค่นี้แหละไม่ต้องไปแก้ไข แค่เข้าใจแล้วปล่อยให้เขาเป็นไปตามวิถีธรรมชาติเขา

อย่างเพ่งกับไม่เพ่งนี้ก็เหมือนกัน ถ้ามันเพ่งแล้วจะแก้ไขอย่างไร ? ถ้าจ้องแต่จะแก้ไขตัวเพ่งเล็ง มันก็จะกลายเป็นปฏิเสธไปซะ เอียงซ้าย เอียงขวา จิตไม่ตรงถ้าคอยแต่จะแก้ไขตัวเพ่งเล็งแล้วกลายเป็นปฏิเสธตัวเพ่งเล็งนั่นล่ะ ยิ่งเพ่งเล็งหนักขึ้นไปอีก จังหวะสองจังหวะสาม ก็รู้อยู่ว่า เมื่อเพ่งเล็งจิตไปหาสิ่งหนึ่งสิ่งใดมันก็ทุกข์ตาม ทุกข์จิตทุกข์ใจตามมา อย่าว่าแต่เพ่งเล็งจิตไปหาสิ่งใดแล้วให้วุ่นวายตีกลับมาหาจิตเลย แม้แต่เพ่งเล็งจิตเองก็ทุกข์กันอยู่ในจิต มัดกันอยู่ในจิต ตึงเครียดกันอยู่ในจิตตึงเครียดกันอยู่ในจิตเรียกว่า ดอกบัวไม่บาน มันหุบเข้าๆ แล้วจะไปแก้ไขตัวเพ่งเล็งอย่างไร ? ก็ไม่ต้องแก้ ถ้าไปแก้มีตัวตนไปแก้ หลงมีตัวมีตนตั่งแต่เริ่มแล้วในการไปแก้ไข ฉะนั้นก็ปล่อยให้เขาเพ่งของเข้าเอง นั่นล่ะ เขาจะคลี่คลายของเขาเอง เพ่งก็แค่เข้าใจ ไม่เพ็งก็แค่เข้าใจ แต่ก็ปล่อยให้เขาเพ่งของเขาเอง ไม่เพ่งของเขาเองเรียกว่า ให้อนิจจังกันเอง ทุกข์ขังกันเอง ไม่อนิจจังกันเอง ไม่ทุกข์กันเอง ฉะนั้นหลักในการวางทุกข์ในศาสนาก็คือ วาง หลักการปลงก็คือ ปลง ปล่อยคือปล่อย ไม่มีข้อแม้ การปลงทุกข์ก็คือ ปล่อยให้ทุกข์เป็นทุกข์ ให้มันทุกข์ของมันเอง ทุกข์มากทุกข์น้อยก็ปล่อย ให้มันทุกข์ มากทุกข์น้อยของมันเอง นั่นล่ะเขาเรียกว่า ปลงทุกข์ วางทุกข์

ปล่อยให้จิตคลี่คลายอยู่เสมอ

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การแก้ไขก็คือ ไม่ต้องแก้ไขรหัสนัยของเขาจริง ๆ ที่นำไปสู่การแจ่มแจ้งในธรรมชาติเดิมแท้แห่งกายและจิต และสรรพสิ่งนั้น ก็คือ แก้ไขการก็คือไม่ต้องไปแก้ไข อันนี้เป็นรหัสนัยของจิตพ้นทุกข์หรือจิตอิสระ หรือจิตที่มันคลี่คลายโดยธรรมชาติ หรือจิตที่ไร้อุปทาน เดี๋ยวจะไปโยงใยไปหาภายนอกว่า ถ้าอย่างนั้นภายนอกมีปัญหา ก็ไม่ต้องแก้ไขนะซิ ? ถ้าจะพูดถึงจิตที่ไม่ขังทุกข์แล้วล่ะก็ ข้างนอกจะแก้หรือไม่แก้แต่ข้างในนี้ต้องถอดใจ คือ ต้องปล่อยให้มันคลี่คลายโดยสถานเดียว ข้างนอกจะแก้หรือไม่ แต่ข้างในต้องคลี่คลายอยู่เสมอ ๆ ปล่อยให้มันเป็นกันเองอยู่เสมอ ๆ ให้มันเห็นเองอยู่เสมอ ๆ ให้เป็นหลักธรรมชาติจิตเดิมล้วน ๆ รองรับทุกสถานการณ์ เรียกว่า ดอกบัวภายในบานอยู่เสมอ ๆ คลายอยู่เสมอ ๆ ไม่เป็นมโนกรรมสอดคล้องกับพฤติกรรมภายนอก เรียกว่า ภายในนี้แก้แล้ว คือได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว เรียกว่า จิตคลี่คลายกันดีงามอยู่แล้วตามธรรมชาติ รู้กันเองอยู่แล้วเห็นกันเองอยู่แล้วตามธรรมชาติ ไร้เจตนาอยู่แล้วตามธรรมชาติ เรียกว่า ภายในได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว

ส่วนภายนอกจะไปแก้ไขหรือไม่ก็ตามเหตุตามปัจจัย ไม่ใช่ภายในยังไม่แก้ไข แต่จะรีบร้อนไปแก้ไขภายนอกก่อน ก็ยิ่งไปมัดเข้า มัดเข้า เรียกว่ามโนกรรม บวกวจีกรรม บวกกับกายกรรม วัฏจักรแห่งกรรมสมบูรณ์แบบ ดังนั้นจะแก้ไขอะไรภายนอกหรือไม่ภายในต้องแก้ไขก่อน คลี่คลายก่อน จะได้ไม่เป็นมโนกรรม เรียกว่า ให้มันรู้เอง เห็นเอง ไร้เจตนาในการรู้การเห็นสถานเดียว เมื่อไร้มโนกรรมแล้ว วจีกรรม , กายกรรมก็บรรเทา เรียกว่าเป็นวจีที่บริสุทธิ์ กายกรรมที่บริสุทธิ์ เพราะว่า มีธรรมชาติมโนอันบริสุทธิ์รองรับ ความบริสุทธิ์ภายในเป็นฐานรองรับคำพูดและการกระทำเวลาพูดกันว่า กาย วาจา ใจ แต่จริงแล้วใจก่อน

ฉะนั้น หากใจไม่เข้าใจระบบใจเอง มันก็จะไม่เข้าใจเหมือนกัน ดังนั้นคำว่า ปลงก็คือ ปลงจริง ๆ ปลงกับปล่อยก็อันเดียวกัน คำว่าปลง เช่น ปลงการเกิด ปลงการแก่ ปลงการเจ็บ ปลงการตาย คือ เมื่อมันเกิดก็ปล่อยให้มันเกิดตามเหตุตามปัจจัย ยอมรับสภาพอาการตามที่เกิดมา มันจะอย่างไรมันก็เกิดมาแล้ว จะมีทุกข์มากทุกข์น้อย นั่นมันก็เป็นปกติธรรมดาของการเกิด ก็ปล่อยให้มันเกิดตามเหตุตามปัจจัย มีทุกข์มีโทษ กันตามเหตุตามปัจจัย อันนี้คือ ปลงการเกิด ปลงการแก่ ก็ คือ แก่เป็นแก่ก็ต้องปล่อยให้มันแก่ของมันเอง อย่างนี้ เรียกว่า ปลงแก่ ไม่ใช่มันแก่แล้วไม่ยอมแก่ อันนี้ไม่ปลงแก่ ต้องปล่อยให้มันแก่ตามเหตุตามปัจจัย มันตายก็ปล่อยให้มันตายาของมันเอง ก็เรียกว่า ปลงตาย ไม่ดื้อรั้นต่อความตายหรือความเสื่อมไปของกายสังขาร ไม่ดันทุรังที่จะเอาชนะความตาย อันนี้ก็เรียกว่า ปลงตาย เจ็บเป็นเจ็บ มันก็เจ็บตามเหตุตามปัจจัยตามธรรมชาติของมันจะเจ็บมันก็ต้องเจ็บ ก็ปล่อยให้มันเจ็บของมันเองอันนี้เรียกว่า ปลงเจ็บ ไม่ใช่ เจ็บแล้วไม่ยอมเจ็บ จะเอาชนะความเจ็บความปวด ก็ไม่เรียกว่า ปลง ดังนั้นปลงกับปล่อยก็เหมือนกัน อันเดียวกัน

มันเป็นของมันเอง

การปลงในระบบจิตก็เหมือนกัน ฟุ้งซ่านก็ปล่อยให้มันฟุ้งซ่าน ถ้ามันไม่ฟุ้งซ่านก็ปล่อยให้มันไม่ฟุ้งซ่านของมันเอง เรียกว่า สภาวะต่อสภาวะเลย มันไม่แน่นอนก็ปล่อยให้มันไม่แน่นอนของมันเอง มันแน่นอนก็ปล่อยให้มันแน่นอนของมันเอง ก็เรียกว่า ปลงระบบทั้งแน่นอนและไม่แน่นอนปลงหมด มันคิดก็ปล่อยให้มันคิดของมันเอง เรียกว่า ปลงความคิด ถ้ามันคิดแล้วไม่ยอม จะต้องให้มันหยุดคิด อย่างนี้เรียกว่า ไม่ปลง ดันทุรังที่จะเอาชนะความคิด ก็เท่ากับยิ่งแพ้ เพราะอะไร เพราะความคิดไม่มีตัวตน ล้วนแต่อนัตตาหมด มันจะเกิดมันก็เกิด มันจะดับมันก็ดับ แต่เรากลับหลงสำคัญในการมีตัวเองเข้าไปชนะมัน ดังนั้นเมื่อเขาคิดก็ปล่อยให้เขาคิดของเขาเอง เรียกว่า ปลงความคิด จะคิดมากหรือคิดน้อยไม่มีข้อแม้ จะคิดมากคิดน้อยก็ตาม ก็ปล่อยให้เขาคิด ของเขาเอง แค่เข้าใจตามที่เป็นแต่ก็ปล่อยให้เขาเป็นของเขาเอง อย่างนี้เรียกว่าทั้งมรรคทั้งผลพร้อมอยู่แล้ว

เขาจะปรับเปลี่ยนอย่างไรตามธรรมชาติเขา ก็ปล่อยให้เขาปรับเปลี่ยนกันเองตามเหตุตามปัจจัย ถ้าถามว่า แล้วเวลาจิตเป็นอกุศลแล้วจะแก้ไขอย่างไร เราก็ต้องเข้าใจว่า การที่จิตเป็นอกุศลได้ก็เพราะมันเข้าไปกำ แล้วเป็นอกุศลทำนองไหนล่ะ?

ในทำนองคิดไม่ดีเป็นอกุศลจะแก้ไขอย่างไร ? เราก็ต้องเข้าใจ ในขณะที่มันคิดไม่ดีเป็นอกุศลไปแล้วนั้น ก็เพราะว่าไม่ได้ปล่อยให้มันคิดของมันเอง ขณะนั้นขาดความเข้าใจในการปลงระบบจิต ปลงระบบความคิด ก็เลยไปหมกมุ่นกับการไปนึกไปคิดกับมัน จนเถลไถลเข้าไปในความเป็นอกุศลในความคิดไม่เข้าใจความคิดแล้วไม่ได้ปล่อยให้มันคิดของมันเองมันก็เลยเป็นกุศลบ้างเป็นอกุศลบ้าง ทีนี้จะไปแก้ไขอย่างไร มันก็ต้องปลงอย่างเดียว ถ้ามันเป็นอกุศลก็ปล่อยให้มันเป็นอกุศลของมันเอง อย่างนี้ก็เรียกว่าอิสระเสียแล้วจากอกุศล อกุศลจะไม่เป็นอกุศลอีกต่อไป ถ้ามันคิดไม่ดีแล้วก็ปล่อยให้มันคิดไม่ดีของมันเองมันก็จะเริ่มอิสระจากความคิดที่ไม่ดี เริ่มปลงความคิดที่ไม่ดี ความคิดที่ไม่ดีนั้นมันก็จะไม่เป็นความคิดที่ไม่ดี อีกต่อไป มันจะหยุด มันจะเริ่มอ่อนตัวลง เพราะว่าไม่มีดีกรีแห่งความเป็นเราหรือความเป็นตัวตนเข้าไปส่งเสริมความคิดนั้นให้มันจัดขึ้น

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า มันเป็นอะไรก็เข้าใจตามที่มันเป็น เรียกว่ามีสติอยู่แล้ว แค่เข้าใจแต่ก็ปล่อยให้มันเป็นของมันเอง เมื่อปล่อยให้มันเป็นของมันเอง ก็เรียกว่า คลี่คลายแล้ว จิตคลี่คลาย เมื่อจิตไม่กำมันก็คลายออก พอไม่ยอมมันก็มัดเข้าเลย จิตจะกำเข้า กำเข้า คิดจะเอาชนะความคิดจิตมันก็จะมัดเข้า มัดเข้า กำเข้า กำเข้า มันไม่คลาย มันไม่วาง จะเอาชนะอารมณ์ขึงขัง ดื้อดึง จะต้องเอาชนะอาการนี้ มันก็มัดเข้า ๆ มัดเข้า ๆ มีตัวมีตนอยู่ร่ำไป

ระบบจิตทั้งหมดเป็นอนัตตา

พระพุทธองค์ก็บอกไว้แล้วว่า ระบบจิตทั้งหมดนี้เป็นอนัตตามันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนที่แท้จริง แตะไม่ได้ระบบจิตนี้แตะไม่ได้เลย ถึงจะรู้ก็แค่รู้ ถึงจะเห็นก็แค่เห็นแตะไม่ได้ ถึงจะเข้าใจอาการที่เป็นอยู่ก็แค่เข้าใจ แค่เข้าใจนี่มันตัดอยู่แล้วในตัว แค่รู้แค่เข้าใจมันก็ตัดอยู่แล้วแตะไม่ได้ ถ้าแตะปั๊ปก็คือ กำปุ๊ป ถ้าไม่แค่เข้าใจก็จะกำเลย จะเพ่งเล็งเสียหน่อย จะเข้าไปพิจารณาแยกแยะเสียหน่อยก็เรียบร้อยเลย กำเลย มโนกรรมเกิดเลย มันไม่เป็นสติตัดภพตัดชาติแล้ว ถ้าแค่เห็นแค่รู้แค่เข้าใจมันจะเป็นสติตัดภพตัดชาติ ตัดตัวปลงแต่ง ตัวอวิชชาสังขาร ถ้ามันยังไม่ชัดแจ้ง ยังอยากรู้ มันก็ต้องมีตัณหาในการอยากรู้อยากเห็นต่อไปอีก เรียกว่า ตัณหามันลากรู้ลากเห็น

ตัณหาจะคอยป้อนเชื้ออยู่เสมอในการที่จะให้วุ่นกับสิ่งนั้นบ้าง ยืดเยื้อกับอารมณ์นี้บ้าง ตัณหามันจะคอยป้อนเชื้ออยู่เสมอในการที่จะให้ภพชาติมันยืดเยื้อ สิ่งนั้น สิ่งนี้ มันจะต้องอย่างนั้น อย่างนี้ แล้วถามว่า จะแก้ไขอย่างไร ก็ไม่ต้องไปแก้เพราะว่าการที่จะแก้ไข คือ การที่ไม่ได้แก้ไข แต่กลับไปเพิ่มปัญหา ถ้าพูดถึงระบบจิต อย่าไปแก้มันเด็ดขาด เพียงแค่เข้าใจตามที่เป็น แล้วปล่อยให้เขาเกิดเองเป็นเอง

ต้องเข้าใจคำว่า ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง คราวนี้มันก็สอดคล้องกับธรรมชาติ ดังที่กล่าวแล้วว่า ปล่อยก็คือลองปล่อยดู อย่างสงบก็ปล่อยให้เขาสงบเอง อย่างไม่สงบก็ปล่อยให้เขาไม่สงบเอง ลองปล่อยดู เมื่อดำเนินจิตตามไปขณะไหนก็มีผลในขณะนั้น ประการแรกคือ เกิดมรรคขึ้นในจิตวิญญาณ จิตเริ่มเข้าใจธรรมชาติจิตเข้าใจอาการที่มีอยู่ตามความเป็นจริง ปล่อยให้อาการนั้นเกิดเองเป็นเอง ปล่อยให้อารมณ์นั้นมีเองเป็นเอง ก็จะเริ่มเข้าใจผลของการปล่อย ก็ปล่อยแล้วมันก็สบายดี เบาดี ไม่หงุดหงิดนัก ถ้ามันชำนาญขึ้นก็เรียกว่าหงุดหงิดนี้จะหมดไปเลย ปวดหัวหมดไป ในตอนแรกก็จะเริ่มรู้สึกสบายขึ้น เมื่อเริ่มปล่อยให้ธรรมชาติสงบกันเองบ้างไม่สงบกันเองบ้าง ก็จะเริ่มเห็นผล เริ่มสบาย เริ่มบรรลุสู่ผล เข้าใจธรรมชาติแห่งผลของการปล่อย ความกระวนกระวายเริ่มลดลง ได้ลิ้มรสชาติแห่งผลของการปล่อยหรือการวางอย่างแท้จริง

ตัณหาตัวบงการใหญ่

ดังนั้นจะไปสับสนกับระบบจิตกันมาก เพราะใช้ตัณหาบงการมานาน ก็อดไม่ได้ที่จะดิ้นรนอย่างนั้นอย่างนี้ ใช้ตัณหาดิ้นรนในการรู้การเห็น บงการการนึกการคิดการปรุงการแต่ง บงการในการที่จะต้องแก้ไขและปรับปรุงการที่ต้องทำให้ดีกว่านี้ การที่จะให้หมดจากนสี้ หรือต้องให้ตรงนี้หมดไป สารพัดที่จะไปทำมันมีตัณหาบงการตลอดเวลา มีความเป็นตัวตน เข้าไปบงการตลอดเวลา ความจริงแล้วจะต้องหมดตัวหมดตน อันนี้เราจ้องแต่จะให้ตรงนั้นหมด ตรงนี้หมด อาการนี้หมด อาการนั้นหมด อารมณ์นี้หมดไป ความคิดชนิดนี้จะต้องหมดไป คือจ้องแต่จะให้มันหมด แต่ว่าเรามีอยู่ตลอดเวลา มีความสำคัญในการเป็นเราอยู่ตลอด จ้องจะให้มันหมดไป ความจริงมันก็หมดอยู่แล้ว เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อนิจจังตลอดสาย ไม่มีภาวะไหน อาการไหน เป็นตัวเป็นตนอย่างแท้จริง หรืออนิจจังที่แท้จริง เป็นอนิจจังตลอดสายอยู่แล้วอันนี้ก็ไม่เข้าใจ จ้องแต่จะให้สิ่งที่มันไม่มีตัวมีตนหมดไป จ้องแต่สิ่งที่มันไม่เป็นตัวเป็นตนจริง ๆ อยู่แล้วหมดไป

ดูเอา............ มันหลงขนาดนี้ เพ่งก็ตาม ไม่เพ่งก็ตามมันก็ไม่มีตัวมีตนอยู่แล้ว วางได้ก็ตาม วางไม่ได้ก็ตามมันก็เป็นธรรมชาติไม่มีตัวมีตนอยู่แล้ว วางได้ก็แค่นั้น วางไม่ได้ก็แค่นั้น แค่เข้าใจเหมือนเดิม เราก็ต้องปล่อยให้เขาวางได้เอง วางไม่ได้ของเขาเอง อย่างนี้เรียกว่า คลายตลอดสาย เบิกบานตลอดสาย เป็นดอกบัวในภายในที่บานอยู่ตลอดสาย ถ้าบานแล้วไม่มีหุบน่ะดอกบัวภายในถ้าลองได้บานแล้วบานเลย จะบานไปเรื่อยเลยไม่มีหุบทีหลัง ระบบจิตนี้พอได้แนวทางของการปล่อยแล้ว ได้ลิ้มรสชาติของผลแห่งการปล่อยแล้วว่าเบาสบายอย่างไร คราวนี้เขาจะปล่อยไปเรื่อย ๆ เลยไม่มีหรอกที่จะวกกลับมากำอีก มาหุบอีกจะไม่มี เขาจะปล่อยไปเรื่อยเลย เพราะเมื่อรู้รสชาติของการวางแล้วพอเข้าไปกำนิดหนึ่งมันก็จะทุกข์สาหัสสากรรจ์ในระบบจิต เรียกว่า แตะนิดก็ทุกข์ แตะนิดก็ทุกข์ปั๊ป รสชาติของวิมุติภาวะแห่งการจางคลายละเอียดประณีต เยือกเย็นเบาสบายอย่างไร รสชาติแห่งการที่เข้าไปกำธรรมชาติมัน กำระบบมันนี่ทุกข์อย่างไร อัดอั้นอย่างไร ไม่ปลอดโปร่งแจ่มใสอย่างไร นี้เขาจะรู้จักรสชาติแห่งความทุกข์ รสชาติแห่งการเข้าไปกำ กับรสชาติแห่งการปล่อยวางจางคลายนี้ เขาจะสะท้อนต่อกันและกัน เรียกว่าผลจะสะท้อนซึ่งกันและกัน ผลของการเข้าไปกำมันก็จะสะท้อนออกมาว่า มีผลอย่างไร ผลของการจางคลาย ก็สะท้อนออกมาว่า มีผลอย่างไร ผลต่อผลเขาก็จะวัดกันเอง กลายเป็นอริยมรรคที่เข้มแข็งขึ้น

เดี๋ยวรู้ เดี๋ยวไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร? จะไปแก้อะไรมันไม่รู้ก็ปล่อยมันไม่รู้ของมันเอง ไม่ใช่เราไม่รู้แล้วเราจะต้องรู้นี่ก็ตายเลย แค่เราไม่รู้ ก็ทุกข์อยู่แล้ว เราจะต้องรู้นี่ก็ทุกข์กำลังสองเลย ถ้าเราจะต้องดันทุรังจะต้องรู้ต่อไปอีกนี่ ทุกข์กำลังสามกำลังสี่เลย ทุกข์เกิดขึ้นทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป ทุกขณะต่อขณะ สภาวะต่อสภาวะ ก็สภาวะมันเอง คลี่คลายสภาวะมันเอง สภาวะมันเองก็ดับสภาวะมันเอง จะไปเอาอะไรมาแก้ สภาวะมันเองก็เข้าใจสภาวะมันเองแค่นี้พอ จะต้องไปเอาสภาวะไหนมาเข้าใจสภาวะนี้อีก อาการนี้เข้าใจอาการนี้เองจะไปเอา อาการไหนเข้าใจอาการนี้อีก แต่ละอาการก็เข้าใจอาการของมันเองก็ตรงตัวอยู่แล้ว เรียกว่า นิโรธตรงตัวอยู่แล้ว ตัดหมด ไม่รู้ก็ปล่อยให้มันไม่รู้ของมันเองแค่ไม่รู้ รู้ก็ปล่อยให้มันรู้ของมันเอง แค่รู้ ขณะที่ไม่รู้ก็ปล่อยให้มันไม่รู้ของมันเอง แต่มันก็รู้อยู่ คือแค่ไหน แค่นั้นไปเลย ไม่รู้ก็ปล่อยให้มันไม่รู้ รู้ก็ปล่อยให้มันรู้ของมันเอง เรียกว่า ไม่เยิ่นเย้อทุกข์กำลังหนึ่ง ไม่มีทุกข์กำลังสอง ทุกข์กำลังหนึ่ง ก็คือ ทุกข์ที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติอย่างคิดก็เหมือนกัน คิดก็ปล่อยให้มันคิดของมันเอง ไม่ใช่ว่าฉันจะต้องไม่คิดก็เลยกลายทุกข์กำลังสอง ทุกข์กำลังสามอยู่ มัวที่จะไม่คิดอยู่ ถ้าคิดก็ปล่อยให้มันคิดของมันเองก็แค่ทุกข์จังหวะเดียว เอ๊ะ! ทำไมเราจะต้องคิดด้วย ? นี่ทุกข์จังหวะสอง

มันเกิดกันเองดับกันเอง

ฉะนั้นไม่ต้องแก้ไข เกิดแค่ไหนก็แค่นั้น ดับแค่ไหนแค่นั้น เป็นแค่ไหนแค่นั้น มีแค่ไหนแค่นั้น สภาวะต่อสภาวะ คิดก็แค่ปล่อยให้มันคิดเอง นึกก็แค่ปล่อยให้มันนึกเอง หงุดหงิดก็แค่ปล่อยให้มันหงุดหงิดเอง มันก็เป็นอยู่แค่นั้นเอง แล้วก็จางคลายสลายธรรมชาติมันไปตามกฎอนิจจัง ถ้าไม่ยอมแค่ไหนแค่นั้น นี่มันจะมีจังหวะสอง จังหวะสาม ต้องมาหาวิธีดับ พอเริ่มหาก็เริ่มทุกข์จังหวะสอง หาไม่เห็นต่อไปอีกก็จังหวะสาม จังหวะสี่ เพราะยิ่งหาก็ยิ่งเลยเถิด ยิ่งสร้างทุกข์เพิ่มขึ้นไปอีก ก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น แล้วก็มีทุกข์มารุมเร้าไม่รู้กี่กำลังเพราะมันผิดธรรมชาติ ของจริง ๆ เขาต้องปล่อยให้เกิดเองดับเอง ทุกข์เกิดเองดับเอง อนิจจังกันเอง อนิจจังเกิดเอง อนิจจังเป็นเอง ของจริง ๆ แล้วต้องเป็นเองปล่อยธรรมชาติเขาเป็นธรรมชาติของเขาเอง เขาเกิดกันเองเขาดับกันเอง เขามีกันเอง เขาเป็นกันเอง เขาทุกข์กันเอง เขาคลี่คลายทุกข์กันเอง จริง ๆ แล้วมันต้องเป็นอย่างนี้

ถ้าลองเขาเป็นของเขาเองแล้ว อย่างนี้จะไม่มีเราในการเป็น มันจะหมดความสำคัญโดยความเป็นเราผู้เป็นทุกข์ หรือเป็นอะไรก็ตาม จะหงุดหงิดปล่อยเขา หงุดหงิดกันเอง อย่างนี้จะหมดความสำคัญโดยความเป็นเราหงุดหงิด มันลดยวบลงเลย อาการหลงดันทุรังกับตัวหงุดหงิด มันจะลดลงเลย เรียกว่า เริ่มปลง เริ่มยอมรับสภาพ เริ่มไม่ดื้อดึงกับความหงุดหงิดอันเป็นธรรมชาติธาตุหนึ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป หงุดหงิดก็ปล่อยให้เขาหงุดหงิดของเขาเอง อย่างนี้ก็เริ่มลดการมีตัวตนในการดิ้นรนขัดแย้งกัน ก็เป็นทุกข์จังหวะเดียว แค่หงุดหงิดเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่มีจังหวะสอง จังหวะสาม

ฉะนั้น ทุกคนก็อยู่กับธรรมชาติที่มีอยู่เป็นอยู่นั่นล่ะแค่นี้เอง มันมีอยู่อย่างไร เป็นอยู่อย่างไร สภาวะกาย สภาวะจิต สภาวะภายนอกใน อายตนะ ผัสสะ ทั้งหลายมันมีอยู่เองอย่างไร เป็นอยู่อย่างไร ก็อยู่กับการมีอยู่เป็นอยู่เองอย่างนั้นแหละ อยู่กับสิ่งที่มีอยู่เองนี้ล่ะเป็นไปเองนี่ล่ะ ไม่ว่ามันจะแปรเปลี่ยนไปอย่างไรทุกสถานการณ์ ก็อยู่กับความแปรเปลี่ยนที่มันแปรเปลี่ยนกันเองนี่แหล่ะ ไม่ได้ไปค้นหาวิธีไหนมาแก้ตัวไหนหรอก ให้ยุ่งยากเป็นปัญหาซ้ำซ้อน ไม่ได้เอาตัวนี้มาดับตัวนั้นเอาตัวนั้นมาดับตัวนี้ให้ยุ่งยากซ้ำซ้อนหรอก แค่อยู่กับการเกิดเอง ดับเองตัวนี่แหละ อยู่กับการเกิดเอง เป็นเอง ดับเอง ของสภาวะนี้แหละ อยู่กับการเกิดเองเป็นเองของอารมณ์นี้แหละ ไม่ได้ไปหาเอาสิ่งนั้นมาดับอารมณ์นี้หรืออาการนี้ไปดับอารมณ์นั้น ไม่เป็นตัณหาซ้ำซ้อนอยู่กับธรรมชาติที่เกิดเองเป็นเองนั่นแหละ แล้วปล่อยมันปรับเปลี่ยนกันเอง

อย่างทุกขังก็เหมือนกัน ทุกข์ไปเรื่อย ทุกข์มากทุกข์น้อยทุกข์ไปเรื่อยทุกขังอย่างนี้ เราก็อยู่กับทุกข์ที่มันทุกข์กันเอง ปล่อยให้มันทุกข์กันเอง ยิ่งจะไปดิ้นรนที่จะให้พ้นทุกข์ยิ่งทุกข์หนัก ฉะนั้นให้เข้าใจเสียเลย ให้อยู่กับธรรมชาติที่มีอยู่เป็นอยู่ ที่เขามีของเขาเอง เป็นของเขาเอง เพียงแต่ว่าให้เป็นของเขาเอง มีอยู่เองเท่านั้นล่ะ มันจะได้ผ่อนคลายระบบให้มันเยือกเย็นลงมา เบาบางลงมา

เข้าใจถึงการไม่ผูกมัดกันเองธรรมชาติ

ที่สำคัญ จะขาดความเข้าใจไม่ได้เลย จะเป็นมากเป็นน้อย เป็นอย่างไรก็ต้องมีความเข้าใจในตัวมันเองรองรับอยู่ด้วย และก็หมายถึงความเป็นไปเองตามธรรมชาติอย่างอิสระด้วย เรียกว่า เป็นของมันเองอย่างอิสระโดยปราศจากการผูกมัดในการเป็น ต้องเข้าใจเสมออาการไหนก็เป็นไปได้หมด ก็เป็นตามธรรมชาติของมัน ภาวะไหนก็เป็นไปได้หมด ก็เป็นตามธรรมชาติมัน เรียกว่า มันมีสิทธิตามธรรมชาติที่จะเกิดขึ้น ที่จะเป็นกันเองตามธรรมชาติของมัน ตามเหตุปัจจัยของมัน เพียงให้เข้าใจถึงอิสรภาพในทุก ๆ ธรรมชาติ ที่ว่าไม่ผูกมัดกันในตัวของมันเองนั้นอยู่เสมอ ๆ สอดคล้องไปด้วย ความเข้าใจอย่างนี้สอดคล้องไปด้วยเสมอ ๆ จะนั่งหรือจะยืน จะเดินจะนอน อะไรก็แล้วแต่ ความเข้าใจอย่างนี้มีอยู่เรื่อย จะนึกหรือไม่นึก จะคิดหรือไม่คิดก็แล้วแต่ หรือขณะฟุ้งซ่านมากมายก็แล้วแต่ ก็เข้าใจอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ เข้าใจถึงความเป็นธรรมชาติของมัน ที่มันเป็นกันเองตามธรรมชาติของมันนั้น ให้นึกถึงการไม่ผูกมัดกันในธรรมชาติของมันนั่นเอง เพราะปกติมันก็อย่างนั้นอยู่แล้ว

ที่ให้นึกถึงการไม่ผูกมัดกันในตัวของมันเองนั้น ก็เพื่อต้องการจะกันความหลง กันความโง่ กันโง่กันหลง เดี๋ยวมันจะเกิดโง่เกิดหลงไปผูกมัดมันเข้า มันก็ทุกข์ซ้อนทุกข์ทันที ไม่ใช่แค่ทุกข์เกิดเองเป็นเองตามธรรมชาติเสียแล้ว มันก็ทุกข์ซ้อนทุกข์ทันที เพราะฉะนั้นความเข้าใจมันจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เป็นอย่างไรก็เข้าใจตามที่เป็นอย่างนั้น แล้วก็ต้องแหลมคมด้วย คือต้องหมายถึงความอิสระอยู่แล้วในตัวของมันเอง ความไม่ผูกมัดอยู่แล้วในตัวของมันเองนั้น มันแค่เกิดแค่เป็นตามธรรมชาติเท่านั้น

ความเข้าใจเป็นฐานรองรับ

ปกติมันก็อิสระอยู่แล้วในธรรมชาติของมันเอง ทุกสภาวะขณะจิต เพียงแต่ว่ามันก็เกิดตามเหตุตามปัจจัยของมันเท่านั้น ให้เข้าใจทุกสภาวะ อยู่กับมันด้วยความเข้าใจตลอด ถ้าเข้าใจตลอดแล้วมันก็จะไม่หลงดันทุรังยึดแน่นอน มันก็แค่อาการที่มีกันเองเป็นกันเองตามธรรมชาติ รู้สึกกันเองตามธรรมชาติ นึกกันเองไม่นึกกันเอง คิดกันเอง ไม่คิดกันเองตามธรรมชาติ หรือจะไปน้อมนึกน้อมคิดก็ให้เข้าใจถึงการไม่ผูกมัดกันในตัวมันเองอยู่แล้ว มันก็จะไม่คิดด้วยความโง่ ความหลง แน่นอน ถึงแม่ว่าจะให้น้อมนึก น้อมคิดก็คิดไป แต่ก็ให้เข้าใจถึงการไม่ผูกมัดกันในสภาวะของมันเองนั้นแหละมันก็ไม่หลงแน่นอน ก็นึกไปคิดไปตามเหตุตามปัจจัยเท่านั้น ก็เข้าใจกับมันไป มันจะกี่ร้อย กี่ล้านขณะของการเกิดการเป็น ก็ให้เข้าใจกับมันไปทุกขณะ มันมีกันอยู่เรื่อย ๆ มันปรับ มันเปลี่ยนอยู่เรื่อย ๆ ก็ให้เข้าใจมันไปเรื่อย ๆๆๆๆๆๆๆ มันไปได้เรื่อย ๆ เราก็ไปได้เรื่อยๆๆๆๆ ไม่ใช่เอ๊ะ ! เมื่อไรมันจะหมดเสียที...............นี่ไม่ใช่มันมีได้เรื่อย ๆ เราก็เข้าใจมันได้เรื่อย ๆ มันเป็นกันอย่างไรก็เข้าใจตามที่มันเป็นอย่างนั้นไปได้เรื่อย ๆ เหมือนเงาที่ตามตัว มีตัวก็มีเงา มันจะปรับไปในลักษณะไหนก็เข้าใจไปตามที่มันปรับไปในลักษณะนั้น ไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรอก

แค่ความเข้าใจที่ว่า ไม่ผูกมัดกันในตัวมันเอง มันไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรอก มันไม่ได้หนักหนาสาหัสสากรรจ์แต่มันจะให้เบาใจให้วางใจ จะน้อมไปเป็น หรือจะเป็นเองจะดำริให้เกิด หรือจะเกิดเอง ก็ให้ตระหนักถึงการไม่ผูกมัดกันในสภาพของมันนั่นแหละ มันก็จะเบาใจ เกิดเองก็ไม่โง่ ไม่หลงไปครอบงำการเกิด หรือไปตั้งใจพามันเกิด ก็ไม่โง่ไม่หลงในการพามันเกิดเพราะมันเข้าใจอยู่มันจะได้ทั้งสองอย่าง นี่ล่ะทางสายกลาง ไม่ใช่เกิดไม่ได้จะต้องไม่เกิดอย่างเดียว นี่ก็ยังไม่กลางพอ เกิดก็ได้ไม่เกิดก็ได้ ให้มันเข้าใจถึงความไม่ผูกมัด กันในสภาพของมันเอง รับรองว่าเหนือเกิดเหนือดับแน่นอน เหนือเกิด เหนือไม่เกิดแน่นอน อิสระจากการผูกมัดในการเกิดและการไม่เกิดแน่นอน เกิดก็ได้ ไม่เกิดก็ได้ ไม่ผูกมัดด้วยกันทั้งนั้น ขอให้ความเข้าใจเป็นฐานรองรับอยู่ตลอดเวลา มันจะมีกี่ขณะจิต ก็เข้าใจไปเท่านั้น จะตั้งใจ เข้าใจหรือจะค่อย ๆ เข้าใจ หรือจะไม่เข้าใจของมันเองก็เข้าใจอยู่เรื่อย ๆ เข้า กันโง่ กันหลงไว้ รูปนามกายใจทั้งหลาย อายตนะ ผัสสะ มันมีกันได้เรื่อย ๆ ก็เข้าใจกันได้เรื่อย ๆ มันเป็นกันอยู่

เสมอๆ ก็เข้าใจกันอยู่เสมอ ๆๆๆ มันมีกันอยู่แล้วตามธรรมชาติ ก็เข้าใจกันแบบตามธรรมชาติ ที่มันมีกันอยู่แล้ว ไม่ได้ไปปีนเกลียวอะไรกับมันให้ยุ่งยากไม่เป็นภาระพะรุงพะรัง แต่มันจะไปลดความพะรุงพะรังถ้ามันกันหลงมันจะไม่พะรุงพะรัง ทุกขณะมันไม่ผูกมัดในตัวมันเองมันก็ไม่พะรุงพะรัง ถึงบ่าจะแบกถึงมือจะจับอะไรอยู่มากมายก็ยังไม่พะรุงพะรังเลย เพราะมีความเข้าใจมัน รองรับอยู่ตลอด ก็เลยสอดคล้องไปด้วยความสบาย ๆ จิตจะไม่พะรุงพะรังเลย อิสระในตัวของมันเองอยู่แล้วสบาย ๆ ภาวะไหนก็ไม่ผูกมัดกันในภาวะนั้น ให้เข้าใจเสียเลย อาการไหนก็ไม่ผูกมัดกันในอาการนั้นเข้าใจซะเลย ถ้าไม่เข้าใจก็จะหลงไปเลย หลงเลย แต่ก็หลงไม่ได้จริง หลงอะไรก็หลงไม่ได้จริง เพราะว่าไม่มีสิ่งไหนที่จะยึดเอาได้จริง มันก็เลยหลงไม่ได้จริง แต่ก็หลง

ตระหนักถึงการไม่ผูกมัดกันอยู่เสมอ ๆ

ฉะนั้นมันจะฉับพลันได้ก็เพราะอย่างนี้ ภาวะไหนก็ภาวะนั้นเลย อาการไหนก็อาการนั้นเลย ตระหนักถึงอาการของมันเองนั้นเลย ถึงการไม่ผูกมัดกันในอาการของมันเองนั้นแหละ มันก็ฉับพลัน ๆ ๆ ไม่เกี่ยวกับท่าทางไม่เกี่ยวกับการตั้งท่า เดี๋ยวนั้นเลย จะเอาอะไรไปตั้งท่าเอาเราไปค่อยตั้งท่าก็เราเข้าใจเสียเลยมันก็หมดท่าเสียเลย ก็อาการเรานั่นแหละเข้าใจอาการที่มันมีอยู่ตรง ๆ เลย ตรงแก่นแท้ของสัจจะธรรม เราเข้าใจถึงการไม่ผูกมัดกันในเราเอง มันก็ไร้เราเลย หมดเราเลย นั่นแหละคือการวางเรา

ฉะนั้นขาดไม่ได้ความเข้าใจที่ว่าให้สอดคล้องกับอิสรภาพในทุกธรรมชาติ ทุกอย่างมันก็ไม่ติดกันอยู่แล้ว มันไม่ยึดกันอยู่แล้ว เป็นเพียงแค่ปรากฏการณ์ที่มันเป็นไปตามธรรมชาติมันเท่านั้น มันเกิด มันมี มันเป็น ไปตามธรรมชาติของอาการนั้น ๆ แต่ไม่มีอาการไหนผูกมัดอาการไหนได้หรอก ความหลงก็หลงไม่ได้จริง หลงผูกมัดก็ไม่ได้จริง ไม่เชื่อก็ลองดู มันจะผูกอะไรได้บ้างไม่มีหรอก มันแค่ความหลงเข้าใจผิดไปเฉย ๆ จิตดวงนี้ไม่ใช่มันจะผูกอะไรเอาไว้ได้มัน ผูกไม่ได้จริงหรอก ก็แค่หลงไปเท่านั้น มันไม่มีสิ่งไหนผูกมัดสิ่งไหนจริง มันไม่มี จึงเรียกว่าอิสระกันอยู่แล้วในตัวของมันเอง หรือเรียกว่ามันไม่ยึดกันอยู่แล้วในตัวของมันเอง วางกันอยู่แล้ว หลุดพ้นกันอยู่แล้วในตัวของมันเอง

สอดคล้องกับอิสรภาพในทุกธรรมชาติ

ดังนั้นความเข้าใจตรงนี้มันต้องมีอยู่เรื่อย ๆ ท่ามกลางสถานะการณ์แห่งความรู้สึกสัมผัสทั้งหมดทั้งสิ้นในขบวนการอายตนะนี้ ความเข้าใจในทำนองนี้มันต้องมีอยู่เสมอเพื่อกันโมหะ กันความหลง กันความโง่ มันจะได้ไม่วกกลับมาโง่อีก มันถึงจะไม่เป็นตัวเป็นตนขึ้นมาได้เลย มันจะหมดตัวหมดตน คราวนี้ก็เลยมี่ต้องมัวไปหาอะไรให้ยุ่งยาก จะต้องทำใจแบบไหน จะต้องเพ่งหา จะต้องมองหาอะไร

ตรงไหน.....ไม่มีแล้ว จะเอาภาวะหลุดพ้นตรงไหน... ไม่มี ในตัวมันเองนั้นเลย ถ้ามันรู้สึกว่าตัวเองขึ้นมาก็ให้เข้าใจถึงการไม่ผูกมัดกันในความรู้สึกนั้น มันก็จะวางตัววางตนเสียในขณะนั้น ไม่ต้องไปคิดว่ามันจะหมดไปหรือมันจะมีอยู่ ไม่ต้องไปวิตกถึงจุดนั้น อันนี้จะมี อันนั้นจะเป็น อันนั้นจะเกิด อันนั้นจะไม่เกิดไม่ดับไม่ต้องไปวิตกมัน สภาพไหนก็สภาพนั้น อาการไหนก็อาการนั้นแหละ หมายถึงการไม่ผูกมัดกันในตัวของมันเอง ทุกอาการไปเลยอย่างนี้ล่ะ มันจะได้เป็นความสม่ำเสมอของจิตอย่างฉับพลัน

มันจะโปร่ง มันจะเบา ผ่อนคลายก็เพราะอย่างนี้จะถูกจะผิดก็ไม่ว่า แต่อย่าขาดความเข้าใจเด็ดขาด ถ้าขาดความเข้าใจมันจะถูกจริง ผิดจริง ถูกด้วยความหลง ผิดด้วยความหลง แต่ถ้าไม่ขาดความเข้าใจแล้วไร้การผูกมัดในถูในผิดเอง มันก็ไม่ถูกไม่ผิดแล้ว ไม่ดีไม่ชั่วในตัวมันเองไม่มีภาวะหลงผูกมัด ปรักปรำกับสภาพหนึ่งธรรมชาติใด แต่ถ้ามันขาดความเข้าใจเมื่อไรมันก็เรียบร้อยขณะนั้นล่ะ โง่เดี๋ยวนั้นเลย ถ้ามันเข้าใจอยู่ก็ไม่โง่ จะรู้สึกอะไรก็รู้สึกไป อาการไหนก็มีไป อารมณ์ไหน สภาพไหนก็มีไป ก็แค่เข้าใจถึงการไม่ผูกมัดกันในสภาพของมันเองอยู่เรื่อยๆ เข้า ก็หมดโง่ หมดหลงบอกแล้วมันมีล้านครั้งก็เข้าใจล้านครั้ง เข้าใจเรื่อย ๆ จนกระทั่งต่อเนื่องกันเป็นนิสัย สติปัญญาต่อเนื่องกันเป็นสมุทเฉทเด็ดขาด

ความเข้าใจที่ไม่ผูกมัดในความเข้าใจ

ความเข้าใจในตัวมันเอง มันจะเผาตัวมันเอง ไม่ว่ากิเลสหรือธรรมะ ชนิดที่เป็นตัวเป็นตน เป็นนั่นเป็นนี่ทั้งนั้น มันจะถูกเผาหมด ปัจจัยของการเกิดก็คือโมหะจะเผาโมหะต้องหมายถึงความเข้าใจในตัวมันเอง ภาวะไหนก็จะเผาโมหะในภาวะนั้นเองให้มันชัด โมหะกับสภาพไหนก็เข้าใจตามที่สภาพนั้นมีเป็น เรียกว่า ความเข้าใจในตัวมันเองเผาโมหะในตัวมันเอง ถ้าเผาด้วยความเข้าใจมันจึงสิ้นเชื้อจริง แต่ต้องไม่ลืมเทคนิคที่ว่าการไม่ผูกมัดในสภาวะที่เข้าใจนั้น เข้าใจอย่างไรก็ไม่ผูกมัดท่ามกลางความเข้าใจอย่างนั้น อันนี้เป็นเทคนิคตามธรรมชาติ ก็จะหมดเชื้อเผาโมหะจนเกลี้ยง ให้เผาอย่างนี้อยู่เสมอ เผาแล้วดับ ดับแล้วก็เผาใหม่เผาไปเรื่อย ๆ ต่อให้มันหนาขนาดไหนก็จะหมดไม่เหลือ ความเข้าใจในตัวมันเองถ้าขาดเทคนิคของการไม่ผูกมัดกัน มันจะเป็นความเข้าใจที่ทนยาก เข้าใจแล้วยังอยู่ยาก เพราะมันขาดเทคนิค ความเข้าใจต้องประกอบด้วยความไม่ผูกมัดในความเข้าใจด้วยมันจึงจะทนง่ายขึ้น

จะแผ่วเบาขนาดไหนก็ต้องไม่ผูกมัดในสภาพที่แผ่วเบานั้นเลย มันจะได้ไม่ลิงโลด จะได้ไม่ตื่นตูม ดีใจ วันนี้จิตละเอียดมากจิตสบายจัง จริง ๆ แล้วมันก็แค่นั้นเองถ้ามันเบามันสบายก็ต้องตระหนักถึงความไม่ผูกมัดในความเบาความสบายนั้น มันจึงจะหมดเชื้อโมหะที่ครอบงำธรรมชาติเขา ธรรมชาติที่ไม่ติดใครไม่ยึดใครธรรมชาติที่ไม่ผูกมัดในธรรมชาติเอง แต่โมหะไม่เข้าใจ โมหะปิดบังไว้ต่างหาก

หนักก็หมายถึงไม่ผูกมัดกันในความหนักเองเบาก็หมายถึงไม่ผูกมัดกันในความเบาเอง วุ่นวายก็ไม่ผูกมัดในความวุ่นวายเอง ไม่ต้องไปหนีไปรู้ให้มันสิ้นเปลืองกำลัง ภาวะไหนก็หมายถึงความไม่ผูกมัดกันในภาวะนั้นเองมันจึงไร้มลทิน วิโมกธรรม ธรรมชาติจิตเกลี้ยง วุ่นวายก็เข้าใจกันแบบวุ่นวาย มันเป็นอะไรก็เข้าใจกันแบบนั้น อย่างนี้จึงจะไม่ทุกข์กับทุกข์ ไม่วุ่นวายกับความวุ่นวาย ไม่มีเหลือจะขนมามากมายขนาดไหนก็ตาม โทสะ โมหะ ราคะ ตัณหา อุปทาน ฟุ้งซ่าน หงุดหงิด รำคาญ ทิฐิมานะ สังขตะธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่มีเหลือ

อย่างนี้จึงจะอิสระท่ามกลางทุกธรรมชาติ อิสระในการไปการมา อิสระกับการอยู่ แม้บางครั้งการอยู่มันจะตึงไปบ้าง แต่ก็ยังอิสระ เพราะมันไม่ขาดเทคนิค เทคนิคแห่งจิตวิญญาณ ความแหลมคมในตัวมันเองจะก่อให้เกิดความลึกซึ้งในการเป็นการอยู่ ไม่มีสภาพไหนผูกมัดในสภาพไหน ไม่มีเลย ธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ

จิตธาตุ รูปธาตุ นามธาตุ มันก็สักแต่ว่าธาตุตามธรรมชาติแม้กระทั่งนามธาตุ ทุกอย่างอิสระอยู่แล้วในตัวของมันเองต้องนึกถึงตรงนี้ นึกถึงการไม่ผูกมัดกันในสภาพนี้แหละแม้แต่การนึกเองจะนึกก็นึกถึงการไม่ผูกมัดกันในการนึกเอง จะคิดก็ให้คิดถึงการไม่ผูกมัดกันในความคิดเองหมดไม่มีเหลือ จะสะสมมากี่ชาติมันจะเผาหมด เป็นอะไรเข้าใจตามที่เป็น มันจะไปได้สวยตามวิถีอริยมรรคาอันประเสริฐ เป็นทางสายกลางตามธรรมชาติอยู่แล้วในตัวของมันเอง ถ้าความเข้าใจถึงก็ถึงเลย ถึงซึ่งอริยมรรคเลย

จะเอาไฟเผาก็ยังไม่สิ้น แดดเผาทุกวัน ๆ ก็ยังไม่สิ้น ไหนเลยจะสู้ความเข้าใจในตัวมันเองได้ ความร้อนแห่งสติ สมาธิ ปัญญา พระกรรมฐาน นี้สามารถเผาผลาญโมหะ อวิชชา ตัณหา ให้มลายสิ้นไปได้อย่างฉับพลันๆ

ไม่มีสภาวะไหนผูกมัดสภาวะไหนจริง

ร้อนไม่ผูกมัดในความร้อนเอง เย็นไม่ผูกมัดในความเย็นเอง หนาวไม่ผูกมัดในความหนาวเอง ตระหนักอย่างนี้ไปอยู่เสมอ ๆ จะอยู่สภาพไหนก็ตามที ที่ทนไม่ได้ก็จะเริ่มทนได้เอง ที่ทนยากจะเริ่มทนง่ายขึ้น จะได้แกร่งกับทุกสภาวะ ทุกสภาวการณ์ จิตแกร่งไม่หวั่นไหวเป็นตบะธรรม คือไม่มีความลังเลในตัวมันเอง ถ้าตระหนักถึงความไม่ผูกมัดกันในตัวมันเองแล้วมันจะไม่มีความลังเลในตัวมันเอง ไม่ว่าจะด้วยอย่างไรทั้งนั้น จะหมดความลังเลในตัวมันเอง

มันจะวุ่นวายขนาดไหนก็ไม่ต้องไปทำอะไรกับมันหรอก แค่ตระหนักถึงการไม่ผูกมัดกันในความวุ่นวายนั้นมันก็จะเกิดดับไปตามธรรมชาติมัน มันจะมีอาการนั้นอาการนี้ไปบ้าง มันจะเผลอไม่เผลอ ก็ไม่ต้องไปทำอะไรมัน ก็ตระหนักถึงการไม่ผูกมัดกันในสภาพของมัน จะเผลอไม่เผลอก็จบเดี๋ยวนั้นเลย ถ้าเผลอไปแล้วจะมาวิตกกังวลว่าเผลอไปแล้ว ไม่ต่อเนื่อง ก็ยิ่งเผลอหนักเลย เผลอสำคัญว่าตัวเองเผลอ จังหวะสอง จังหวะสามไปเรื่อยถึงไม่เผลออยู่ รู้อยู่ เข้าใจอยู่ แต่ไม่ตระหนักถึงความไม่ผูกมัดกันในสภาพมันเอง มันก็ยึดอยู่ ยึดตัวไม่เผลอ แต่ก็เผลอ เผลอยึด จะเผลอหรือไม่เผลอก็ตามที ก็ต้อง หมายถึง การไม่ผูกมัดกันในสภาพนั้นเอง จบเดี๋ยวนั้นเลย พ้นจากการเป็นทาสตัณหา อุปทาน เสียเดี๋ยวนั้นเลย

จิตมันจะไปไกลใหญ่โต คิดไปมากเรื่องมากราวหลายอย่าง คิดตั้งท่าจะดึงมันกลับมา ของไม่มีตัวตนจิตมันจะไปไกลหรือใกล้ก็ให้เข้าใจถึงการไม่ผูกมัดกันในสภาพที่ไปนั้นที่มีอยู่นั้น เท่านั้นล่ะจบ จบแบบดุษฎี ไม่ใช่แบบมีเราจบ แบบนั้นมันไม่จบนะ อ้าว! ดึงจิตมันกลับมาแล้ว อยู่แล้ว เปล่ายังไม่อยู่ ยังดิ้นอยู่ มันยังมีตัวตนดิ้นอยู่

ธรรมะสัจจะอันนี้มันไม่มีอะไรขวางได้นะไม่มีโมหะ ตระกูลไหน ประเภทไหน ต่อให้หนาขนาดไหนมันไม่สามารถจะขวางธรรมะสัจจะประเภทนี้ได้ โมหะก็ หมายถึงการไม่ผูกมัดกันในโมหะเอง สภาพนั้นเองก็หมายถึงการไม่ผูกมัดกันในสภาพนั้นเอง ไม่มีอะไรขวางได้สำหรับผู้มุ่งพระนิพพาน ความที่ไม่มีทุกข์กับทุกข์แทนที่จะเดือดร้อน วันนี้ความโกรธเกิดมาก วันนี้อยากมากไปหมด วันนี้ราคะมาก แทนที่จะไปวิตกกังวล ไม่ต้องเลย ไอ้ที่มาก ๆ นะให้นึกถึงการไม่ผูกมัดกันในตัวมากมันเองเดี๋ยวมันก็หมดมากเอง

เข้าสู่เอกภาพแห่งจิตญาณ

โอ๊ยวันนี้ฟุ้งซ่านทั้งวันเลย โอ๊ยวันนี้ยังไม่ได้ปฏิบัติเลย ไม่ต้องไปวิตกให้มันยุ่งยาก ไม่ต้องคอยตั้งท่าตั้งทาง ฉับพลันเดี๋ยวนั้นเลย ให้ระลึกถึงการไม่ผูกมัดกันในตัวมันเอง เดี๋ยวนั้นล่ะพ้นเดี๋ยวนั้น หลุดเดี๋ยวนั้น ตทังควิมุตไปเรื่อย ๆ
จนกระทั่งสมุทเฉทวิมุติ มันจะค่อยผันไปเรื่อย ๆ ตามลำดับแห่งความเข้าใจที่ตระหนักถึงแก่นสาระแห่งธรรมนั้น จนกระทั่งสม่ำเสมอๆๆ สมุทเฉทเลยสิ้นเชิง

มันไม่พอให้โง่หรอก มันไม่พอให้หลงหรอก ขอให้นึกถึงอิสรภาพตามธรรมชาติเขา สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ที่มันไม่ผูกมัดกันอยู่แล้วในธรรมชาติของมันเอง ขอให้นึกถึงอยู่เสมอ มันจะไม่เขลาเบาปัญญา มันไม่อดหรอกปัญญา ไม่ต้องกลัวจะไม่ได้หรอกปัญญา ถ้าได้จะเอาไปไหนจะแบกไว้เหรอ อะไรๆ ก็ต้องวางตามธรรมชาติมันหมด ต้องเข้าใจถึงการวางตามธรรมชาติมันหมด อะไรๆ ก็ต้องเข้าใจถึงการไม่ผูกมัดกันตามธรรมชาติหมด ถึงจะมีอะไรหรือไม่มีอะไรก็ต้องเข้าใจถึงการไม่ผูกมัดกันตามธรรมชาติหมด อะไรๆ ก็ปัญญาในตัวมันเองหมด ไม่ว่าจะเป็น ก้อนหิน ก้อนกรวด ก้อนทราย ต้นไม้ ใบหญ้า ทุกอณูโลกธาตุ โลกธรรมปัญญาในตัวมันเองหมด สติ สมาธิ ก็ในตัวมันเองหมด เข้าใจถึงการไม่ผูกมัดในตัวมันเองนั้น

ความหลุดพ้นตามธรรมชาติ

วันนี้ไปทำงาน ทำงานทุกวันๆ ก็สติในการทำงานนั้นล่ะ สติในตัวมันเอง หลุดพ้นในการทำงานนั้นล่ะ ไม่ต้องมัวนึกถึงห้องกรรมฐานที่ไหนให้ยุ่งยากเลย หลุดพ้นในงานนั้นเลย นึกถึงการไม่ผูกมัดในสภาพของมันเองนั้น โอ๊ย! วันนี้ทำงานเหนื่อยนั่งพักเอาแรงสักหน่อยบำเพ็ญกรรมฐานดี ๆ สักหน่อย อย่างนี้เรียกว่าเป็นคนเสียโอกาส ก็เลยต้องหาโอกาส ในตัวมันเองนั้นเลย ในขณะนั้นเลย จึงจะไม่เป็นผู้ที่ด้อยโอกาสไม่เสียโอกาสจะตีตะปู เลื่อยไม้ ฟันไม้ ก็ในตัวมันเองเลย สติสมาธิปัญญาในการตีตะปูนั้นเลย ถูกมือบ้างถูกตะปูบ้างก็ไม่เป็นไร เพราะมันไม่ผูกมัด ความเข้าใจมันหล่อหลอมจิตธาตุไม่อาจแตกสลายได้ ความเข้าใจถึงการไม่ผูกมัดกันในตัวของมันเองทำให้เกิดการหล่อหลอมสู่ความเป็นเอกภาพแห่งจิตธาตุดวงนี้ มันจะแตกสลายด้วยสิ่งใดเล่ามันไม่มีเหตุปัจจัย เพราะว่าสร้างเหตุปัจจัยที่ดีงามเอาไว้ถูก สร้างเหตุปัจจัยของความเป็นเอกภาพแห่งจิตญาณเอาไว้ ก็เลยไม่มีสิ่งใดที่จะไปทำให้จิตญาณนี้มันแตกสลายขอให้เสมอ ๆ ทีอย่างอื่นยังเสมอ ๆ ได้ ความเข้าใจกันในสภาพตัวมันเองก็ต้องเสมอๆ เช่นเดียวกัน ปัญญาก็ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นล่ะคือปัญญา อะไร ๆ ก็ปัญญา ในตัวมันเองหมด อย่าไปค้นหาปัญญาเดี๋ยวมันจะเลยปัญญา

หลุดพ้นก็ในตัวมันเองหมดอย่าไปค้นหาความหลุดพ้น เดี๋ยวมันจะเลยความหลุดพ้น นี่ล่ะความหลุดพ้นตามธรรมชาติที่ประกอบไปด้วยปัญญา ไม่ต้องไปเที่ยวค้นหา มันหลุดพ้นกันอยู่แล้วในตัวมันเอง มันพ้นอยู่แล้วในตัวมันเองนั้น ขอให้เข้าใจถึงการไม่ผูกมัดกันอยู่แล้วในตัวมันเองนั้น ไม่งั้นเดี๋ยวมันจะด้อยโอกาสถ้ารู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็คือ อยู่ในตัวมันเองอยู่แล้ว อย่างนี้นะมันก็คือทุกโอกาสเลย คือมีโอกาสอยู่ทุกขณะ ทุกขณะคือโอกาสหมด มีโอกาสอยู่แล้ว รู้เข้าใจไปตามนั้นสภาพนั้น แล้วรับรองได้เลยว่าจะไม่เป็นบุคคลที่รู้สึกว่าตัวเองด้อยโอกาสในการปฏิบัติ บำเพ็ญเพียรสภาวะไหนก็สภาวะนั้นเลย เข้าใจกันในสภาพที่มีอยู่นั้นเลย สภาวะไหนก็สภาวะนั้น นึกถึงการไม่ผูกมัดกันในสภาวะที่เป็นอยู่นั้นเลย ไม่ต้องไปมุ่งหาที่ไหนแล้ว ในสภาพที่กำลังมีอยู่เป็นอยู่นั้น แต่ละขณะของความรู้สึกทั้งหลายนั้นเลย สภาพจิตสภาพใจที่มีอยู่นั้นเลย สภาพอายตนะ ผัสสะ ที่มันมีอยู่นั้นเลย ไม่ต้องไปหาที่ไหนแล้ว ตามสภาพที่มันเกิด มีอยู่เป็นอยู่นั้นแหละ มันอยู่กับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรานั้นแหละ ไม่ต้องไปค้นหา เข้าใจที่ใดได้ก็เข้าใจที่นั้นไม่ต้องไปตั้งท่าให้ยุ่งยาก เข้าใจกันได้อย่างไรก็เข้าใจอย่างนั้นเลยเข้าใจตามอาการที่มีอยู่นั้นแหละ เมื่อตระหนักถึงความไม่ผูกมัดกันอย่างลึกซึ้ง ก็จะซึ้งในความโปร่ง ความเบาตามธรรมชาติ ความพ้นตามธรรมชาติเอง


แก้ไขล่าสุดโดย เว็บมาสเตอร์ เมื่อ 07 ธ.ค. 2009, 18:52, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร