วันเวลาปัจจุบัน 29 พ.ค. 2025, 00:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง





กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2009, 15:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ต่อไปพากันตั้งใจ อาตมาได้จากที่นี่ไป เป็นเวลายี่สิบกว่าปี ยี่สิบเอ็ดปี
มาอยู่นี่สองปีออกจากนี่ไปยี่สิบเอ็ดปีแล้ว
กลับมาเยี่ยม นี่เป็นครั้งที่สองหรือครั้งที่สาม อือ! ครั้งที่ สอง
ญาติโยมเรา ทั้งหลายก็คงจะเข้าใจว่า อาตมานี่ปฏิบัติมาอย่าง ไร
ประวัติเป็นอย่างไรก็คงจะเข้าใจ พวกรุ่นเก่าเราเคยอยู่ด้วยกัน
ภายในใจ ความตั้งใจของคนนี่รู้ได้ยาก
ถึงจากไปแล้วก็ยังเป็นห่วงญาติโยมทั้งหลายอยู่เหมือนกัน
กลัวจะไม่เข้าใจ อุตส่าห์พยายามมาแนะนำสั่งสอนอยู่นี่ เป็นเวลาสองปี
ต้องการให้ญาติโยมเป็นผู้สว่างในธรรมะพอสมควร แต่ก็ยากยาก

กาลเวลาที่มาอาศัยอยู่นี่สองปี
ญาติโยมทั้งหลายที่มีใจใสศรัทธาและพยายามนั่นน้อย ยังไม่จุใจอาตมา
ไม่ใช่ถึงกับว่าให้เข้าบวช เรียนเขียนอ่านหรอก
ให้รู้จักแก้ปัญหาในชีวิตของเจ้าของ (ตนเอง) ก็พอ
เบื้องต้นขอให้รู้จักธรรมะ ให้ถึงคุณพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
บางคน ไม่เข้าใจว่าพระรัตนตรัยคืออะไร และเข้าถึงธรรมะเป็นอย่างไร
เข้าใจว่าธรรมะ หรือการปฏิบัติอันนี้นั้น
มันไม่สมควรแก่เรา ว่าเราเป็นฆราวาส เป็นพ่อบ้าน แม่เรือน
เราไม่จำเป็นต้องปฏิบัติอย่างนั้นก็ได้ บางทีคนอาจเข้าใจได้ยาก
ถึงแม้ว่าพาลูกพาหลานในบ้านป่าตาว บ้านคำเตย
บ้านทั้งหลายเหล่านี้ ไปบวชด้วยหลายคน ก็สูญพันธุ์ไปหมด ไม่ค่อยมี
ก็เนื่องจากที่ว่ามันยังมองไม่เห็นนั่นแหละ ยังมองไม่เห็นตามสมควร

ความเป็นจริงอาตมามา ประกาศศาสนาอยู่ที่นี่
ตามชนบทบ้านนอกเราทั้งหลายนี้ ก็มาเทศน์ให้ฟังมากพอสมควร
น่าจะพอเข้าใจ นี่แหละญาติโยมทั้งหลายคงเข้าใจแล้วว่า
การจะให้ ผู้อื่นสอนเรานั้น แม้จะสอนไปจนตายมันก็ไม่ได้
ผลที่สุดแล้ว ก็เรานั่น แหละสอนเราเอง มันจึงได้จึงเป็น
ปัญหาของพวกเราทั้งหลายที่เป็นฆราวาส มีหลายอย่างหลายประการ
เช่นปัญหาการครองชีพ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เราเกิดมาเป็นมนุษย์
ควรรักษาภูมิมนุษย์หรือความเป็นมนุษย์ของเราไว้ให้ดีพอสมควร

การที่อาตมาให้เป็นอุบาสกอุบาสิกาในพระพุทธศาสนา
ก็เพื่อจะตัดกระแสความยุ่งยากทั้งหลาย เช่น เรื่องพิธีรีตองต่างๆ
การสวดมงคล การจัดงานศพ หรือการ แต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่
ทุกอย่างนั่นแหละมันเป็นพิธีต่ำ ไม่มีที่จบที่สิ้น หรอกพิธีการพวกนี้
แล้วแต่คนจะคิดทำไป คิดให้มากก็มาก คิดให้ยากก็ยาก
คิดไปได้ต่างๆนานา เรื่องประเพณี ผิดแค่ไหนก็ทิ้งไม่ได้
เพราะไม่เข้าใจกระจ่าง

อย่างเช่นในกาลก่อนนั้น ประเพณีของบ้านเรา
เกิดมาอายุ ๑๙ ปีหรือ ๒๐ ปี การตกแต่งร่างกายของเจ้าของ
แตกต่างจากเดี๋ยวนี้ เช่นประเพณีการสักขาลาย
อะไรมันจะเจ็บเท่าเอาเหล็กมาสักคนเป็น
คิดดูสิ สักแต่เช้าป่านนี้ยังไม่ถึงครึ่งเลย สักตุ๊บๆๆ อยู่นั่นแหละ
ต้องคอยไล่แมลงวันมันตอมอื้อๆนั่น เลือดก็ไหล
แต่ก็ยังสักอยู่อย่าง นั้นแหละ ทั้งๆที่เจ็บขนาดนั้น นี่คือ ความเชื่อ
อดข้าวตั้งแต่เช้าไปจนเพล จนบ่ายโน่น บางคนก็ยังสักไม่เสร็จ
บางคนเจ็บจนร้องไห้ก็ไม่ยอมเลิก ร้องไปสักไป
หมอสักเขาจะเลิกก็ไม่ยอมให้เขาเลิก นี่มันเป็นอันตราย

นี่คือคนผิด ผิดในพิธีรีตอง ผิดในประเพณี
แล้วไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย คิด ดูสิ
ทุกวันนี้ ให้พากันเข้าใจเรื่องประเพณี
ประเพณีมันก็เรื่องแค่นั้นแหละ แต่ก็ยึดถือกันเหลือเกิน
ถือมั่นถือรั้นถือขลัง ถือทุกสิ่งสารพัด ถือเทวดาอารักษ์
ถือภูติผีปีศาจ เป็นพิธีรีตอง ยาก!

ในการแต่งงานหรือการบวชเป็นต้น หรืองานบุญ เช่น บุญบั้งไฟอย่างนี้
อาตมา เห็นว่าไม่มีประโยชน์อะไร คิดดูสิบุญบั้งไฟมีประโยชน์อะไร
ดีไม่ดีบั้งไฟ ตกถูกคนตายด้วยซ้ำ ไม่เกิดประโยชน์เลย
เล่นสนุกกันเท่านั้นเอง เป็นบุญ สนุก ไม่ใช่บุญหรอกอย่างนี้
ไม่ใช่เรื่องจะเป็นบุญเลย เล่นเสียการเสียงาน เสียสิ่งเสียของ
หกทุ่มยังตีกลองตุ้มๆๆ หมาหอนรับเป็นทอดไป
เฒ่าๆ แก่ๆ ก็ไปทำไปเล่นด้วย อาตมาว่าโง่ที่สุดในโลกนี้
เล่นจนหายโง่จึง เลิก โง่หลาย เขาเรียกว่าประเพณีให้ฝนดีว่าอย่างนั้น
ฝนมันไม่ดีเพราะไป ตีกลองดอก ฟ้าฝนจะดีไม่ใช่เพราะการทำบุญแบบนั้น
จะไปทำอย่างไรมันก็ดีไม่ ได้หรอก
เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่เราจะไปจัดแจงเอาได้
กาลมันมี มันเป็นมันพร่องอยู่อย่างนั้น
ยังมีอย่างอื่นอีกหลายอย่างที่พวกเราทำไป แล้วไม่เกิดประโยชน์เลย
แต่ก็แก้ไม่ได้ เพราะยังมีคนเห็นประโยชน์ในเรื่องเหล่านี้อยู่
อาตมาว่าควรตัดกะทัดรัดเข้ามา

อย่างเช่นการ แต่งงาน ในเวลาแต่งงานมันไม่สำคัญหรอก
มันสำคัญที่แต่งงานแล้ว จะทำมาหา กินอย่างไร
ทำอย่างไรจะได้เงินได้ทองมาเป็นทุนเป็นรอน จะได้เลี้ยงลูก
เลี้ยงหลานสืบตระกูลต่อไป นี่เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

อีกอย่างคือ การแต่งงานควรทำให้เป็นมงคล วิวาหมงคล
ไม่ควรไปจับหมูมาฆ่า ไปจับวัวไปจับควายมาฆ่า มันไม่เป็นมงคลเลย
อันนี้ไม่เป็นมงคลเด็ดขาด งานมงคลไม่ใช่อย่างนี้
งานมงคลเราควรทำให้เป็นมงคล

มงคลคือคุณงามความดี เมื่อเราจะสร้างบุญกุศลอันใด
อย่าเบียดเบียนสัตว์อื่น อย่าเบียดเบียนตัวเรา
เราทำงานที่เป็นมงคล อาวาหมงคล วิวาหมงคล
เพื่อให้ลูก เราดี ให้หลานเราดี ให้ตระกูลเราดี อย่างนี้ต่างหาก
ไม่ใช่คิดว่าจะเอา ของพวกนั้นมาให้มันเป็นมงคลเลย

ในสมัยโบราณท่านทำอย่าง นี้ เวลามีงานมงคล
ใครมีพันธุ์กล้วยดีๆ มีพันธุ์มะพร้าวดีๆ มีพันธุ์พืช อะไรดีให้ปลูก
เอามาช่วยกันปลูก ปลูกไว้เป็นอนุสรณ์ เอาไว้ให้ลูกให้หลาน
อันนี้เป็นอนุสรณ์จากใจ เราจะจับสัตว์ทั้งหลายมาฆ่า กินกันไป
อาตมาว่านั่นมันไม่เกิดประโยชน์ในงานชนิดนี้ ทำกันไปจนเหลือ
บางทีก็ เกิดอมงคล เกิดทะเลาะเบาะแว้งกัน เกิดฆ่ากัน ตีกัน แทงกัน

นางวิสาขามหาอุบาสิกาแต่งงาน แต่งงานด้วยความราบรื่น
แต่งงานด้วยความถูกต้อง แล้วนิมนต์พระเจ้าพระสงฆ์มาอธิบาย
เรื่องการแต่งงานให้ฟังว่า เราอย่าเอามันมายุ่ง
กรรมชนิดนี้เราทำแล้วต้องมีผล
ไม่ให้ผลเวลาหนึ่ง ก็ต้องให้ผลเวลาหนึ่ง
เพราะฉะนั้น อย่า! อย่าทำอย่างนั้น มันไม่ถูกต้อง
ทางที่ดี ที่สุดนิมนต์พระมาสอน ว่าการแต่งงานคืออะไร
เรายังไม่ทันรู้จัก คิดเอาเอง เลยว่ามันสนุก

ความเป็นจริงนั้นมันยุ่ง เรื่องยุ่งนะ คำว่า ครอบครัว น่ะ
ฟังออกหรือเปล่า ฟังคำว่า ครอบ ออกไหม การครอบนี่
ครอบ หมายความว่า งุม (ภาษาอีสาน)
คนเราอยู่เฉยๆไม่มีอะไรมาครอบมางุม มันก็สบาย หายใจก็สบาย
เดินไปเดินมาก็ได้ ลองเอากะเพียด มาครอบเดี๋ยวนี้สิ
จะอยู่สบายไหม นี่หมายถึงการครอบนะ

แล้วคำ ว่า ครัว ก็หมายถึงการทิ่มแทง
ถ้าหากมีคนหนึ่งเอาอะไรมาครอบ แล้วมีอีกคนหนึ่งเอาหอกไปทิ่มแทง
ไปแหย่ จะอยู่ตรงไหนก็อยู่ไม่ได้ นี่คือครอบครัว

บรรพบุรุษของเราทั้งหลายท่านตั้งชื่อว่า ครอบครัว คือ มันยุ่งนั่นเอง
มันมีปัญหาหลาย เราจะต้องพากันมาแก้ความยุ่งทั้งหลายเหล่านี้แหละ
ให้ตัดปัญหาคือ ความยุ่ง ที่จะต้องยุ่งยาก

บรรดามนุษย์ทั้งหลาย ใจนั่น ใจของคนเรา
วันนี้แต่งงานกัน ก็รักกันหวงกันดีอยู่ แต่ว่ามันไม่ เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆนะ
เหตุการณ์ข้างหน้าโน้นมันยังมีมากกว่านี้ บางทีมันจะเกลียดกันก็ได้นะ
เกลียดจนแทบเลิกกัน ที่เลิกกันไปเลยก็มี จิตใจมันยุ่ง
การแก้ปัญหาสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นของที่สำคัญ

เช่น ว่าเราจะทำมาหากินอย่างไร เป็นต้น ถ้าเรามีครอบครัวแล้ว
ผู้หญิงก็ ดี ผู้ชายก็ดี จะต้องอยู่ในวงจำกัด มีวงจำกัดของเจ้าของ
การไปมาหาสู่ กัน การใช้จ่ายเงินทอง กิจการทั้งหลาย เป็นต้น
ต้องอยู่ในวงจำกัด ไม่เหมือนเป็นโสด
เป็นโสดเราอยากไปไหนมาไหนก็ไปได้
อยากใช้จ่ายอย่างไรก็ตาม เรื่องของเรา
อันนั้นเพราะว่า ไม่มีอะไรมาครอบเราไว้

บัดนี้เรามีครอบครัว เรามาอยู่ในวงจำกัด
การแสวงหาเงินทองข้าวของ เพื่อจะเลี้ยงลูก
เลี้ยงตระกูลของเราให้เป็นไป อันนี้เป็นของสำคัญมากที่สุด
สำคัญกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง
ประเพณีที่เราทำกันอย่างการจัดงานตกแต่งวันนี้
การมาทำขวัญผูกข้อมือกัน กินเลี้ยงกัน
อันนี้น่ะเป็นของภายนอก นอกที่สุด

สิ่งที่ดีคือ มาทำความเข้าใจกันในระหว่าง คู่ผัวเมีย
ฝ่ายชาย ในฐานะที่มีอุดมเพศ เพศใหญ่ เพศสูง
ส่วนผู้หญิงเรา นั้นเป็นเพศต่ำ เพศอ่อน จึงอยู่ด้วยกันได้
ถ้าเพศเสมอกันก็อยู่ได้ยาก คนเราเสมอกันอยู่ได้ยาก
อันนี้เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ฉะนั้นทำ อย่างไรจะอยู่ร่วมกันได้นี่
ต้องมาทำความเห็นให้มันถูกต้องกันในครอบครัว
จะทำมาหากินอย่างไร อันนี้สำคัญมากที่สุด
ทำความเข้าใจกันให้ได้ให้ดี อย่าให้เกิดความทะเลาะเบาะแว้งกัน
ให้เข้าใจในครอบครัวของเจ้าของให้ ได้

พระพุทธเจ้าท่านสอนนางวิสาขา มีครอบครัวแล้วแบ่งวัว
วัวหลายร้อยหลายพัน แบ่งให้นางวิสาขาครึ่งหนึ่ง
เวลาแบ่งกันจบลงแล้ว วัวอีกครึ่งหนึ่งพากันกระโดด
ไปเข้าคอกนางวิสาขาด้วยจนเต็มแน่นไปหมด
เพราะอานิสงส์ที่ตอนเป็นเด็กน้อย
นางวิสาขาเคยได้ตามตายายไปฟังเทศน์ ฟังธรรมอยู่เรื่อยๆ
จิตนางมีศีลธรรมเป็นอุบาสิกา เข้าถึงตั้งแต่เป็นเด็กน้อย
ไปสร้างวัดไปฟังธรรม เห็นผู้ใหญ่รักษาอุโบสถ ก็เอาบ้าง
ท่านไม่กิน ข้าวเย็นก็ไม่กินบ้าง
หัดฝึกมาตามประสาเด็กน้อยด้วยศรัทธา
อานิสงส์ธุดงควัตรที่นางวิสาขาได้บำเพ็ญ
เป็นเหตุให้วัวแบ่งกันแล้ว
กระโดดเข้าไปในคอกของนางวิสาขาจนเต็ม

แล้วท่านสอนนางวิสาขาว่า อย่านำไฟ ในบ้านออกไปนอกบ้าน
อย่านำไฟนอกบ้านเข้ามาในบ้าน ให้รู้จักบ้านของเจ้าของ
เรื่องในบ้าน เรื่องของพ่อแม่ลูกเมีย อย่าเอาไปพูดข้างนอก
อย่าเอาไปประจานข้างนอก เรื่องข้างนอกอย่าเอาเข้ามาข้างใน
มันเป็นคนละเรื่องกัน พ่อแม่ลูกเมียอยู่ในครอบครัวเรา
อยู่ในการปกครองของเรา เราพูดกันได้ง่ายๆ อย่าให้มันยาก

บางแห่งอาตมาไปเห็น ไม่เข้าใจกัน เลย ผัวกับเมีย
พ่อตากับลูกเขยลูกสะใภ้อย่างนี้
มีเรื่องขึ้นมาก็เคี่ยวเข็นกันไปหาผู้ใหญ่บ้านบ้าง
ไปบ้านกำนันบ้าง ไม่รู้เรื่องอะไร โง่ก็โง่ เสียจริงๆ
ตัวเองตากแดดร้อน เข้าในร่มเองก็ไม่เป็น
หิวน้ำกินน้ำเองก็ไม่เป็น ต้องให้ผู้ใหญ่บ้านเอาให้กิน
ต้องให้กำนันเอาให้กิน อาตมาว่ามันโง่หลาย
เรื่องของตัวเองจะไปให้คนอื่นตัดสินใจให้

อาตมาเคย เห็นบ้านหนึ่ง ผู้ใหญ่บ้านแกเบื่อเหลือเกิน
ไปหาแกก็ไปพูดเรื่องเก่านั่น แหละ ไม่เสร็จเรื่องสักที
เรื่องของเจ้าของนั่นควรแก้เอาเอง เรื่องครอบ ครัวของเรา
เรื่องกับพ่อกับแม่ กับลูกกับหลานเรา ตัดสินกันเอาเอง
ระงับกันเอาเอง ค่อยๆพูดจากันให้เรียบร้อย
ไม่จำเป็นต้องไปหาผู้ใหญ่บ้าน ไปหากำนัน
ไปครั้งหนึ่งก็เสียคนครั้งหนึ่ง ไปครั้งที่สองก็เสียคนอีก
ไปครั้งที่สามไม่มีคนแล้ว
เสียหมด แย่จริงๆ ข้าวอยู่ในเล้าเจ้าของ
เอามาสีหุง กินก็ไม่เป็นนึ่งกินก็ไม่เป็น
น้ำอยู่ในบ่อ อยู่ในโอ่ง ตักกินไม่เป็น
มันก็สุดโง่เท่านั้นแหละคนเรา ใช้ไม่เป็น

อาตมาว่ามา ทำความเข้าใจอันนี้เสีย ดีหรือชั่วให้เข้าใจกัน
เพราะเรื่องพ่อตากับลูก เขย แม่ผัวกับลูกสะใภ้นี่ เข้าใจกันยาก
เรื่องผู้เฒ่ากับเด็กน้อยก็เข้า ใจกันยาก
พวกเราทุกคนก็เหมือนกันนั่นแหละ
เคยเป็นลูก ก็เข้าใจพ่อแม่ยาก เหมือนกัน
อาตมาก็ยังเคยเป็นเลย เรามันใจรื่นเริงอยากเล่นอยากไป
แต่ตื่นเช้ามาพ่อแม่ก็ใช้ให้ทำงาน
มันขัดใจจริงๆ อยากไปเล่นไม่ได้ไปนี่ เช้าก็บอกเย็นก็บอก
บอกไปทำงานนั่นแหละ ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก แต่มันขัดใจเรานี่
บอกไปบอกมาเราก็ชักโมโห
หือ! ผู้เฒ่านี่วุ่นวายจริงแฮะ ร่ำรี้ร่ำไร อยู่นั่นแหละ ว่าไปโน่น

ข้างฝ่ายผู้เฒ่า เป็นพ่อแม่เขาก็ กลัวแต่ว่าลูกตัวเองจะไม่ดี
เรียกมาพูดอยู่นั่นแล้ว ตอนเย็นก็พูด ยิ่ง พูดมาก
ตอนเช้าก็พูด ยิ่งพูดมากอีก คุมโน่นคุมนี่
ข้างลูกก็ว่าอีตานี่ จู้จี้จุกจิก เลยยิ่งหนีไป พ่อแม่ก็ยิ่งคุมคนไม่รู้เรื่องกัน
ยิ่งพ่อแม่ สอน เขายิ่งว่าพ่อแม่บ่น เขาไม่ได้คิดว่าพ่อแม่สอนนะ
ข้างพ่อแม่ก็คิดว่า ตัวเองสอนลูก ลูกก็ว่าพ่อแม่บ่น มันเลยไปกันคนละทาง
ไม่เข้าใจกันสักที นี่มันเป็นเรื่องเข้าใจยาก

ทำอย่างไรมันจะเข้าใจกัน
ถ้าไม่เคยเป็นพ่อคนแม่คนมาก่อน มันไม่เข้าใจหรอก
พ่อแม่นี่พอเข้าใจ ลูก เพราะเราเคยเป็นลูก
แต่ลูกนั่นสิยังไม่เคยเป็นพ่อคน
ผู้ใหญ่ก็พอเข้า ใจเด็กน้อยได้ เพราะเราเคยเป็นเด็กน้อยมาก่อน
เด็กน้อยจะเข้าใจผู้ใหญ่นี่ เข้าใจยาก เพราะไม่เคยเป็นผู้ใหญ่มา
นี่มันเป็นเรื่องอย่างนี้ มันจึงพูด กันยาก ยากหลาย

ทีนี้ ถึงจะยากอย่างไรก็ตาม เราก็อยู่ด้วยกันมาได้กับพ่อแม่ของเรา
ถึงท่านจะดุจะว่าก็อยู่กับท่านได้ ถึงจะโกรธ ก็พออยู่ได้
เพราะธรรมะ คือความเคารพ แม้ว่าท่านจะดุ จะจู้จี้ พูดกัน ไม่เข้าใจ
แต่ท่านเป็นพ่อแม่เราก็เคารพ พ่อแม่นี่เป็นสิ่งที่เคารพมากที่สุด
คนว่าเราบางทีเราโมโห เราเคยตอบโต้
เดี๋ยวเถอะ! แกไม่ใช่พ่อแม่ไม่ ใช่แม่ฉันนะ อย่างนี้เป็นต้น
เคารพอยู่เคารพพ่อเคารพแม่เจ้าของ
คือจะโกรธจะแค้นอย่างไรก็ฆ่าพ่อฆ่าแม่ของเราไม่ได้
ก่อนจะฆ่าได้ก็ต้องเห็นว่า ไม่ใช่พ่อแม่ของเราเสียก่อน
อย่างนี้เป็นต้น นี่คือคนรู้เรื่อง

แต่ว่าต้องเป็นพ่อคนเป็นแม่คนมาแล้วนั่นแหละ จึงจะรู้
มันก็ไม่ทันกันซีทีนี้ มาถึงตอนเราโตเป็นผู้ใหญ่ เป็นพ่อคน
สอนลูกแล้วลูกเราไม่ฟัง ตอนนี้ แหละจะได้ย้อนคิดถึงพ่อแม่
แต่พ่อแม่ก็ตายไปแล้วเลยไม่ทันกันสักที
จึงเป็นกรรมเป็นเวรกันไม่สิ้นสุด
มันต้องถึงการถึงเวลามันจึงจะค่อยเป็นไป
ชาติไหนภพไหน มันก็เป็นเหมือนๆกันอย่างนี้แหละ

มันอยู่ ได้ด้วยการเคารพ คารวะ
เช่นว่า เราโมโหขึ้นมาถ้าเราคิดได้ว่า
ช่างเถอะ ผู้เฒ่าหรอก จะดุด่าว่ากล่าวยังไง
ท่านก็เป็นพ่อเป็นแม่ เลี้ยงเรามา ก็พอทำใจได้
ข้างฝ่ายพ่อแม่ก็เข้าใจเด็ก
ถ้าสอนแล้วลูกไม่ค่อยฟังก็ ...อื้อ ปล่อยมันไปก่อนเถอะ
มันยังเป็นเด็กอยู่ เด็กน้อยมันก็อย่างนี้แหละ
โตขึ้นมันจะค่อยรู้เรื่องไปเอง นี่ ต่างคนต่างวาง
ลูกก็เข้าใจ ว่าพ่อแม่เราเลี้ยงเรามา มันก็อ่อนลง ระบายออก

คาระโว จะ นิวาโตจะ การเคารพซึ่งกันและกัน
ทั้งพ่อและแม่ ทั้งลูกและหลานทั้งหลายนี่
จึงค่อยเข้าใจกัน อยู่ด้วยกันมาได้
แม้ไม่พอใจก็อยู่มาได้เพราะความเคารพ
คือ ธรรมะ ฉะนั้นหลักธรรมะนี่แหละ
เป็นข้อสังเกตเป็นเครื่องผูกมัดพวกเราทั้งหลาย
ไม่ให้แบ่งหรือแยกกันได้
ประเพณีทั้งหลายเหล่านี้เราควรพัฒนา
คิดดูในปัจจุบันนี้ก็ได้ เรื่องการพัฒนาต่างๆ คิดดู
คือแต่ละครั้งละคราวนี้มันยาก ยากหลาย
ควรพัฒนาทางด้านการบ้านเมืองของเรา การครองชีพของเรานี่
แล้วก็ควรพัฒนาทางด้านจิตใจของเรา ควรพัฒนาดัดแปลง

หลักใหญ่ที่สุด พระพุทธหนึ่ง พระธรรมหนึ่ง พระสงฆ์หนึ่ง
ซึ่งเป็นหลักของพวก เราชาวพุทธทั้งหลาย
เวลามีความสุขก็ทำบุญ มีความทุกข์ก็ทำบุญ
เรียกว่าทำบุญมาตั้งแต่ตอนเกิดเลย โกนผมไฟ โกนจุก
โตขึ้นจนแต่งงาน ก็ต้องนิมนต์ พระเจ้าพระสงฆ์มา
บวชก็ไปหาพระอีก สึกก็มาหาอีก ไปแต่งงานก็เอาพระไปอีกแหละ
ตายก็พระไปอีก ไม่เสร็จเรื่องสักที ลักษณะอย่างนี้แปลว่า
พวกเราค่อนข้างถือมั่นถือรั้นในประเพณีพุทธศาสนา

อย่างเช่นที่ อาตมาให้ปฏิญาณตนเป็นอุบาสกอุบาสิกาในวันนี้
บางคนก็อาจจะยังไม่เข้า ใจ
บางคนก็จะคิดว่าถ้าปฏิญาณไปแล้วทำไม่ได้ ก็จะเป็นบาป
บางคนเข้าใจ อย่างนั้น ไม่ใช่หรอก

หมายความว่าให้เข้าวัด ให้ถึงพระ รัตนตรัย
เช่นว่าเดือนหนึ่งมี ๓๐ วัน แบ่งให้พ่อออกแม่ออก ๒๖ วัน
แบ่ง ให้พระ ๔ วัน คือข้างขึ้นข้างแรม
วันพระ ๗ ค่ำ ๘ ค่ำ ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ นี่เป็นวันของพระ
อีก ๒๖ วันที่เหลือ เป็นวันของคน พระท่านแบ่งให้ ๔ วัน

แบ่งกันโยมได้หลายปานนั้น เอาเปรียบนะ เอาเปรียบพระหลายอยู่
เพราะว่าโยมต้อง ทำมาหากิน แต่ในระยะเดือนหนึ่ง
ขอพยายามพากันเข้าวัดพัก...
ให้พากันมีศีลบริสุทธิ์ให้ดีแท้ๆภายใน ๔ วันนี้

สามสิบวัน ท่านให้ พระ ๔ วัน พวกโยมเราเอา ๒๖ วัน
ปานนั้นก็ยังไม่พอเลย ยังมาขโมยเอาวันพระไปใช้อยู่เลย
เดี๋ยวก็มาแบ่งเอากับพระอีก เอาเปรียบอยู่เรื่อยอย่างนี้
แล้วเมื่อไรพวกเราจะได้เรื่องได้ราวเสียที ควรแบ่งเอาไว้

ท่านแบ่งให้แล้วว่า แม่ออกพ่อออกมีครอบครัว
ทำมาหากินยากลำบาก เอาไป เลย ๒๖ วัน พากันทำมาหากิน
แต่ ๔ วันนี่เลิกทำบาป เดือนหนึ่ง ๓๐ วัน
แบ่งให้โยมหลายกว่าพระปานนั้นยังไม่พอใจ จะทำอย่างไรล่ะ
เดี๋ยวก็มาขโมยเอาวันพระไปเสีย เอาไปค้าไปขายไปสร้างบาป
ลงท้ายก็เลย ไม่มีพระมีเจ้า ไม่มีวันจะประพฤติปฏิบัติ
นี่น่ะ ลองไปคิดดูก็แล้วกัน

ชาวบ้านนอกอย่างพวกเรา ทำมาหากินก็คงทำบาปบ้างเป็นธรรมดานะ
ก็เห็นใจอยู่ เหมือนกันแหละ แต่ว่า พระท่านขอ ๔ วัน
ภายใน ๓ วันของเดือนนั้นให้หยุดเสีย หาโอกาสพักเสียบ้าง
ไม่ว่าเราจะอยู่บ้าน อยู่วัดหรืออยู่ที่ไหนก็ตาม
ธรรมดาผู้เฒ่าก็เข้ามาอยู่วัดเสีย พวกหนุ่มๆอย่างนี้ก็เข้ามาวัดเสีย
หรือจะอยู่บ้านก็เลิกทำบาป เลิก! ไม่ทำแล้วบาป
นี่ ถ้าทำอย่างที่ ว่านี้นะ สองเดือนรวมกันก็จะได้ ๘ วันเลยนะ
ปีหนึ่งก็จะได้หลายวันทีเดียว นี่เล่นเอาไปเป็นวันคนหมด
วันพระเลยไม่มี เบียดเอาๆยิ่งเห็นพระ
ท่านไม่พูดก็ยิ่งเอา เอาจนหมดเลย วันพระเลยไม่มี โยมเอาหมด
แล้วทำอย่างไรพวกเราจะเจริญงอกงามไปได้
ที่จิตใจเราจะเจริญผ่องใสอยู่เสมอนั้น เมื่อ ไรเราจะได้รู้จัก

อาตมาเห็นว่า ถ้าพวกโยมจะมัวแต่ยุ่งยากอยู่อย่างนี้
มันไม่มีวันได้หยุดหรอก ไม่เชื่อก็ลองดู ยิ่งยากยิ่งยุ่ง
ยิ่งยุ่งยิ่งยากเข้าไปเรื่อยๆ ไม่มีโอกาสจะว่างจะวายได้หรอก
ไม่มี ถ้าไม่แยกเอา ทำเอา แบ่งเอา ค่อยๆทำเอา

ลองคิดดู สิ ว่าการทำงานนี่มันจะมีวันสิ้นสุดได้ไหม
สมัยก่อนอาตมามาอยู่ที่นี่ ก็เห็นยุ่งอย่างนี้แหละ
มาเที่ยวนี้ก็ยังยุ่งอยู่เหมือนเดิม ยังตัดไม่ได้
ยังตัดไม่ได้ อยู่เรื่อยๆไป จะต้องไปตัดมันทำไม
เอามันเก็บไว้นั่น แหละ มีนาก็ทำนา มีไร่ก็ทำไร่นั่นแหละ
แต่ให้รู้เรื่องของมันเท่านั้นเอง ให้มีกาลมีเวลาหน่อย

ในเดือนหนึ่งพากันพักเสีย บาปไม่ ต้องทำมันดอก
จะทำงานทำการอะไรก็ทำไป แต่อย่าทำบาป
ให้พากันเป็นพระ เสีย ๔ วัน
อย่างนี้อาตมาว่ามีปัจจัยอยู่นะ มีปัจจัยอยู่

เช่น ว่า มะม่วงลูกหนึ่งอย่างนี้นะ
ถ้าเน่าหมดทิ้งลูกก็ต้องทิ้งละมะม่วงลูกนั้น
แต่ถ้าเน่าข้างเดียว ยังทิ้งไม่ได้ เพราะมันยังมีอีกข้างหนึ่งที่ ใช้ได้อยู่
ถ้าเน่าทั้งลูก เอาให้เด็กมันยังไม่เอาเลย ให้หมา หมามันก็ไม่เอา
ก็มันเน่าหมดแล้วนี่ แต่ถ้ายังเหลือข้างหนึ่ง
อาตมาว่ามะม่วงลูก นั้นยังใช้ได้อยู่ ยังมีที่จะใช้อยู่

คนเรานี้ก็เหมือนกัน ถ้าพวกเราทั้งหลายพากันทำวันคนวันพระให้ถูกต้องดีแล้ว
ประชาชนเราทั้ง หลายก็จะมีความอยู่เย็นเป็นสุข
เพราะมันจะถ่ายทอดเข้าไปเรื่อยๆ การเข้าไปใกล้ชิดนั้นมันจะเป็นปัจจัย
เหมือนเด็กน้อยนี่แหละ ลองเอามาหัดให้กราบพระ ไหว้พระตั้งแต่ยังเด็กดูสิ
มันจะติดเป็นนิสัยไปจนโตเลย

ทำไมท่านจึงให้เข้าวัด ทำไมจึงให้เข้าถึงธรรมะ
เพราะธรรมะนั้นให้ประโยชน์ตน ให้ประโยชน์ผู้อื่น ให้มีความสุข
ธรรมะท่านหาเงินให้เราอย่างนั้น หรือ เราจึงจะมีความสุข
ท่านช่วยทำนาอย่างนั้นหรือ ท่านช่วยทุกอย่างนั่นแหละ
ไม่ช่วยเฉพาะสิ่งที่ไม่ดีเท่านั้น ทำนาท่านก็ช่วย ทำไร่ท่านก็ช่วย
ทำการงานอะไรท่านก็ช่วย ไม่ช่วยเฉพาะในสิ่งที่ผิด นี่คือ ธรรมะ

ที่เราขยันเราหมั่นเพียร เราฉลาดในการงานทั้งหลาย อย่างนี้เป็นต้น
ก็ล้วนแต่ธรรมะช่วยทั้งนั้น
ถ้าเราไม่พิจารณา ก็คิดว่านั่นไม่ใช่เรื่องของเรา
การคุ้มครองตัวเองของเรา การที่เรารักษากาย วาจา
และภายในจิตของเจ้าของนั้น พวกเรามองไม่เห็นความสำคัญ
ไปเห็นสำคัญที่นาโน่น เงิน โน่น สมบัติ พัสถานทั้งหลายโน่น
ไม่เห็นส่วนสำคัญในร่างกายเจ้าของ
คือ กาย กับใจนี้ ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญมาก

อาตมาเคยไปถามญาติโยม ทั้งหลายที่เข้ามาในวัดว่า
เขาพากันทำอะไรบ้าง เขาก็บอกว่า ทำนาค้าขาย
ทำอะไรสารพัดอย่าง พอถามว่าได้อะไรบ้างล่ะ
ก็ตอบว่าได้สิ่งที่ทำนั่น แหละ

แล้วที่จะเอาจริงๆน่ะ จะเอาอะไร อาตมาถาม ที่หาอยู่ทุกวันนี้
หามาตั้งแต่เล็กจนโต จนจะแก่เฒ่าตาย
ที่จะเอาจริงๆน่ะจะเอา อะไร เอาตรงไหน

เขาไม่รู้หรอก ว่าจะเอานาก็เห็นตายจากนาไป เสียนี่
จะเอาควาย เอาลูกเอาหลาน ก็เห็นหนีไปหมด
แน่ะ! เกิดมาทำไม ถ้าอย่างนั้น ไม่หาเอาอะไร
ยังไม่มีไม่ได้อะไรเลย ไม่รู้ที่จะเอา

ผลที่สุดถามคนตั้งหลายๆสิบ ก็ไม่มีใครรู้สักคน
ตอบได้แต่ว่า ไม่รู้ ไม่ เคย ไม่รู้ว่าจะเอาอะไร
ถามเข้าไปได้แต่ จั๊กเแหลว จั๊กแหลว (ไม่ รู้ ไม่รู้)
พากันพูดได้คำเดียว คือ จั๊กแหลว
คนว่า จั๊กแหลว นี่มันหมด ท่าแล้วนะ ไม่มีที่ไปแล้ว

นี่แหละ ให้เรารู้จักส่วนสำคัญ ของร่างกาย ชีวิตจิตใจของเรา
สิ่งที่เราได้ไปนั้นคือความดีและความชอบทั้งหลาย
ซึ่งจะติดตามตัวเราไป สิ่งใดที่ใจเรายึดมั่นหรือหมายมั่นไว้
จิตวิญญาณก็จะไปฝังอยู่ในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น
ไปฝังในส่วนที่เป็นกุศลนั้น ส่วนที่เป็นบาปเป็นบุญนั้น
ท่านจึงเรียกว่ามันได้บาปกับบุญไป ได้ดี กับชั่วไป

สิ่งทั้งหลายที่เราสร้างมาในโลกนี้ มันก็ล้วนแต่เป็นสมบัติของโลกนี้
คล้ายๆเราตัดไม้อยู่ในป่า เราก็ไปดึงเอาเถาวัลย์ในป่านั่นแหละมามัด
มันเป็นอย่างนี้ เอาไม้ในป่ามาปลูกบ้าน ปลูกอยู่บนดินนี้
มันก็เป็นสมบัติของโลกเท่านี้
ส่วนทั้งหลายเหล่านี้เป็นส่วนของโลก เอาไปด้วยไม่ได้

อันนี้บางคนไม่รู้จักแยกแยะออก ไม่ รู้จักส่วนได้ของเจ้าของ
ที่ท่านเรียกว่าบุญกับบาป ดีกับชั่วทั้งหลายนั้น
มีความสงบ มีความสะอาด มีความสว่าง
แล้วมีความใสสะอาด อันนี้คือ ส่วนได้
สิ่งที่มนุษย์ของเราทั้งหลายต้องการ คืออันนี้เอง
อันนี้ไปกับ เราได้ เอาไปได้

เมื่อเราตายภพชาติหนึ่ง อันนี้ก็ตามไปความ ดีเกิดขึ้นที่ไหน
ความอุดมสมบูรณ์เกิดขึ้นที่นั่น ความสุขทั้งหลายก็เกิดขึ้นที่นั่น
เหมือนกันกับบุคคลที่มีปัญญา ไปอยู่ที่ไหน ก็ทำที่นั่นให้เจริญ
ทำที่นั่นให้ถาวร แม้ทำไร่ ทำนา ทำสวน ดินที่นั่นไม่งาม
ผู้มีปัญญาไปอยู่ คือผู้มีบุญ ก็ทำที่นั่นให้งาม ทำให้มันดีขึ้นได้
จิตใจเรา ทั้งหลายเมื่อเป็นกุศลธรรม ก็จะทำจิตเราให้ดีได้ ให้เด่นได้
ทำเราให้ดี ได้เด่นได้ สงเคราะห์ผู้อื่นให้ได้ให้เป็น
นี่เขาเรียกว่าผู้มีบุญ ทำบุญ กันเดี๋ยวนี้

ข้อสำคัญก็คือ ประเพณีนี่ชักจูงคน จูงไป หลาย ติด! คนติดประเพณี
เรื่องประเพณีนี่ อาตมาเคยคิดหลายอย่าง
ไม่ใช่เรื่องยากเรื่องง่ายอะไรเลย
เรื่องวันดีคืนดีนี่มันเรื่องอะไร ลองคิดดูดีๆ สิ


ที่มา...
http://www.ruendham.com/book_detail.php ... 4%C3%D1%C7

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ส.ค. 2009, 22:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ส.ค. 2007, 09:17
โพสต์: 239

ที่อยู่: สุโขทัยธานี

 ข้อมูลส่วนตัว




-แต่ง.jpg
-แต่ง.jpg [ 78.91 KiB | เปิดดู 3744 ครั้ง ]
:b8: :b20:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2009, 11:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


วันคืนน่ะมันดีของมันอยู่แล้วทุกวัน
ฤกษ์ก็ดี วันก็ดี ปีเดือนมันก็ดีอยู่แล้ว มันไม่ได้เป็นอะไรเลย
แต่เป็นเพราะคนไปสำคัญมั่นหมายกับมันต่างหาก
ให้คิดดูดีๆ ให้ภาวนา ดีๆ จึงจะรู้จักได้
จะต้องขึ้นบ้านใหม่วันนั้น จะต้องแต่งงานวัน นั้น วันจมวันฟู
ฤกษ์เท่านั้น ต้องให้เหมาะกับฤกษ์ของท่าน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเจ้านาย ถึงกับเอานาฬิกาจับเวลาทีเดียว
พอถึงนาทีนั้นก็เอาเลย สวดชะยันโตขึ้น
เจ็ดวันเท่านั้นแหละ แตกกันแล้วทะเลาะกัน
ไม่สนใจ ฤกษ์ผานาที วันดีคืนดีไม่สนใจ
ถ้าทะเลาะกันแล้ว หนีเลย
เออแน่ะ แต่ถ้าร่ำรวยก็ไปหาความสุขนอกบ้านนอกเมือง
เพราะไม่เข้าใจเรื่องอย่างนี้
ฤกษ์มันเอาคนไว้ไม่ได้ วันมันเอาคนไว้ไม่ได้ดอก
ฝ้ายผูกไว้มันไม่อยู่หรอก ไม่มีอะไรผูกให้อยู่ได้ นอกจากสร้างความดี

ฉะนั้น มาสอนกันให้รู้จักความดีนั่นแหละ มันถึงดี
วันคืนฤกษ์ยามอย่างนี้เป็นต้น
มันเอาดีให้เราไม่ได้หรอก เอาชั่วให้ก็ไม่ได้
ไม่เชื่อก็ลองดู พระพุทธเจ้าท่าน ไม่สรรเสริญ

แต่ว่าจะแต่งงานวันไหน จะขึ้นบ้านใหม่วันไหน
ก็ดูว่าทุกอย่างพร้อมหรือยัง ข้าวของเงินทอง กาลเวลามันพร้อม
นั่นล่ะ ดีแล้ววันนั้น มันพร้อมกันแล้วดี ปีก็ดี เดือนก็ดี วันก็ดี ยามก็ดี
จะทำ ให้คนดีไม่ได้นอกจากเรามาทำความดี
วันคืนฤกษ์ยามจะเอาความชั่วมาให้เราก็ไม่ได้ มันไม่ใช่อย่างนั้น

ผู้นับถือพระพุทธศาสนา ผู้ถึงคุณพระพุทธหนึ่ง
คุณพระธรรมหนึ่ง คุณพระสงฆ์หนึ่ง จะไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลย
เขาว่าวันไหนไม่ดีก็ไม่สนใจ ผู้ถึงคุณพระรัตนตรัยจึงสบายหลาย
เพราะไม่ยึดถืออะไรอย่างอื่น ไม่ถือสิ่งที่ไม่ควรถือ
ถือสิ่งที่ควรถือ สิ่งที่ ไม่ควรถือไม่ถือ
รู้จักดีรู้จักชั่ว รู้จักผิดรู้จักถูก นี่ มันต้องเป็นอย่างนี้

พระรัตนตรัยท่านไม่ให้ถืออันนั้นอันนี้ วันก็ ดี เดือนก็ดี ปีก็ดี
จะเอาความชั่วมาให้ไม่ได้ จะเอาความดีมาให้ไม่ได้
นอกจากความชั่วนั้นเราทำเอาเอง
มันจึงเป็น ความดีนั้นเราทำเอาเองมันจึงเป็น
วันจะทำไม่ได้ เดือนจะทำไม่ได้ ปีจะทำไม่ได้ ไม่มีอะไรจะทำได้สักอย่าง
นอกจากเราทำเราให้มันดีได้ มันปรากฏให้เราเห็นอยู่แล้วว่า
แต่ละ วันๆ ทุกวันนั้นแหละ
มันมีคนทำดีทำชั่วได้ทุกวัน มันเป็นของมันอยู่อย่าง นี้ตลอดเวลา

ฉะนั้น จึงว่าให้พากันดัดแปลง อย่าไปถือจนเกินไปให้มันยุ่งยาก
เรื่องประเพณีนี่ ให้คิดดู อย่าไปกลัวมันเสีย
อย่า อย่า กลัวมันเสีย สิ่งที่มันดี คนมีปัญญาต้องรู้จัก
พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนอย่างนั้นเลย
ท่านสอนธรรมะให้คนมีปัญญารู้จักตัด
ตัดออกอันไหนไม่มีประโยชน์ ตัดออกๆ
อันไหนเกิดประโยชน์ ให้สร้างไว้ อย่างนี้ง่าย

การแต่งงานนี่อาตมาว่าง่ายที่สุด ง่ายหลาย
การบวชก็เหมือนกัน ได้อุปัชฌาย์ แล้วอาตมาบวชไม่ยาก
อยู่ไปอยู่มา เราบวชเสียเถอะวันนี้ ก็บวชเลย
บวชยี่สิบกว่ารูปก็เคยบวช บวชเฉพาะพระเณรนี่แหละ
มันจะเป็นอะไรไป อยากบวชกลาง คืนก็บวช บวชที่ไหนก็บวช
มันไม่ยากเรื่องบวช ที่สำคัญบวชมาแล้ว
จะปฏิบัติ ได้ไหม จะอยู่ได้ไหม อันนี้มันสำคัญหลาย

อาตมาทำ ง่ายๆ ไม่ว่าทำอะไร ง่ายแท้ๆ
ถ้าสมควรแล้วก็บวชเลย อุปัชฌาย์นี่บวชเลย
มันจะยากอะไรเรื่องบวช ไม่หาวันให้ยากหรอก
ไม่ต้องทำขนมข้าวต้มก็ได้ ขอแต่ให้มีผ้าไตรก็บวชเลย
ไปมัวห่วงข้าวเปลือกข้าวสารอยู่นั่นหรือ
ไปเที่ยวเชิญคนโน้นคนนี้อยู่นั่นหรือ
ใครอยากมาก็มา ไม่อยากมาก็แล้วไป
ใครจะ ถวายกองบวชก็เอามาถวายเสีย
ถวายแล้วบวชหรือไม่บวชก็เป็นของอาตมาเลย
ถวายแล้วก็จบเรื่องกัน กลับบ้านไปเลย
บวชหรือไม่บวชก็แล้วแต่ ต่างคนต่างบวช เป็นอย่างนั้น ไม่ยาก

มันไม่ใช่เรื่องยากหรอก เราไปยึดถือเอง
ที่ถือก็เพราะอยากให้มันดีนั่นแหละ จะมีพิธีทำขวัญนี่ก็เหมือนกัน
จัดพานยอดสูงไม่รู้กี่ชั้นต่อกี่ชั้น มันจะล้มลงมาทับคนตายนั่น
รู้เรื่องหรือเปล่า มันไม่ได้ดีเพราะยอดอันนั้นหรอก
ถ้าทำไม่ดีแล้ว มีแต่มันล้มเท่านั้นแหละ
อันนี้ให้เราพิจารณาให้มันดี เดี๋ยวก็ว่า

โอ๊ย! ครูบาอาจารย์ก็พูดแต่เรื่องตัดๆ ตัดไป

ตัดซี อันไหนไม่ดีตัดออก ไม่อย่างนั้นมันจะดีได้อย่างไร

แหม! ก็ทำอย่างนี้มาตั้งแต่สมัยพ่อแม่เราแล้ว

บ๊ะ! มัน เป็นขี้ขโมยมาแต่พ่อแต่แม่ ก็ยังจะรักษาไว้อย่างนั้นหรือ
จะไม่เลิกหรือ ถึง ได้ว่าถือมาแต่สมัยพ่อแม่โน่น
อันไหนมันไม่ดีเราก็ตัดออก ตัวของเรามีหู มีตานี่ จะว่าอย่างไร

ต้องศึกษาพุทธศาสนา เราพากันหลงมากเหลือเกิน
เช่นว่า เราเข้าถึงพระรัตนตรัยนี่นะ
เราจะเลิกหลง ถึง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่ต้องบวชหรอก อยู่บ้านนั่นแหละ
การขึ้นบ้านใหม่ก็สบาย การทำนาก็สบาย
แต่งงานลูกเต้าเอาลูกเขยก็สบาย ทำอะไรก็ง่ายเหลือเกิน
ไม่เสียในสิ่งที่ไม่ควรเสีย ถ้าจะเสียก็เสียในสิ่งที่เป็นประโยชน์
มันไม่เป็นประโยชน์อย่าไปเสียกับมัน อย่าไปทุ่มเทให้มัน
เพราะ เราหาประโยชน์นะ ต้องหาประโยชน์

พระพุทธเจ้าของเราท่านตัด อย่างนั้นนะ
ตัดอย่างนั้น ให้รู้จักสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งที่ไม่เป็น ประโยชน์ละมันออก
พยายามตัดออกๆ เราจะต้องทำให้เหมือนพระ ไม่ใช่ให้เป็นพระดอก
ขอแต่ว่าให้เราทำอย่างดีที่สุดของเรา
เป็นต้นว่า หนึ่ง ทำกายของเราให้ มันดี ทำใจเราให้มันดี
ของสำคัญ ส่วนสำคัญในมนุษย์ก็มีทั้งหมดเท่านี้แหละ

ถ้าเราดีไม่ได้ ตัดมันออกไม่ได้ อยู่ในบ้านนั่นแหละ แต่อย่าให้มันหนักหนา
เช่น อย่างที่ว่าให้ฟัง วันพระมี ๔ วัน วันคน ๒๖ วันอย่างนี้
ก็อุตส่าห์ให้มันได้ ให้พยายาม ถึงแม้ว่าไม่ได้ไปวัดก็ให้มันได้วันนั้น
วัน ๗ ค่ำ หรือ ๘ ค่ำ วัน ๑๔ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำ อย่างนี้ให้มันได้พยายาม
ในวันนั้นพยายามรักษากาย วาจาและใจ ให้มันมีศีลมีธรรม
มันจึงจะพอเป็นไปได้ นี่อะไร พวกชาวบ้านเรา
เอาไปเอามาเลยจะไม่มีวันพระเลยกระมัง นี่ มายึดเอาไปหมดแต่เมื่อไรไม่รู้
เอาไปเป็นวันคนหมดเลยทั้ง ๓๐ วัน มัน ก็มืดอยู่อย่างนี้แหละพวกเรา

ให้พากันรักษาสักหน่อย มีประโยชน์น่า
ถ้าปัญญาไม่เกิดนะ สมบัติก็เกิดไม่ได้ ทำสวนก็ฉลาดในการทำสวน
ทำนาก็ฉลาดในการทำนา ทำทุกสิ่งทุกอย่างท่านให้มีความฉลาด

ความฉลาดท่านว่า กุสโล
กุสโล คือกุศล
กุศล นั่นคือบุญ
อกุสโล นั่นคือบาป
อกุสโลนั่นก็คือความไม่ฉลาด คนไม่ฉลาดนั่นแหละเป็นบาป

นี่มันเป็นอย่างนี้นะ ไม่ใช่ว่าบุญเราจะไปทำเอาที่อื่นที่ไหน
ไม่ใช่อย่างนั้น ทำจิตให้เป็นบุญ ทำจิตให้ฉลาด
ถ้าจิตโง่นั่นก็เป็นบาป ถ้าจิตฉลาดนั่นก็เกิด บุญ

ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงมองเห็นของสำคัญ ในตัวเรา คือกายกับใจ
เป็นสิ่งที่สำคัญกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง
ทรัพย์สมบัติที่เราหามาได้ก็เพราะกายกับใจเป็นผู้หา เป็นผู้วิ่ง
เป็นผู้พินิจ เป็นผู้พิจารณา เราทั้งหลายให้ยึดไว้ให้มันดี อย่าให้มันเสีย

จะอย่างไรก็ให้ได้ ๔ วันนี่เป็นวันพระของเจ้าของพยายาม
ถึงแม้วันนั้นไม่ ได้ไปวัดก็ไม่เป็นไร ให้กำหนดเอาไว้
ให้ความดีมันมีติดต่อกันนานๆ ปีไป เดือนหนึ่งนี้ ๔ วัน
เดือนหนึ่ง ๔ วันทุกเดือนไป
ปีหนึ่งมันได้กี่วัน ล่ะ มันก็คงมีวันพระวันคนหรอก

อันนี้อะไร จนจะตายอยู่แล้ว วันพระไม่รู้เท่าไหร่
วันคนเป็นอย่างไร เอาวันพระไปเป็นวัน คนหมดเลย มันแย่เกินไปแล้ว
ไม่เสียดายเจ้าของสักน้อยเลย

วันพระนั่นก็ให้เป็นพระหน่อย คิดไว้อันหนึ่ง ตีตราเอาไว้
มนุษย์สมบัติของเราจะ ได้เกิดขึ้นมาโดยสมบูรณ์
อย่างน้อยก็จะรู้จักเรื่องเจ้าของละตลอด ถึง ๓๐ วันไม่มีวันพระสักวัน
ปีหนึ่งวันพระก็หมดเลย มีแต่วันคนแล้วละ ก็ไม่ได้เรื่องแล้ว
จะว่าอย่างไร ถ้าไม่เคยได้ซักซ้อม
ไม่เคยได้ยินได้ ฟังสักครั้ง มันก็เป็นไปต่างๆนานาแหละ

เราทั้งหลายอย่าเข้าใจว่า หาเงินมามากๆได้ของมามากๆ มันจะสบาย
อย่าไปเข้าใจอย่างนั้น ทีเดียวนา
อย่าเข้าใจอย่างนั้น เข้าใจผิด เข้าใจผิด
แต่ว่ามันจะมากหรือมันจะ น้อย ก็ให้เราหาไปให้รู้จักประมาณ
มันจะพอตรงไหนน่ะหรือ ให้มันหายอยากเสีย ก่อนมันจึงจะเลิกเลย
ถ้ามันยังอยากอยู่มันพอไม่เป็นหรอก
พอไม่เป็น ตายจาก มนุษย์ไปเกิดเป็นสัตว์

เกิดเป็นสัตว์คือ อย่างสุนัขนี้เราดูสิ
เอาข้าวปั้นหนึ่งนี่ทิ้งให้มันกิน มันก็กินหมด สองปั้นก็หมด สามปั้น ก็หมด
ปั้นที่สี่นี่กินไม่ได้ นี่ นอนเฝ้าอยู่กินไม่ได้
ท้องแน่นแล้ว ไก่จะมากิน ฮือ! ฮือ! จะกัดไก่เห็นไหม
หมาจะ มา ฮือ! ฮือ! ท้องตัวเองเต็มกินไม่ได้ ก็ยังหวงอยู่
มันน่าจะให้ ไก่ ให้หมู่เพื่อนกินด้วย ก็ยังไม่ได้
ใครว่าหมาตัวนั้นมันอิ่มบ้าง หมา ตัวนั้นมันยังไม่อิ่ม
ท้อง! ท้องน่ะมันอิ่มแล้วแหละ ใจมันไม่อิ่มสักที

คนเราก็ไม่ใช่กินไม่อิ่มนะ มันไม่พอต่างหาก
กินไปก็ไม่พอ กินไปก็ไม่พอ
อาตมาว่ามันกินไม่มากเท่าไรหรอกน่าพวกเรานี่
อยู่บ้านว่ามีมากๆน่ะ นอนเสื่อเป็นโหลเลยหรือ
นอนคนละโหลเลยหรือเสื่อน่ะ เตียงนอนซ้อนกัน ๒-๓ เตียง
หรือ หมอนหนุนกี่อันถึง ๓-๔ อันหรือเปล่า คอหักตายเท่านั้นเอง

คงจะพอปานนั้นแหละน่า ไปเคี่ยวเข็นอะไรนักหนา
จนจะไม่ให้ตัวเองมีศีลมีธรรมสักที
คิดว่าทำอย่างนั้นแล้ว จะสบายอย่างนั้นหรือ มันไม่มีทางสบายได้หรอก
มีแต่มันจะมุดเข้าไปเรื่อยๆ ฉะนั้นอาตมาจึงแบ่งเวลา แบ่งไว้

อย่าห่วงเกินไปนักเลย เช่น อาตมาเคยเห็นคนหลายคน
ทำงานกับลูกกับหลานก็ ฮึ! กู หนีไปนี่ละมึงตายแน่ ไม่มีอะไรกิน
ถึงวาระหนึ่ง ตัวเองหนีไปเสีย ให้ลูกให้หลานทำนาเอง
เขาได้ข้าวมากกว่า พ่อก็มีถมไป
อย่าไปคิดว่าเราตายไปเขาจะไม่มีอะไรกิน
ให้เราคิดให้มันรอบคอบ แต่ว่าให้เรารู้จัก มีลูกให้รู้จักลูก
มีหลานให้รู้จักหลาน มีเงินมีทองให้รู้จัก
แล้วมันจะไปจบตรง ไหน ไม่มีที่จบที่สิ้นสักทีหรอก
ไม่มีวันจบ ไม่มีวันเสร็จ เพราะของพวกนี้ มันไม่มีทางเสร็จ
แล้วก็ไม่มีทางพออีกเหมือนกัน ทำไปแค่ไหนก็ไม่พอ
เพราะก้นมันรั่ว ไม่เชื่อลองไปเจาะก้นโอ่งดูสิ
แล้วเอาน้ำมาเทใส่ มันจะเต็มสักที ไหม
ถ้าไม่ไปอุดรูรั่วที่ก้นมันเสียก่อน มันไม่เต็มหรอก

อันนี้ก็เหมือนกันนั่นแหละ อิ่มไหมล่ะ
เหมือนหมาที่ว่านั่นแหละ ท้องจะแตก อยู่แล้ว
นอนตาปรือขวางปั้นข้าวอยู่นั่นแหละ
มันน่าจะให้ทานไก่กินเสีย ไก่มันไม่ได้น่ะ
ถ้าหมาตัวอื่นมาก็ควรจะสละให้เขาเสีย
นี่ ชยัง ฮื่อๆๆๆ อยู่นั่นแหละ บ๊ะ! คนเรานี่หากเป็นขนาดนั้น
ยังไม่เท่าหมาก็น่าจะเกือบๆเท่าแล้วละ
อย่างนั้นแหละท่านเรียกว่าตายเป็นหมา
ตายเป็นอีแร้ง เป็นเต่า เป็นหมู เป็นหมา เป็นคนหูหนวก ตาบอด
ห้าร้อยชาติ มันตาย ด้วยวิธีอย่างนี้ ไม่ใช่อื่นไกลอะไรเลย นะ

ที่เราอยู่กัน ทุกวันนี้ มันไม่ค่อยทุกข์เท่าไรหรอก
อาตมาว่านะ อาตมาไปกรุงเทพฯ เห็นคนทุกข์
แหม! อันนั้นค่อยสมกับว่ามันทุกข์หน่อย มายืนอิงต้นไม้อยู่นั่น
แขนขาดข้างหนึ่ง ขาขาดข้างหนึ่ง ตาก็บอด
ถือไม้เท้ายึดต้นไม้ อยู่ อันนั้นถ้าแกจะบ่นว่าทุกข์ อาตมาก็เห็นด้วย
เห็นที่แกเป็นทุกข์ อยู่ นะ ขาก็มีข้างเดียว แขนก็มีข้างเดียว ตาก็บอดนะ
ถ้าแกจะบ่นว่า โอ๊ย! ข้าน้อยทุกข์ อาตมาก็เห็น เห็นที่แกทุกข์อยู่เหมือนกัน
แต่ อย่างพวกเรานี่ อาตมาไม่เห็นนะ ตาก็ดี หูก็ดี แขนขาดีไปมาได้
ไม่เห็น ว่าจะทุกข์ตรงไหน ถ้าไม่คิดผิด ถ้าเอาแค่พอกินนะ มันไม่อดหรอก
เกิดมาใน โลกนี้ ขอเพียงตามี หูมี แขนมี ขามี
ไม่จำเป็นต้องไปลักไปขโมยเขา
ถ้าเรา ประพฤติดีประพฤติชอบ อยู่กับใครก็ได้กิน ทำอย่างไรก็มีกิน
ถ้าเห็นส่วน สำคัญในเจ้าของแล้ว มันมีอยู่อย่างนี้แหละ
แต่คนเราทั้งหลายไม่ได้พิจารณา เจ้าของ

ศีลธรรมทั้งหลายท่านให้พิจารณาอย่างนี้มันจะช่วย ช่วยตัวเรา
ทำแต่ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งที่ไม่เกิดโทษ เกิดขึ้นมา แล้วเราสบาย
เมื่อพิจารณาไปมากๆ นานๆไปนะ เฒ่าไป แก่ไป
อาตมาว่าได้ภาวนา ไป ยิ่งม่วนไป ยิ่งสนุกไป ยิ่งสนานไป
เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ได้ เห็นหลายอย่าง
อาตมาจึงภูมิใจอยู่เลย เกิดมาเป็นมนุษย์นี่มันเห็นหลายอย่าง
คนรวยก็เห็น คนจนก็เห็น คนใหญ่ก็เห็น คนน้อยก็เห็น เห็น ทุกอย่าง
เฉพาะอย่างยิ่งอยู่วัดป่าพง โอ๊ย! ยิ่งกว่าอยู่ที่ศาลอีก เขาไปให้การ บางคนก็ว่า
โอ๊ย! ผัวข้าน้อยหนีไปมีเมียใหม่ หรือไปถูกเขาทำเสน่ห์เข้าก็ไม่รู้
เออ! มันไปถูกของเขานั่นแหละ
เมียก็หนี ทิ้งลูกไว้ มันไปยังไง
อ้าว! มันก็ไปอย่างนั้นแหละ
เดี๋ยว ก็ลูกตาย เดี๋ยวก็เมียตาย อี๊ย! มาฟ้องอยู่นั่นแล้ว
อาตมามีปัญญาหลายกว่า เก่านะอยู่ที่นั่น
ไม่เหมือนอยู่บ้านป่าตาวเลย มีคนมาฟ้อง มาให้ความรู้ เรื่อยๆ

มีตาแก่คนหนึ่ง อยากอยากจนไม่รู้ตัวเอง แกมีลูก ชายคนหนึ่ง
แล้วก็มีนาหลายไร่ ตัวเองก็แก่ คิดไปคิดมา นอน คิด
เราตาย เดี๋ยวลูกเรามันจะไม่ได้อะไรเสียกระมัง
ว่าอย่างนั้น ก็ไปโอนอะไรๆให้ลูก หมด โอนให้หมดแล้ว
ทำยังไงทีนี้ ฮื้อ! เกิดมันตายล่ะ หาเมียให้มันเสีย เถอะ จะได้เสร็จเรื่องไป
พอหาเมียให้มันแล้วก็คิดไปอีก เผื่อลูกเราตาย
ลูกสะใภ้มันคงเอาหมด เอ๊า! เป็นบ้า!

อาตมาว่าบ้าปานนี้รับไม่ได้ดอก ไปโรงพยาบาลศรีมหาโพธิ์
คิดไปอะไรกันนักกันหนานี่ ให้ลูกแล้วก็ ไม่แล้ว
มันไม่มีเมีย หาเมียให้มัน ได้เมียแล้วก็กลัวลูกตัวเองตายจาก
กลัวลูกสะใภ้เอาไปกิน ยังกับตัวเองจะไม่ตายสักที
บ๊ะ! ไปโรงพยาบาลศรี มหาโพธิ์โน่น อาตมาช่วยไม่ได้ดอก ถ้าถึงขนาดนี้แล้ว
คนเรามันคิดอย่างนี้ นะ มันคิดมากเกินไป
ความคิดมันมากกว่าปัญญา มันยากลำบาก ให้พวกเราคิดดู

อาตมาจากบ้านป่าตาวนี้ไป กลับมาคราวนี้
ผู้คนอะไรต่ออะไรเปลี่ยนแปลงไปมาก
เด็กน้อยก็กลายเป็นผู้เฒ่า ผู้เฒ่าก็ยิ่งเฒ่าเข้าไป
อาตมาว่า ไม่เห็น ได้อะไรเลย มีใครได้อะไรไหม
กระทั่งดงปอก็จะแตกหมดแล้ว มันจะหมดทุกอย่างแล้วนะ
ไม่ได้อะไรหรอกพอปานนั้นแหละ

ถึงว่าให้รู้จักพอ ประมาณกันหน่อย
อาตมาว่า ให้รู้จักประมาณ อย่างว่าจะถอนตัวออกนี่
ถอนมา อยู่บ้านนี่ ให้คิดย้อนกลับสักหน่อย
ให้คิดกลับสักนิดหนึ่ง ละสิ่งที่มัน ควรละ
จะอย่างไรก็ทำใจให้มันสบาย นั่งก็สบาย
นอนตรงไหนก็สบายแล้ว เรา นั่นมันสบาย

จะยึดอะไรไว้เป็นหลักของเรา ยึดวันพระ เข้าไว้ ๔ วัน ในเดือนหนึ่งนี่
อย่างไรเสียก็ให้ยึดไว้ แม้ไม่ได้ไปวัดก็ ยึดไว้ลองดู
ถ้าทำอย่างอาตมาว่านี้ จะดีกว่าเก่าอยู่นา
ถ้าทำก็จะเห็นความ ดีในเจ้าของขึ้นเลย
เดี๋ยวนี้แหละ อันนี้มันทำไม่ถึงที่ถึงปลายมันสักที
ทำทื่อๆอยู่อย่างเก่าแค่นั้น เมื่อไรมันจะสิ้นจะสุด มันไม่ใช่อย่าง นั้นหรอก

อันนี้ก็เหมือนกันนั่นแหละ ให้ถึงพระรัตนตรัย
ให้ถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่ให้ถึง
คืออยากจะให้หยุดคิด หน่อย หยุดคำนึงหน่อย หยุดพิจารณาหน่อย
เรื่องการก่อร่าง สร้างตัวนี้นะ ไม่ใช่อาตมาไม่อยากให้ญาติโยมร่ำรวย
ได้ดิบได้ดี อยากให้ได้ให้มีเหลือเกินละ ในทางที่มันดีมันงาม
มีมาแล้วก็ให้พากันอยู่เย็นเป็น สุขสบาย อย่าให้มันเป็นโทษ
กรรมนี่สร้างแล้วมันได้หนา ไม่ได้วันนี้ก็ได้ วันอื่น
จะต้องได้ต้องมีบุญและบาปนี่ จะต้องมี
สร้างบุญก็ต้องได้บุญ ถึง คราวได้ มันต้องได้ มันได้ สร้างกรรมนี่แหละ เป็นต้น
วันหนึ่งมันจะต้องเป็น กรรมจริงๆ กรรมดี กรรมชั่วก็เหมือนกัน

ทีนี้การที่เราแต่ง งานแล้วกราบเรียนครูบาอาจารย์มา
เชิญญาติพี่น้องมา อันนี้มันเป็นเบื้องแรก
เป็นเบื้องแรกในการที่เราจะตั้งชีวิต เข้าใจไหม
แต่ก่อนเคยเป็นลูก ตอนนี้จะมาตั้งตัวเป็นพ่อคนแม่คน

เราเป็นลูกเขามันไม่ยากหรอก เรือนรั่วมันก็ไม่ถูกลูกนะ
มันถูกแม่กับพ่อโน่น ข้าวในยุ้งไม่มี มันก็ไม่ถึงลูกนะ
มันถึงพ่อกับแม่นั่น เงินไม่มี ขาดเขินมันก็ไม่ถึงลูกนะ
มันถึงพ่อกับแม่โน่นนะ มันเป็นอย่างนี้หนา คนเป็นลูกนี่สบาย
ตอนเช้า ตอนเย็นแต่งตัวไปเที่ยวไปเรื่อยๆ ไปมันอย่างนั้นแหละ

เกิดมาก็อ้างเอาเลยว่าบ้านเป็นของตัวเอง ใช่หรือไม่ใช่ก็ไม่รู้
เกิดมาก็ ว่า บ้านข้านะ นาข้านะ
ที่แท้บ้านตัวเองลมมันพัดใบอยู่ในป่าโน่น
ที่แท้ก็มาเกิดกับเขา มาเอาบ้านเขาเป็นบ้านตัวเอง

ต่อจากนี้ไปเรา จะได้ตั้งตัวของเราเอง จะได้ไปสร้างบ้านเอาเอง
ไปหานาเอาเอง ไปหาเงินเอาเอง เราจะได้เป็นพ่อคนแม่คน
เราจะได้ลูกเกิดขึ้นมา ทีนี้ละลูกมันก็จะ ว่า บ้านข้า เงินข้า นาข้า
มันเป็นอย่างนี้มาแต่ครั้งพ่อแม่แล้ว อะไรๆมัน ก็ของข้าทั้งนั้นแหละ
ที่แท้ไม่ใช่ของตัวเองเลย ท่านหาไว้ทั้งนั้น ตัวเองพึ่งมาเกิด
โตขึ้นมาก็มาบอกว่าบ้านข้า นาข้า ควายข้า
คิดดูดีๆ ไม่เคยหาควายได้แม้แต่ตัวเดียว
มีแต่ควายของพ่อควายของแม่ มีแต่นาของพ่อนาของแม่
ผลที่สุดแล้ว ของตัวเองไม่มี นี่!

ต่อจากนี้ไปเราจะต้องใช้หัวคิดมากกว่าเก่า
เราจะเป็นพ่อคนแม่คนนะ ฉะนั้นท่านให้ตั้งใจให้ มันดี
การแต่งงาน อย่างนี้เป็นต้น ท่านจึงทำให้เป็นมงคล
ทำให้มันดี ท่านจึงจัดให้เป็นอาวาหะ วิวาหมงคล ทำให้เป็นมงคล
ถ้าเราจับวัวจับ ควายมาฆ่า มันก็เป็นอมงคลเท่านั้นเอง
มันจะเป็นมงคลไปได้อย่างไร ไม่เป็นหรอก
เป็นไปไม่ได้ อันนั้นเรื่องของโลก

เข้าใจอยู่ว่าโลก มันเป็นอย่างนั้น
จะว่าเป็นโจร โจรเขาก็ต้องขโมย ก็ถูก ไม่ผิดหรอก
แต่ว่า เราจะไปขโมยอย่างนั้นทุกคนหรืออย่างไร
ประเพณีเขาทำมาอย่างนี้ ก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก ไม่ผิด
แต่ว่าโจรมันขโมยมาอย่างนี้ เราจะไปขโมยเหมือนโจรหรือ
ก็ทำยังไงได้ เขาทำมาอย่างนี้
เอ๊า! เราจะเป็นโจรอย่างนั้นหรือเดี๋ยวนี้ ก็ถูกอยู่
โจรมันเคยขโมยมา ไม่ได้ว่าอะไร มันเป็นคนไม่ดี มันถึงไปขโมยเขา
เราจะไปถือเอาคติของโจรมาทำให้เป็นโจร
ให้เหมือนโจร มันจะดีไหม ล่ะ ว่าอย่างนั้นหรอก
เออ! ถูกอยู่ ทำมาแต่ครั้งพ่อแม่
ที่จริงทำมาแต่ครั้งก่อนพ่อก่อนแม่โน่นแหละของพวกนี้
แต่ว่ามันไม่ดีนะ ถึงแม้ทำตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้าจะมาอุบัติขึ้นก็ช่าง
มันก็ไม่ดีอยู่นั่นแหละ เรื่องมันไม่ดี
เรื่องมันไม่ดีอย่างนี้ เราไม่ต้องจับมาปฏิบัติต่อ
อย่างนั้นชาวพุทธจะมีปัญญาหรือ

ก็เหมือนกันกับทางไป บ้านป่าตาว ไปภูน้อยนี่แหละ
ไปตัดตอออกทำไมถ้าอย่างนั้น
ถ้าจะเอาตาม ประเพณีก็ลากเกวียนระต้นไม้ต้นไร่ไปเลยซี
ไปถางไปตัดไปพัฒนามันทำไม เมื่อมันไม่ดี ตรงไหนมันสูงก็ขุดลง
ตรงไหนต่ำก็พูนขึ้น มีรากไม้ตอไม้ก็ขุดออกซี จะได้ไปสบาย
มันถึงจะเรียกว่าพัฒนา จะเก็บไว้ตั้งแต่ครั้งพ่อครั้งแม่
มันก็ไปไม่ได้เท่านั้นเอง มีแต่ตอมีแต่ต้นไม้
อย่างนี้แหละ ให้เราคิดอย่างนี้เรื่องแก้ปัญหานี่
ควรอย่าให้มันค่ำเสียก่อน ล่ะ มันจะแก้ไม่ทันนะ
ถ้ามันค่ำเสียก่อนแก้เจ้าของได้ยินไหม

มาแย่งเอาแต่วันพระไป
ให้หลายกว่าพระแล้วยังมาเบียดเบียนไปอยู่นั่นแหละเอา
ไปเอามาเลยจะเอาเป็นวันคนหมดเลย นี่แหละให้พากันทำใหม่
ให้พากันพัฒนา ใหม่ อย่าทำให้มันยาก
ใครทำได้อย่างนี้ดี ง่ายๆ ทำง่ายๆ สบาย

ต่อไปนี้ปฏิบัติให้มันดี ให้มันถูกต้อง หาเงินหาทอง ต่อๆไป นี้
ปฏิบัติ ผัวกับเมียนี่มันจะทะเลาะกัน มันจะเลิกกัน มันจะหย่ากัน
อุดมคติไม่ตรงกันนี่ ให้แก้ปัญหาอันนี้ให้มันได้
อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ กว่าการแต่งงาน นะ อันนี้ให้พากันเข้าใจ

เอาหนังสือมาให้ พากันท่อง พากันดูรักษาไปด้วย
ไม่ใช่ว่าให้บวชกันหมดหรอก ให้ถึงพระ รัตนตรัย
วันนี้เป็นอุบาสกอุบาสิกา นับถือพระพุทธศาสนา
คือพระพุทธ พระ ธรรม พระสงฆ์ ยิ่งกว่าอย่างอื่น
นับถืออย่างอื่นก็นับถืออยู่ดอก แต่ว่าไม่ยิ่งไปกว่านี้ ให้ยึดไปอย่างนี้
เป็นอุบาสกเข้าใกล้พระศาสนาทำไป
ทำไปๆ เมื่อพระรัตนตรัยแก่กล้าแล้ว ไม่ตกนรก ห้ามนรกได้

ทำไม ถึงห้ามนรกได้ อ้าว! ก็ ๔ วันนั่นแหละไปประกัน
เอามา ๔ วันไปประกันเอามา ไป ทะเลาะกับเขา
เขาจับไปแล้ว ๔ วันนั่นแหละไปทะเลาะกับเขาเอาคืนมา
ถ้าไม่ มี ๔ วันนี้ มีแต่วันคนหมดนะ ไม่มีใครจะไปเอามาหรอก
นั่นแหละทุนมันใส่ เอาไว้ ฝากออมสินเอาไว้ ๔ วันนะ จะไปกินจนหมด
กินมากก็ขี้มากทิ้งไป เปล่าๆหรอก ไม่มีพอสักที
ให้วันคนหมดทั้ง ๓๐ วัน มันก็พอปานนั้นแหละ ให้พากันฝากธนาคารไว้
เดือนหนึ่ง ๔ บาทๆๆ ฝากไว้ ใส่ออมสินเอาไว้
ให้มันมีวัน พระเดือนหนึ่ง ๔ วัน
ตาของเราจะค่อยใสขึ้นๆๆ เรื่อยๆ มันเป็นอย่างนั้น
แต่ก่อนมีเงินเดือนเอาไว้ ใจเรามันจะหันมาๆ

อันนี้เป็นคติของลูกหลาน ต่อไปลูกหลานเราจะถืออันนี้เป็นคติของเรา
เมื่อไร ถึงวันพระ ๔ วันนี้เขาจะหยุดงาน
ไม่ทำบาปในวันนี้ พักใจเราก็สบายใน วันนี้
แต่นี่พวกเรายังไปเล่นม้า ไปตีไก่ ไปเล่นโบก ไปทำอันนั้นอันนี้
ยิ่งเอาวันเปรตวันผีมาเพิ่มเข้าอีก ไม่ใช่วันคนด้วยซ้ำ
ยิ่งร้ายเข้าไปใหญ่ จะให้ลูกหลานเราดีไปอย่างไรนี่
มันไม่ถูก แล้วอย่างนี้ ให้พากันพิจารณาดู

เอาไปพิจารณาดูให้ดีๆ นะ ธรรมะนี่ดีนาไม่ใช่ของไม่ดี
เรามันคิดไม่ถูกต่างหาก
วันคืนมันล่วงไป ล่วงไป อะไรๆมันก็ไม่คงที่นะ
วันไหนก็ไม่รู้จะถึงตาเรา ตอนนี้ก็มี แต่ข่าวคนอื่น
คนนั้นก็ตายแล้วนะ คนนี้ก็ตายแล้ว

:b8: :b8: :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 26 ส.ค. 2009, 11:39, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2009, 12:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 เม.ย. 2009, 06:18
โพสต์: 731

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอกราบอนุโมทนาบุญ สาธุ............. tongue
คำสอนของหลวงปู่ชา สุภัทโธ
มีจุดเด่นตรงที่ ปุถุชนอย่างเราฟังแล้วเข้าใจง่าย

มนุษย์แปลว่ามีจิตใจสูง บุคคลที่มีจิตใจสูง
ไม่ใช่ปล่อยไปตามกิเลส ไม่ใช่รับจ้างกิเลส
ถ้าเป็นมนุษย์มีอุดมคติ มันก็ต้องทำอะไรอย่างมนุษย์
ฉะนั้นการแต่งงานการสมรสก็ทำอย่างมีอุดมคติ

เรื่องเป็นสามีภรรยาอย่างไรที่อุดมคติดีที่สุด
อย่างไร....? เอามาศึกษา....................
มันก็ศีลธรรมที่รู้ๆกันอยู่.. ความซื่อสัตย์
ความกตัญญู ความรัก ความสามัคคีที่ประกอบไปด้วยธรรม
ไม่ประกอบไปด้วยกิเลส..........
ถ้าไม่เอาธรรมะเข้ามา ความรู้สึกตามสัญชาตญาณอันนี้จะตำ
เป็นไปตามอำนาจกิเลส


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร