วันเวลาปัจจุบัน 22 พ.ค. 2025, 05:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง





กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2009, 14:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ต้นคริสต์มาสสีแดงสดสวยวางเรียงรายเต็มบริเวณร้านขายดอกไม้ริมทาง
เป็นสัญลักษณ์ว่าปีใหม่ได้มาถึงอีกครั้งหนึ่งแล้ว
เป็นเวลาแห่งความสดชื่นของคนหลายๆ คน
และเป็นเวลาที่จะเริ่มต้นสัญญาใหม่กับตัวเองของใครบางคนว่าปีนี้จะทำอะไรบ้าง

ฉันเคยดูหนังอิหร่านเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องของเด็กหญิงเล็กๆ คนหนึ่ง
ที่วันนี้เป็นวันเกิดครบ 10 ขวบ และเป็นวันตัดสินว่าเธอเป็นสาวแล้ว
และจะเล่นกับเพื่อนผู้ชายวัยเดียวกันที่อยู่ข้างบ้านเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว
แต่เธอไม่เข้าใจหรอก เธอก็แอบไปกินไอติมตามประสาเด็กเมื่อเพื่อนชวน
แต่มีประโยคหนึ่งที่เธอพูดทั้งตอนต้นเรื่องและท้ายเรื่องว่า “ปีนี้ฉันจะมีความสุข”

ฉันคิดว่าฉันจะเริ่มต้นปีนี้ด้วยประโยคนี้เหมือนกัน
ทำไมจะไม่เล่า ก็ในเมื่อมันเป็นประโยคที่ดีสำหรับชีวิตออกอย่างนั้น

หลายเดือนที่ผ่านมาฉันได้อ่านหนังสือแนวให้กำลังใจ
และพลังจักรวาลที่เชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกับพลังในตัวคนเรา
ในตอนแรกก็ดูแปลกใหม่ เพราะไม่เคยอ่านมาก่อน
แต่ในที่สุดแล้วกลับมาสอดคล้องกับหลักพุทธธรรม
นั่นเพราะความเป็นสัจธรรมนั่นเอง ที่ไม่ว่าจะพูดด้วยภาษาใด สำนวนใด
แต่เมื่อถึงใจความอันเป็นแก่นแล้วจึงเหมือนกัน
คือ การปล่อยวาง เพราะทุกสิ่งอยู่บนความไม่แน่นอน

รูปภาพ

สำนวนหนังกำลังภายในบอกว่า “สูงสุดคืนสู่สามัญ”

ในที่สุดแล้วชีวิตก็ต้องการความเรียบง่ายในใจและความสุข

สิ่งที่ฉันจะบอกเล่านี้ ไม่ใช่วิถีอันวิเศษที่หล่นมาจากฟากฟ้า
ทว่าเป็นหนทางธรรมดาที่สามัญจนเรามองข้าม
ทว่าในความเป็นจริงกลับเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับหัวใจดวงน้อยๆ ของเรา
มันเป็นเหมือนถนนสายที่นำเรากลับบ้านอันสุขสงบ
เราเดินบนถนนสายนี้ทุกวัน และไม่เคยรู้สึกเลยว่ามีมันอยู่ ไม่เคยกวาดมัน
ไม่เคยปลูกดอกไม้ให้ข้างทาง และไม่เคยขอบคุณมัน
แต่มันก็ยังพาเรากลับบ้านทุกวัน และที่เรารู้สึกไม่มีความสุข
กลับไม่ถึงบ้านคือความสงบในจิตใจ ก็เพราะว่าเราหลงทาง

“ปีนี้ฉันมีความสุข”

ขอให้เรามาตั้งเป้าหมายนี้ไว้ในใจด้วยกัน
และเดินบนถนนสายดอกไม้ที่จะนำเรากลับบ้าน คือกลับสู่ความสุขในหัวใจของเรา

รูปภาพ

ผู้ค้นพบความสุขจากภายใน ย่อมจะไม่สูญเสียความสุขนั้น
แต่ผู้ที่แสวงหาความสุขจากที่อื่น ย่อมไม่มีวันได้พบ

จิม เบ็กส์

ที่มา... http://www.ruendham.com/book_detail.php ... 3%CA%E3%CA

:b48: :b8: :b48:


แก้ไขล่าสุดโดย webmaster เมื่อ 21 ก.ย. 2009, 14:39, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2009, 14:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว




3.bmp
3.bmp [ 330.8 KiB | เปิดดู 3100 ครั้ง ]
:b8: :b8: :b8:

สาธุกับบทความของคุณลูกโป่งด้วยครับ

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2009, 14:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b39: ระวังความคิด


พระพุทธเจ้าสอนว่า “ความคิดนำโลกไป”
สิ่งที่เราต้องมีสติคอยระวังตนเองอยู่เสมอก็คือความคิด
เพราะ “เราจะเป็นไปตามที่เราคิด”
หากเราคิดในทางไม่ดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น เราก็ต้องทุกข์ใจ
แต่หากมองแต่แง่ดีของมัน เราก็จะสบายใจได้
สิ่งใดที่เกิดขึ้น วินาทีต่อมามันกลายเป็นอดีตไปแล้ว
ไม่สามารถจะดึงกลับมาแก้ไขได้ แต่แก้ไขที่ใจได้


มีน้องคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า เขาได้ฟังมาคำหนึ่งว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดีเสมอ”
ดังนั้นเขาจึงนำมาใช้เวลามีปัญหา วันหนึ่ง เขาช่วยเพื่อนทำใบปลิวประชาสัมพันธ์
เขาให้เพื่อนอีกคนที่อยู่อเมริกาช่วยออกแบบให้
เมื่องานเสร็จแล้วเขาจึงทราบว่าเพื่อนบอกวันที่มาผิดและแจ้งแก่เขาในตอนกลางดึก
แวบแรกเขาโกรธขึ้นมาวูบหนึ่ง แล้วเขาก็คิดว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดีเสมอ”
เขาจึงบอกกับตัวเองว่าดีนะที่ยังรู้ก่อนจะแจกใบปลิวออกไป
ดีนะที่คนทำอยู่อเมริกา เมื่อเขาบอกไปทันทีกลางดึกนั้น ที่อเมริกาเป็นเวลากลางวัน
เพื่อนรีบแก้ไขกลับมา เมื่อเขาตื่นเช้าเขาก็ได้รับใบใหม่ที่แก้ไขแล้ว
คิดแล้วเขาก็สบายใจ ดีนะ ดีนะ


ดีพัค โชปรา นายแพทย์นักปรัชญาผู้มีชื่อเสียงได้บอกไว้ว่า


“ปัญหาคือเมล็ดพันธุ์ของโอกาส ที่จะนำคุณไปสู่ประโยชน์บางอย่างที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเสมอ”


ดังนั้น เราจึงไม่จำเป็นต้องกลัวปัญหา เพราะอุปสรรคจะมีมากแค่ไหน
ก็ยังน้อยกว่าที่เราเก็บมาคิดกังวลในใจ


เป็นธรรมชาติที่คนเราจะมีความคิดอยู่ตลอดเวลา
มันคิดทั้งสิ่งที่จำเป็นต้องคิดและไม่จำเป็นต้องคิด
และบางทีก็คิดสิ่งที่เราเองก็ไม่อยากคิดด้วยซ้ำ
แต่พอมันผุดขึ้นมาเราก็ไปผสมโรงคุยกับมันอย่างมีอารมณ์ ยิ่งคิดยิ่งเครียด
เราต้องคอยมีสติว่าเรากำลังคิดอะไร
และเลือกคิดสิ่งที่เป็นบวกและให้พลังกับใจเราเท่านั้น อย่าบอกว่าทำไม่ได้
เพราะนั่นแปลว่าคุณเองยอมให้ตัวเองเป็นฝ่ายไหลตามความคิดอะไรก็ได้ที่มาจูงไป
ซึ่งมักจะนำความทุกข์ใจมาให้ด้วย
ถ้าคุณปล่อยเช่นนั้นแล้ว คุณจะไม่มีวันได้พบความสุข


ในเรื่องของพลังงาน ซึ่งเป็นทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์จะมีแรงที่เรียกว่า ‘กฎแห่งการดึงดูด’
ซึ่งกฎนี้กล่าวว่า


“สิ่งที่เหมือนกันจะดึงดูดกัน”


นั่นหมายความว่า เมื่อคุณหมกมุ่นอยู่กับเรื่องทุกข์ใจ
พลังงานจากความคิดจะส่งแรงออกไปสู่ธรรมชาติหรือจักรวาล
แรงนี้จะไปดึงดูดเรื่องอื่นๆ ที่จะทำให้ความทุกข์ใจได้เข้ามาหาคุณเพิ่มขึ้น
ในทำนองเดียวกัน เมื่อคุณทำใจให้มีความสุข แรงนี้จะไปดึงดูดเรื่องดีๆ เข้ามาหาคุณ
มาทำให้คุณสุขใจยิ่งขึ้น


“คุณทำสิ่งเดิมๆ แต่หวังผลลัพธ์ที่ต่างไป”


วันๆ คุณเศร้าหมอง มองโลกแง่ร้าย คุณโกรธใครๆ ทั้งวัน
แต่คุณหวังว่าใจจะมีความสุข ซึ่งมันจะไม่มีวันเกิดขึ้นเลย
ถ้าคุณทำสิ่งใหม่ๆ โดยปล่อยวางความขุ่นข้องหมองใจต่างๆ ลง
มองด้านดีของสิ่งต่างๆ ผลลัพธ์ใหม่คือความสุขก็จะเกิดขึ้น


คนบางคนรู้สึกว่าตัวเองทุกข์ใจ เพราะถูกคนอื่นทำร้ายจิตใจ เขาโกรธคนนั้น
และอยากจะให้คนนั้นเปลี่ยนนิสัยไป ผลก็คือตัวเองนั่นแหละที่ทุกข์ใจ
ในเมื่อตัวเองยังเปลี่ยนตัวเองไม่ได้
ยังจะหวังให้คนอื่นเปลี่ยนตัวเขาเพื่อเราได้อย่างไร
หนทางมีอยู่คือเปลี่ยนใจเราเอง
เปลี่ยนทัศนคติของเราเอง พาใจตัวเองให้รอดก่อน
ส่วนเขานั้นเราก็แผ่เมตตาส่งความปรารถนาดีให้เขา
อีกหน่อยเขาอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้ แต่อย่างน้อยเราต้องดูแลตัวเราเองก่อน
เมื่อเรามีมุมมองที่ดีแล้ว สิ่งดีๆ ก็จะตามมา


ถ้าเราตั้งเป้าหมายของชีวิตไว้ว่า “ฉันจะมีความสุข”
เราก็จะมีสติคอยระวังความคิด ให้คิดแต่สิ่งดีๆ ความคิดไม่ดีทิ้งไป
ถ้าเราเจริญสติรู้สึกตัว เพียงรู้ตัวว่าความคิดเกิดขึ้นแล้ว
พอเรารู้ทันความคิดนั้นก็ดับไปเองโดยธรรมชาติ


ท่าน ติช นัท ฮันห์ สอนว่า


เมื่อเราไม่รดน้ำคือไม่เอาใจใส่ ความคิดไม่ดีนั้นก็จะเหี่ยวแห้งตายไปเอง



ดังนั้น การดูแลชีวิตให้ไปถึงเป้าหมายคือความสุข
ก็คือ การระวังความคิดให้คิดแต่สิ่งดีๆ เบิกบานสดชื่นเสมอ

:b51: :b52: :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2009, 14:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b39: ขอบคุณสิ่งที่มีอยู่


เรามักจะเอ่ยคำว่าขอบคุณ เมื่อมีใครทำอะไรให้
ดูจะเป็นการตอบแทนทางวาจา
จนกลายเป็นสิ่งที่เราไม่รู้ว่ามีความสำคัญกับเราได้มากแค่ไหน


คนเรามักจะมองออกไปข้างหน้าและพูดถึงสิ่งที่เรายังไม่มี
ถ้าพูดในแนวของ ‘กฎแห่งการดึงดูด’
ความรู้สึกของการไม่มีนั้น จะดึงดูดความขาดแคลนเข้ามามากขึ้น
ฟังดูไม่ดีเลยใช่มั้ย แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ด้วย น่าตกใจมั้ยเล่า
แต่มันจะเป็นการโกหกตัวเองมั้ย ถ้าเราจะบอกว่าเรามีทั้งๆ ที่ไม่มี


ลองมองดูอีกมุมหนึ่ง นั่นคือเราไม่ได้มองสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว
เราลืมมันไป และบอกว่าเราไม่มี แล้วมันก็ยิ่งดึงดูดความไม่มีเข้ามา


พระพุทธเจ้าตรัสว่า “โลกพร่องอยู่เป็นนิจ เพราะเป็นทาสตัณหา”


ถ้าเราปล่อยให้ตัวเองวิ่งตามตัณหา คือ ความอยากอยู่ตลอดเวลา
เราจะเหนื่อยมากเลย เพราะจะไม่เคยวิ่งทันมันสักที
มันสนุกที่จะล่อให้เราวิ่งไปเหมือนที่เขาผูกไม้ยาวไว้ที่หัวม้า
แล้วผูกอาหารไว้ที่ปลายไม้ให้ม้าเห็น มันก็วิ่งไล่จะงับอาหารอยู่นั่นแหละ
หรือเหมือนคนวิ่งไล่จับเงาตัวเองจนเหนื่อย
ทั้งๆ ที่เพียงแต่หยุดยืนเฉยๆ หรือนั่งลง เงาก็จะอยู่กับเราแล้ว
จึงมีคำที่เราได้รับคำสอนมาตั้งแต่เด็กๆ ว่า “จงพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่”
และในที่นี้เราพอใจได้ด้วยการขอบคุณสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว
และพลังงานของกฎแห่งการดึงดูดก็จะนำสิ่งต่างๆ มาให้เราเพิ่มขึ้น
เพื่อให้เราได้ขอบคุณอีก แต่ก่อนหน้านั้น เพียงแต่เรารู้สึกขอบคุณสิ่งที่เรามี
เราก็ได้ความสุขใจมาก่อนแล้วละ


เช้าวันอาทิตย์วันหนึ่ง หลังจากที่ฉันกินข้าวหมูแดงจนคลายความหิวซ่กไปแล้ว
ก็ยังคงนั่งอ้อยอิ่งอยู่ในร้าน ซึ่งข้างๆ มีสวนเล็กๆ น่ารักๆ อยู่ด้วย
นั่งมองแสงแดดบนใบไม้แล้ว ฉันก็ลองนึกถามตัวเองสนุกๆ ว่า
เอาละ ลองขอบคุณดูสิ มีอะไรบ้างที่เราต้องขอบคุณ


ขอบคุณข้าวหมูแดงอร่อยๆ จานนี้ ขอบคุณเจ้าของร้าน
ขอบคุณแม่ครัว ขอบคุณหมู เออ...ใช่ ขอบคุณหมู ขอบคุณคนเลี้ยงหมูด้วย
ขอบคุณข้าว ขอบคุณดินในนา ขอบคุณฝน ขอบคุณแสงแดด สายลม
ขอบคุณชาวนา ขอบคุณโรงสี ขอบคุณคนขับรถบรรทุกข้าว
ขอบคุณน้ำมันรถด้วย ฮ่า ฮ่า โอ๊ะ เพิ่งนึกได้ว่ากว่าจะได้กินข้าวสักจานนี่
มันมายาวไกลแท้น้อ ฉันนึกขำในใจ
ขอบคุณอย่างนี้ก็ดี ทำให้เรามองกว้างขึ้น เป็นมิตรกับโลกมากขึ้น


มันให้ความรู้สึกที่ดีว่า เรามีอะไรให้ขอบคุณมากมาย
เราไม่จำเป็นต้องมีสิ่งที่ดีเลิศที่สุดเสียก่อนจึงจะขอบคุณได้
สิ่งที่เรามีอยู่แล้วนั่นแหละคือสิ่งที่เราควรขอบคุณและมองมันด้วยความรู้สึกดีๆ


รูปภาพ


ไม่ควรมองหาความผิดผู้อื่นหรือธุระที่เขาทำแล้วหรือยังไม่ทำ
ควรตรวจดูเฉพาะสิ่งที่ตนทำหรือยังไม่ทำเท่านั้น
พุทธพจน์


เคยมีการคุยกันในหมู่คนทำงานด้วยกัน มักจะบอกว่า ไม่มีเงินเลย
ฉันบอกว่านั่นเป็นการมองถึงสิ่งที่ยังไม่มี
ถ้าคุณไม่มีเงินเลย ทำไมคุณมีเงินผ่อนบ้านทุกเดือน
มีเงินผ่อนรถทุกเดือน มีเงินค่าเล่าเรียนลูก มีเงินค่าอาหารกลางวันลูก
มีข้าวเช้าข้าวเย็นให้ครอบครัวได้กินกัน
เสื้อผ้าคุณเก่าจนขาดหรือ... ไม่ใช่นี่ ยังมีเสื้อดีๆ ใส่อยู่
คุณควรขอบคุณสิ่งที่คุณมีอยู่แล้วบ้างนะ
จะได้มีอะไรเข้ามาให้คุณได้ขอบคุณได้อีก
ถ้าคิดว่านั่นเป็นการไม่จริงใจ เป็นการขอบคุณเพื่อหวังผล
คุณก็เพียงจริงใจกับการขอบคุณของคุณ
เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่คุณมีอยู่แล้วจริงๆ ไม่ใช่หรือ
และมันได้ทำหน้าที่ของมันเพื่อคุณอยู่ทุกวันไม่ใช่หรือ
ดังนั้นอย่างน้อยมันก็ควรได้รับคำขอบคุณ


ดีพัค โชปรา ได้ให้คำจำกัดความว่า


“ความปล่อยวางนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเหลือเฟือ
ความยึดมั่นตั้งอยู่บนพื้นฐานของความขาดแคลน”



ฉันเคยรู้สึกขาดแคลนอยู่ในใจมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
คงเป็นเพราะฉันมีหน้าที่การงานอยู่กับการปลดหนี้ของบริษัท
มันยาวนานจนฝังเข้าไปในใจของฉัน
เมื่อมองเข้าไปในใจฉันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกขาดแคลน
เมื่อฉันได้อ่านคำจำกัดความนี้ ฉันก็เกิดสว่างขึ้นมาในใจว่า
อ๋อ นี่ฉันเองเป็นคนยึดเอาความขาดแคลนนี้ไว้ไม่ยอมปล่อยเองหรอกหรือ
วินาทีนั้นเองที่ฉันปล่อยมันไป
ตอนนี้ทุกครั้งที่มองเข้าไปในใจฉันพบกับความรู้สึกเหลือเฟือวางอยู่ที่นั่น
มันเป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ

ขอบคุณ ดีพัค โชปรา

น้องคนหนึ่งบอกว่า
“ผมไม่มีเงิน แต่ผมมีความสุขใจ เพราะผมพอใจในตัวของผมเอง”

ขอบคุณสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว และพอใจในตัวเราเอง
นั่นคือความสุขในมือเรา เมื่อเราพอใจ ใจมันก็พอ


:b51: :b52: :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2009, 14:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b39: การให้อภัย

ความโกรธเป็นความทุกข์อย่างยิ่ง ยิ่งโกรธนาน โกรธไม่เลิก
มันเป็นตัวทำลายการมีชีวิตอยู่ของเรา
มันทำให้ชีวิตของเราไม่สมบูรณ์ เพราะทำให้สุขภาพจิตไม่ดี


เราต้องฝึกให้อภัย อภัยทั้งตัวเองและผู้อื่น


การอภัยให้ตัวเอง ไม่ใช่เพื่อจะทำอย่างที่ผิดมาแล้วอีก
แต่เป็นการตั้งต้นใหม่ที่จะไม่ทำอย่างนั้นอีก
เพราะเป็นการเปิดโอกาสให้ชีวิตพบความดีงามชื่นใจกับวิถีใหม่ๆ
คนเราย่อมทำผิดพลาดได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเมื่อผิดพลาดไปแล้ว
จะต้องทำผิดเช่นนั้นเรื่อยไป หรืออยู่กับการรับโทษทางใจเช่นนั้นเรื่อยไป
เรายุติมันด้วยการให้อภัยและเริ่มต้นวิถีใหม่ในความดีงาม
เรามีสิทธิ์ที่จะมีความสุขบนวันเวลาใหม่ๆ กับสิ่งดีงามใหม่ๆ ที่เราดำเนิน


พระพุทธเจ้าสอนว่า

จิตที่เต็มไปด้วยธรรมะเป็น จิตที่มีความสร้างสรรค์มาก
เพราะไม่มีอะไรบกพร่องพร้อมที่จะช่วยคนอื่นได้โดย
ไม่หวังอะไรตอบแทนเขาจะรักหรือไม่รักเรื่องของเขาแต่เราจะให้



รูปภาพ


ชยสาโร ภิกขุ

“ผู้ใดทำบาปไว้แล้ว ละได้ด้วยการทำดี
ผู้นั้นย่อมส่องโลกนี้ให้สว่าง เหมือนพระจันทร์ที่พ้นจากเมฆฉะนั้น”



พระท่านมักยกตัวอย่างองคุลิมาลว่าฆ่าคนมา 999 คน ยังเป็นพระอรหันต์ได้
เราเองได้ทำบาปมากเท่าท่านหรือจึงอภัยไม่ได้
หากแต่ได้ท่านองคุลิมาลมาเป็นกำลังใจแล้ว
ก็ควรเร่งปฏิบัติธรรมตามท่านต่างหากจึง
จะสมควร แม้เราจะไม่ได้เป็นพระอรหันต์
แต่เราก็ยังเดินตามรอยพระอรหันต์ ย่อมเป็นสิ่งดีกับชีวิตเราอย่างแน่นอน


การอภัยให้ผู้อื่น นี่ก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะเมื่อเราโกรธใคร
สังเกตมั้ยว่าเขาไม่ได้รู้เรื่องด้วย
ใจเราเองต่างหากที่ถูกไฟโกรธเร่าร้อนเผาผลาญ ทำไมไม่รักใจเราเอง


แจ๊ค แคนฟิลด์ นักสร้างกำลังใจผู้เขียนงานขายดีไปทั่วโลก ได้พูดไว้ว่า


“การไม่ให้อภัย คือ การที่คุณดื่มยาพิษ และหวังจะให้ผู้อื่นตาย”


เป็นประโยคที่ฉันเห็นว่าให้ภาพของการไม่ให้อภัยได้ชัดเจนที่สุดเลย มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ


อย่างไรก็ตาม การให้อภัยเป็นสิ่งดีกับหัวใจแน่ๆ
ไม่ว่าคุณจะใช้วิธีการอย่างใดก็ตาม เมื่ออภัยไปแล้ว ชีวิตจะเหมือนรุ่งอรุณ
แน่นอนสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นย่อมเจ็บร้าว ทรมาน
แต่เราจะจมอยู่ในความมืดนั้นไปอีกนานเท่าใด และเพื่ออะไร


หญิงสาวคนหนึ่งมีชีวิตตกต่ำอย่างที่สุด
จนวันหนึ่งเธอกำลังทรุดลงกับพื้นห้องน้ำ ขณะที่กำลังจะฆ่าตัวตาย
และนาทีนั้นเธอก็เกิดแสงสว่างขึ้นในใจ
เลิกฆ่าตัวตายและเดินทางออกไปทำสิ่งที่เธอต้องการจะทำหลายอย่าง
จนเขียนหนังสือออกมาขายดิบขายดี และเป็นกำลังใจแก่ผู้อ่านที่ท้อแท้มากมาย
ฉุดให้ผู้อ่านได้พบสิ่งดีๆ ที่ตัวเองต้องการจะทำ
มากกว่าจะก่นแต่ความเศร้าหมองของชีวิต เธอได้กล่าวว่า


“การมีรอยแตก ทำให้แสงส่องเข้ามาได้”


บางทีเราน่าจะนำมาใช้กับเรื่องของการให้อภัยได้
เมื่อหัวใจของเราเจ็บปวดจากการกระทำของคนอื่น
เราจะยึดเหนี่ยวฉุดรั้งความเจ็บปวดไว้ในหัวใจทำไมหรือ
ปล่อยให้แสงสว่างแห่งการให้อภัยเข้ามาโอบอุ้มดวงใจของเราดีกว่า
เราเสียหายนักหรือถ้าจะไม่ได้โกรธเขา
เขาจะล่องลอยไปถึงไหนหรือถ้าเราจะไม่ได้โกรธเขา


ท่านดาไลลามะแห่งทิเบต เขียนไว้ในหนังสือ
‘เบิกบานในชีวิตและตายอย่างสันติ’ ว่า
คนที่มาทำให้เราโกรธนั้น เขาเป็นอาจารย์สอนความอดทนให้เรา
ซึ่งความอดทนนี้คือธรรมะข้อแรกที่ผู้ปฏิบัติพึงฝึกฝน
เมื่อฝึกฝนได้แล้วย่อมเป็นกุศลแก่เรา
แต่เราเองยังส่งอาจารย์ของเราไปลงนรกเสียอีก
เพราะเขาได้ทำกรรมของเขา คือ มาทำเรื่องให้เราโกรธ
ดังนั้น เราไม่ควรจะโกรธเขา แต่ควรจะขอบคุณเขาด้วย


ฉันพบว่าการให้อภัยเป็นสิ่งที่ปลดปล่อยจิตใจอย่างวิเศษจริงๆ
มีความรู้สึกได้ถึงสัมผัสแห่งสันติในใจ
ซึ่งเป็นความรู้สึกที่เปี่ยมล้นและสุขเย็นยิ่งนัก
ขอคุณจงให้อภัยเถิด เพื่อเราจะได้มีสันติในใจร่วมกัน

:b51: :b52: :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2009, 15:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ในวาระของปีใหม่นี้ สิ่งที่ฉันปรารถนาจะมอบให้คุณคือความรู้สึกถึงสุขสันติในใจ
โดยมีวิธีการเข้าถึงใจเราเองอย่างใกล้ชิดที่สุด 3 อย่าง
คือ การดูแลความคิดของตนเองให้อยู่ในวิถีทางที่ดีงามเสมอ
การขอบคุณสิ่งที่มีอยู่ และการให้แสงแห่งการให้อภัยได้สว่างขึ้น
ทั้งสามอย่างนี้เป็นสิ่งที่อยู่ในใจเราตลอดเวลา
และเป็นตัววางแผนที่ชีวิตของเราให้ดำเนินไป
ถ้าเราดูแลมันให้ดีแล้วก็เหมือนรถยนต์ที่เครื่องพร้อม
เราก็จะเป็นผู้ขับมันไปบนเส้นทางแห่งความสุขได้


และมีสิ่งสำคัญสุดท้ายสำหรับเรื่องนี้ก็คือ ขอให้คุณตระหนักรู้ว่าที่จริงแล้ว


“คุณคือความสุข”


- - - - - -


ความสุขไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องเดินทางไปหาแสนไกล
ความสุขนั้นอยู่ในใจคุณอยู่แล้ว
อุปกรณ์ 3 อย่างจะช่วยรื้อถอนสิ่งที่เคยปกปิดความสุขในใจของคุณอยู่นั้นออกไป
และคุณเองนั่นแหละเป็นผู้ยอมให้ตัวคุณเองมีความสุข


จำเป็นด้วยหรือที่เราต้อง
พยายามเป็นพิเศษที่จะรู้สึกเป็นสุข
เมื่อเห็นความงดงามของท้องฟ้าสีคราม
เราต้องฝึกฝนที่จะรู้สึกเป็นสุขด้วยหรือ...
เปล่าเลย เรารู้สึกได้เอง
แต่ละวินาที แต่ละนาทีของชีวิตเราก็เป็นเช่นนี้ได้
ไม่ว่าที่ไหน เมื่อไร เราพร้อมที่จะเป็นสุข
เมื่อเห็นแสงอาทิตย์ เมื่อพบปะกัน
แม้แต่เมื่อรู้สึกถึงลมหายใจของเรา
เราไม่ต้องเดินทางไปสู่อนาคต
เพื่อที่จะเป็นสุขกับลมหายใจ
เราสัมผัสกับสิ่งเหล่านี้ได้ ณ ขณะนี้

ติช นัท ฮันห์
ภิกษุชาวเวียดนาม



ขอให้คุณให้พรปีใหม่แก่ตัวคุณเอง
ด้วยการมองทุกสิ่งด้วยสายตาแห่งความสุข
มีความปรารถนาดีอยากให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ มีการบำเพ็ญทานและรักษาศีล 5
และน้อมใจสู่ธรรมะเสมอด้วยการระลึกว่า


“ทุกสิ่งไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เพราะทุกสิ่งเป็นของไม่เที่ยงไม่แน่นอน
ไม่อาจบังคับให้เป็นไปตามใจเราได้”


พรนี้ไม่มีใครให้คุณได้ นอกจากคุณจะสร้างขึ้นด้วยตัวคุณเอง
แต่อย่างน้อยก็ขอกล่าวด้วยมิตรภาพและความปรารถนาดีตรงนี้ว่า

“ขอให้คุณมีความสุขค่ะ”

ขวัญ เพียงหทัย

:b51: :b52: :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2009, 19:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

สาธุอีกครั้งครับ

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร