วันเวลาปัจจุบัน 20 มิ.ย. 2025, 19:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง





กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2009, 15:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

พระอาจารย์เปลี่ยนตอบปัญหาธรรมะ

โพสท์ในลานธรรมเสวนาโดยคุณ QWER [ 24 ส.ค. 2543 ]
ที่มา...ประตูสู่ธรรม


:b48: :b8: :b48:


ความเป็นมา

เรื่องความเป็นมาของหนังสือเล่มนี้ จะเกิดขึ้นเป็นรูปเล่มนั้น
เนื่องจากการที่มูลนิธิสุทธธรรมนิมิตฯ
โดยมีพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าสุทธสิริโสภา องค์ประธาน
ได้มอบทุนสนับสนุนให้จัดโครงการค่ายจริยธรรม
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิชา พบ.201 ธุรกิจกับสังคมโดยมี
ผ.ศ.เนื้อโสม ติงสัญชลีเป็นผู้รับผิดชอบนำนักศึกษาคณะ
พาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
จำนวน 65 ท่านไปปฏิบัติธรรม ณ วัดอรัญญวิเวก
อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
ระหว่างวันที่ 24 พ.ค.-2 มิ.ย. 2540
โดยมีพระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
ได้เมตตาให้การอบรม และการปฏิบัติธรรมวันละ 2 ครั้ง
คือช่วง 10.00-12.00น. และ 20.00-22.00น.

ผลจากโครงการค่ายจริยธรรม การตอบปัญหาธรรมะครั้งนี้
พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
ได้เมตตาอนุญาตให้นำคำสอนพิมพ์เผยแพร่เป็นธรรมทาน
เพื่อให้ผู้สนใจใฝ่ในธรรมได้ศึกษา
หนังสือเล่มนี้ได้ถูกจัดพิมพ์ 2 ครั้ง
และหมดลงอย่างรวดเร็วเพราะมีผู้สนใจจำนวนมาก
ผ.ศ.เนื้อโสม ติงสัญชลี มีความประสงค์จะจัดพิมพ์ครั้งที่ 3
แต่ท่านได้เสียชีวิตไปก่อน ดังนั้น คณะผู้จัดทำ
จึงสานต่อวัตถุประสงค์ของ ผ.ศ. เนื้อโสม ติงสัญชลี ให้สำเร็จ
อานิสงส์ใดๆ ในการจัดพิมพ์ครั้งนี้ ขออุทิศส่วนกุศลให้
ผ.ศ. เนื้อโสม ติงสัญชลี และ ร.ศ. อรุณี อย่างธารา
อาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์ และการบัญชี
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

คณะผู้จัดทำ


คำนำ


เมื่อต้นปี 2543 ช่วงปีใหม่ ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวที่จังหวัดเชียงใหม่
และได้มีโอกาสไปทำบุญปีใหม่ ที่วัดอรัญญวิเวก(บ้านปง)
ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ และได้รับหนังสือธรรมจากท่าน
พระอาจารย์เปลี่ยนให้มาศึกษา รวมทั้งหนังสือถาม-ตอบปัญหา
ธรรมะ ผมได้กราบขออนุญาตพระอาจารย์เปลี่ยน
เพื่อมาพิมพ์เผยแผ่ลง Internet ซึ่งท่านพระอาราย์ก็ได้เมตตา
อนุญาต จึงนำมาเผยแผ่ตามที่ได้ตั้งใจไว้
ผมคงไม่นำทุกคำถาม-ตอบมาลงไว้เนื่องจากพยายามให้กระชับ
และเหมาะสมกับการอ่านใน Internet (เพื่อไม่ให้ยาวเกินไป)
หวังว่าคงพอเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยแก่ท่านผู้สนใจธรรมะ
ทั้งหลาย

QWER


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 16 พ.ย. 2009, 15:25, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2009, 15:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: คำถาม ถ้าทำความดีเพราะกลัวบาป เพราะหวังผล จะได้บุญหรือไม่
หรือได้มากน้อยเพียงไร

:b42: คำตอบ ความดีนั้นมีแต่บุญอย่างเดียวซึ่งจะนำมาแต่ความสุข
ทำตามกำลังที่เราจะทำได้ ถ้าเราทำบุญทางด้านวัตถุ
เราก็จะได้แค่วัตถุที่จะทำให้เรามีความสุขมาบ้าง
ถ้าเรารักษาศีลเป็นผู้มีศีล ก็จะได้ความสุขมากขึ้น
เมื่อเรารักษาศีลแล้วก็นั่งทำสมาธิ
ถ้าเราสามารถทำจิตใจให้สงบ
เราก็จะได้มีความสุขมากยิ่งขึ้นไปตามขั้นตอน
เมื่อจิตใจเราสงบดีแล้ว เราก็จะรู้ว่าอะไรเป็นบุญ อะไรเป็นบาป
สิ่งใดควรทำหรือสิ่งใดไม่ควรทำ
สิ่งใดควรพูดหรือสิ่งใดไม่ควรพูด สิ่งใดควรคิดหรือสิ่งใดไม่ควรคิด
จะเป็นการละกิเลส ละได้มากเท่าไรก็ได้บุญมากเท่านั้น
ยิ่งจะมีความสุขมากขึ้นไปด้วย
บุญนั้นไม่สามารถจะเอาเครื่องอะไรมาวัดมาชั่งได้
บางบุคคลไปทำบุญแล้วมีความปลื้มปีติยินดีจนน้ำตาไหล
ใจมีความสุขจนร่างกายสะเทือน
ใจก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันมีน้ำหนักเท่าไร บอกไม่ได้
เป็นเรื่องของตนเองที่จะรับรู้ว่าใจมีความสุขแค่ไหน สบายแค่ไหน
เพราะบุญมันอยู่ที่ใจ บุญคือความสุข เราจะรู้ได้ด้วยตนเอง
ถ้าเราทำได้ ปฏิบัติได้ พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่า
คนประพฤติธรรมย่อมได้รับความสุขตามสมควรแก่ผู้ปฏิบัติในธรรมนั้นๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2009, 15:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: คำถาม ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
ให้ตั้งอยู่บนความไม่ประมาทหมายความว่าอย่างไร

:b42: คำตอบ พระพุทธเจ้าท่านสอนพวกเรา
ไม่ให้ตั้งอยู่ในความประมาทในชีวิตของเรา
แม้เราจะหนุ่มน้อยก็ตาม ท่ามกลางคนก็ตามหรือแก่ก็ตาม
ทุกสิ่งทุกอย่างหรือธรรมะทั้งหลายรวบรวมลงไปในความไม่ประมาท
ก็คือเมื่อคนไม่ประมาทในชีวิตของตน
ไม่ประมาทในวัยของตนเอง
บุคคลนั้นย่อมปฏิบัติคุณงามความดีได้อย่างเต็มที่
คือ ไม่ประมาทในชีวิตของเรา
ว่าชีวิตของเราจะอยู่ไปจนถึงเฒ่าถึงแก่ชราเท่านั้นปีเท่านี้ปี
ไม่ได้คิดอย่างนี้ เขาเรียกว่าไม่ประมาทในวัย
เมื่อเป็นหนุ่มเป็นสาวก็ไม่มัวเมาลุ่มหลงในความเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่
เพราะระลึกมรณานุสติความตายอยู่
แม้จะเป็นกลางคน 30-40 ปี ก็ไม่หลงมัวเมาว่าตนเองยังแข็งแรง
จะมีอายุยืนยาวไป
ถ้าเราแก่กว่านั้น ก็ไม่หลงมัวเมาว่าเราแก่
เจ็บไข้ได้ป่วยเล็กๆ น้อยๆ ก็ไหว้พระสวดมนต์ทำสมาธิ
ไม่ต้องกลัว ไม่มัวเมาหลุมหลงในโรค
ถึงแม้จะเป็นโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ แต่จะทำความดีอยู่ตลอด
แสดงว่าบุคคลนั้นมีความเพียรอยู่ทั้งการปฏิบัติร่างกาย
ทั้งการพูด ทั้งการคิดอ่าน ทำไปในทางที่ดีตลอด
เรียกว่า รวบรวมลงในความไม่ประมาท
บุคคลนั้นย่อมเห็นธรรมะ เห็นของจริง ย่อมบรรลุธรรมได้
ก็เพราะความไม่ประมาทนั่นเอง
การตั้งอยู่ในความไม่ประมาท
ก็คือ ตั้งอยู่ในความดีตลอด ไม่ได้คิดที่จะทำความชั่ว
คนนั้นแหละจะเจริญที่สุด
แม้จะเป็นญาติโยม หรือเป็นพระก็ตาม
องค์ไหนไม่ประมาท องค์นั้นแหละจะบรรลุธรรมก่อนเพื่อน
ของทั้งหลายจึงรวบรวมลงมาในความไม่ประมาทหมด
คนจะพ้นทุกข์ได้ก็เพราะความไม่ประมาท


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2009, 15:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: คำถาม ถ้าโกหกเพื่อทำให้คนอื่นสบายใจ จะผิดศีลหรือไม่

:b42: คำตอบ การโกหกของพวกเราเพื่อให้คนอื่นสบายใจ
อย่างคนเขาเป็นโรคนั้น แต่โกหกเขาไปว่าเป็นโรคนี้
เพื่อจะรักษาจิตใจเขาไว้ให้ได้ปฏิบัติ
หรือว่าโกหกลูก โกหกน้อง
ที่จะเข้าไปในบ้านเพื่อเอาสตางค์หรือจะไปเล่นอะไรก็ตาม
ว่ามีแมวอยู่ในนั้นหรือมีตุ๊กแกอยู่ในนั้น
เดี๋ยวมันเล่นงานเอานะ แต่แท้ที่จริงมันไม่มีอะไรอยู่ในนั้น
อันนี้เป็นการโกหกเพื่อความดี มันไม่ได้ถึงกับผิดศีล
เพราะอยากให้เขาดี
ทีนี้สำหรับพระ พระพุทธเจ้าท่านสอนวิธีหลีกเลี่ยงเรื่องอย่างนี้
สมมุติว่ามีพวกเพชฌฆาตเขาจูงโคไปจะไปฆ่า
เชือกที่จูงโคหลุดมือ โควิ่งผ่านหน้าพระไป
แต่พระนั้นยืนอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง เพชฌฆาตก็ไล่ตามไป
พระนั้นหัดให้ฉลาดก็ต้องก้าวขาออกไปยืนอยู่ที่อื่น
เมื่อก้าวขาจากที่เดิมแล้วไปยืนอยู่ที่อื่น
พอเพชฌฆาตผ่านมาแล้วถามว่า
ท่านยืนอยู่ที่นี่ท่านเห็นโควิ่งมาที่นี่บ้างไหม
พระก็จะตอบได้ว่า อาตมายืนอยู่ที่นี่อาตมาไม่เห็น นี่วิธีหลีกเลี่ยง
ถ้ายืนอยู่ที่เก่าไม่พ้นมุสาวาท
เนื่องจากเราเคลื่อนที่ออกมายืนที่อื่น
ไม่เห็นแล้ว เพราะโคมันวิ่งไปแล้ว ก็เลยไม่เป็นมุสาวาท
ที่เรายืนอยู่ที่ใหม่มันไม่มีโควิ่งมาอีกนี่
ถ้าพูดถึงขั้นลึกๆ ขั้นละเอียดของศีลที่เป็นอธิศีล
มันก็น่าจะมีส่วนที่ผิดศีล มันเห็นอยู่
แต่มาไม่เห็นตอนที่เราเคลื่อนที่แล้ว มันก็เลยไม่ผิดตรงนี้เอง
ถ้ายืนที่เก่าพ้นจากผิดศีลไม่ได้แน่นอน
บัดนี้ บุคคลที่จะเอาเงินไปฝากธนาคาร
เหมือนที่อยู่ในธนาคารทุกวันนี้ เขาโกหกหมดนั่นแหละ
ถ้าเขาไปฝากเงินแล้ว เขาไม่มาบอกคนอื่นหรอก
ก็จะฝากสมุดใครสมุดมัน ก็ดูซิ พี่กับน้องไม่บอกกันแน่
เพื่อนก็ไม่บอกกันด้วยว่ามีเงินเท่าไร
สมุดฝากก็ไม่ให้เห็นไม่ให้รู้หรอก
ถ้าหากคนไหนทำงานธนาคารไปบอกว่า
ลูกค้าคนนี้มีเงินเท่านั้นล้านเท่านี้ล้าน
เท่านี้หมื่นเขาไล่ออกทันทีเลยไม่ให้อยู่หรอก
ถ้าเห็นว่าใครมีมากมีน้อยเขาก็เฉยๆ ก็จะอยู่ทำงานธนาคารได้
นั่นแหละคือ เขาปิดความลับ เพื่อไม่ให้เสียหาย
ถ้าเราไปเปิดไปพูดว่าคนนี้เบิกเงินไปสามแสนนะ
ถือใส่ถุงกระดาษไปนะ เขาพูดความจริง
คนที่เบิกเงินไปก็เสียหาย อาจจะถูกเขาปล้นเขาจี้เขาฆ่าตายได้
ก็เพราะว่าเราพูดความจริง มันไม่เสียเรา แต่มันไปเสียกับบุคคลอื่น
เขาเรียกว่าพูดไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่เหมาะสมที่จะพูด
แต่เราไปพูดมันก็เกิดความเสียหายขึ้น
ท่านจึงรักษาตรงนี้ไว้เพื่อคนอื่น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2009, 15:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: คำถาม การกรวดน้ำโดยไม่แบ่งบุญให้ตัวเองส่วนหนึ่ง
แล้วเราจะได้บุญที่ทำหรือไม่

:b42: คำตอบ เมื่อเราทำบุญแล้วเวลาพระให้พร
เราก็กรวดน้ำให้แต่คนอื่น เราจะได้บุญไหม
เพราะไม่ได้กรวดน้ำให้ตนเอง
เราจะไปกรวดน้ำให้ตนเองทำไม
เพราะตนเองเป็นคนทำอยู่แล้ว มันสุขใจอยู่แล้ว
มีความสุขแล้วจึงแบ่งให้คนอื่น
เหมือนเรามีสตางค์นี้แหละ เรามีแล้วจึงแบ่งให้คนอื่นได้
ไม่มีหรอกที่นั่งอยู่ในที่นี้ที่จะแบ่งให้เขาหมด
หรือจะควักสตางค์ให้เขาหมด จนตนเองไม่มีสักสตางค์
มันต้องมีเงินเหลืออยู่ แต่ให้แล้วมันมีความสุขนะ
บัดนี้ตนเองมีความสุข นั่นแหละเขาเรียกว่าบุญ
อุทิศให้คนอื่นอยู่ แต่ใจของเรามีความสุข
ถ้าเราเป็นเพื่อนกันอย่างนี้ มีอาหารการกินหรือขนม
แล้วแบ่งให้เพื่อนกินกันทุกคน
เมื่อเพื่อนกินอิ่มกันทุกคน เราจะมีความสุขไหม

ความสุขใจก็คือ บุญ พวกฝรั่งเขาไม่รู้เรื่องตรงนี้แหละ
เนื่องจากไม่มีใครสอนให้เขาให้รู้จักทำบุญ
เวลาไปกินข้าวด้วยกันก็ต้องจ่ายใครจ่ายมัน ไม่มีการเลี้ยงกัน
ถึงแม้จะเป็นพี่กันน้องกันก็ตาม
ไม่เหมือนคนไทยที่ออกเงินเลี้ยงแทนกันได้
นั่นแหละ เมื่อเราแบ่งปันให้แก่คนอื่น ตนเองก็มีความสุขอยู่แล้ว
ทำไมจึงว่า ไม่เมตตาเจ้าของเล่า
ตนเองมีความสุข นั่นแหละคือ ตัวบุญแท้ๆ
บุญคือ ความสุขใจ มันก็ได้บุญอยู่ดี
การที่เราจะเมตตาตน ก็คือ สร้างความดีให้เกิดขึ้นแก่ตน
เขาเรียกว่า เมตตาตน
ถ้าเราไม่มีแล้วเราจะเอาอะไรไปให้เขา
เราไหว้พระสวดมนต์ภาวนาก็เป็นบุญ
มีวัตถุก็เป็นบุญ จึงจะให้เขาได้
เราไม่มีอะไร เราจะเอาอะไรไปให้เขา
เราต้องมีความดีซิจึงเอาไปให้เขาได้ เขาจึงมีความสุข
เหมือนเพื่อนไม่ดี เราใช้ปากเราสอนว่า อย่าไปทำนะอันนี้มันไม่ดี
พอเพื่อนหยุดทำเท่านั้น ตนเองก็มีความสุขแล้ว
เนื่องจากเราเป็นคนสอนเขา เขาจึงหยุดทำความชั่ว
เราไม่ต้องการสิ่งตอบแทน แต่เรามีความสุขใจ
เพื่อนกำลังจะดื่มเหล้า เราไปเตือนว่าอย่าดื่มนะเดี๋ยวมันจะเมา
พอเขาหยุดเท่านั้นเราก็ดีใจแล้ว
เพราะว่าเพื่อนของเราไม่ทำความชั่วไม่ผิดศีล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2009, 15:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: คำถาม เมื่อเราฝึกสมาธิแล้ว
เราจะรักษาสภาวะนั้นไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร

:b42: คำตอบ การฝึกสมาธิการปฏิบัติธรรมนี้
เพื่อเอาไว้ประกอบในชีวิตประจำวันของเรา
เพื่อจะให้ใจของเรามีความสุขให้ใจของเราสงบ
เมื่อเราทำการทำงาน อะไรมันยุ่งเหยิงขึ้นมาไม่สงบ
เราจะได้ไปพักจิตใจของเรา คือ พอเราหยุดทำงาน
เราจะได้ไปนั่งสมาธิ วางจากความยุ่งๆ นั้นออกไป
เพื่อให้ใจของเราได้พักผ่อน ได้รับความสงบในชีวิตประจำวัน
ทีนี้ถ้าเราเกิดปัญญาขึ้นมา
การทำงานมันจะรู้งาน งานที่เราทำ งานนี้มีเหตุขึ้นมาอย่างนี้
ผลของงานนั้นจะมีประโยชน์อะไร เราจะรู้จะเข้าใจ
อันนี้เราเอาไปประกอบกับอาชีพการงานของเราได้ดีมาก
ทีนี้เวลาเราจะทำงานอะไรทุกอย่าง
จะเขียนหนังสือ ถ้ามีสมาธิอยู่ตั้งใจเขียนไม่สนเรื่องอื่น
เขียนจดหมายครั้งเดียวเท่านั้นแหละ
ไม่ต้องเขียนหลายรอบหรอก จบเลย
ทีนี้การนับเงินคนที่มีสมาธินับครั้งเดียว
ไม่ต้องนับอีก จะไม่หลง นี่ประโยชน์ของการมีสมาธิ
การมีสมาธิมีประโยชน์มากๆเลย
จะทำกิจการงานอะไรทุกอย่าง คนที่มีสมาธินี่
งานของเราจะเรียบร้อย ไม่มีผิดพลาด

การมีสมาธินี้มีประโยชน์มากมาย จะไปทำกิจการงานต่างๆ ได้
คนที่มีสมาธิเดินก็ไม่พลาด ยืนก็ไม่พลาด นั่งก็ไม่พลาด
เพราะเขามีสติควบคุม อยู่ตลอด
นอนก็ไม่ผิดพลาด พูดก็ไม่ผิดพลาดด้วย
คิดอะไรก็ไม่ผิดพลาด
คนที่มีสมาธินั้นจะไปแต่ทางดีทางเดียวเลย
นั่นแหละ ชีวิตประจำวันนี้ ล้นเหลือเลย
การทำกิจการงานหน้าที่อะไร ฟันมีดฟันขวานตีตะปู ไม่มีผิดพลาด
การเย็บปักถักร้อย หรือจะทำงานก่อสร้างอะไรต่างๆ
ถ้ามีสมาธิแล้วงานออกมาจะเรียบร้อย
ถ้าทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรเครื่องกลต่างๆ
เครื่องจักรไม่ตัดนิ้วมือขาดหรอก
ทำงานเกี่ยวกับไฟฟ้าๆ ก็ไม่ช๊อตเขาตายหรอก
ถ้าเขามีสมาธิเพราะเขาฉลาด
เขารู้ตลอดว่า อันนี้เป็นอันตราย จึงอยากให้ฝึกสมาธิ
เพราะมันมีประโยชน์นานัปการ
ที่จะทำให้เราปลอดภัยและมีความสุขของชีวิต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2009, 15:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: คำถาม คนสองคนทำบุญด้วยเงินจำนวนไม่เท่ากัน
จะได้บุญเท่ากันหรือไม่ถ้าเขาได้รับความสุขใจเหมือนกัน

:b42: คำตอบ คนที่ทำบุญด้วยกันจะมีเงินมากเงินน้อย
ถ้าคนมีมากนั้นเขาทำแต่เขาเฉยๆ อยู่ เขาไม่ได้คิดถึงบุญอะไร
ส่วนคนที่มีเงินน้อยเขาทำ เขาปลื้มใจของเขา
เขาจะมีความสุขมากกว่าตรงที่ทำจิตใจให้มีความสุข
มันได้บุญมากกว่า
เหมือนกับคนที่มีเงินแล้วเขาโยนๆ ให้ เฉยๆ
ไม่เคารพกองบุญของตัวเอง
เหตุฉะนั้นการทำบุญต้องพร้อม มีศรัทธา มีเจตนาที่ดี
ทำจิตใจให้มีความสุขเอิบอิ่มในบุญในกุศล
เคารพกองบุญของตนเองด้วย บุญนั้นก็จะได้มาก
พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้อย่างนี้
เมื่อคนที่จนเขาทำอย่างนั้น ในชาติต่อไป พลังของความสุข
พลังของบุญก็จะมีมากขึ้นกว่าปกติ ก็คือ ความสุขนั่นเอง
เพราะว่าบุญคือความสุขใจ
และท่านยังแบ่งการทำบุญไว้ 3 อย่าง

1. ทาสทาน ของกินที่จะทิ้งเข้าป่าแล้ว
จึงเอาไปให้คนอื่นเป็นของต่ำ

2. สหายทาน มีอะไรในบ้านของเรา
หรืออยู่ในหอพักของเรา เพื่อนไปหาก็ให้กินอันนี้แหละ
มีแค่นี้แหละ เราก็กินอันนี้ เพื่อนก็กินอันนี้ เราก็ทานอันนี้
เรียกว่าสหายทาน มันได้บุญมากขึ้นตามลำดับ

3. สามีทาน คือของที่เราซื้อมายังไม่ได้กิน
ให้เพื่อนกินก่อน เราค่อยกินทีหลัง
อันนั้นเป็นยอดทาน ของนั้นเป็นของไม่แพง แต่เป็นยอดของทาน
เพราะเราให้เพื่อนกินก่อน
เครื่องนุ่งห่มก็เหมือนกัน สมมุติว่าได้ผ้ามาไม้หนึ่ง
จะเอาไปทำบุญกับพระ
หรือว่าจะให้เพื่อนไปตัดเสื้อตัดกางเกงก่อน
แล้วเราค่อยเอาผ้าที่เหลือมาตัดทีหลัง
ตัดชุดที่เท่ากัน แต่เราเสียสละให้ก่อน
อันนี้เป็นยอดความดีในการบริจาคทาน

ถ้าเป็นเพื่อนกันคนทำมากทำน้อย
ถ้าบอกเอาบุญด้วยกันจะได้เท่ากันนะ
เหมือนที่นั่งอยู่หมดทุกคนนี้
คนหนึ่งทำบุญสาธุพร้อมกัน
อนุโมทนา เอาคนละห้าสิบสตางค์แล้วมารวมๆกัน
อนุโมทนาได้ด้วยกันก็จะได้บุญเท่ากัน
แต่บางคนเขาบอกว่าทำมากได้มาก
ไม่อธิบายเรื่องความพอใจหรือไม่พอใจ
อย่างให้มากๆ แต่ให้ส่งเดชอย่างนี้
หรือว่าโยนให้เลย ไม่เคารพกองบุญของตน
บุญจะไม่ได้มาก เพราะไม่เคารพในกองบุญกุศลของตนเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2009, 15:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: คำถาม ทำสมาธิแล้วมีอาการปวดหัว จะแก้ได้อย่างไร

:b42: คำตอบ เราปวดหัวเพราะเราเครียดเกินไป บังคับจิตเกินไป
เราจะบังคับจิตไม่ให้ออกไปเลย
มันก็เลยเวียนหัวปวดหัวปวดศีรษะเกิดขึ้น
จิตใจของคนนี้เรียกว่าต้องค่อยเป็นค่อยไป
ให้มันออกไปบ้างแล้วก็ดึงมันเข้ามา
ออกไปบ้างแล้วก็ดึงเข้ามาอยู่กับข้อกัมมัฏฐาน
ถ้าเราจะไปคุมให้มันอยู่ทีเดียวเลย
เดี๋ยวก็ปวดหัวตัวสั่นเหงื่อแตก
พระภิกษุนี้จีวรเปียกไปหมดเลย ปวดศีรษะด้วย เราบังคับจิตเกินไป
เหมือนกับเราจับนกมาจากในป่าใหม่ๆ
ถ้าเรายิ่งจับนกแน่นเท่าไรมันยิ่งดิ้น
ถ้าเราฉลาด ให้จับเบาๆ แล้วค่อยลูบหัวลูบหลังลูบไหล่ลูบขามัน
เอาอาหารให้มันกิน มันก็จะค่อยๆเชื่อง
ใจเราก็เหมือนกัน เราต้องปล่อยให้มันไปบ้าง แล้วก็ดึงมันมาบ้าง
ปล่อยไปบ้างดึงมาบ้าง เอาไปเอามามันก็เลยอยู่
ท่านเปรียบเทียบอีกอย่างเหมือนกับแม่เลี้ยงลูกนี้แหละ
ลูกมันดื้อมันซน มันคลานไป มันร้องไห้ ก็ให้ปล่อยมันไป
เดี๋ยวมันจะตกบ้านให้ดึงขามันมา เดี๋ยวก็ปล่อยมันไป
เดี๋ยวจะตกบ้านก็ดึงขามันมา ดึงไปดึงมา
ต่อไปก็เอาตุ๊กตาให้เล่น มันก็เล่นตุ๊กตาอยู่ไม่ไปไหน
แม่ที่ฉลาดในการเลี้ยงลูก อันนี้เราก็มีสติปัญญา
ฉลาดคุมจิตของเรา มันไปก็ให้ดึงมันมา มันไปก็ดึงมันมา
โดยจะมีวิธีไหนเทคนิคไหนที่จะคุมจิตเรา
เอาไปเอามาก็เลยอยู่ไม่ต้องมีอาการปวดหัวหรอก
ถ้าเกิดอาการปวดหัวนั่นมันผิดแล้วไปบังคับจิตเกินไป
ไม่ให้มันออกไป การทำสมาธิทีแรกต้องค่อยทำค่อยไป
เดี๋ยวจิตใจก็สงบนิ่งเป็นสมาธิ นั่งทำสมาธิก็ไม่ปวดศีรษะอีกแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2009, 15:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: คำถาม การกรวดน้ำ จำเป็นหรือไม่ว่าต้องกรวดน้ำหลังทำบุญ
และจำเป็นไหมต้องออกเสียงเอ่ยชื่อคนนั้นออกมา
ถ้านึกในใจจะได้หรือไม่ และถ้าเขาไปเกิดเป็นมนุษย์แล้ว
มีชื่อในภพใหม่เขาจะได้รับส่วนบุญที่เราอุทิศไปให้หรือไม่

:b42: คำตอบ การกรวดน้ำ สมมุติว่าเราทำบุญ
หลักของความจริงนั้นท่านให้ทำบุญก่อน
เราต้องมีบุญ จึงจะสามารถที่จะอุทิศส่วนกุศลไปให ้
แก่ผู้ที่ล่วงลับดับไป หรือคนที่ยังมีชีวิตอยู่
เวลาพระให้พรเป็นเวลาที่จำเป็น
ถ้าพระให้พรไปแล้ว จึงจะไปกรวดน้ำอุทิศอยู่ที่บ้าน
ระยะนั้นจะไม่ค่อยจะได้รับผล
เพราะพระพุทธเจ้ามีกฎเกณฑ์บังคับว่า
เวลาทำบุญเสร็จ พระให้พร ก็ลงมือกรวดน้ำอุทิศให้เลย
ถ้าเราอุทิศส่วนกุศลไปให้เปตาญาติทั้งหลาย
เวลาเขามารับก็จะได้รับพอดี
ถ้าเราไม่กรวดเวลานั้นวิญญาณเขาก็หนีไปแล้ว
เมื่อเราไปกรวดเวลาใหม่เขาก็จะไม่ได้รับเลย
ทีนี้ถ้ากรวดน้ำไปให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่
เราแผ่เมตตาไปให้เขาได้รับเหมือนกัน
เขาจะมีความสุขเอิบอิ่มใจ เขาจะได้รับเพียงเท่านั้น
จะระลึกถึงเรา ผู้ที่อุทิศส่วนกุศลไปให้
เหมือนกับการแผ่เมตตาหรือส่งความดีไปให้เขา
หากคนเราตายไปแล้วไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
ซึ่งมีหลายๆ อย่าง ทั้งมีขาและไม่มีขา มีขามากมีขาน้อย
พวกนี้ส่วนมากจะรับได้ยาก
เพราะที่เราทำบุญอุทิศไปให้นั้นมันไม่เหมาะสมกับฐานะของสัตว์
ทีนี้ถ้าเราอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้เทวดา พรหม
หรือพระอรหันต์อย่างนี้ อันนั้นท่านไม่รับเพราะว่าท่านรวยกว่าเราแล้ว
ท่านกินบุญทิพย์ของตนเอง
เหตุฉะนั้น คนที่ถวายทานแล้วอุทิศไปให้เทวดา
ให้อินทร์ ให้พรหม ให้พระอรหันต์ทั้งหลาย
มันไม่ถูกหลักของพระศาสนา
แต่คนก็คิดอยากอุทิศให้เขา เขามีเงินอยู่ตั้งแสนๆ ล้าน
แต่เราจะเอาเงินไปให้เขา 10 บาท
พวกนั้นเขารวยอยู่แล้ว เขาอยู่ในบุญทิพย์อิ่มอยู่แล้ว
ในการอุทิศส่วนกุศลนั้น ต้องทำในเวลาพระให้พร
ส่วนว่าเราจะแผ่เมตตาเฉยๆ
ให้เพื่อนมนุษย์ที่เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันนั้น อันนี้ทำได้ทุกเวลา
เมื่อเราทำบุญแล้ว หรือสวดมนต์เสร็จแล้ว
สามารถอุทิศความดีไปให้ได้
ส่วนที่เป็นเปตาญาติทั้งหลายจะมารับอนุโมทนา
ต้องมารับหลังทำบุญเสร็จ
พระให้พรจึงจะเหมาะสมกับกาลสมัย
ที่เขาจะมาค่อยรับส่วนบุญจากเรา
คำถาม เวลากรวดน้ำแล้ว คนที่เป็นคนกรวด
กับคนที่อุทิศส่วนกุศลไปให้จะได้บุญเท่ากันหรือไม่
แล้วถ้าเกิดอุทิศส่วนกุศลไปให้หลายคน บุญจะแบ่งกันหรือเปล่า

คำตอบ ก็เหมือนกับเราปล่อยลมไปนั้นแหละ
มันก็จะพัดเย็นกันไปทั่วเลยถ้าเรามีพอ
แต่ถ้าเรามีบุญน้อย มันก็ไปได้น้อยๆ
มันแบ่งหลายคนก็เย็นน้อยๆ ไปอย่างนั้นแหละ
ถ้าเรามีบุญมากก็สามารถจะให้ได้ทั่วโลกเลย
บุญนั้น เรานึกขึ้นมาว่าให้ทั่วไปแก่เพื่อนมนุษย์
มันก็ได้เท่ากันหมดทั่วไป ถ้าเราเจาะจงเอาเฉพาะคนนั้น คนอื่นไม่ให้
ก็จะได้รับแต่คนนั้น เหมือนเราแบ่งอาหารให้กิน


ความเห็นอื่น

ความคิดเห็นที่ 1 : (ดา)

อย่าว่ากันเลยนะคะ แต่ไม่ค่อยจะเชื่อ
ถ้าไม่ทำเวลาโน้นเวลานี้จะไม่ได้ส่วนบุญ
ดูงมงายไปหรือเปล่า ทำดีก็ได้ดีคะ

ความคิดเห็นที่ 2 : (Agent Smith)
ลอกจาก http://chaichana.com/ruttanatri/ การอุทิศส่วนกุศลล
ผู้ถาม หลวงพ่อคะ ลูกทำสังฆทานให้สัมภเวสี
ถ้ากลับไปแล้วจะ กรวดน้ำ ให้ได้ไหมคะ....?
หลวงพ่อ คือว่าการอุทิศส่วนกุศล ให้พระพุทธศาสนานี้ไม่มีน้ำ
แต่ว่าที่พระเจ้าพิมพิสารทำเป็นองค์แรก
เพราะว่า ศาสนาพราหมณ์ เขาถือว่า
ถ้าจะให้อะไรกับใคร ให้คนนั้นแบมือแล้วเอาน้ำราดลงไป
แล้วตอนที่พระเจ้าพิมพิสารทำ พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้ห้าม
เพราะเป็นพระเพณีนิยม
เวลาที่พระเจ้าพิมพิสารอุทิศส่วนกุศลต้องใช้น้ำ
เพราะว่าท่านเพิ่งพบพระพุทธเจ้า
ประเพณีของพราหมณ์ยังชินอยู่ แต่ว่าใจท่านตั้งตรง
เวลาอุทิศส่วนกุศลจริง ๆ ในพระพุทธศาสนาไม่ต้องใช้น้ำ
ผีกับเปรตต้องรีบวิ่งกลับ เพราะไม่ได้กินแน่เพราะฉันเคยพบมาแล้ว
แต่ไม่มีน้ำนะว่า "อิมินา" เพลินไปยังไม่ทันเลย
ผู้ถาม มีบางคนเขาบอกว่า "กรวดน้ำแบบแห้ง"
ตายไปชาติหน้าจะแห้งแล้งเพราะไม่มีน้ำ
โบราณพูดอย่างนี้จะจริงหรือเปล่าคะ...?
หลวงพ่อ เขาพูดได้ยินหรือเปล่า
คนที่พูดมาได้ยินหรือเปล่า...คนโบราณพูดอย่างนี้
คนโบราณพูดหรือเปล่า...ถ้าได้ยินแสดงว่าเขาพูดจริง
แต่ก็ไม่ได้แห้งแล้งจริง
การอุทิศส่วนกุศล พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ใช้น้ำ
ฉันใช้น้ำวันเดียว วันบวช ว่าไม่ถูกเลย
ต้องระวังน้ำหยดอีก ผีไม่ได้กินน้ำ
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาฉันไม่เคยใช้น้ำเลย
ก็เห็นผีได้รับ แต่ชาติหน้าถ้าจะทำอย่างนั้น
ถ้าฉันยังไม่ตายก็ไม่ได้เหมือนกัน
แต่ไม่เป็นไรนะกินน้ำเกลือเผื่ออยู่แล้ว เผื่อชาติหน้าอด

ผู้ถาม อ้อ....มิน่าล่ะ หลวงพ่อถึงให้น้ำเกลือบ่อยๆ
หลวงพ่อ ใช่ มีทั้งน้ำสะอาด น้ำเกลือ น้ำหวาน เผื่อไว้ตลอด
รวมความว่าเวลาจะอุทิศส่วนกุศล
ให้ใช้ภาษาไทยสั้นๆอย่างทำบุญสังฆทานเราก็ตั้งใจว่า
"การบำเพ็ญกุศลในวันนี้ ผลนี้จะมีแก่ข้าพเจ้าเพียงใด
ขออุทิศส่วนกุศลให้แก่....(บอกชื่อ).....
ขอให้มาโมทนารับผลเช่นเดียวกับข้าพเจ้า"
และตอนที่พระสงฆ์ให้พร นี้
ก็ขอเจ้าภาพและทุกท่านที่บำเพ็ญกุศลแล้ว
ตั้งจิตปรารถนาเอาตามประสงค์
สมมติว่าท่านทั้งหลายตั้งใจเพื่อ พระนิพพาน
อันนี้ต้องเผื่อไว้ด้วยว่า หากสมมติว่าเราตายจากชาติ
นี้แล้วยังไม่ถึงซึ่งพระนิพพานเพียงไร
สมมติว่าเราตายถ้าหากไม่เผื่อไว้ละก็มันจะขลุกขลัก
ฉะนั้นการอธิษฐานจิต คือ ตั้งอธิษฐาน
เขาเรียกว่า อธิษฐานบารมี
พระกรรมฐานก็ดี ถวายสังฆทานก็ดี อธิษฐานว่า
"ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัย ให้ข้าพเจ้า
เข้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้
แต่ทว่าถ้าหากข้าพเจ้า ยังไม่เข้าถึงพระนิพพานเพียงใด
จะเกิดใหม่ไปในชาติใดก็ตาม ขอคำว่าไม่มี จงอย่างปรากฏแก่ข้าพเจ้า"
ถ้าเราต้องการอะไรให้มันมีทุกอย่าง
จะไม่รวยมากก็ช่าง เท่านี้ก็พอแล้ว"

ผู้ถาม เมื่อทำบุญแล้ว
ถ้าจะอุทิศส่วนกุศลภายหลังจะได้ไหมคะ...........?

หลวงพ่อ การทำบุญไปแล้วครั้งหนึ่งสักกี่ปี ๆ
บุญก็ยังมีอยู่ถ้าทำไปแล้วสัก ๓๐ ปี ก็ยังอุทิศส่วนกุศลได้
ญมันไม่หาย ไม่ใช่เราทำบุญแล้ว
เดี๋ยวเดียวมันหายไปไม่ใช่อย่างนั้นนะ

ผู้ถาม
แล้วถ้าเผื่อทำบุญแล้ว ไม่ได้อุทิศส่วนกุศลจะได้บุญเต็มที่ไหมคะ...?
หลวงพ่อ ก็ได้เต็มที่อยู่แล้ว เราเป็นผู้ได้สมบูรณ์แบบ
แต่อยู่ที่ว่าเราจะให้เขาหรือไม่ให้ การอุทิศส่วนกุศล นี่นะ
ถ้าเราไม่ให้ เราก็กินคนเดียวใช่ไหม.....
ทีนี้ถ้าเราให้เขาของเราก็ไม่หมดอีก
ส่วนที่เราให้ไปไม่ได้ยุบไปจากของเดิม
อย่างเรื่องของ พระอนุรุทธ
สมัยที่ท่านเกิดเป็นคนเกี่ยวหญ้าช้างของมหาเศรษฐี
เวลาที่ท่านทำบุญแล้ว เจ้านายขอแบ่งบุญ
ท่านก็สงสัยว่าการแบ่งบุญน่ะจะแบ่งได้ไหม
จึงไปถามพระปัจเจกพุทธเจ้า ที่ท่านรับบาตรนะ
ท่านก็เปรียบเทียบให้ฟังว่า
"สมมุติว่าโยมมีคบ แล้วก็มีไฟด้วย คนอื่นเขามีแต่คบ ไม่มีไฟ
ทุกคนต้องการแสงสว่าง ก็มาขอต่อไฟที่คบของโยม
แล้วคบทุกคนสว่างไสวหมด
อยากทราบว่าไฟของคุณโยมจะยุบไปไหม....?
ท่านอนุรุทธก็บอกว่า “ไม่ยุบ”
แล้วท่านก็บอกว่า "การอุทิศส่วนกุศลก็เหมือนกัน
ให้เขา เขาโมทนา แต่บุญของเราเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์"

ผู้ถาม
การแผ่ส่วนบุญกุศลไปให้แก่บิดามารดา
ท่านจะได้รับผลไหมคะ....?
หลวงพ่อ การได้รับส่วนกุศลนี่
ถ้าหากท่านมีโอกาสโมทนาท่านก็ได้รับ
ถ้าท่านไม่มีโอกาสโมทนาก็ไม่
ได้รับเหมือนเราเอาสิ่งของไปให้แต่ผู้รับเขาไม่รับ เขาจะได้ไหม.....
ถ้าพวกเขาอยู่ในนรก ไฟไหม้ทั้งวัน
ถูกสรรพวุธสับฟันทั้งวัน ถ้าเราเอาขนมไปให้กิน เขากินได้ไหม..?
ผู้ถาม ไม่ได้ค่ะ หลวงพ่อ อยู่ในแดนเปรต ๑๑ จำพวกไม่ได้รับ
แต่ถ้าเป็นพวกที่ ๑๒ คือปรัตทัตตูปชีวีเปรต
พวกนี้มี โอกาสได้โมทนา ...cut..

ความคิดเห็นที่ 3 : (คิดด้วย)
ผมว่าทั้งการอุทิศส่วนกุศลและการแผ่เมตตานั้นทำให้เราได้หลายอย่าง
นั้นคือ พรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุติตา อุเบกขา นั้นเอง
ส่วนเขา จะได้มากได้น้อยเราจะเสียบุญไหม
ผมคิดว่า ถ้าเปรียบเหมือนกับเทียนที่เรามีแล้วจุดแล้ว
ถึงแม้แสงนั้นจะสว่างมากน้อย ตามกำลังบุญ ของแต่ละท่าน
ท่านที่โมทนาทั้งหลายย่อมสามารถจุดเทียนต่อได้จากท่าน
เมื่อท่านเหล่านั้น มีเทียนอยู่ในมือ
ถ้าเทียบเทียนนั้นมาจากไหน
ผมเทียบเป็นบุญที่ท่านสร้าง
ท่านจะสามารถถือเทียนไปต่อกับเขาได้
ก็ต้องมีโอกาสจับเทียน
ถึงแม้ท่านที่ไม่มีโอกาสมารับผลบุญกุศลได้
เนื่องจากอาจได้รับผลกรรมอยู่ไม่มีโอกาสมารับเดี๋ยวนั้นได้
พอหมดอกุศล หรือบางเบาท่านก็มารับเอง
หากเป็นไปได้ให้ระลึกถึงท่านที่เป็นหัวหน้า
ไม่ว่าสวรรค์โดยเฉพาะนรกในกรณีคนตาย
ขอให้ท่านจงโปรดมาเป็นสักขีพยาน และร่วมอนุโมทนาบุญด้วย
โดยกล่าวว่า หากบุคคลท่านนั้น
ยังไม่สามารถมารับผลบุญที่ข้าพเจ้าทำไว้ดีแล้วนั้นได้
หากท่านผู้นั้นมีโอกาสสามารถรับผลบุญอนุโมทนาได้
ขอท่านพระยายมราช เป็นสักขีพยานด้วย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2009, 15:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: คำถาม การที่โลกมีประชากรเพิ่มขึ้น
จะเอาดวงจิตจากไหนมาอาศัยในคนที่เพิ่มขึ้น
และถ้าเอาดวงจิตจากสัตว์มาอยู่ในตัวคน
จะทำให้จิตใจของคนต่ำลงหรือไม่

:b42: คำตอบ สัตว์เดรัจฉานมีมากมายเลยทีเดียวที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์
เช่น ลิงก็ดี สุนัขก็ดี ไก่ก็ดี เป็ดห่านอะไรต่างๆ
ลิงอุรังอุตัง ชะนี ซึ่งพวกนี้ ใกล้มนุษย์ที่สุด ใกล้ที่จะเป็นมนุษย์แล้ว
ใช้งานต่างๆ ได้ใกล้เคียงกับมนุษย์แล้ว
พวกนี้แหละเขาตายไปก็จะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้
มีจำนวนเยอะแยะอยู่ ซึ่งมากกว่าที่เราเกิดอยู่เดี๋ยวนี้เสียอีกด้วย

บัดนี้ มนุษย์ตายแล้วจะไปเกิดเป็นสัตว์ก็เยอะเหมือนกัน
เพราะจิตมันตกต่ำ จิตเหมือนสัตว์เดรัจฉาน
พวกเราที่นั่งอยู่ที่นี้รักษาตัวให้ดีชาติหน้าจะได้เป็นคน
หรือว่าจะได้เป็นอย่างอื่น
ถ้าติดหมาก็จะไปเกิดเป็นลูกหมา
ติดควายก็เป็นลูกควาย ติดอะไรก็ไปอยู่ที่นั่น
นี่ตรงนี้ที่คนเรามันจะตกไปเป็นสัตว์

ส่วนสัตว์มันก็เขยิบขึ้นมา มันก็เคยเป็นคนมาหลายชาติแล้วก็มี
แล้วก็กลับมาทำความดีเกิดเป็นคนก็ได้
วิญญาณต่างๆ ยังจะเกิดอีกไม่รู้กี่ล้านกี่โกฎิ
คนที่ตายไปแล้วกลับมาเกิดอีกก็มี
บัดนี้พวกที่อยู่ในสวรรค์ก็มีมากมาย
ออกจากสวรรค์ก็มาเกิดเป็นมนุษย์
ที่จะมาค้ำจุนพระพุทธศาสนาก็มีเยอะเหมือนกัน
วิญญาณที่จะมาเกิดมีมากมายไม่ต้องสงสัย
จอมปลวกอันหนึ่งมีกี่หมื่นตัวที่อยู่ในนั้น
มดง่ามยังมาเกิดเป็นคนได้เลย
เราอย่าไปสงสัยเลยในเรื่องอย่างนี้ มีแน่นอน
วิญญาณที่จะมาเกิดนั้นไม่อดไม่อยากมีเยอะแยะ
ท่านเปรียบเทียบใบไม้ที่อยู่ตามต้นไม้
เหมือนกับวิญญาณมันมีอยู่ทุกใบเลย
มันคอยที่จะเกิด จะไปเกิดที่ไหน จะเกิดอย่างไร
มันมีมากมายทีเดียว ผู้ที่มีตาดี คือ ตาปัญญาจะเห็น
ผู้ตาไม่ดีจะไม่เห็น ก็คือ บุคคลที่ไม่มีสติปัญญาฉลาดนั้นเอง
ก็จะมองไม่เห็นวิญญาณทั้งหลายเลย

สัตว์เขาก็มีการศึกษา มีการทำความดี
ก็สูงขึ้นมาตามลำดับในการศึกษา
สัตว์นี้บางตัวมันดุ บางตัวมันไม่ดุ บางตัวใช้ไปซื้อของได้
ลิงใช้ให้ไปขึ้นต้นมะพร้าวได้ ช้างนี้ทำงานได้
แต่บางคนที่เกิดมาเกเรมันไม่ทำงานเลย มันก็ต่ำแล้ว
พวกนี้จะเขยิบขึ้นมา สุนัขมันก็ทำความดีโดยการรักษาบ้าน
เฝ้าบ้านให้เจ้าของได้ ไม่ไปกัดใคร
โค กระบือเขาก็ไถนา แล้วก็ลากเกวียนลากข้าว
เจ้าของก็เอาข้าวมาทำบุญจำแนกแจกทาน
พวกนี้ก็ได้สร้างความดี เขาก็ได้มาเกิดเป็นมนุษย์
เมื่อเกิดเป็นมนุษย์แล้วเขาก็พัฒนาขึ้นมาเหมือนอย่างพวกเรา
เขาก็มีการศึกษาเล่าเรียนอะไรต่างๆ
แต่จิตของมนุษย์ที่มันตกต่ำไป มันก็ไปเกิดเป็นสัตว์
เพราะจิตมันตกต่ำ มันจะสลับกันไปอย่างนี้อยู่ตลอด
ทีนี้ถ้าเราครองการเป็นมนุษย์ได้
ก็จะเจริญขึ้นไปตลอดจนถึงนิพพาน
ถ้าเราครองไม่ได้ก็จะตกต่ำลงไป
เห็นไหม คนเราไม่เคยโกรธ มันยังโกรธคนอื่นได้
ไม่เคยฆ่าคนมันยังฆ่าคนได้
เมื่อไม่ฆ่าคนอื่นมันยังฆ่าตนเองได้
ตรงนี้จิตใจมันตกต่ำกว่าสัตว์แล้ว
ไม่ใช่ว่าอาตมาพูดหยาบนะ
มันมีจิตตกต่ำกว่าหมา(สุนัข)
หมามันยังไม่อยากยิงตนเองตาย ไม่อยากผูกคอตาย
ไม่อยากกินยาเบื่อตาย
ถ้าอยู่บนสะพานยันมันลงน้ำ มันกลับถอยหลังมา
และยังจะมากัดเราอีก มันกลัวตกน้ำตาย
ส่วนคนนั้นยังกระโดดน้ำตาย
นี้มันต่ำกว่าสัตว์หรือว่าต่ำกว่าหมาตัวนั้นหรือไม่
มันก็ต่ำกว่าซิ นี่ตรงนี้ซิที่มันจะไปเป็นสัตว์ได้สบายเลย
คนเราหลักระบบจิตใจของเรานี้มันขึ้นๆลงๆ
สูงๆ ต่ำๆ มีเจริญมีเสื่อม
ถ้ามันเสื่อมไปเลยๆ มันก็ตกต่ำไปเรื่อยๆ
ถ้ามันเจริญขึ้นเรื่อยๆ มันก็พัฒนาไป
หมาบางตัวเขาขายตั้ง 14 ล้าน
เป็นหมาที่คุณโชคชัยคิดจะซื้อจากเยอรมัน
ทำไมคุณค่ามันสูงแท้ เขาว่ามันไปซื้อของได้
มันรู้หมดของราคาถูกราคาแพง
ของจริงของปลอม ดูซิ แค่มันเป็นสุนัขเฉยๆ
แสดงว่ามันต้องเคยเป็นคนมาก่อน
แต่มันพัฒนากลับลงไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
เพราะจิตใจตกต่ำนั่นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2009, 15:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: คำถาม ทำอย่างไรจึงจะไม่ให้ทุกข์
และถ้ามีความทุกข์เกิดขึ้นแล้ว เราจะดับทุกข์นั้นได้อย่างไร

:b42: คำตอบ ทุกข์จะไม่เกิดขึ้น
เหตุจะไม่เกิดขึ้นก็ต้องมีสติสัมปชัญญะตลอดเวลา
บัดนี้บังเอิญเราทำให้เหตุเกิดขึ้นแล้วมันมีทุกข์
จะดับทุกข์ได้ก็ต้องรู้จักเหตุที่มันเกิดขึ้นมานั้น
แล้วก็ดับที่เหตุ ทุกข์ก็ดับไป
อันเป็นหลักง่ายๆ แต่มันทำยาก
เหตุมันเกิดมาจากอะไร เมื่อเรารู้เราก็ดับที่เหตุนั้น
ก็เหมือนกับไฟไหม้ตรงนี้ รถดับเพลิงก็ต้องมาดับที่ตรงนี้
คนที่ไม่รู้จักเหตุนั้นแหละก็ไม่รู้จักดับ
ไม่รู้ว่าเหตุมันมาจากที่ไหน
คนที่รู้จักเหตุคนนั้นก็ดับทุกข์ได้
ที่เราไปทำอะไรจึงทำให้เกิดทุกข์ขึ้น
เราก็ต้องหยุดทำ นั่นคือเหตุ
เราพูดอะไรที่มันผิด เถียงกัน โต้แย้งกัน
แล้วเกิดเรื่องก็ให้หยุดพูดในเรื่องนั้น
ถ้าเราไปคิดอะไรขึ้นมา
พอเรารู้ว่า สิ่งนั้นที่คิดขึ้นมามันเป็นทุกข์ก็หยุดคิด อันนั้นสั้นที่สุด
ถ้าเรารู้จักเหตุจะดับได้ทันที ทุกข์ดับไปทันทีเลย
ถ้าเหตุดีผลมันก็ดี เราก็จำเอาสิ่งที่มันดี
ถ้าทำแล้วมันมีความสุขทั้งตนและบุคคลอื่นก็ทำ
ถ้าพูดแล้วทำให้อยู่ด้วยความสามัคคีกันดี
และมีเหตุมีผลด้วยการพูดก็พูด
ถ้าคิดแล้วมันมีความสุขก็คิด
เขาเรียกว่าคนฉลาดในการปฏิบัติตน
ความสุขก็จะเกิดขึ้นมี 2 ทางเท่านี้เอง
สุขกับทุกข์ มันมีเหตุทั้งนั้น
ถ้าไม่มีเหตุก็ไม่มีผล คือ ต้องสร้างสติปัญญาให้เกิดขึ้นกับตนเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2009, 15:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: คำถาม เมื่อเปรียบเทียบระหว่างผู้ที่ทำผิดศีล
โดยได้รับศีลแล้วกับผู้ที่ผิดศีลแต่ไม่ได้รับศีล
อย่างไหนจะบาปมากกว่ากัน

:b42: คำตอบ มันก็จะบาปเท่ากัน
ต้องด้วยไม่รู้ ต้องด้วยรู้แต่ขืนทำลงไป
คือ คนไม่รู้ พระพุทธเจ้าท่านว่าต้องด้วยไม่รู้ก็คือ ผิดศีล
ต้องด้วยรู้ขืนทำลงไปศีลก็ขาด
ต้องว่าของนี้ควรแต่คิดว่ามันเป็นของที่ไม่ควร
ต้องว่าของที่ไม่ควรแต่ไปว่าเป็นของควร ก็ผิดศีลเหมือนกัน
บัดนี้เราจะกินมากกินน้อย
ถ้าเป็นพระท่านปรับเป็นประโยคเป็นคำๆ
กินคำหนึ่งขาดประโยคหนึ่ง
กิน 10 คำ ขาด 10 ข้อ
ท่านนับเอาเป็นคำเลย
อย่างไปดูหนังที่กำลังฉายอยู่ แต่ยังไม่เห็นเพราะมีวิหารบัง
แต่พระอยากไปดู พอพระก้าวขาออกไปจากที่นี่จะไปดู
ท่านจะปรับอาบัติพระไปทุกก้าวเลย
ทั้งๆที่ยังไม่ทันเห็นหรือยังไม่ได้ดู
จนกระทั่งไปถึงจอหนัง นั่นการผิดศีลของพระ
ถ้าขึ้นชื่อว่าขาดมันก็ขาดอยู่นั่นแหละ
หรือชื่อว่าไม่มีศีล มันก็ไม่มีศีลอยู่นั่นแหละ
คนที่ไม่รับศีล มันก็ขาดเพราะไม่มีศีลข้อนั้น
คนที่สมาทานก็สมาทานศีลข้อนั้น
สมาทานแล้วมันก็ขาดเหมือนกับไม่ได้สมาทาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2009, 15:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: คำถาม การที่คนสาปแช่งกัน คำสาปแช่งนั้นจะเป็นจริงหรือไม่

:b42: คำตอบ คนที่กำลังสาปแช่งอยู่นั้น
ก็เหมือนกำลังตกนรกอยู่แล้วเพระมันทุกข์
คนที่เราไปสาปแช่งยังไม่ได้ตกนรกเลย
แต่จิตใจของตัวผู้สาปแช่งนั้นมีความทุกข์แล้ว
หน้าเหี่ยวหน้าแห้ง ก็ถามตนเองดูว่ามันเป็นอย่างไร
เดี๋ยวนี้เจ้าของทุกข์แล้ว คนที่ถูกสาปแช่งยังไม่ทุกข์
บางทีเขาคงกำลังกินอาหารอร่อยอยู่
ร้องรำทำเพลงสนุกสนานอยู่ก็ได้
เหมือนกับเราไปด่าเขา แต่เขามีความแช่มชื่นเบิกบานอยู่

การสาปแช่งมันไม่ได้ง่ายๆ ในพระศาสนานี้ถึงแช่งก็ตาม
ถ้าเราทำความดีแล้ว ใครจะสาปแช่งเราเท่าไรก็ช่างมันเถอะ
เพราะเป็นเรื่องของอำนาจของกรรม ต้องเชื่อเรื่องของกรรม
ถ้าเราไม่มีกรรมอย่างนั้น ใครจะแช่งเราก็ช่างจะนินทาเราก็ช่างเถอะ
ตรงนี้ทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่เราปรารถนา
มันเป็นอนิจจัง เป็นของไม่เที่ยง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร