วันเวลาปัจจุบัน 15 มิ.ย. 2025, 19:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง





กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2009, 18:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ธรรมะนั้นทุกท่านทุกคนก็ได้ เคยสดับรับฟังกันมา
การฟังธรรมะ ก็คือการปฏิบัติจิตใจของตัว
ระยะเวลาที่ฟังธรรมะ หน้าที่การงานด้านอื่นไม่มี
กิจธุระส่วนอื่นเราก็ทอดทิ้งไม่ได้เกี่ยวข้อง กายไม่ได้ทำ วาจาไม่ได้พูด
จิตก็ห้ามกั้นเอาไว้ไม่ให้นึก คิด ถึงสิ่งอื่น นอกจากธรรมะ ฟังไป
ทำไปเพื่อขับไล่สัญญาอารมณ์ กิเลส ตัณหาภายใน
ให้จิตใจสงบ ให้จิตใจเยือกเย็น นี่...คือการฟังธรรมะเพื่อความสุข
ความสงบ ความสบายภายใน ไม่ใช่เราฟังเพียงเพื่ออานิสงส์
คือ หวังบุญหวังกุศลจากการฟังเท่านั้น
ฟังเพื่อปฏิบัติจิตใจของเราท่านที่มันมืดบอดให้สว่างใสว ให้เข้าใจในธรรมะ
ถ้าหากฟังเพื่อเป็นพิธี ไม่พิถีพิถัน ไม่ตั้งหน้าตั้งตากำหนดรักษาจิตใจของตน
มันก็ไม่เกิดผลเกิดประโยชน์ให้

การฟังธรรมะสมัยพุทธกาล พวกที่มาฟังหลายท่านหลายคนด้วยกัน
ทั้งภิกษุสามเณรฆราวาส ญาติโยมมาฟัง ก็แล้วแต่สติปัญญาของใคร
พระพุทธเจ้าแสดงธรรมออกไป พวกเหล่านั้นก็สดับรับฟัง
ค้นคิดติดตามคำพูดต่าง ๆ ที่ท่านแสดงออกไป บางท่าน บางคน
ที่ท่านมีปัญญาก็สามารถขับไล่กิเลสตัณหาออกไป
ก็เป็นพระโสดาบัน สกิทาคา อนาคามี หรืออรหันต์ ในขณะที่ฟังธรรมะอยู่นั้น
บางท่านบางคนก็ไม่ได้อะไร นี่...หมายถึงความตั้งใจในการสดับรับฟัง
ทั้ง ๆ ที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า ไม่ได้ออกจากที่อื่น
คนฟังก็มีหู มีจิตที่จะใคร่คิดติดตามเรื่องธรรมะด้วยกัน
แต่การขับไล่กิเลสภายในนั้นไม่เหมือนกัน
บางท่านบางคนก็ได้ผลประโยชน์มาก บางท่านบางคนก็ได้น้อย
แต่ถึงอย่างไรก็ดี การฟังธรรมะไม่ได้เสีย ไม่เกิดโทษ
เพราะธรรมที่พระพุทธเจ้าแสดงออกไป หรืออ่านตามตำรับตำราก็ดี
ธรรมะนั้นไม่ชักชวนให้คนลุ่มหลง ไม่ชักชวนให้คนมัวเมา
เรื่องธรรมะเป็นเครื่องกำจัดปัดเป่ากิเลสภายในใจ ไม่ใช่ให้สะสม

นี่...พวกเราเคยได้ยินได้ฟังธรรมะมา บางท่านบางคนก็นับครูนับอาจารย์ไม่ได้
แต่จิตใจก็ยังว้าวุ่น ก่อกวน เกิดทุกข์ เพราะเราไม่นำธรรมะที่ท่านสอนนั้น
มาประพฤติปฏิบัติภาวนาให้เข้าใจในธรรมะ เพียงตั้งแต่จดจำตามตำรับตำรา
ตามลมปากของครูบาอาจารย์ที่แนะสอน มีแต่สัญญาที่จำมาเท่านั่น
แต่การเป็นในจิตในใจ ปฏิบัติเพื่อเกิดปัญญาสามารถจริงจังไม่มี กิเลสจึงไม่กลัว
ความจำนั้นถึงจะจำได้มากขนาดไหน กิเลสก็ไม่กลัว
แต่ถ้าประพฤติปฏิบัติเกิดปัญญาขึ้นภายใน กิเลสกลัวมาก
เพราะปัญญาเป็นสิ่งที่ตัดกระแสของกิเลสตัณหา

ปัญญาจะเกิดขึ้นได้ก็อาศัยการสังวรรักษาจิต
ทางปริยัติท่านว่าปัญญาเกิดขึ้นจากสมาธิ เมื่อสมาธิดี อบรมสมาธิได้
ปัญญาก็เกิดขึ้น ตามศาสนาท่านสอนอย่างนั้น
คือเห็นและจับในใจผู้ประพฤติปฏิบัติเอง ไม่ใช่จำมาจากที่อื่น

ปัญญาก็มีหลายขั้น สุตตมยปัญญา ปัญญาที่เกิดขึ้นจากการได้สดับรับฟัง
ศึกษาเล่าเรียน จินตามยปัญญา
ปัญญาเกิดขึ้นจากการค้นคิดพินิจพิจารณาจากที่ได้สดับตรับฟังมา
ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นจากการอบรมภาวนา

ปัญญาทั้ง 2 ขั้น คือ สุตมยปัญญา และ จินตามยปัญญา เป็นปัญญาทางโลก
สามารถที่จะทำอะไรถูกต้องดีงาม ไม่ใคร่พลาดผิด
แต่ ภาวนามยปัญญา เป็นปัญญาทางธรรม
สามารถแก้ไขจิตใจที่ข้องติคให้หมดออกไป
ให้พ้นออกไป ให้หายสงสัย พูดง่าย ๆ ก็ให้หมดจากกิเลสได้

พวกเราทุกคนก็เคยได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่านตำรับตำรา เคยคิด
เคยปรุงสิ่งต่าง ๆ มานานการภาวนาก็เคย
แต่ปัญญาที่จะเกิดขึ้นเพื่อสังหารกิเลสนั้นยังไม่มี หรือมีก็ยังไม่เพียงพอ
อาจมีการรบกวนให้จิตใจฟุ้งปรุง ติดข้อง เศร้าหมองอยู่เรื่อย ๆ
ฉะนั้น เราจึงควรอบรมปัญญาให้แก่กล้า สามารถตัดกิเลสขาดออกไปจากใจของเรา

ภาวนามัยปัญญานั่น หมายถึง การพินิจพิจารณาด้วยจิตเป็นสมาธิหนักแน่นมั่นคง
พิจารณาอะไร พิจารณาไป พิจารณาไปปัญญานั้นจะเกิดขึ้น
ผุดขึ้นบ่อยในจิตในใจว่า อันนั้นผิด อันนี้ถูก
เข้าใจชัดเจนเห็นประจักษ์ในจิตในใจ
เมื่อมันรู้เหตุผลทุกสิ่งทุกอย่างที่พิจารณาไปนั้น มันก็หายสงสัยในจิตใจ
ถึงสิ่งเหล่านั้นจะมีอยู่ทั่วโลก แต่ก็ไม่มีความข้องติดยึดถือเหมือนแต่เก่าก่อน
เพราะปัญญาของเราหยั่งรู้ เข้าใจ เห็นชัดในสิ่งนั้น ๆ สมมุติเป็นอย่างนั้น
วิมุตติเป็นอย่างนี้ ขั้นสมมุติ ขั้นปรมัตถ์ มันทราบจากการภาวนา

การอบรมภาวนาทางปัญญา จึงเป็นเรื่องละถอนกิเลส ตัณหา อาสวะ
ที่มีอยู่ในจิตในใจ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะฝึก จะอบรมจิตใจของตนได้
หากเราตั้งใจ เห็นว่าเป็นของจำเป็นจริงจัง แต่ถ้าไม่ทำก็จะไม่เกิดประโยชน์
เกิดมาไม่ทำภาวนาเลย มันก็แก่ ก็ตายเหมือนกัน
ผู้ทำภาวนา ถึงแก่ ถึงตาย จิตใจของท่านไม่มีการหวั่นไหว
ไม่มีการเสียดายชีวิต ไม่ถือว่าเกิดมาเป็นโมฆะ
ท่านมีความสุขความสบายในจิตในใจของท่าน
ถึงกายมันจะแตกสลายไปเหมือน ๆ กัน
แต่จิตใจท่านไม่หวั่นไหว ไม่ลุ่มหลง นี่คือ...อานิสงส์เกิดจากการภาวนา
ผู้กระทำบำเพ็ญจะเห็น จะรู้ จะเป็นขึ้นในตัวของตัวเอง โดยไม่เชื่อคนอื่น
เพราะเห็น เพราะเป็นจากการภาวนา จากสติ จากปัญญาของตัว
ปัญญานี้ หากเราอบรมให้เข้าถึงที่จริงจังแล้ว
มันจะสามารถสังหารกิเลสให้ขาดออกไป
ไม่ว่ากิเลสประเภทไหนที่เกิดมา
ปัญญาจะต้องตามพิจารณาในกิเลสนั้น ๆ
เพื่อแก้ไขให้กิเลสนั้น ๆ หายไปจากใจ

กิเลส ก็คือ ความเศร้าหมองของใจตัณหา ก็คือ ความอยากของไจ
ราคะ ก็คือ ความกำหนัดยินดีในสิ่งต่าง ๆ แต่ท่านพูดเป็นศัพท์ทางธรรมะ
ซึ่งมาจากภาษาบาลี มาจากภาษาอื่น เมื่อเราฟังตามตำรับตำรา
หรือครูบาอาจารย์ที่ท่านศึกษาจากปริยัติ เราไม่เคยได้รู้เรื่องปริยัติ
พอท่านยกบาลีขึ้น เราจึงฟังไม่ใคร่ออก

ผู้ประพฤติปฏิบัตินั้น ไม่ทราบว่าเป็นบาลีหรืออะไร
ต้องพิจารณาในกาย ในใจของตัวเรื่อยไป เพราะ กาย ใจ
เป็นที่ตั้งของมรรคของผล กาย ใจ เป็นที่ตั้งของราคะ โทสะ โมหะ
ไม่ใช่ที่อื่นเป็นที่ตั้ง
ท่านจึงจับมาพินิจพิจารณาอันนี้มันมีความอยากใหญ่ใฝ่สูงไม่มีขอบมีเขต
ถึงมีอยู่มีกินเพียงพอบริบูรณ์แล้ว แต่ความอยากมันก็ทวีคูณขึ้น ทับถมขึ้น
เมื่อความอยากมันมีมากเท่าใด มันก็ให้ทุกข์ให้โทษแก่ตัวของตัว
เพราะความอยากมันเป็นพิษเหมือนกันกับไฟ ความอยากมันไหม้ มันเผา
มันร้อน คนที่มีความอยากอยู่ในใจ ถึงจะมั่งมีข้าวของเงินทองขนาดไหน
จึงไม่มีความสุขให้ เพราะความอยากมันเป็นภัยแก่ความสงบ
ความอยากเป็นเสี้ยนหนามสำหรับทิ่มแทงจิตใจให้เจ็บปวด เดือดร้อน

การพิจารณาธรรม เพื่อแก้ไขความอยากนั้น
ก็แล้วแต่ปัญญาของใครจะนำมาพินิจพิจารณา
ถ้าหากมันเกิดขึ้นกับจิตกับใจจริงจังแล้วมันทราบ
มันตัดขาด เรื่องความอยาก ทั้ง ๆ ที่ของนั้นมีอยู่
แต่เราอยู่เหนือของ ของไม่ได้มาทับถมจิตใจของเรา
โอกาสที่เราจะใช้ เราก็ใช้ไปตามสะดวกสบาย
โดยถือว่าของนั้นเป็นของภายนอก ไม่ได้ยึด
ไม่ได้ถือว่าเป็นของ ๆ เราจริง ๆ จัง ๆ จนเกิดความเสียใจ ร้อนใจ
การพินิจพิจารณาเป็นอย่างนี้

คนเกิดมา ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย ไม่มีใครนำสิ่งของมาได้
จะเป็นผ้านุ่งผ้าห่มเป็นเงินเป็นทอง
ไม่เคยมีใครหอบหิ้วหาบหามมาจากท้องของมารดา มาด้วยตัวเปล่า ๆ
เมื่อมาแล้วก็แสวงหาตามหน้าที่ เพราะร่างกายนี้เป็นอยู่ด้วยอาหาร
เป็นอยู่ด้วยปัจจัยทั้งสี่เป็นเครื่องอยู่อาศัย จะเป็นนักบวชก็ตาม ฆราวาสก็ตาม

ปัจจัยทั้งสี่นี้เป็นเรื่องสำคัญที่ทุกท่านจำเป็นจะต้องแสวงหา
ข้อแรก ท่านกล่าวเอาไว้เป็นภาษาของวัดว่า จีวร
หมายถึง ผ้า จะเป็นผ้านุ่งผ้าห่ม ผ้าเขียว ผ้าขาว ผ้าแดง
ผ้าเหลือง อะไรเรียกว่า จีวร ทั้งนั้น
จำเป็นที่คนเกิดมาจะต้องอาศัย หนาวมาก็จะต้องนั่งห่ม
ร้อนมาก็จะต้องปกปิดร่างกายเพื่อกันแดด กันเหลือบ กันยุงต่าง ๆ กัน
ความละอาย มนุษย์ทั่วไปเป็นอย่างนั้น
ไม่เลือกว่าชาติชั้นวรรณะไหนสุดแล้วแต่ เกิดมาแล้วจะต้องแสวงหาจีวร
คือผ้ามานุ่งมาห่ม ตอนฉันที่เรายังเป็นเด็ก
แสวงหาไม่ได้ก็อาศัยผู้ใหญ่แสวงหามาให้ใหญ่มาเราก็แสวงหาเอง
นี่...เป็นเรื่องจำเป็นข้อหนึ่งซึ่งเรียกว่า ปัจจัยเครื่องอาศัยของมนุษย์

ข้อที่สอง บิณฑบาต หมายถึง อาหารไม่วาชาวบ้าน นักบวช
ร่างกายอันนี้จะต้องเป็นอยู่ด้วยอาหาร.ถ้าขาดอาหารนานเข้ามันก็ตาย
เพราะไม่มีกำลังเรี่ยวแรงที่จะแสวงหาทรัพย์สมบัติอะไรได้
อาหารจึงเป็นเรื่องสำคัญ สัตว์จะอยู่ได้ก็ต้องอาศัยอาหาร
กายอันนี้เติบโตมาได้ก็เพราะอาหารฉะนั้น เราจึงต้องแสวงหาอาหาร
พระไม่ได้ไปทำการงาน ทำไร่ ค้าขาย ก็ไปบิณฑบาต
หาอาหารมาเลี้ยงร่างกายนี้เอง พวกญาติโยมก็แสวงหาตามหน้าที่ของตน
มีวิชาความรู้แขนงไหนก็ทำไปเพื่อจะได้อาหาร
ถึงเราหาเงินหาทองก็เอามาซื้ออาหารเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของตัว
อาหารจึงเป็นสิ่งจำเป็นอีกข้อหนึ่งของผู้เกิดมาที่มีชีวิตเป็นอยู่

เสนาสนะ หมายถึง ที่อยู่ ที่อาศัยจะเป็น กุฎี วิหาร ศาลา โรง ร้าน ตึก
บ้านต่าง ๆ ล้วนเรียกว่าเสนาสนะ
นี่ก็เป็นเรื่องจำเป็นที่มนุษย์เกิดมาจะต้องแสวงหาสร้างที่อยู่ที่อาศัย

คิลานเภสัช ยาสำหรับแก้โรคภัยไข้เจ็บก็เป็นอีกประเภทหนึ่ง

นี่คือ...ปัจจัยสี่

ปัจจัยทั้งสี่นี้ ไม่ว่านักบวช ฆราวาส จะต้องจำเป็นด้วยกันทั้งนั้น
แต่นักบวชนั้นมีพระวินัยที่จะต้องรักษามากกว่าเพศของฆราวาส
ถ้าหากแสวงหาไม่ถูกต้องตามพระวินัยก็เกิดโทษ ท่านปรับอาบัติ
ทางศาสนามีพระวินัยของพระของเณรประจำตัวอยู่

ฉะนั้น ปัจจัยทั้งสี่นี้ เราจะต้องแสวงหา แต่จะแสวงหามาได้มากขนาดไหน
ก็ไม่สามารถลบล้างอริยสัจ คือคำสอนของพระพุทธเจ้าได้
เมื่อมีลมหายใจเป็นอยู่ ก็ต้องหามาบำรุงรักษา แต่ทว่าปัจจัยอันนี้ มีมากเท่าไร
ก็ห้ามความเจ็บไม่ได้ ความแก่ไม่ได้ ความตายไม่ได้ ถึงกาล ถึงเวลา
เราก็จะต้องแก่ จะต้องตายไปตามธรรมดา
ถึงจะหึงหวงขนาดไหนก็ไม่มีทางที่จะรักษาไว้ได้ คือเราไม่ตายจากมัน
มันก็จะหายจากเรา หน้าที่ของมันเป็นอยู่อย่างนี้

เราโลภมากขนาดไหน อยากได้ขนาดไหน แสวงหามาได้มากขนาดไหน
เมื่อเวลาเราตาย ไปเราเอาไปได้ไหม
ไม่เห็นใครในโลกที่เขาหอบหิ้วหาบหามสมบัติออกไปจากโลก
สมบัติของโลกก็เป็นสมบัติของโลกอยู่อย่างนั้น เราที่ลุ่มหลง ติดข้อง
ไปที่ไหนไม่ได้ ห่วงติดห่วงของกลัวมันจะวิบัติ เสื่อมสลายอย่างนั้น อย่างนี้
ก็ทำนองเดียวกัน จะหึงจะหวงขนาดไหน หาตำรวจทหารมารักษา
หาคนยามมาเฝ้า มันก็เอาไปไม่ได้ เวลาตายก็ไปแต่ตัวเปล่า
แม้ร่างกายของเราเขาก็เอาไปเผา ไปฝังตามหน้าที่ ถึงเขาไม่เผาไม่ฝัง
มันก็เปื่อยเน่าไปตามธาตุของมัน ถ้าหากพิจารณาไปตามธรรมะอย่างนี้
จิตใจที่โลภอยากได้อย่างนั้นอย่างนี้เกินขอบเขต
มันก็พอที่จะสงบระงับได้ เพราะตายไปแล้วเอาไปไม่ได้

ถ้าหากเอาไปไค้ คนที่เขาเกิดมาก่อน ตายไปก่อน เขาเอาไปหมด
เราไม่มีที่อยู่ที่อาศัย ที่ดินไม่ว่าตอนไหน จังหวัดใด
มีคนเคยเกิดเคยตายด้วยกันทั้งนั้น เคยมีเจ้าของมาก่อนเราเกิดนับไม่ถ้วน
บางทีขุดลงไปลึก ๆ อย่างบ้านเชียงก็ยังไปเห็นกระดูกกองกันอยู่นั้น
นี่แสดงว่าเขาเคยตายมาก่อนเรา เขาเคยเป็นเจ้าของที่ดินนั้น ๆ มาก่อนเรา
แต่เขาเอาไปไม่ได้ เราจึงได้อยู่ได้อาศัย เราที่หึงหวงโลภหลงอยู่นี้
ก็ทำนองเดียวกัน พิจารณาเพื่อจะตัดความโลภ
ความอยากได้ในจิตในใจให้เบาบางไป

พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้คนเกียจคร้าน หากสอนให้คนขยันหมั่นเพียร
อุฏฐานสัมปทา ถึงพร้อมด้วยความหมั่น ขยัน
จะทำการทำงานอะไรให้ตั้งใจทำ
แต่อย่าให้สิ่งของนั้นมาทับถมจิตใจจนเกินไป
อยากให้จนเกินขอบเกินเขต คือ อยากได้ด้วยการแสวงหาทางสุจริตไม่ได้
ก็โกงเขา โลภ ลักขโมย จี้ ปล้นเขา
นี่...เป็นทางผิดศีลธรรมที่พระพุทธเจ้าสอน
พระพุทธเจ้าจึงให้พินิจพิจารณาธรรมะเพื่อชำระใจ
อยากได้ขนาดไหน ได้มาแล้วก็เอาไปไม่ได้

เมื่อเราทราบ เราเข้าใจในตัวของตัวจริงจังอย่างนั้น
ความอยากที่มันเคยอยากวุ่นวี่วุ่นวายอยู่ในใจ นอนไม่หลับ
อยากอันนั้น อยากอันนี้

เป็นเศรษฐีในเมืองไทยยังไม่พอ ยังอยากเป็นเศรษฐีของโลก
มันก็เลยไม่จบไม่สิ้นให้เลยเป็นทุกข์
ทั้ง ๆ ที่สมบัติที่มีกินไปจนตลอดวันตายก็ไม่หมด
แต่ความอยากมันไม่มีเวลาอิ่ม เหมือนกันกับไฟ
เชื้อมีเท่าไร ไหม้เท่านั้น ไฟไม่เคยอิ่มเชื้อ มีมากไหม้มาก
ความอยากของจิตของใจก็ทำนองเดียวกัน
ท่านจึงให้มีฝั่งมีฝา มีขอบมีเขต มีธรรมะ เป็นเครื่องดักเอาไว้
อย่าให้มันเลยขอบเลยเขตเลยฝั่งเลยเถิดเกินไป

ถ้าคนมีธรรมะจะต้องแนะสอนตัวของตัวให้จิตสงบ ให้จิตระงับ
ให้จิตรู้แจ้งเข้าใจจริงอย่างนั้น ใจจะไม่โลภ ไม่หลงจนเกินขอบเขตไป
นี่...หมายถึงผู้ภาวนามีจิตใจมั่นคงในอรรถในธรรม
พิจารณาเห็นเข้าใจชัดเจนในตัวเองอย่างนั้น ความโลภอยากได้
มักใหญ่ไฝ่สูงก็ค่อยดับไป เบาไป สบายไป

ความโกรธในจิตในใจก็ทำนองเดียวกัน
โกรธนี้ไม่เป็นสิ่งที่ดี เผาตัวให้ไหม้เกรียม ให้ชั่ว ให้เสีย
คนทั่วไปเขาไม่นิยมชมชอบ
เขาไม่สรรเสริญ คนโกรธ ถึงรักกัน ถึงชอบกัน
เมื่อโกรธขึ้นมา วาจาพูดออกมาก็ไม่น่าฟัง เ
เป็นวาจาที่เน่า เป็นวาจาที่เหม็น เป็นวาจาที่เป็นพิษ
หน้าตาที่เคยสวยงดงาม ก็เป็นหน้าตาที่เป็นยักษ์เป็นมารขึ้น
รักกันชอบกันอยู่ก็รีบหนีเพราะกลัวความโกรธของเขา
เขาจะฆ่าจะตีเอา ความโกรธมันเป็นอย่างนี้ไม่มีใครชอบ ไม่มีใครยินดี
ไม่มีใครสรรเสริญ คนอื่นโกรธ เราเห็นเข้า เราก็ไม่ชอบ
ไฉนตัวของเราเองจะไปโกรธให้คนอื่น
โกรธขึ้นมันมีความสงบมีความสุขไหม ก็พิจารณาหาสาเหตุของมัน
ถ้ามันเป็นโทษ เป็นทุกข์ ไม่เกิดประโยชน์อะไรให้

เราว่าเราเป็นคน เป็นผู้ฉลาด ทำไมจึงเป็นผู้เก็บของเน่า ของเหม็น
ของไม่มีคุณค่าราคา ของไม่มีสาระประโยชน์ ของเป็นโทษ
เป็นทุกข์เอามาไว้ในจิตในใจของตัว พิจารณาตัวของตัวอย่างนี้
เพื่อแก้ไขขับไล่ความโกรธในจิต ในใจให้ตกออกไป ให้หลุดออกไป
เมื่อพิจารณามันไม่มีคุณค่าสาระอย่างนั้น เราเข้าใจชัดเจนในจิตในใจ
เราก็ปล่อยไปละไปได้ ถ้าเราไม่เห็นในจิตในใจของตน
คนอื่นโกรธเราไม่ชอบ ่ตัวของตัวโกรธเราไม่เห็น
นั่นไม่มีทางที่จะแก้ไขจิตใจของตัวให้เยือกเย็น สงบได้

เราต้องดูเรื่องคนอื่น แล้วย้อนกลับมาดูในจิตในใจของตัว
สิ่งที่ชั่ว คนอื่นทำ เราตำหนิ แต่เมื่อเราทำ เรากลับชอบ กลับยินดี
อย่างนี้จะเป็นบัณฑิต เป็นผู้ฉลาด เป็นผู้ประเสริฐวิเศษไม่ได้

พระพุทธเจ้าสอนธรรมะนั้น ท่านทำได้แก่สิ่งทุกอย่างทุกประการไป
ท่านจึงนำมาสอนผู้คน ไม่ใช่ท่านทำไม่ได้
ท่านระงับดับได้ทุกอย่างที่เป็นโทษทุกข์
ท่านจึงมาสอน จึงเกิดสาระประโยชน์
คนอื่นจะตำหนินินทาว่ากล่าวท่านขนาดไหน
ท่านทราบในพระทัยของท่านว่า จิตของเรารับไหม
ยังเอนเอียงไปทางเรื่องที่เขาติฉินนินทาหรือไม่
ท่านจะต้องดูในพระทัยของท่าน
อันนี้ถ้าหากเราไม่พิจารณา ไม่มีธรรมะ ก็มักอยากจะหยิบเอาฉวยเอา
เขาพูดอะไร สรรเสริญก็ลืมเนื้อลืมตัวว่าเรานี่ดีนี่เด่น
เขาตำหนินินทาว่ากล่าวต่าง ๆ นา ๆ เราก็หยิบ ก็ฉวยเอาว่าเขาพูดอย่างนั้น
เขาตำหนิอย่างนี้ โกรธขึ้นในจิตในใจ ล้วนแต่เป็นทุกข์เป็นโทษทั้งนั้น

ใจที่มีธรรมะไม่เป็นอย่างนั้น เขาจะสรรเสริญขนาดไหน
จิตใจของท่านยังคงเส้นคงวา ไม่บ้าบอไปตามลมปากของคน
เขาจะนินทาขนาดไหน ก็เป็นลมปากของเขา
เราเป็นอย่างไร บริสุทธิ์หรือไม่ เราจะต้องทราบในจิตในใจของเรา

เมื่อเราบริสุทธิ์ เราไม่ไปทำผิด พูดผิดคิดผิด อย่างที่เขาตำหนินินทาเรา
เราจะไปโกรธกับเขานั้น สมควรแล้วหรือ จะต้องดู
จะต้องรู้ในจิตในใจของตัว พระพุทธเจ้าเคยโดนคนด่า คนว่า
จึงได้พูดผูกเป็นภาษิตขึ้น นตฺถิ โลเก อนนฺทิโต คนไม่ถูกนินทา ไม่มีในโลก
จะดีขนาดไหนวิเศษขนาดไหน พระพุทธเจ้าไม่เคยมีกิเลสตัณหาในใจ
ไม่เคยทำอะไรให้ผิดความจริง แต่ถึงกระนั้นคนที่ไม่ชอบ ไม่ยินดีในท่าน
เขาก็ตำหนิ เขาก็นินทา ด่าไอ้อูฐ ไอ้ลา หัวโล้นอย่างนั้นอย่างนี้ เคยมี
พระพุทธเจ้าเคยพบมา ตัวของเราก็เป็นคนธรรมดาสามัญ
จะไปหลบหลีกปลีกตัวที่ไหนจะไม่ให้คนเขาตำหนินินทา
จะให้เขาสรรเสริญเยินยอโดยถ่ายเดียว
มันเป็นไปไม่ได้ เมื่อเขานินทามา แต่ทว่าเราไม่เป็นไปตามคำนินทาของเขา
ตามคำตำหนิของเขา จะมีทางเสียหายอะไร ให้ตรวจตราพิจารณาดูใจของตัว
นี่คือ...ผู้ที่มีธรรมะ อย่าไปรับของเน่าของเหม็น ของไม่เป็นสาระประโยชน์

ถ้าหากว่าตัวฉลาดตัวรู้ ของไม่มีคุณค่าสาระ เขาเอาอะไรมาให้ก็จะกำเอา
ทั้ง ๆ ที่ของนั้นเป็นของเน่า ของเหม็น ของปฏิกูล
ผู้ฝึกอบรมภาวนาจึงควรชำระออกจากจิตจากใจของตัว
เมื่อเราชำระออกไปได้มากเท่าใด ความเน่าเหม็นของจิตของใจก็เบาบางไปเท่านั้น
เราก็สุข เราก็สบาย เราก็สงบ เราก็เยือกเย็น
เพราะสิ่งเหล่านั้นที่เน่าที่เหม็น คือ ความชั่ว
ผลของมันก็คือทุกข์ เพราะจิตไม่รู้ ตามเป็นจริง จึงไปรับของชั่ว ของเหม็น
ของเน่า เอามาไว้ นี่คือ...การพิจารณาชำระใจของตัว

ผู้พิจารณา ผู้มีธรรมะในใจท่านอยู่ในโลก จึงไม่แปดเปื้อนไปด้วยโลก
เหมอนกันกับใบบัวอยู่ในน้ำ แต่ทว่าน้ำไม่ซึมซาบเข้าไป
ถึงน้ำจะมาตกค้างบนใบบัว เดี๋ยวมันก็หลุดก็หล่นออกไปไหลออกไป
ใบบัวไม่เคยซึมในน้ำที่ไปถูกไปต้อง นี่...จิตใจของท่านที่มีธรรมะ
ชำระกิเลสตัณหาได้ก็ทำนองเดียวกัน ท่านจึงอยู่ในโลกด้วยความสุข
ความสบาย ไม่ลุ่มหลงวุ่นวายไปเหมือนพวกเรา

กิเลส ในจิตในใจของมนุษย์มันมีด้วยกันทุกท่านทุกคน
เพียงแต่จะน้อยมากต่างกันเท่านั้น บางท่านก็มีความโกรธมาก
บางท่านก็มีความโลภมาก บางท่านก็มีความหลงมาก
บางท่านก็มีราคะตัณหามาก แต่ทุกสิ่งทุกอย่าง
ธรรมะของพระพุทธเจ้ามีเพื่อจะรักษาโรคประเภทนี้
ถ้านำธรรมะของพระพุทธเจ้ามารักษาด้วยสติ ด้วยปัญญา
ด้วยการพิจารณาจริงจัง โรคที่มีอยู่ในจิตในใจ
คือ กิเลส ตัณหา มานะ ทิฐิ ต่าง ๆ ค่อยจะสะอาดไป อกไป หลุดไป

การพิจารณาธรรมะ การฝึกจิตฝึกใจ อบรมให้เป็นธรรมะ
จึงเป็นหน้าที่ของพวกเราท่านทุกคนผู้ชอบสงบ ผู้ชอบความสุข
ผู้ชอบความเย็นใจ ความสบายใจ จะต้องกระทำบำเพ็ญให้เห็น
ให้เป็น ให้รู้ในตัวของตัว ไม่อย่างนั้นจะแก่ขนาดไหน
ใจมันก็ยังติด ยังข้อง ยังลุ่ม ยังหลง ยังโกรธ ยังเพลินในโลกเรื่อยไป
เพราะไม่มีธรรมะในจิตในใจของตัว ถ้ามีธรรมะไม่เป็นอย่างนั้น
ถึงสิ่งอื่นจะมีอยู่ก็รู้ ก็เข้าใจ แต่ไม่ติด ไม่ข้องในสิ่งนั้น ๆ

ผู้มีธรรมะ มีปัญญาที่จะแก้ไขใจของตัวให้สุข ให้สบาย ให้สะอาด
หายจากความวุ่นวายก่อกวนได้
นี่คือ...ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนมนุษย์ทั่วไปให้ฝึกอบรมจิตใจของตัว
จิตใจชั่ว จิตใจเสียมันหมดคุณค่า หมดสาระ
สมบัติข้าวของภายนอกทางโลกจะมีมากมายขนาดไหนถ้าหากใจไม่ปกติ
ใจวิปริต รักษาไม่ได้ ส่วนสมบัติภายในคือสติปัญญา มันก็หมดไปหายไป
นี่คือ...คนที่จิตวิปริต จิตไม่ฝึกไม่อบรม

คนที่มีจิตดี ถึงร่างกายจะไม่สวยสดงดงาม ถึงหน้าตาจะไม่ยิ้มแย้มแจ่มใส
แต่จิตใจเยือกเย็น คนเห็นเบื้องต้นก็ไม่ชอบพอ เพราะหน้าตาไม่สวยงามให้
แต่เมื่อคบค้าสมาคมนานเข้า รู้สึกนิสัยว่ามีจิตใจเยือกเย็น ซื่อสัตย์สุจริต
มันก็เกิดคุณค่า มีคนนิยมเชื่อถืออยากได้
เพราะใครไปเกี่ยวข้องก็เกิดความสุขความสบายในจิตในใจ
นี่คือ...คุณค่าของธรรมะทางจิตทางใจ ซึ่งทุกคนฝึกอบรมได้
เพราะจิตใจเป็นสิ่งที่ฝึกได้ น้อมไปได้ ไม่ใช่มันเหลือวิสัย
ความจริงแล้วถ้าหากเราจับผิดในจิตในใจของเรา
เราศึกษาในจิตในใจของเราให้ดี เราจะรอบรู้ จะเกิดธรรมะให้

จิตใจนี้นับว่าเป็นสิ่งที่พลิกแพลงง่ายที่สุด หลงใหลง่าย ยึดถือง่าย
ถ้าหากเราสังเกต แต่ถ้าไม่สังเกตก็ไม่เห็นความเป็นอย่างนั้น
ทั้ง ๆ ที่สิ่งเหล่านั้นไม่มีอยู่ในตัวของเรา เราก็โกรธได้ รักได้
ยินดีได้ เสียใจได้ เพราะเราไม่ตรวจตราพิจารณาภายใน
ถ้าเราตรวจตราพิจารณาภายในอย่างที่อธิบายมา เขาสรรเสริญเยินยอ
เราดีอย่างลมปากเขาว่าหรือไม่ ถ้าเราไม่ดี เราก็ไม่ควรไปยินดี
ควรตั้งหน้าตั้งตาฝึกรักษาให้สมกับคำที่เขาชมว่าเรารู้เราฉลาดเรามีสติ
มีปัญญา เราเป็นคนมีธรรมะ ถ้าเราไม่ฝึกไม่อบรมตัวของตัวอย่างนั้น
เขาสรรเสริญแล้วก็ลืมหลงไป ว่าดีว่าเด่นอย่างนั้น
มันเกิดทุกข์เกิดโทษในตัวภายหลัง เพราะมันไม่มีอะไร
พอเขาตำหนินินทาให้ เราก็จะเสียใจอีก เมื่อเขาตำหนินินทา
ถ้าหากว่ามันไม่มีมูลเหตุ เราก็ไม่ควรจะไปเสียใจ ควรจะสอนตัวว่ามันชั่ว
มันเสียอย่างเขาว่า เราควรจะแก้สาเหตุของมัน เขาตำหนิ เราไม่ดีอย่างนั้น
เราอย่าไปทำอีก พูดอีก ถ้าเราไปทำอีกพูดอีก เขาก็จะตำหนิอีก
นี่... เป็นทางที่จะแก้ไขลมปากภายนอก

หากเรามีปัญญา ไม่ว่าทางสรรเสริญหรือนินทา ถ้านำมาสอนจิต
มาพินิจพิจารณามันก็เป็นธรรมะ ถ้าหากเราไม่มีปัญญา ตามตะครุบเรื่อยไป
เขาว่าอย่างไรก็ตะครุบอย่างนั้น ไม่เกิดผลเกิดประโยชน์ให้
มีแต่จะเกิดความดีใจเสียใจตามคำสรรเสริญนินทาเท่านั้น
ผลที่สุดเลยไม่ตั้งมั่น
เพราะคนทั่วโลกเขาจะเต็มใจยินดีมาสรรเสริญเราทั้งหมดมันเป็นไปไม่ได้
คนทั่วโลกเขาจะนินทาว่าทุกข์ว่าโทษต่าง ๆ แก่เรามันก็เป็นไปไม่ได้
ผู้ที่มันชอบมันก็สรรเสริญ ส่วนผู้ที่มันไม่ชอบมันก็นินทา
มันเป็นธรรมดาเรื่องลมปาก

เราก็เป็นสัตว์โลกคนหนึ่ง ตัวหนึ่ง เมื่อเกิดมาในโลก
มันจะต้องพบ ต้องเห็น เราจะต้องตั้งมั่น พิจารณาในธรรมะ
ส่วนได้ที่ควรละ ส่วนได้ที่ควรบำเพ็ญ ให้เห็นในจิตในใจของตน
ว่าสิ่งนี้ควรละ รีบละรีบถอนออกไป เพราะเก็บเอาไว้เป็นพิษเป็นภัยเกิดทุกข์เกิดโทษ
สิ่งใดควรบำเพ็ญก็บำเพ็ญเรื่อยไป
ให้จิตใจเลื่อมใสให้จิตใจเยือกเย็นให้จิตใจเห็นแจ้งในสิ่งนั้น ๆ
นี่...คือการฝึกธรรมะ การอบรมธรรมะ แนะสอนธรรมะให้แก่ตัวของตัว
ถ้าหากไม่ฝึก ไม่รักษาไม่เอาธรรมะมาประดับ
คนร่างกายเป็นมนุษย์ แต่จิตใจก็เป็นสัตว์นรก เป็นเปรตเป็นอสุรกาย
อยู่ดีไม่มีอะไรผิดแผกแตกต่างจากสัตว์เหล่านั้น
เพราะราคะ ตัณหา มานะ ทิฐิทุกอย่าง สัตว์อื่นมันก็มีได้ เป็นไปได้
แต่ด้วยอำนาจของปัญญา ด้วยอำนาจของธรรมะที่ฝึกอบรมรักษาเท่านั้น
จึงจะเป็นผู้ดีวิเศษกว่าสัตว์

ฉะนั้น ทุกคนจึงควรหาธรรมะมาประดับกาย วาจาของตัว ผู้ที่มีธรรมะ
อยู่สถานที่ใด ไปสถานที่ใด เป็นสิริมงคลแก่สถานที่
ไปสถานที่ใดทำความสุข ความสบาย ความเยือกเย็นให้ ไม่เป็นภัยอันตราย
นี่คือ...คนที่มีธรรมะ เป็น สุคโต ไปดี มาดี อยู่ดี กินดี นั่งดี นอนดี
เพราะจิตของท่านดี จิตของท่านมีธรรมะ ยอมเสียและเรื่องทิฐิมานะ
กิเลส ตัณหาให้หมดออกไป ตกออกไปจากใจ

พระพุทธเจ้าและสาวกท่านดีวิเศษได้ เพราะท่านฝึกอบรมจิตใจของท่าน
เรื่องร่างกายเหมือนกันกับพวกเรา โรคภัยไข้หนาวมี
ไม่อย่างนั้นท่านก็ไม่ปรินิพพาน ความแก่ ความเจ็บ ความตาย
มีเหมือนพวกเรา แต่จิตใจของท่านไม่เคยมีป่าช้า ไม่เคยตาย
ไม่เคยไปเกิดภพใด ชาติใดอีก ก็ความจริงอยู่ในจิตมีอะไรที่จะเป็นพิษ เป็นภัย
ที่จะไปก่อภพ ก่อชาติอีกก็ทราบ
นี่คือ... การปฏิบัติอรรถธรรมที่พระพุทธเจ้าสอน
เห็นประจักษ์ในจิตในใจของตน จนผู้ประพฤติปฏิบัติประจักษ์อยู่อย่างนั้น
ท่านจึงไม่หลงใหลใฝ่ฝัน
ไม่บ้าไม่บอเหมือนพวกเราเห็นอะไรก็ชอบจิตติดใจง่าย ๆ
เห็นอะไรก็โกรธไปง่าย ๆ ทั้ง ที่ไม่พิจารณาว่ามันเป็นทุกข์เป็นโทษอย่างไรในสิ่งนั้น ๆ
นี้คือ...คนขาดธรรมะ ขาดสติ ขาดปัญญา
ไม่สามารถที่จะแก้ไขจิตใจของตัวให้เยือกเย็นเป็นสุข ให้สงบได
ถ้ามีธรรมะ ก็เหมือนกันกับเรามีอาวุธ ไปสถานที่ใด
เมื่อมีอาวุธอยู่ในตัวแล้วไม่กลัวภัยอันตราย
เพราะอาวุธเรามีอยู่ ถึงมีอุปสรรค มีศัตรูมา เราก็อาศัยอาวุธเราต่อสู้
นี่ไม่มีอาวุธอะไร ไม่ว่าตั้งแต่เสือ เพียงสัตว์เล็ก ๆ มันก็กลัว
ถ้าเราไม่มีมุ้ง ไปนอนในที่ยุงชุม เราก็กลัว ไม่กล้าที่จะไปอยู่
แต่ถ้าเรามีมุ้งดี ๆ แล้ว มันมาเถอะยุง เรามีมุ้งกั้นเอาไว้ มันก็เข้าไม่ได้

คนมีธรรมะก็ทำนองเดียวกัน ถึงรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส จะมีอยู่ในโลก
แต่ท่านมีเครื่องรักษาจิตใจของท่านไม่ให้หวั่นไหว
ไม่ให้เดือดร้อนวุ่นวายไปตามเรื่องนั้น ๆ นี่คือ...คนมีธรรมะในจิตในใจ
ธรรมะที่จะเกิดขึ้นได้ก็เพราะอาศัยอบรม อาศัยกระทำบำเพ็ญ
มันจึงเกิดขึ้นได้ไม่ใช่มันเกิดขึ้นลอย ๆ พระพุทธเจ้าสะสมบารมีมา
หรือทำทุกรกิริยามา เพื่อตรัสรู้ ก็คือสร้างเหตุเพื่อจะให้เกิดผล
เราทุกคนถ้าทำตามโอวาทที่ท่านสอนเอาไว้ มันง่ายมันสบาย

พระพุทธเจ้าไม่มีครูไม่มีอาจารย์สอน
ท่านค้นคิดด้วยตัวของท่านเองจึงเกิดธรรมะขึ้น
นี่...เรามีท่านสอนทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งนั้นเป็นโทษนะ อย่าไปทำ อย่าไปพูด
อย่าไปคิด เมื่อพูดเมื่อทำ เมื่อคิดไปสิ่งนั้นจะเป็นภัย
จะนำทุกข์ นำโทษมาให้ ท่านบอกแล้วเรารู้สึกว่าอันนั้นมันชั่ว มันเสีย
มันเกิดทุกข์ เกิดโทษ ก็เว้นอย่าไปกระทำ อย่าไปบำเพ็ญ
สิ่งนั้นเกิดสุข เกิดประโยชน์ คนใดไปทำไปพูดไปคิด
คนนั้นจะมีความสุข ความเจริญ ถึงไม่ปรารถนาคำสรรเสริญเยินยอ
บัณฑิตทั่วไปก็สรรเสริญเยินยอให้
เราก็รีบกระทำในสิ่งที่พระพุทธเจ้าแนะสอนให้บำเพ็ญ
ละสิ่งที่ท่านห้ามไม่ให้ทำ ถึงจิตจะชอบ จะยินดีก็ให้ละไป
เพราะพระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่มีพระญาณภายใน เข้าใจชัดเจน
สิ่งใดที่เป็นทุกข์เป็นโทษ เข้าใจจริงจัง
จึงมาสั่งสอนมนุษย์ ไม่ใช่ท่านมืดบอดอย่างพวกเรา
ท่านถางทางหรือทำถนนให้เราเดินตามถนนที่ท่านทำให้มันสะดวกสบาย

ถ้าหากเราเชื่อ เราประพฤติปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าแนะให้ มันสบาย
ที่ท่านบุกเบิกเบื้องต้นมันลำบาก
เหมือนกับตัดถนนมันลำบากกว่าจะเป็นถนนให้ แต่คนมาท่องเที่ยวมันสบาย
เพราะเป็นถนนแล้วมันง่าย
เราก็ทำนองเดียวกันพูดถึงสาวกมีหน้าที่
ที่จะประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของท่านเท่านั้น
สิ่งใดที่ท่านสอนว่า เป็นพิษ เป็นภัยก็หลีกไป
สิ่งใดที่ท่านสอนให้กระทำบำเพ็ญก็ทำตาม มันง่าย
อย่าไปถือว่ามันเหลือวิสัย สิ่งอื่นมันคิดได้ ปรุงได้ มีโอกาสมีเวลา
แต่จะมาหลับตาภาวนาสำรวมจิตให้อยู่ในตัว ละวางอารมณ์สัญญาต่าง ๆ
ที่เคยรบกวนจิตใจ มันถือว่าไม่มีโอกาสเวลา วันนี้เพลียเหลือเกิน
หนาวเหลือเกิน เหนื่อยเหลือเกิน หิวเหลือเกิน ทำไม่ได้ ดึกแล้ว เช้าอยู่
มันไปแบบนั้น นี่คือ... เรื่องมารที่กระทบจิตใจของพวกเราท่าน
ไม่ให้มีโอกาสเวลาจะภาวนาละกิเลส แต่ไปดูหนัง ฟังเพลง ไปเที่ยวเล่น
เที่ยวคุย คุยกันเรื่องนอก ๆ มีโอกาสเวลาแต่จะมาภาวนา
มันหักมันห้ามเอาไว้ นี่... ใจที่มีกิเลสหนาเป็นอย่างนั้นทุกท่านทุกคนไป
แต่ก็ต้องฝ่าฝืนอย่าไปเชื่อมัน โอกาสเวลามันมี ถ้าเราจะทำ

การภาวนาไม่ใช่แต่จะนั่งหลับตาเท่านั้นจึงทำไค้ เดินไปก็ได้ นั่งอยู่ก็ได้
ทำการงานอันอื่นก็ได้ ภาวนาดูจิตดูใจของตัว ทำไม่จะทำไม่ได้
ถ้าหากเราเลื่อมใส เรายินดี เราเต็มใจ

เราทำงานอันอื่นยังคิด ยังกรุงในรูป ในรส ในกลิ่น
ในเสียงในเรื่องต่าง ๆ ได้ ถ้าหากเรานำมาภาวนา รูป เสียง
ที่เราลุ่มหลงติดข้องว่า มันสวยงาม น่ากำหนัดยินดี
เรามาพิจารณาร่างกายอันนี้มันเต็มไปด้วยของปฏิกูลโสโครก
สกปรก จริง ๆ จัง ๆ ไม่มีอะไรเป็นของดีของวิเศษ ไม่มีอะไรที่จะหอมหวน
มีแต่ของเน่าของเหม็นของปฏิกูล ผ้าผ่อนท่อนสไบเอามาปกคลุมเข้า
ถึงสิ่งนั้นจะสวยงามขนาดไหน นานวันเข้ามันก็เศร้าก็หมอง
ก็มีกลิ่นขึ้น สิ่งที่ไหลออกมาจากตา จากหู จากจมูก จากปาก
จากทวารไหนก็ตาม ก็ล้วนแต่ของเน่าของเหม็น ของปฏิกูลทั้งนั้น
ก้อนอันนี้เป็นก้อนปฏิกูล เป็นของปฏิกูล ก้อนอันนี้เป็นก้อนอนิจจัง
อันนี้เป็นก้อนทุกข์ ก้อนโทษ
เราพิจารณาเพื่อจะแก้ไขสัญญาอารมณ์ที่ว่าน่ากำหนัดยินดี
น่าจูบน่ากอดอย่างนั้นอย่างนี้

ถ้าหากมาพิจารณาตามธรรมะของพระพุทธเจ้าอย่างจริงจัง
มันก็ถอดถอนได้ คลายกำหนัดได้ เพราะมันเห็นเป็นจริงอย่างนั้น
ความจริงของมันเป็นอย่างไร ถ้าหากคนมีปัญญา
มีธรรมะ ก็จะเป็นจริงอย่างนั้น มันไม่หลงใหลใฝ่ฝัน
ไม่ได้บ้าได้บอไปตามสมมุติของโลก

จิตที่จะเบื่อได้ก็เพราะอาศัยพิจารณาทวนกระแส เขาว่าสวยงาม
ความจริงมันเป็นอย่างไร มันเป็น อสุภะ อสุภํ เขาว่าของนั้นยั่งยืน
แต่ทางธรรมะถือว่าเป็น อนิจฺจํ เขาว่าของนั้นเป็นของตนของตัว เป็นสัตว์
เป็นบุคคล เป็นเรา เป็นเขา แต่ธรรมะท่านถือว่าเป็นอนัตตา
คือไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ถึงจะลุ่มหลงขนาดไหน สิ่งเหล่านั้นมันก็
เพราะ ธรรมะมันทวนสมมุติ ทวนกระแส โลกเขาว่าดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้
ก็นิยมตาม แต่เรื่องของธรรมะจริงจัง มันทวนกระแส
มันไม่ได้ถือว่าสิ่งนั้นมันดี มันวิเศษ ถ้าไม่พิจารณาตามธรรมะ
ไม่อย่างนั้น ไม่เบื่อเรื่องเกิดเรื่องตาย เรื่องโลก เรื่องสงสาร
ไม่เชื่อฟังหน้าที่ของมันเป็นอย่างไร มันก็เป็นอย่างนั้น
นี่...ธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนทวนกระแสอย่างนี้
เราผู้ฝึกภาวนาจงพยายามทวนกระแสของใจ
อย่าปล่อยไปตามสัญญาอารมณ์ของกิเลสตัณหา
เมื่อเราทวนกระแสได้เท่าใด จิตใจก็ยิ่งจะห่างไกลจากความทุกข์
จากความลุ่มหลง จากความเศร้าหมอง จากความขัดข้องเท่านั้น

ท่านจึงให้ฝึกให้ภาวนา มันฝึกได้ถ้ามีสติ สังขารที่ปรุงขึ้นอยู่ในจิตในใจ
มันทราบทุกขณะทุกเวลาถ้ามีสติ ถ้าไม่มีสติ มันปล่อยลอยลมไป
นั่งภาวนาก็ทำท่าไม่ทราบว่ามันไปคิดไปนึกเรื่องอะไร
จนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยหิวเกิดขึ้น มันวกมา
อ้าว นั่งนานแล้วนะนี่ เจ็บแข้งเจ็บขา ปวดหลัง ปวดเอวแล้ว นานพอสมควร
เอาละ มันเป็นแบบนั้น ไม่ทราบว่า เอาละ อะไร เมื่อกินไม่อิ่มก็ไม่เห็น
ว่าเอาละ กินแล้ว นอนยังไม่พอก็ เอาละ มีแต่มันนอนไปหลับไปแล้วตื่นหนึ่ง
เอาละจะนั่งภาวนา มันไม่เห็นว่า มันกลับว่ายังดึกอยู่ เอาอีกสักตื่นเสียก่อน
จนสายจึงตื่นขึ้นมา ภาวนาไม่ได้แล้ววันนี้ เพราะหน้าที่การงานมันมี
มันสายแล้ว มันเลยไปแบบนั้น วันนั้นก็ผิด วันนี้ก็เลยเถิดเลยแดนไป
มันก็เลยเป็นเกลียวหวาน จะทำภาวนาเมื่อไรก็ไปแบบนั้น
มันเลยไม่อยู่ในอรรถในธรรมให้

ถ้าหากมันอยู่ในอรรถในธรรม ไม่ว่าอยู่ในอิริยาบถได้ มีสติอยู่กับใจ
มีปัญญาสอนตัวเสียงมันปรุงขึ้นก็ทราบ อะไรมันปรุงขึ้นเป็นดี
เป็นชั่วมันทราบ เหมือนกันกับไฟอยู่ในบ้านไม้ขีด พอมันกระทบกันเข้า
เกิดไฟขึ้น เราก็ทราบ เรารีบดับมันง่าย ถ้าหากไปจุดบ้านจุดช่อง
จุดป่าจุดดง จนมันลุกลามไปใหญ่โตแล้วดับยาก บางทีก็ดับไม่ได้
จนไหม้ข้าวของเสียหายป่นปี้ นี่...ทำนองเดียวกันคนที่ไม่มีสติ
ไม่มีปัญญา ไม่มีธรรมะในตัว โกรธก็โกรธจนตาดำ ตาแดง จนลุ่ม
จนหลง จนฆ่า จนแกงกันก็มี แต่กว่าจะทราบว่ามันทุกข์ มันโทษ มันผิด
ที่ไหนได้มันเลยเถิดเลยแดนไปแล้ว มันเลยฝั่งเลยฝาไปแล้ว
รักก็เหมือนกัน มันเป็นอย่างนั้น นี่คือ... มันห่างไกลจากสติปัญญา
จากธรรมะที่พระพุทธเจ้าสั่งสอน

เราต้องน้อมพินิจพิจารณาอยู่เสมอว่า จิตใจปัจจุบันนี้มันคิดมันปรุงอะไร
ตายไปขณะนี้จะไปเกิดเป็นอะไร
ดูภายในจิตใจของตัวก็ทราบถ้าจิตใจของตัวไม่มีอรรถมีธรรม
คิดปรุงติดข้องในสิ่งที่ชั่วช้าลามก สกปรก เกิดทุกข์เกิดโทษ
ในจิตในใจไม่ผ่องใสไม่สงบ มันก็ไปในทางชั่วทางเสียนั่นเอง
เพราะมันมีทุกข์มีโทษอยู่ จะไปดีวิเศษที่ไหนได้ ถ้าจิตของเราผ่องใส
จิตของเราสงบ จิตของเราเยือกเย็น ถ้าเราตายในปัจจุบันทันตาเดี๋ยวนี้
เราก็บอกได้ว่า ภพชาติข้างหน้าเราจะไปที่ไหน ก็ของดีวิเศษมันมีอยู่
เราก็ไปในทางดี เมื่อมันหมดกิเลสก็ทำนองเดียวกัน

ให้ดูจิตปัจจุบัน สิ่งใดเป็นพิษเป็นภัย ให้ขับไล่ออกไป
สิ่งใดที่ทำจิตทำใจให้สงบสุข รีบรักษาเอาไว้
รีบกระทำบำเพ็ญให้มีในจิตในใจของตนนี่คือคนฝึกฝนภาวนา
ชำระกิเลส อย่าไปดูที่อื่น ดูภายใน ทำจิตทำใจให้เยือกให้เย็น ให้สุข ให้สบาย
เรื่องอื่นภายนอกที่จะมารบกวนตัวของตัว
ให้ทุกข์ให้โทษแก่ตัวเองเท่ากับตัวของตัวนั้น ไม่มี
เพราะสิ่งอื่นภายนอกมันเห็น มันรู้ เป็นบางกาลบางเวลา แต่ส่วนทุกข์โทษ
กิเลส ตัณหา อารมณ์ สัญญา ภายในใจนี้ มันอยู่ภายใน
มันให้ทุกข์ให้โทษอยู่ทุกกาลทุกสมัย ถึงไม่ได้ไปทำ ไปพูดมันก็คิดให้ดีใจ
เสียใจ ให้ทุกข์ ให้โทษแก่ตัวได้

ท่านจึงให้ดูภายใน ชำระภายในให้มีธรรมะในใจ คนที่มีธรรมะกำกับใจ
จิตใจผ่องใส จิตใจเบิกบาน จิตใจตื่น จิตใจรู้ ท่านว่ามี พุทโธ
คือ ตื่นอยู่ เบิกบานอยู่ ไม่ลุ่มหลง
หมายถึง มีสติมีปัญญาอยู่ภายในจิตในใจของตัว
ชำระภายในให้ใจมันผ่อง มันใส มันสงบ

โอกาสเวลาที่เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นหายาก ไม่ใช่จะเกิดง่าย ๆ
ถึงคนสมัยปัจจุบันเขาทำหมันกัน เพราะมนุษย์ล้นโลกไม่มีที่อยู่ที่อาศัย
ถ้าเกิดยากทำไม่เล่ามันจึงมากขนาดนี้ ให้พิจารณาหาทางสอนใจตัวเอง
ถึงมนุษย์จะมากล้นโลก แต่มนุษย์ที่เป็นมนุษย์สมบูรณ์นั้นมันหายาก
มนุษย์เดี๋ยวนี้มันเป็น มนุสเดรัจฉาโน กันมาก
คือ จิตใจเป็นสัตว์ มันมาจากสัตว์ แต่ก่อนสัตว์น้ำก็ดี สัตว์บกก็ดี
มันไม่อดไม่อยาก แต่เดี๋ยวนี้หายาก มันตายมาเกิดเป็นมนุษย์ที่โง่เง่าเต่าตุ่น
ไม่ทราบอรรถทราบธรรมที่พระพุทธเจ้าสั่งสอนนั่นเอง มันจึงยุ่งวุ่นวาย

ให้พิจารณาหาทางแก้ไขอบรมใจของตัวให้เย็น ให้สงบ โอกาสเวลามันมี
ถ้าหากเราชอบ เรายินดีในธรรมะ จะเดินก็ดี จะนั่งก็ดี จะนอนก็ดี
ยังไม่หลับเมื่อไรให้มีสติพินิจพิจารณาใจของตัว
ชำระชั่วซึ่งเรียกว่ากิเลสตัณหาให้ตกออกไป ให้หมดออกไป
พิจารณาตามธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้ กายของเรานี้เป็นที่ตั้งของสติ
เวทนาก็เป็นที่ตั้งของสติ จิต ธรรม มันก็อยู่ในนี้ ไม่ได้มีอยู่ในที่อื่น
นี่คือ... ตัวสติปัฏฐาน ก้อนสติปัฏฐาน

พระพุทธเจ้ารับรอง ผู้ใดพิจารณาตามธรรมะของพระพุทธเจ้า
มีสติปัฏฐานพิจารณา เอาสติตั้งไว้ในกาย ในเวทนา ในจิต
ในธรรมอยู่ทุกกาลทุกเวลา เอาที่นี้เป็นฐานที่ตั้งของสติ
พิจารณาให้เห็นตามเป็นจริงของมัน
คนนั้นไม่นานจะมีความสุขความสบายในจิตในใจของตัว
คนที่หยาบหนาจริงจัง อย่างนานไม่เลย 7 ปี หรือไม่ถึง 7 ปี 7 เดือน 7
วันหรือ 7 นาทีก็ได้ ถ้าหากมันเป็นให้เพราะจิตใจมันพลิกขณะของมันนั้น
มันเป็นแผล็บเดียวเท่านั้น มันเป็นไปได้ มันละได้ มันถอนได้
เข้าใจแยบคายตามเป็นจริงของมัน
พระพุทธเจ้าว่าผู้ที่พิจารณาตามหลักสติปัฏฐานจะมีคติเป็นสอง
คือเป็นพระอนาคามี หรือพระอรหันต์เท่านั้น โสดาบัน สกิทาคา
หรือปุถุชนคนหนา ท่านไม่ได้กล่าว ถ้าตั้งใจพินิจพิจารณา
ท่านไม่ได้ถือว่านักบวช ท่านไม่ได้ถือว่าฆราวาส
ไม่ถือว่าผู้หญิง ไม่ถือว่าผู้ชาย ถ้าพิจารณาตามธรรมะที่ท่านสอนเอาไว้
ตั้งใจกำหนดตามสติปัฏฐานจริงจังเป็นอย่างนั้น คือจะเป็นพระอนาคามี
หรือพระอรหันต์ในชาติปัจจุบันจากการกระทำบำเพ็ญของตน

กายมันมีอยู่ที่ไหนเล่า... นั่งอยู่ทุกคนนี้ไม่ใช่กายหรือ
ตามสมมุติของโลกก็เรียกว่ากาย ตั้งสติเอาไว้ในที่นี้
กายก้อนนี้มันเป็นสุขสมหวังหรือไม่ หรือมันเป็นอย่างไร
กายนี้น่ายินดีเลื่อมใส น่าสักการบูชา หรือเป็นเรื่องอะไรกันแน่ ดูให้มันถี่ถ้วน
ดูเรื่องกองกาย จะพิจารณาถึง ขน ผม เล็บ ฟัน หนัง เนื้อเอ็นกระดูก
พิจารณาเข้า พิจารณาออกอยู่อย่างนั้น ให้สติมันอยู่ในนี้
อย่าให้มันออกไปที่อื่น นั่งเหน็ดเหนื่อยเมื่อยหิว ก็กำหนดเอาที่มันเจ็บ
มันปวดออกไปแขวนเอาไว้ ขาเอาไปแขวนเอาไว้โน้น
ขานี้เอาไปแขวนไว้นั้น ลำตัวเอาไว้นั้น คอเอาไว้นี้
เอาแยกกันเหมือนเขาขายเนื้ออยู่ในตลาด ดูมันอยู่นั้น ให้มันเห็น
ให้มันเข้าใจชัด มันเจ็บมันปวดไหม ที่ไหนมันเจ็บมันปวด ดูมัน แยกมันออกไป
เวลาเดินจงกรมก็สาวไส้ออกมาแขวนคอ หรือลากไปตามทางจงกรม
หรือกำหนดคนตายกลาดเกลื่อนอยู่ตามทางที่จะจงกรมไป
ไปเหยียบแต่ซากผีที่ตาย เพื่อจะห้ามจิตไม่ให้คิดออกไปข้างนอก
ที่ไปหลงกำหนัดยินดีอย่างนั้น อย่างนี้
แล้วแต่อุบายพิจารณาของตัวที่จะนำมาสอนจิตใจ
ไม่ให้ไปปรุงชั่วคิดชั่วต่าง ๆ ซึ่งเป็นทางกิเลสตัณหา
เราคิดวาดภาพเอาเสียก่อน ต่อไป เมื่อพิจารณาเรื่อย ๆ ไป
จิตมันเกิดภายในของมัน มันเห็น มันเข้าใจชัดเจนอย่างนี้ มันจึงละ
จึงถอนออกได้ ถ้ามันไม่ละ ไม่ถอน เมื่อไร
ก็เหมือนกันกับเรากินอาหารยังไม่อิ่มก็ให้กินไป นี่... ธรรมะก็ทำนองเดียวกัน

ถ้าถือว่าอันนี้เราเคยพินิจพิจารณาแล้ว ก็กิเลสตัณหามันตกไปไหม
มันหมดไปไหม เวลาเดิน ขานี้เราเคยเดินแล้ว พอหยุดอยู่ มันก็อยู่ที่นี้แหละ
มันไม่ได้ไปอีก ขาเรามีอยู่นี่สองขา เดินมาตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งวันนี้
หรือจนตลอดวันตาย ก็เอาขาสองขานี้แหละเดิน นี่... การพิจารณา
ก็พิจารณากาย พิจารณาใจ พิจารณาธรรมอย่างเดิมนั้น มันไม่มีเสียหายอะไร
ก็พิจารณาเพื่อขับไล่ของชั่วเสียให้ตกออกไป
ไม่ใช่พิจารณาสะสมกิเลส มันถูกทั้งนั้น แล้วแต่อุบายปัญญา
ที่จะนำมาแนะมาสอนตัวของตัวเพื่อละชั่วบำเพ็ญดี

ฉะนั้น เราทุกคนที่เกิดมา ได้มาศึกษา มาอบรมภาวนา
พึงตั้งหน้าตั้งตาศึกษาอบรม ทำจิตทำใจให้ห่างไกลไปจากอารมณ์ที่ชั่วที่เสียต่าง ๆ
พยายามหาความสงบ หาความสุขความสบายในการกระทำบำเพ็ญ
ไม่อย่างนั้นเรามาอยู่ในวัดในวาเป็นพระเป็นสงฆ์ก็ดี
เป็นฆราวาสที่มุ่งมั่นมาปฏิบัติก็ดี ถ้าหากเราไม่ตั้งหน้าตั้งตาทำจริงจัง
จิตไม่สงบไม่เย็นไม่เห็นไม่รู้ มันก็ไม่มีความสุขความสบายให้ ถึงจะอยู่ป่า
ก็สักแต่ว่าอยู่ เหมือนกันกับสัตว์ป่าเขาอยู่กัน ไม่ได้รับความวิเวกทางจิตทางใจ
คือวิเวกทางใจ ห่างไกลจากสัญญาอารมณ์ จึงเรียกว่าวิเวก
คือ เข้าสงบ ไม่อย่างนั้นก็ห่างไกลจากสัญญาอารมณ์ทางโลก
มีธรรมะประจำอยู่ทุกโอกาส ทุกเวลา คิดอะไรก็คิดไปทางด้านธรรมะ
พิจารณาอะไรก็พิจารณาเพื่อละเพื่อถอน นี่ก็คือ...จิตวิเวก
คือห่างไกลไปจาก ราคะ ตัณหา มานะ ทิฐิต่าง ๆ
ห่างไกลไปจากสมมุติที่เราเคยหลงใหล ติดข้องอยู่เก่าก่อน จิตวิเวก
มีความสงบในอรรถในธรรม นี่... จึงได้ชื่อว่าผู้มาปฏิบัติ
ผู้มาฝึกหัดอบรมตัวของตัว ไม่อย่างนั้นก็จะไม่เห็นผลเห็นประโยชน์อะไรให้

ศาสนาถึงว่าเป็นของวิเศษประเสริฐขนาดไหน ถ้าหากใจไม่เห็น ใจไม่เป็น
มันก็ไม่ประเสริฐวิเศษให้ ถ้าเราเห็น เราเป็น
เราจึงจะทราบว่ามันเป็นของประเสริฐวิเศษจริง
มีอะไรในโลกที่จะเหนือกว่าศาสนา
ธรรมะที่พระพุทธเจ้าสั่งสอนเป็นของมีคุณค่าสาระมาก
หากเราไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก
ไม่ได้ตรัสสอนเอาไว้ตัวของเราก็จะลุ่มหลงอยู่เรื่อยไป
เมื่อจิตใจเห็นจิตใจเป็นในอรรถในธรรม ยอมกราบ ยอมไหว้พระพุทธเจ้า
และเห็นประจักษ์ว่าพระพุทธเจ้าเข้าใจในอรรถในธรรมจริงจัง
ท่านแนะสอนไว้ข้อไหนเราประพฤติปฏิบัติมา
เห็นความอัศจรรย์ขนาดไหนมีแล้วในโอวาทที่พระพุทธเจ้าสอน
ท่านผ่านไปก่อนแล้วจึงเคารพเลื่อมใส จึงเต็มใจปฏิบัติ
เพราะก็่ฝึกปฏิบัติมา มันถูกต้องตามคำสอนของท่าน

พระพุทธเจ้าเห็นรู้ก่อนแล้ว ท่านจึงได้สอนไว้อย่างนี้ จิตของเราก็เห็น
ก็เข้าใจชัดเจนอย่างนั้น ที่เรายังไม่ถึง ยังไม่รู้ที่ท่านสอนเอาไว้
เราประพฤติปฏิบัติไป ก็จะเห็นจะรู้อีกเหมือนกัน
เพราะที่ปฏิบัติมาแล้วก็เห็นก็รู้ตามที่ท่านแนะท่านสอนเอาไว้ จึงเคารพ
จึงเสื่อมใส จึงเต็มใจอยากประพฤติปฏิบัติ จิตมันดูดดื่ม มันเพลิด
มันเพลินในอรรถในธรรม
เพลิดเพลินได้เหมือนกันกับคนเพลิดเพลินในเรื่องของโลก
เขาเพลิดเพลินหลงใหลเอาจริงเอาจัง เพราะไม่มีธรรมะ

ผู้ที่มีธรรมะเพลิดเพลินในสติปัญญาก็ทำนองเดียวกัน
เวลามันเพลิดมันเพลินมันไม่มีเหน็ด มีเหนื่อยไม่เมื่อย มีหิวให้ เดินเท่าไร
ก็ไม่ได้กำหนดกาลเวลา นั่งเท่าไรก็เหมือนกัน ไม่ยอมอยากหลับอยากนอนให้
เพราะจิตใจมันเพลิดเพลินกับอรรถกับธรรม เพลินไปได้
เป็นไปได้สำหรับผู้ฝึกจิตอบรมใจมันสนุก มันเพลินในอรรถในธรรม
มันเย็น มันสบาย สังเวชสลดใจ แต่สมัยที่ยังไม่เป็นไม่เห็นอย่างนี้
มันเที่ยวไป ติดไป ข้องไป ยินดียินร้ายในสิ่งนั้น ๆ เพราะเราไม่มีธรรมะในใจ
ไม่มีไฟส่องให้เห็นความสว่างของจิตของใจ มันมืด มันจึงไปงมไปติด
ไปคิด ไปปรุง เมื่อมันสว่างแล้ว เราทราบเราจึงเพลินในธรรมะ

การปฏิบัติอรรถธรรมทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเห็นเป็นอย่างนั้น
ธรรมะเป็นเรื่องสำคัญที่พวกเราท่านจะนำมาประดับประดารักษากาย วาจาใจ
ของเรา ใครมีธรรมะคนนั้นก็มีความสุข จะเป็นฆราวาสก็ตามเป็นภิกษุสามเณร
นักบวช ก็ตามคนที่จนธรรมะ ถึงจะมีข้าวของบ้านช่องใหญ่โตขนาดไหน
ก็ทุกข์จิตทุกข์ใจอยู่อย่างนั้น เราเคยเห็นทั้งที่เขามีข้าวของเงินทอง
ไม่อดอยากยากจนอะไร มาบ่นทุกข์อย่างนั้น ทุกข์อย่างนี้
พระเจ้า พระสงฆ์ที่ท่านมีธรรมะในจิตในใจ ท่านไม่มีอะไร
มีบริขารเครื่องใช้นิดหน่อยเท่านั้น ท่านก็ไม่เคยบ่นว่าทุกข์อย่างนั้น
ลำบากอย่างนี้ ท่านไม่เคยบ่น เพราะท่านมีธรรมะ
ธรรมะจึงเป็นของที่มีคุณค่ากว่าเรื่องวัตถุภายนอก
พยายามสร้างธรรมะ ทำธรรมะให้เกิดให้มีเป็นที่พึ่ง
ที่อาศัยของใจแล้ว คนนั้นก็สุข ก็สบายได้ทั้ง ๆ ที่ไม่มีข้าวของเงินทองภายนอก
ถ้าขาดธรรมะถึงจะมีสิ่งของมากมายก่ายกองขนาดไหน
กิเลสตัณหาย่ำยีบีฑา ก็เลยไม่มีโอกาสเวลาที่จะสุข จะสงบ จะสบาย
ให้บ่นทุกข์ บ่นยาก บ่นลำบาก รำคาญอยู่เรื่อยไป

ฉะนั้น ขอทุกท่านจงนำธรรมะไปประดับประดารักษา ประพฤติ ปฏิบัติ
ทุกคนก็จะมีความสุข ความเจริญในจิตในใจของตน

การอธิบายธรรมะ เห็นว่าพอสมควรแก่เวลา ขอยุติเพียงแค่นี้

รูปภาพ
พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร


ที่มา... ประตูสู่ธรรม

:b48: :b8: :b48:


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 12 ธ.ค. 2009, 16:30, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2009, 21:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

อนุโมทนาสาธุด้วยครับคุณลูกโป่ง

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร