วันเวลาปัจจุบัน 25 ส.ค. 2025, 05:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง





กลับไปยังกระทู้  [ 50 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2009, 23:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ตอนที่ 16
ยาจกเข้าโรงแรม

ตอนอายุได้สักเจ็ดแปดขวบ นอกจาก “ซักแห้ง” แล้ว ผมไม่เคยรู้เลยว่า “อาบน้ำ” เป็นอย่างไร

คำว่าซักแห้งก็คือ การเอาเสื้อผ้าเก่าของคนตายมาฉีกออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใช้แทนผ้าขนหนู น้ำผ้าไปชุบน้ำในแม่น้ำ บิดให้หมาด แล้วใช้เช็ดตามเนื้อตามตัว ผมเชื่อว่าอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ผู้อ่านหลายท่านก็คงย่นจมูกเหมือนได้กลิ่นเหม็นสาบลอยมาใช่ไหมล่ะครับ คุณคงสงสัยว่า “แล้วมันไม่เหม็นสาบแย่เหรอ แล้วพวกเธอไม่เหม็นสาบกันเองบ้างเหรอ ทำไมไม่อาบน้ำล่ะ”

แต่สำหรับครอบครัว ๆ หนึ่งที่ลำพังจะหาอะไรกินก็ยังเป็นเรื่องลำบาก แค่จะยังชีพก็ยังเป็นปัญหา แล้วใครเล่าจะมาใส่ใจว่าอาบน้ำหรือยัง ยิ่งครอบครัวเร่ร่อน ค่ำไหนนอนนั่น แผ่นฟ้าคือหลังคา ผืนหญ้าคือเตียงนอน บ้านที่จะคุ้มหัวก็ไม่เคยมีอย่างเรานั้น แทบจะไม่ต้องพูดถึงห้องอาบน้ำด้วยซ้ำไป หรืออาจพูดได้ว่า แต่ไหนแต่ไรมาเราไม่รู้ว่า “สะอาด” นั้นมีรสชาติอย่างไร มันก็เหมือนกับที่เขาว่ากันว่า “ปลาข้องเดียวกัน” พออยู่นานไปก็ไม่ได้กลิ่นเหม็นของกันและกัน

แต่วันนี้ไม่รู้ว่าพ่อเกิดผิดสำแดงอะไรขึ้นมา หรืออาจเป็นเพราะวันนี้ท่านหาเงินติดกระเป๋ามาได้นิดหน่อยกระมัง ท่านจึงตัดสินใจพาพวกเราไปอาบน้ำที่โรงแรมกันดูสักครั้ง ดังนั้นเราจึงยกโขยงมุ่งหน้าเข้าเมืองกัน เดินไปก็ถามทางเขาไปเรื่อยว่าที่ไหนมีโรงแรมที่พอจะมีห้องอาบน้ำสาธารณะอยู่บ้าง

ถามเขาไปเรื่อยจนในที่สุดก็มีคนซื้อชี้บอกทางเรามาที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ผมวิ่งไปที่หน้าเคาน์เตอร์ด้วยความตื่นเต้น เขย่งปลายเท่าขึ้น มือสองข้างเกาะเคาน์เตอร์สูง ๆ ตัวนั้นไว้ แล้วตะโกนถามข้างในว่า “ขอถามหน่อยครับ ที่นี่ใช่โรงแรมหรือเปล่าครับ”

เถ้าแก่เงยหน้าขึ้นแล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “พวกแกตาบอด หรือปัญญาอ่อนอ่านหนังสือไม่ออกกันแน่ ไม่รู้จักเงยหน้าขึ้นอ่านป้ายเอาเองหรือไง!”

ถูกเผงเลย เถ้าแก่พูดได้ถูกต้องทุกคำเลยละครับ บ้านเราคนหนึ่งตาบอด อีกสองคนปัญญาอ่อน ส่วนผมกับอาเจียวพี่สาวก็ยังไม่เคยเข้าเรียนย่อมอ่านหนังสือไม่ออกแน่ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะตอบว่าอย่างไร เถ้าแก่ก็เงยหน้าขึ้นมาเจอะกับครอบครัวประหลาดของเราเข้าเสียก่อน พ่อตาบอด แม่กับน้องชายก็ดูเหมือนคนไม่เต็มเต็ง ผมกับพี่สาวแม้จะดูปกติดี แต่ก็ตัวดำ สกปรกซกมกเต็มที แล้วยังเด็กทารากน้อยอีกสองสามคนอยู่ในย่ามที่พ่อหาบเร่มาด้วย สีหน้าของเถ้าแก่เปลี่ยนเป็นตะลึงขึ้นมาทันที วินาทีต่อมาแกตั้งสติขึ้นมาได้ ก็โบกมือไล่พวกเรา พร้อมกับตวาดเสียงลั่น “ออกไปให้พ้นไป๊ ที่นี่ไม่ใช่พรรคกระยาจกนะโว้ย มีเงินก็ไม่ให้พัก ข้ายังต้องค้าต้องขายนะโว้ย พวกเอ็งไปที่อื่นไป๊ ไป ๆ รีบไสหัวไปให้พ้นเลย ไป๊!”

เราถูกปิดประตูใส่หน้าอย่างนี้อยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งมาถึงที่โรงแรมอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่ายังโดนไล่ตะเพิดออกมาอยู่เช่นเดิม แต่คราวนี้พอเถ้าแก่ตะเพิดเราออกมาแล้ว เขาก็เดินตามเราออกมาอยู่เช่นเดิม แล้วหยิบเงินหนึ่งเหมามายัดใส่มือผม เขาคงเข้าใจว่านี่เป็นเทคนิคการขอทานแบบใหม่ของพวกเรา ลองคิดดูสิครับว่ามีเงินสดอยู่ในกระเป๋าแท้ ๆ แต่กลับไม่มีปัญญาจะหาโรงแรมเช่าแล้วใช่ว่าจะขอกินฟรีอยู่ฟรีเสียเมื่อไร พ่อคงจะเก็บความเจ็บช้ำนี้ไว้ในอกมานานแล้ว พอได้ยินเสียงเถ้าแก่หยิบเงินมาให้พวกเรา ความอัดอั้นจึงระเบิดออกมาตอนนี้เอง พ่อวางทารกน้อยลงแล้วหยิบไม้เท้าขึ้นมาตีผมใหญ่ ผมเจ็บมากจนร้องไห้จ้า เสียงหัวเราะเยาะ คำพูดดูถูกเหยียดหยาม เหยียบย่ำถากถางเราเหล่านั้นล้วนเสียดแทงใจพ่อ แล้วมันไม่บาดใจผมด้วยหรืออย่างไร แต่ยิ่งผมร้องไห้พ่อก็ยิ่งโมโห น้ำหนักของไม้ที่ตีผมก็ยิ่งแรงขึ้นไปอีก แล้วพ่อก็ยิ่งตีผมตีไม่ยั้งมือ

คนที่อยู่แถวนั้นเห็นพ่อตีลูกแรงขนาดนี้ก็ชักจะทนไม่ได้ พากันเข้าห้ามพ่อไว้ “ลุง เด็กมันไม่ได้ทำอะไรผิด อย่าตีมันเลย พอเถอะลุง”

พ่อปาไม้ลงพื้นอย่างแรงตามอารมณ์ แล้วพูดขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “สักวันหนึ่งเถอะ ยาจกจะต้องเป็นราชาให้ได้”

คำพูดประโยคนี้ผมฟังด้วยหูแล้วจำด้วยใจ ผมยืนกัดฟันกำหมัดแน่นทั้งที่น้ำตาไหลนองหน้า บอกกับตัวเองว่า เราต้องขยัน เราต้องเข้มแข็ง แล้ววันหนึ่งเราจะทำให้สวรรค์ดู ยาจกจะต้องเป็นราชาให้ได้

ถึงตอนนี้ พอนึกหวนกลับไปอีกครั้ง เวลานั้นครอบครัวเราทั้งเจ็ดคนแต่งตัวแสนจะสกปรกมอซอเสียขนาดนั้น ก็น่าอยู่หรอกที่เถ้าแก่เจ้าของโรงแรมจะตกใจ เป็นใครก็ต้องคิดว่าขอทานที่ไหนจะมีปัญญาจ่ายเงิน หรือไม่ก็อาจทำให้โรงแรมเขาสกปรกได้ แล้วยังต้องทนกลิ่นเหม็นสาบจากตัวพวกเราอีก เป็นใครก็ย่อมต้องปฏิเสธไม่ไว้หน้าพวกเราอยู่แล้ว

แต่พ่อก็ยังไม่ยอมตัดใจ ยังพาพวกเราเดินหาโรงแรมที่อื่น ๆ อีก เผื่อว่าจะมีโรงแรมไหนยอมรับเราไว้ได้บ้าง เราจึงพากันกระเตงต่อไปทั้งครอบครัว แต่ไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีขึ้นเลย โรงแรมทุกแห่งก็ยังตั้งหน้าปฏิเสธเราต่อไป บางแห่งพอเห็นหน้าตาท่าทางของแม่กับน้องชายคนโตแล้วตกใจจนแทบจะปิดประตูหนีเลยก็มี เราเดินมาทั้งวันจนทุกคนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า แต่ผมก็เข้าใจความเจ็บปวดของพ่อดี จึงไม่กล้าออกความคิดเห็นใดอีก ได้แต่เดินตามพ่อไปอย่างนั้น

ใครได้เห็นครอบครัวขอทานของเราแต่ละคนสวมเสื้อผ้าขาดวิ่นเดินอยู่บนท้องถนนแล้วละก็ ต้องพากันหลีกไกลไปเป็นวา ๆ ที่จริงผมรู้ดี ไม่ต้องหันมามองเราหรอก ถึงจะยืนห่างจากเราเป็นสิบเมตรก็ยังได้กลิ่นเหม็นสาบเหงื่อไคลที่ไม่เคยชำระล้างหมักหมมกันมานานเป็นแรมปี ปนกับกลิ่นฉี่เด็กเหม็นเปรี้ยวของพวกเราอยู่ดี

ในที่สุดพ่อก็ต้องยอมแพ้ ท่านถอนใจยาวแล้วพูดว่า “ขอทานไม่ใช่คนหรือไงวะ เอาละ คืนนี้เรานอนกันใต้ชายคาหน้าร้านค้าก็แล้วกัน”

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2009, 23:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ตอนที่ 17
หนีตำรวจ

ผมโตขึ้นเรื่อย ๆ ตามอายุ และเริ่มตระหนักถึงภาระของลูกชายคนโตที่มีต่อครอบครัวมากขึ้น พอตกค่ำก็จะเป็นหน้าที่ผมที่จะไปหาที่ที่พอจะพักได้ชั่วคราวตามตรอกซอกซอยต่าง ๆ แล้วก็ให้พ่อแม่กับน้อง ๆ นอนพักรอกันก่อน เมื่อจัดแจงทุกอย่างลงตัวแล้ว ผมก็จะออกตระเวนหาร้านค้าที่พอจะกำบังฝนได้ รอจนกระทั่งเขาปิดร้านเรียบร้อยแล้วจึงค่อยไปรับทั้งครอบครัวมาค้างแรมกันที่นี่

หากวันไหนสามารถหาที่นอนใต้ชายคาได้ก็ต้องถือว่าเราโชคดี เพราะถ้านอนกันในที่โล่งแล้วเกิดฝนตกลงมาล่ะก็ เราจะต้องโยกย้ายหาที่นอนใหม่กันทั้งครอบครัว ไหนจะเด็กเล็กเด็กโตที่งัวเงียงอแง ไหนจะผ้าห่ม ไหนจะสัมภาระอื่น ๆ อีก ช่างชุลมุนวุ่นวายกันจริง ๆ

ผมไม่รู้ว่าขณะนี้ค่ำมืดดึกดื่นกี่โมงกี่ยามกันแล้ว แต่หลังจากจัดแจงหาที่ทางให้คนในครอบครัวได้พักกันเรียบร้อย ก็เป็นอาเจียวพี่สาวคอยดูแลอยู่ทางนี้ ส่วนตัวผมก็ถือขันธ์ใบเล็กออกไปขอทานอีกตามเคย แต่เราเพิ่งจะมาที่นี่กันเป็นครั้งแรก ผมรู้สึกแปลกที่ กลัวตัวเองจะหลงทาง จึงต้องเดินเป็นเส้นตรงไปตลอดทาง หรือถ้าเลี้ยวก็จะเลี้ยวขวา แล้วก็ขวา แล้วก็ขวาเป็นสี่เหลี่ยม

ตามปกติแล้ว ถ้าอยู่ตามบ้านนอกในยามค่ำคืนก็จะไม่มีแสงไฟ กลางวันยังพอจะจำทางได้บ้าง แต่พอตกกลางคืนแล้วมืดมนมากจนแทบมองอะไรไม่เห็นเลย แต่ในเมืองนั้นตรงกันข้าม แม้จะดึกดื่นแค่ไหนก็ยังมีแสงไฟสว่างจ้าไม่น่ากลัว ผมเดินผ่านบ้านคนมาได้แค่สี่สิบห้าสิบหลัง กำลังดีใจอยู่เชียวว่าวันนี้จะมีของกลับไปสนองคุณแก่พ่อแม่บ้าง แต่ที่ไหนได้ พอกำลังจะเลี้ยวตรงหัวมุมเท่านั้น ก็มีตำรวจสองคนโผล่หน้าออกมา คราวนี้ก็ซวยละสิ ยิ่งยุคนี้เป็นยุคสองนายพลผู้ยิ่งใหญ่ด้วย มักจะมีผู้นำประเทศต่าง ๆ มาเยี่ยมเยือนไต้หวันกันอยู่เสมอ ท่านผู้นำเกรงว่าภาพของขอทานที่มีอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองอาจทำลายหน้าตาของประเทศได้ จึงออกคำสั่งให้กำจัดพวกขอทานทั้งหมดให้สิ้นซาก

โชคดีที่ผมอายุยังน้อยจึงคล่องแคล่วว่องไว พอเห็นตำรวจก็กระโดดเข้าไปหลบหลังเสาในร้านค้าได้ทันท่วงที เสียแต่ว่าไอ้มือไม้เจ้ากรรมดันไม่ฟังเสียงผม อ่อนปวกเปียกแถมยังเหงื่อแตกอีก ผมคิดว่าคราวนี้ต้องตานแน่เลย นึกถึงคราวที่แล้วไปขอทานที่สถานีขนส่ง ครั้งนั้นผมถูกตำรวจจับเข้าไปขังไว้ที่สถานีตำรวจตั้งครึ่งค่อนวันอย่างกับเป็นหัวขโมย แค่นี้ก็เข็ดเกินพอแล้ว ผมรีบเงยหน้าขึ้นวิงวอนต่อฟ้า “ตำรวจใจดี ตำรวจใจดี ได้โปรดเมตตาสงสารอาจิ้นบางเถอะนะครับ อย่าจับอาจิ้นไปขังที่โรงพักอีกเลย ครั้งที่แล้วขังไว้เกือบทั้งวัน ถูกจับคราวนี้ไม่รู้ว่าจะขังไว้นานเท่าไร อย่าให้ผมต้องถูกจับเลย ข้าวก็ยังไม่ได้เอากลับให้ที่บ้าน ถ้าผมถูกจับไปแล้ว ใครจะคอยดูแลคนในบ้านเล่า ได้โปรดเถิด ได้โปรด” ผมคิดไปพลางน้ำตาไหลออกมาอย่างสุดกลั้น

เนื้อตัวผมสั่นเทา แม้แต่มือก็ยังแทบจะถืออาหารไว้ไม่อยู่ ดีว่าตอนนี้ตำรวจทั้งสองคนกำลังหันกลังเดินกลับไปพอดี ผมชักจะใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว ใจจดจ่ออยู่แต่ว่าจะรีบหนีออกไปจากที่ที่แสนอันตรายนี้ จึงก้าวเท้าออกวิ่งโดยที่ไม่ทันระวังมองซ้ายขวาหน้าหลัง พอดีมีรถคนหนึ่งแล่นตัดเข้ามาด้วยความเร็วสูง ผมเกือบจะถูกรถชนอยู่แล้วเชียว ดีที่รถคนนั้นเบรกไว้ทัน แล้วคนขับก็หมุนกระจกลงมาตะโกนด่าใส่หน้าผม “ไอ้เด็กระยำ! อยากตายก็ไปให้รถไฟชนสิวะ จะได้ตายเร็วหน่อย!” แล้วก็ตามมาด้วยคำอวยพรยาวอีกเป็นชุด ๆ เลยทีเดียว

โชคดีที่ผมฟังจนชินเสียแล้ว ผมรีบวิ่งไปตามซอยมืด ๆ สองขาอ่อนล้าจนทรุดลง ถึงตอนนี้ผมเพิ่งรู้สึกตัวว่าอาหารในมือหายไปไหนหมดแล้วก็ไม่รู้แล้วผมก็ปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง

ผมบอกกับตัวเองว่า หนีพ้นตำรวจครั้งนี้มาได้ก็เหมือนกับต่ออายุตัวเองไปอีกหลายปี ดีแค่ไหนแล้วที่ไม่ถูกตำรวจจับไปเสียทั้งบ้าน ว่าแล้วก็รีบยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้แห้ง เดินย้อนกลับทางเดิมไปสมทบกับคนที่บ้าน

แล้วความหิวก็ทำเอาผมปวดเอวเมื่อยหลัง อยากจะหาน้ำมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้มีแรงสักหน่อย แต่ในเมืองกลับสู้บ้านนอกไม่ได้ ท่อน้ำแต่ละท่อทั้งใหญ่ทั้งกว้าง แค่จะเอาผ้าขนหนูไปชุบน้ำก็ยังยากเต็มที คืนนี้ผมไม่มีทางได้ซักแห้งแน่ แล้วอีกเพียงครู่เดียวเราทุกคนก็หลับผล็อยไปใต้ชายคาของร้านค้าแห่งหนึ่ง

กำลังหลับสนิทกันดีอยู่เชียว เจ้าของบ้านก็เปิดประตูเหล็กขึ้นเสียงดังแกรกกราก จากนั้นก็ต่อเดียวเสียงด่าโวยวายยาวอีกเป็นชุด ๆ ประสานกับเสียงร้องไห้โยเยของน้อง ๆ ที่ยังเล็ก เรื่องมันเป็นอย่างนี้ ด้วยความที่พวกเราอ่านหนังสือไม่ออก จึงไม่มีใครรู้ว่าที่นี่เป็นร้านขายปาท่องโก๋และอาหารเช้า เจ้าของร้านจะต้องลุกขึ้นมาเตรียมของตั้งแต่เช้ามืดทุกวัน พอแกเปิดประตูออกมาเห็นครอบครัวขอทานกำลังร้องไห้กระจองอแง ก็เลยด่าเอะอะโวยวายขึ้นว่า “ตื่นเช้ามายังไม่ทันได้ทำมาหากิน ก็ได้ยินเสียงพวกแกแหกปาก หนวกหูจะตาย เอ้า! ยังไม่รีบไสหัวไปอีก”

พวกเราจำต้อง “ไสหัว” ไป

ทว่าเด็กเล็ก ๆ ที่งอแงเพราะง่วงนอนนั้น เราจะปลอบให้พวกเขาหยุดร้องไห้ง่าย ๆ ได้อย่างไร เรายิ่งปลอบ พวกเขาก็ยิ่งร้องดังขึ้น พ่อกลัวว่าเสียงร้องของน้อง ๆ จะยิ่งดังรบกวนคนอื่นไปอีก จึงใช้มืออุดปากน้อง ๆ ไว้ อุดจนน้องแต่ละคนหน้าเขียวเกือบตายเพราะขาดออกซิเจน ยังไม่ทันจะปลอบให้เด็กเล็กเงียบเลย แม่กับน้องชายคนโตที่นอนไม่เต็มอิ่มก็ลุกขึ้นมาทะเลาะกันอีก ต่างก็นั่งร้องไห้อาละวาดอยู่กับพื้นที่ไม่ยอมหยุด ทั้งสี่คนนั่งรวมหัวกันร้องไห้อยู่อย่างนี้ แล้วผมจะทำอย่างไรดีนี่ ผมควรจะทำอย่างไรดี ใครก็ได้ช่วยบอกผมทีว่าผมควรจะทำอย่างไรต่อไปดี

พ่อส่ายหน้าด้วยความระอาใจ แล้วตัดสินใจว่าเราควรจะกลับไปนอนตามป่าช้าที่บ้านนอกเหมือนเดิมดีกว่า

ถูกแล้วครับ ถึงอย่างไรนอนที่ป่าช้าก็ยังสบายใจเสียกว่า

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2009, 23:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ตอนที่ 18
อยากเป็นคน ต้องทนกินหนอน

อากาศเริ่มหนาวเย็นขึ้นทุกทีแล้ว แม้แต่หมาจรจัดที่เห็นอยู่บ่อย ๆ ก็ไม่รู้ไปหลบอยู่ที่ไหนหมด เมื่อพวกเราไม่มีเสื้อกันหนาวที่จะให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย จึงต้องเอาเสื้อผ้าเก่า ๆ ขาด ๆ มาใส่ทับกันหลาย ๆ ชั้น แต่ลมหนาวก็ยังพัดลอดเข้ามาทางคอเสื้อ แขนเสื้อ ขากางเกง หรือแม้แต่รูที่ขาดตามเสื้อผ้าของเรา หนาวเหน็บไปจนถึงกระดูกเลยทีเดียว เวลาเดินก็ต้องห่อตัว บางครั้งอากาศหนาวจัดจนหน้าชาไปหมด น้ำมูกน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ผมก็จะเอามือมาถูที่แก้มทั้งสองข้างให้เกิดความร้อนพอให้มีความรู้สึกบ้าง

เวลาเราเดินทางไกล เรามักเดินกันเป็นวัน ๆ ไม่มีแม้เงาของผู้คน เราเดินไปตามทุ่งนาป่าเขาที่ดูยาวไกลไปจนสุดลูกหูลูกตา จนผมมักจะสงสัยว่าหรือเวลาจะหยุดตรงนี้ โลกทั้งโลกถูกทำลายหมดสิ้นไป ราวกับมีเพียงครอบครัวที่น่าสงสารของเราที่สวรรค์หลงลืมทอดทิ้งไว้ในมุมใดมุมหนึ่ง เกิดและดับไปตามยถากรรม

ในฤดูหนาว ร่างกายต้องการพลังงานมากกว่าปกติ ความอดทนต่อความหิวก็พลอยลดน้อยลงไปด้วย วันนี้ขณะที่พวกเรากำลังเดินผ่านสวนกล้วยสวนหนึ่ง เนื่องจากไม่ใช่ฤดูเก็บเกี่ยว บรรยากาศวังเวงมาก แล้วสายตาผมก็เหลือบไปเห็นเจ้าไก่ตัวหนึ่งนอนนิ่งอยู่กับพื้นดิน มันคงจะหนาวจนแข็งตายเสียแล้วกระมัง ดูเหมือนมันจะแข็งเกร็งไปหมดทั้งตัวเลย ผมเห็นแล้วก็อดเวทนามันไม่ได้ จึงเล่าสิ่งที่เห็นให้พ่อฟัง ไม่นึกเลยว่าพอพ่อได้ฟังก็กระตือรือร้นมากจนถึงกับหยุดเดิน แถมยังสั่งให้ผมไปเก็บไก่ตัวนั้นขึ้นมาอีก

“แต่ไก่ตายนานแล้วนะพ่อ สีมันก็เปลี่ยนไปหมดแล้ว” ผมมองไปที่ไก่ท้องเน่าตัวนั้น พลางพูดขึ้นอย่างลำบากใจ

“ช่างมันน่า ไปเก็บมาเถอะ” พ่อสั่ง

“แต่ว่า...” ผมชักจะได้กลิ่นเน่าของไก่ตัวนั้นขึ้นมาตะหงิด ๆ

“บอกให้ไปเก็บก็ไปเก็บมาสิ หรือจะให้ข้าลงมือ” พ่อเอาไม้เท้าเคาะลงกับพื้นแรง ๆ สองครั้ง ผมรู้สึกได้ว่าพ่อใกล้จะหมดความอดทนแล้ว

ผมเลยเอามืออุดจมูกไว้ แล้วเดินเข้าไปในท้องนา มองลงไปที่ซากไก่ก็เห็นตาของมันปิดสนิท ขนที่เคยสวยของมันถูกสายลมพัดพาเอาความเงางามไปจนหมดสิ้น ขนปีกของมันหลุดลุ่ยกระจุยกระจาย ผมคิดว่าบางทีตอนก่อนตาย เจ้าไก่ตัวนี้คงพยายามกระพือปีกเพื่อจะยืนขึ้นให้ได้ แต่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายก็หมดไปพร้อมกับแรงฮึดสู้ของมัน มันพ่นลมสุดท้ายออกมาอย่างแผ่วเบา คอพับลง แล้วก็ไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย

จากนั้นพวกหนอนและแมลงเล็ก ๆ พากันไชเข้ามาอาศัยอยู่ใต้ขนอันอบอุ่น แล้วก็กัดกินเนื้อของมัน ทำให้กระเพาะลำไส้มันทะลักออกมา สภาพน่าอนาถเหลือเกิน ผมนิ่งนึกอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าควรจะจับส่วนไหนของมันขึ้นมาดี ก็เลยใช้สองนิ้วคีบขามันขึ้นมาถือไว้ให้ห่าง ๆ ตัว แล้วเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ผมพยายามถือไก่ให้ห่างจากตัวที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยความกลัวว่าหนอนจะไต่ขึ้นมาที่มือ ผมรู้ดีว่าพ่อคงจะต้องกินมันแน่ ตลอดทางที่ถือมา อดไม่ไหวเกือบจะอ้วก ผมเสียใจจริง ๆ ที่บอกเรื่องไก่ตายกับพ่อ แต่เรื่องมาตั้งขนาดนี้แล้ว ใครก็คงห้ามพ่อไว้ไม่ได้ ยิ่งตอนนี้ที่กระเพาะพวกเราร้องโครกครากไม่เป็นเสียง

พ่อพาเรามาถึงกระท่อมร้างแห่งหนึ่งที่พอจะกำบังลมได้ จากนั้นก็สั่งให้ผมกับพี่สาวช่วยกันหาหินมาวางเป็นเตาสามขา หาฟืนและกระดาษชิ้นเล็ก ๆ มาทำเป็นเชื้อเพลิง พ่อคิดจะต้มไก่จริง ๆ ด้วย พอพวกเราหาอุปกรณ์ได้ครบถ้วน พ่อก็คลำเอามีดเล็ก ๆ ออกมาจากตัว แล้วจัดการไก่ตัวนั้นด้วยปลายนิ้วสัมผัส โดยเริ่มจากการตัดหัวมันออกก่อน จากนั้นควักเอาเครื่องในออกมาจนหมดแล้วถอนขนออกจากตัวไก่ให้สะอาดหมดจด

ความสามารถในการฆ่าเป็ด ไก่และห่านของพ่อเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาทุกคน ไม่ว่าจะรองเลือด จุดไฟต้มน้ำ ต้มไก่ ถอนขน ถอดเครื่องใน หรือแม้แต่การหั่นเป็นชิ้น ๆ พ่อก็ทำได้คล่องแคล่วว่องไว ขนก็ถอนได้สะอาดเกลี้ยงเกลา เนื้อก็หั่นเป็นชิ้นเท่า ๆ กัน สมัยก่อนหากเพื่อนบ้านคนใดได้เห็นฝีมือการเชือดไก่ของพ่อแล้วละก็ เป็นต้องยกนิ้วให้ด้วยความนับถือ บางคนยังแกล้งพูดแซวพ่อว่า “นี่เจ้างูซื่อ แกตาบอดจริง ๆ เหรอ แกแกล้งทำเป็นตาบอดมาหลอกพวกเราใช่ไหมล่ะ”

ผมกับพี่สาวไม่กล้าดมกลิ่นเหม็นเน่าของไก่ตัวนั้น จึงถอยออกมายืนอยู่ห่าง ๆ รอจนพ่อจัดการเรียบร้อยดีแล้ว จากนั้นพ่อก็เรียกให้ผมนำส่วนที่ไม่เอาแล้วไปทิ้งในแม่น้ำให้หมด ผมไม่เต็มใจเลยสักนิดเดียว ก็มันเหม็นออกอย่างนั้น เหม็นขนาดที่ว่าต่อให้คุณล้างมือเป็นร้อย ๆ ครั้ง กลิ่นนี้ก็ยังจะติดตัวคุณอยู่ตลอดนั่นแหละ ผมรีบวิ่งเอาไปทิ้งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยหวังว่าจะช่วยหดเวลาที่น่าขยะแขยงนี้ให้สั้นลงได้แม้เพียงสักนิดก็ยังดี

พอผมกลับมาถึง ตอนนี้เนื้อไก่ก็ถูกใส่ลงไปต้มในขันหมดแล้ว ผมเห็นน้อง ๆ นั่งล้อมวงกัน ต่างก็จ้องไปที่ไก่ตัวนั้นตาไม่กะพริบ ผมเช็ดมือแรง ๆ ซ้ำ ๆ กับชุดที่สวมอยู่ ในสมองยังมีภาพเครื่องในไก่ที่เน่าเปื่อยผุดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ขณะที่ท้องกลับร้องโหยหิวอย่างเอาเป็นเอาตาย แล้วจะกินดีไหมนี่ คำว่า “สมองต่อสู้กับหัวใจ” คงจะเป็นคำที่บรรยายความรู้สึกผมได้ดีที่สุดในตอนนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหิวจนหน้ามืดตาลาย จมูกก็พลอยเบลอไปด้วยหรือเปล่า ผมเริ่มได้กลิ่นน้ำแกงหอมฉุยออกมาจากหม้อ จนอดใจที่จะเข้าไปนั่งล้อมวงด้วยกันกับพวกน้อง ๆ ไม่ได้เสียแล้ว

“เสร็จหรือยัง เสร็จหรือยัง” น่าจะเป็นประโยคที่น้อง ๆ พูดกันมากที่สุดในวันนั้น

เมื่อส่วนที่เน่าถูกตัดทิ้งไปเสียเกือบครึ่ง จึงทำให้เนื้อไก่ที่เหลืออยู่ในหม้อมีจำกัด แถมยังไม่มีส่วนของเครื่องปรุงอื่น ๆ เลย แต่กระนั้นพวกเราก็ยังได้กินเนื้อไก่ที่ได้มาอย่างยากเย็นคนละชิ้นอยู่ดี ที่น่าแปลกคือ แม้เราจะขอทานกันมานานเป็นปี ๆ กินกันแต่ผลไม้เน่าข้าวบูดกันทั้งนั้น หากดูเหมือนจะยิ่งช่วยทำให้กระเพาะเราแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน ในร่างกายของเราทุกคนเสมือนมีภูมิคุ้มกันพิเศษ ขนาดกินไก่เน่ากันอย่างนี้ก็ยังไม่เห็นมีใครเป็นอะไรเลย

ตอนหลังผมกลับมานั่งหวนคิดไปถึงครั้งหนึ่งที่ที่บ้านเรามีเนื้อเค็มอยู่ก้อนหนึ่ง มันถูกน้ำฝนหยดใส่จนหนอนขึ้นแล้ว แต่พ่อก็ยังกินเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมกับพี่สาวได้แต่ตกตะลึง เราถามพ่อว่าหนอนขึ้นเนื้อแล้วทำไมไม่ทิ้งไปเสีย พ่อเคี้ยวเนื้อในปากพลางบอกกับเราด้วยสีหน้าจริงจังว่า

“กินหนอนไม่ตายหรอก กินหนอนสิถึงจะได้เป็นคน”

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2009, 23:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ตอนที่ 19
ยาจกพบโจร

บางครั้งมีผู้เมตตานำเงินมาบริจาคให้เราเองเลย แต่ครอบครัวเรามีคนพิการไม่สมประกอบถึงสามคน การเอาเงินเก็บได้กับตัวออกจะเป็นที่ล่อตาของพวกหัวขโมยอยู่ไม่น้อย

ครั้งหนึ่งเรามัวแต่พะวงกับการเดินทาง จนไม่รู้ว่ามีชายคนหนึ่งแอบตามหลังเรามาเงียบ ๆ ตั้งแต่เมื่อไร กว่าพี่สาวจะสังเกตเห็นว่าชายคนนี้เดินตามเรามาตลอดทางก็ไม่ทันการณ์แล้ว เพราะตอนนี้เราเดินไกลออกจากตัวชุมชนมาอยู่บนถนนสายเปลี่ยวร้างผู้คนเสียแล้ว

ชายคนนั้นตรงเข้าไปยืนจังก้าขวางหน้าพ่ออย่างจงใจจะปิดทางเดินของเรา เขากางแขนขึ้นขวางเราไว้โดยไม่พูดอะไรสักคำ ผมจูงพ่อหลบไปทางซ้าย เขาก็ขยับซ้ายตาม ผมจูงพ่อหลบไปทางขวา เขาก็ขยับขวาตาม

ผมกระตุกแขนเสื้อพ่อ ส่งสัญญาณให้พ่อรู้ว่ามีผู้ไม่ประสงค์ดี พ่อกำไม้เท้าและกระเป๋าย่ามไว้แน่น สายตาว่างเปล่าของท่านมองเหม่อออกไปไกลเบะปากไม่พูดอะไร

“แม่ง! ไม่ต้องทำเป็นแกล้งเซ่อเลย ส่งเงินมาซะดี ๆ !” เขาตะคอก

“ได้โปรดเถิดครับ...” ผมพูดยังไม่ทันจบ ชายคนนั้นก็ผลักผมล้มลงกับพื้น นาทีนั้นเองพ่อก็เงื้อไม้เท้าขึ้นมาทันที ชายคนนั้นถอยหลบไปนิดหนึ่งก่อนจะยุดไม้เท่าพ่อไว้ เขาออกแรงกระชากแล้วโยนมันออกไปไกลประมาณสองเมตรได้ พี่สาวรีบโผเข้าไปกันแม่กับน้อง ๆ ไว้ ทุกคนกอดกันสั่นเป็นลูกนก ถ้าจะตะโกนขอความช่วยเหลือก็คงไม่มีประโยชน์ เพราะทุ่งโล่งอย่างนี้ไม่มีใครเลยสักคน

ชายคนนั้นกระชากย่ามออกจากบ่าของพ่ออย่างแรง แล้วผลักพ่อออกไป ผมเองซึ่งล้มลงอยู่กับพื้นรีบดีดตัวกระโจนเข้าไปกัดมือชายคนนั้น แต่ก็ถูกถีบดังอั๊ก ผมเจ็บเสียจนน้ำตาร่วง เอามือกุมท้อง ปากก็พร่ำร้องขอว่า “อย่าเอาเงินของเราไปเลย อย่าเอาเงินของเราเลย” ผมนั่งตาค้างมองดูเขารื้อของออกจากถุงย่ามชิ้นแล้วชิ้นเล่า พอค้นเจอธนบัตรที่มีเพียงไม่กี่ใบของเรา เขาถือไว้ในมือแล้วยกชูขึ้นอย่างภาคภูมิใจ และเอามาโบกเยาะเย้ยใส่หน้าเรา พี่สาวถึงกับร้องไห้ “โฮ” ออกมา ผมแทบจะลืมความเจ็บปวดทั้งหมดไปเสียสิ้น รีบคุกเข่าลงคำนับแล้วคำนับอีก “ได้โปรดเถิด ได้โปรดเถิด พวกเรามีเงินกันอยู่เท่านี้เอง สงสารเราเถอะ”

แต่ชายคนนั้นก็ไม่ยอมรามือ เขาได้เงินในย่ามไปแล้วยังมาค้นตัวพ่ออีก ผมรู้ว่าด้านในของกางเกงพ่อมีประเป๋าลับที่ซ่อนเงินอยู่ พ่อจึงยกมือทั้งสองข้างดึงกางเกงไว้สุดชีวิต แต่พ่อยิ่งหวงก็ยิ่งเป็นการบอกให้ชายคนนั้นรู้ว่าในกางเกงของพ่อต้องมีเงินแน่ ชายคนนั้นจึงออกแรงยื้อกับพ่อ จนกางเกงของพ่อกองลงไปอยู่กับพื้น จากนั้นเขาก็ใช้กำลังกดพ่อลงกับพื้น และล้วงเอาเงินออกจากกางเกงมาถือไว้ในมือ แล้วเดินจากไปด้วยความสะใจ ผมทุบกำปั้นลงกับพื้นด้วยความเคียดแค้นชิงชัง นึกตำหนิตัวเองว่า ทำไมเราจึงเป็นคนที่ไม่ได้เรื่องอย่างนี้นะ เป็นลูกชายคนโตแท้ ๆ แต่ไม่มีปัญญาจะคุ้มครองดูแลคนในครอบครัวได้ ผมมันไอ้โง่! ไอ้เซ่อ! ไอ้ขี้แพ้!

ผมตะกายลุกขึ้นมายืนมองตามหลังชายคนนั้นไป แล้วก็ตะโกนว่า “ไอ้คนใจดำ! ขอให้โดนรถไฟทับตายให้แบนแต๊ดแต๋ เละจนหาศพไม่เจอเลย!”

นอกจากตะโกนสาปแช่งแล้ว เด็กชายวัยแปดขวบอย่างผมจะมีปัญญาไปทำอะไรใครเขาได้ บนโลกใบนี้ยังมีคนอยากจะแย่งแม้แต่เงินของขอทานเชียวหรือ ช่างเลวร้ายคูณสามเลยเชียว

พี่สาวช่วยพ่อเก็บข้าวของที่กระจัดกระจายบนพื้นใส่กลับลงในกระเป๋าย่ามด้วยน้ำตานองหน้า ไม่พูดอะไรสักคำ

แล้วพ่อก็พูดขึ้นว่า “เงินทองเป็นของนอกกาย ยังไม่ตายก็หาเอาใหม่ได้ ตอนเกิดก็ไม่ได้เอามา ตอนตายก็ไม่ต้องเอาไป” แรก ๆ ผมเข้าใจว่าพ่อคงจะพูดเพื่อปลอบใจพวกเราเท่านั้น แต่นึกไม่ถึงเลยว่าพ่อจะปลงซะแล้ว

นับจากนั้นมา พ่อก็แทบจะไม่พกเงินทองไว้ที่ตัวอีกต่อไป พอพวกเราเดินทางไปถึงที่ไหนก็ตาม หากได้ยินว่าที่นั่นมีเด็กกำพร้า คนแก่เจ็บป่วยไร้คนดูแล หรือผู้ที่ขาดแคลนโลงศพ พ่อก็จะควักเงินออกมาช่วยเหลือทันที ถ้าไม่ช่วยซื้อยาก็ช่วยซื้อโลงศพ หรือแม้แต่ออกเงินจ้างคนมาหามโลงก็ยังเคย ผมไม่รู้เลยว่าพ่อเคยเรียนวิชาเจียดยามาจากไหน แต่เห็นท่านมีความรู้เรื่องยาเป็นอย่างดีราวกับพกตำรายาไว้ในสมอง แค่จับชีพจร พ่อก็สามารถเขียนใบสั่งยาให้ผู้ป่วยอยู่บ่อย ๆ ท่านมักจะทำบุญอย่างนี้ของท่านไปเรื่อย นอกจากนี้พ่อยังเป็นลูกค้าประจำของร้านขายยาสมุนไพรและร้านขายยาจีนด้วย แค่ได้ยินเสียงไม้เท้าของท่านที่ดังมาแต่ไกล คนในร้านก็จะรู้ได้ทันทีว่า “งูซื่อ” มาอีกแล้ว

พ่อก็ “ซื่อ” จริง ๆ นั่นแหละ ตอนนี้ผมโกรธพ่อเสียจริง ๆ เลย ผมรู้สึกว่าพ่อเป็นคนที่เซ่อที่สุดในโลกเลย ผมต้องพยายามแค่ไหนกว่าจะขอทานมาได้แต่ละบาทแต่ละสตางค์ แต่ดูเหมือนพ่อจะพยายามแจกจ่ายแก่ชาวบ้านไปทั่ว คนในบ้านยังไม่เคยได้กินอิ่ม ตัวเองก็ยังต้องรอรับของบริจาค แล้วยังมีแก่ใจไปช่วยเหลือคนอื่นอีก ทำไมมัวคิดถึงแต่คนอื่น นี่มันหลักการอะไรกันนะ

พอตอนหลังจึงเข้าใจเจตนารมณ์ของพ่อ การช่วยเหลือเป็นเรื่องที่พ่อปีติที่สุดในชีวิต พ่อคิดว่าตัวเองเป็นขอทานก็น่าสมเพชพออยู่แล้ว ถึงมีเงินเหลือไว้ให้ลูกหลานก็ใช่ว่าจะช่วยเหลืออะไรพวกเขาได้ แต่การสะสมความดีนั้น วันหนึ่งความดีเหล่านั้นอาจจะย้อนมาตอบแทนที่ลูกหลานก็ได้ ดังนั้นไม่ว่าใครจะพากันหัวเราะเยาะว่าพ่อซื่อ เซ่ออย่างไรก็ตาม พ่อก็ยังคงยืนหยัดที่จะทำตามความตั้งใจเดิมของตนเองต่อไป แล้วชื่อเสียงของพ่อจึงขจรขจายไปทั่ว ตอนหลังช่วงที่ผมกำลังเรียนหนังสืออยู่ ก็ยังมีคนจากทั่วสารทิศมาให้พ่อออกใบสั่งยาให้ แต่พ่อไม่เคยเก็บค่ารักษาสักที แม้กระทั่งคนที่เคยช่วยรักษาให้จนหายดีจะขอตอบแทนน้ำใจแก่พ่อบ้าง ท่านก็ยังไม่ยอมรับเงินจากเขาแม้แต่แดงเดียว

ถึงพ่อจะเพียรทำบุญสะสมความดีมานานนับสิบ ๆ ปี แต่ในวาระสุดท้ายของชีวิต ท่านก็ไม่ได้มีเงินเหลือติดตัวเลย ตอนที่ท่านเสีย บ้านเราก็ยังคงไม่มีอะไรอยู่เช่นเดิม กระทั่งโลงที่บรรจุศพก็ยังเป็นโลงบริจาคด้วยซ้ำ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2009, 23:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ตอนที่ 20
มันน่าตี

เด็ก ๆ มักจะขี้เกียจ บางครั้งที่เหนื่อยจริง ๆ ผมกับพี่สาวก็มักจะแอบส่งสายตาให้รู้กันว่าจะไม่ออกไปขอทาน

พอพ่อรู้ว่าเราขี้เกียจ ไม่ยอมออกไปขอทาน ก็จะเริ่มบ่นด่าเทศนายาวเหยียด ถ้าด่าแล้วยังไม่มีการขยับเขยื้อนอีก พ่อก็จะคว้าไม้เท้าตีลงบนขาของเราไม่ยั้งมือ บางทีตีจนเลือดไหลแต่ก็ไม่รู้ เพราะพ่อมองไม่เห็น ไม้เท้าจึงซัดซ้ำลงมาอย่างไม่ปรานีปราศรัย จนกระทั่งทุกวันนี้ที่ขาขวาของผมกับพี่สาวยังคงมีรอยแผลยาวราวสิบเซนติเมตรอยู่

ความจริงการเกิดมาในครอบครัวขอทานนี้ เราก็ไม่ได้โกรธแค้นชะตากรรม จะให้ขอทานก็ดี เร่ร่อนก็ดี หรือแม้กระทั่งยอมปรนนิบัติทุกอย่างให้กับพ่อแม่ผู้น่าสงสารของเราด้วยความเต็มใจ เสียแต่ว่าพ่อเป็นคนอารมณ์รุนแรง หากเราทำอะไรผิดโดยไม่ตั้งใจแม้เพียงสักนิด ก็จะต้องถูกตีเสียยับทีเดียว

อย่างเมื่อตอนเป็นเด็ก ผมไม่รู้หนังสือ ความจำก็ไม่ค่อยดี บางครั้งถูกใช้ให้ออกไปซื้อของ เดินไปเดินมาก็ลืม จำไม่ได้ว่าพ่อใช้ให้ออกมาซื้ออะไร ผมเลยต้องกลับบ้านไปถาม ก็ถูกตีทันทีเลย แล้วการตีของพ่อแต่ละครั้งก็มีแต่เป็นสิบ ๆ ทีขึ้น พ่อถึงจะยอมรามือ

เวลาผมจูงพ่อเดินก็เหมือนกัน หากไม่ระวังไปเหยียบโดนขี้วัวขี้ควายเข้าก็จะต้องถูกตี พ่อจะดุว่า “นอนหลับหรือไง เดินไม่รู้จักดูทาง หรือว่าแกก็เป็นไอ้บอดเหมือนข้า หา”

บางครั้งดวงไม่ดี อุตส่าห์ออกไปขอทานทั้งวันแต่ไม่ได้ข้าวเลยสักนิด พอกลับมาบ้านก็ถูกตีอีก บางครั้งที่นึกซนขึ้นมา ผมก็เอาชามใบเล็ก ๆ ที่ใช้ขอทานขึ้นมาเป็นโล่กำบังไม้เรียวของพ่อ คอยยกขึ้นบังด้านซ้ายด้านขวาอย่างคล่องแคล่วว่องไว

“เป๊ง! เป๊ง! เป๊ง! ไม่โดน! ไม่โดน!” ผมแอบดีใจ แต่พอพ่อจับได้ก็แย่งชามน้อยในมือผมโยนออกไปข้างนอก แล้วตีผมซ้ำหนักกว่าเดิม

บางครั้งแม้พ่อจะตีไม่โดน แต่ผมก็แกล้งทำเป็นร้องไห้สะอึกสะอื้นเป็นวรรคเป็นเวร แสดงละครบีบน้ำหูน้ำตา พ่อก็จะตะคอกอีกว่า “เอ้า! ร้องเข้าไป ถ้ายิ่งร้องก็ยิ่งตี” แต่ถ้าไม่ร้องไห้ให้พ่อได้ยิน แล้วพ่อจะรู้ได้อย่างไรว่าที่ตัวเองตีลงไปนั้นแรงแค่ไหน เฮ้อ! แล้วผมควรจะทำอย่างไรดีล่ะ ควรจะร้องไห้หรือไม่ควรร้องดีนะ เห็นไหมว่าผมแทบจะไม่มีทางเลือกเอาเสียเลย

ผมกลัวโดนพ่อตีจริง ๆ มีครั้งหนึ่งที่ผมรู้ก่อนว่าจะต้องถูกตีแน่ จึงรีบไปหาผ้ามาพันขาให้หนาหลายชั้นเตรียมตัวไว้ก่อน พอพ่อตีที ผมก็แกล้งร้องออกมาที แต่ขิงก็แก่ก็ยิ่งเผ็ด แค่ฟังเสียงไม้ที่หวดลงไปที่ขา พ่อก็รู้แล้วว่าต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากลแน่ ท่านลองใช้มือคลำที่ขาผมดู จึงรู้ว่าผมใช้ผ้าพันเอาไว้ก่อน เท่านั้นเองพ่อก็ตวาดดังลั่น

“คิดจะหลอกไอ้บอดอย่างข้าเรอะ มันไม่ง่ายอย่างที่แกคิดหรอกนะ แกยังอ่อนหัดเกินไป”

ทีนี้พ่อสั่งให้ผมถอดเสื้อผ้าออกให้หมดทันที แล้วก็ตีผมอย่างไม่บันยะบันยัง ตีจนมีรอยบวมขึ้นเป็นแนวไปหมดทั้งตัว สุดท้ายผมถึงกับฉี่ราดออกมา แล้วอีกตอนหนึ่งขณะที่พ่อกำลังตีกระหน่ำอยู่นั้น ก็บังเอิญตีไปถูกจุดสำคัญของผมเข้า ผมแผดร้องสุดเสียงว่า “โอ๊ย! โดนจู๋ผมแล้วพ่อ โดนจู๋ผมแล้ว” พ่อจึงยอมรามือไป แต่ก็ยังสอนผมต่อไปอีกว่า คราวหน้าห้ามหลอกพ่ออีก ถ้าทำผิดก็จงรับให้พ่อตีเสียดี ๆ ให้ตีจนท่านหายโมโหนั่นแหละ

ตอนเล็ก ๆ ผมมักคิดเสมอว่าพ่ออบรมเราเคร่งครัดเกินไป แล้ววิธีการก็แสนจะโหดร้ายเหลือเกิน ท่านถึงกับเคยโรยตะปูลงเต็มพื้นแล้วให้ผมคุกเข่าลง พอผมคุกเข่า น้ำหนักทั้งหมดในร่างกายก็มาทับรวมอยู่ที่หัวเข่านี่เอง เลือดไหลซิบ ๆ ออกมาเลยทีเดียว แต่หลังจากที่พ่อให้ผม “อยู่นิ่ง ๆ ให้พ่อตี” แล้วผมก็ไม่เคยขัดคำสั่งพ่ออีกเลย ยอมให้ท่านลงโทษแต่โดยดีไม่ปริปากบ่น ไม่ได้โกรธแค้น เพียงแต่ว่าพอตกกลางคืน ผมมักจะฝันร้ายเสมอ ผมมักจะฝันเห็นไม้เรียวของพ่อกำลังลอยมา ผมกลัวไม้เรียวของพ่อจนขึ้นสมอง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2009, 23:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ตอนที่ 21
เจ็บหนัก

ขณะที่ผมมัวแต่สาละวนป้อนข้าวน้องชายคนเล็ก จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงพ่อไอโขลก ๆ อย่างรุนแรง ทีแรกก็ไม่ได้ใส่อะไรนัก แต่ไม่นึกว่าพ่อจะยิ่งไอรุนแรงขึ้นทุกที ไอจนเหมือนกับอวัยวะภายในจะทะลักไหลออกมาทั้งยวงอย่างนั้น ผมรีบวางจานข้าวในมือลง แล้วขยับเข้าไปดูท่านทันที

พอหันมาเห็นเข้าเท่านั้น ผมก็แทบช็อก เพราะทั้งที่มือของพ่อ ตลอดจนพื้นตรงหญ้าล้วนมีแต่เลือดเปรอะอยู่เต็มไปหมด

“พ่อ พ่อเป็นอะไรไปน่ะ” ผมตกใจแทบตาย
“พ่อ…” สีหน้าพ่อดูซีดเซียวเหลือเกิน “พ่อคงอยู่ไม่นานแล้วละ...”

พ่อพูดยังไม่ทันจบ ก็มีเลือดทะลักออกมาจากปากอีก

“พ่อ!” ผมตะโกนขึ้นพร้อมกับน้ำตาที่หยดลงมา แต่ผมกลัวว่าพ่อจะรู้ว่าผมร้องไห้ ได้แต่ปลอบท่าน “ไม่หรอก พ่อไม่เป็นอะไรหรอก เดี๋ยวพ่อก็หายดีเหมือนเดิมแหละ”

ผมประคองพ่อให้นอนลงที่เตียงเพื่อให้ท่านได้พักผ่อน จากนั้นจึงเดินออกมาข้างนอก ผมแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า ถามตัวเองว่าผมควรจะทำอย่างไรดี อาจเป็นเพราะพ่อเหนื่อยเกินไป หรืออาจเป็นเพราะว่าช้ำในจากตอนที่ตีกับชายจรจัดตั้งแต่ครั้งที่แล้ว แต่ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม ครั้งนี้คงจะไม่ไปหาหมอไม่ได้แล้ว ผมคิดในใจว่า “พ่อครับ พ่ออย่าตายนะ พ่อจะทิ้งพวกเราไปไม่ได้นะครับ”

พอคิดดังนี้ ผมก็รีบวิ่งกลับเข้าไปข้างใน แอบหยิบกระป๋องเหล็กเล็ก ๆ ที่ใช้เก็บเงินของพ่อมาลองยกขึ้นประเมินน้ำหนักดู แล้วก็ต้องเหงื่อตก เพราะในกระป๋องเหล็กมีเหรียญเงินอยู่เพียงสองสามเหรียญเท่านั้น เงินจำนวนเพียงเท่านี้อย่าว่าแต่จะพาพ่อไปหาหมอเลย แค่จะซื้อยาจีนมาต้มกินเองยังไม่พอ ผมวางกระป๋องเหล็กในมือลงอย่างสิ้นหวัง ชักช้าไปคงไม่ได้ถาวร ผมควรจะรีบออกไปขอทานหาเงินถึงจะถูก

ผมรีบหยิบชามใบเล็กวิ่งไปในเมือง ผมนั่งคุกเข่าลงกับพื้นคำนับผู้ที่เดินผ่านไปมามากมายบนท้องถนนอย่างไม่ลืมหูลืมตา “ท่านครับ ท่านผู้มีใจเมตตาทั้งหลาย กรุณาช่วยผมด้วยเถิดครับ ของเงินทำทานให้ผมไปซื้อยาให้พ่อหน่อยเถิดครับ ได้โปรดเถิดครับ ผมจะเอาเงินพาพ่อไปหาหมอครับ กรุณาเถิดนะครับ”

ปากพูดไป ใจก็หวั่นวิตกจนไม่รู้ว่าน้ำตาไหลนองหน้ามาตั้งแต่เมื่อไร

บางคนเห็นผมร้องไห้ก็สงสาร ควักเศษเงินให้ผมนิดหน่อย แต่บางคนนอกจากจะไม่ให้เงินแล้ว ยังสั่งสอนผมอีก

“ไอ้หนูเอ๊ย โตขนาดนี้แล้ว ทำไมไม่ไปร่ำเรียนหนังสือหนังหาล่ะ มือตีนก็ดี ๆ ยังจะมีหน้ามาขอทานอีก ไม่ละอายใจบ้างหรือไง”

ผมยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา ตอนนี้มีแต่เรื่องพ่อป่วยเท่านั้นที่ทำให้ผมวุ่นวายใจ คนอื่นจะเข้าใจผมอย่างไรก็ช่างเถอะ ผมไม่คิดจะแก้ตัวหรอก ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องทางบ้าน ต่อให้ผมมือขาดตีนด้วนยังไง ผมก็คงจะไปเรียนหนังสือแบบคนอื่นอยู่เหมือนกัน ใครจะอยากมานั่งคุกเข่าขอทานให้คนอื่นได้ดูถูกข่มเหงกันอย่างนี้เล่า แต่ไม่ว่าใครจะเข้าใจผิด จะต่อว่าผมอย่างไรก็เชิญ ผมยังคงก้มหน้าก้มตากล่าวคำขอบคุณ ขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น ยิ่งเหยียบย่ำผมเท่าไรก็มีแต่จะทำให้ผมยิ่งเข้มแข็งขึ้นเท่านั้น

พอได้เงินมาจำนวนหนึ่งแล้ว พ่อก็เขียนใบสั่งยาให้ตัวเอง จากนั้นให้ผมถือไปซื้อที่ร้านขายยาจีน บางทีอาจเป็นเพราะบุญที่ท่านเคยช่วยเหลือคนอื่นไว้มากกระมัง เพียงกินยาไปไม่กี่ห่อ พ่อก็มีอาการดีขึ้นอย่างได้ชัด ท่านเริ่มด่าได้เสียงดังฟังชัดเหมือนเดิม เริ่มมีกำลังตีผมได้แรงเท่าเดิม คราวนี้ตอนที่ไม้เรียวของพ่อลอยมาฟาดที่ตัวผม ผมกลับไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิดเดียวได้แต่แอบดีใจว่า “ฮ่า! แรงใช้ได้ อย่างนี้ก็แสดงว่าพ่อคงจะหายดีแล้วละ ดีจังพ่อไม่เป็นอะไรแล้ว” ไม้เรียวที่หวดซ้ำลงมาอีกครั้งแล้วครั้งเล่า ทำเอาผมหลั่งน้ำตาด้วยความยินดี

เมื่อสุขภาพของพ่อเริ่มกลับมาแข็งแรงดีขึ้น ก็เป็นช่วงหลังตรุษจีนพอดี งานชิ้นแรกที่พ่อมอบหมายให้ผมทำคือให้ผมจูงท่านไปเข้าบ่อนที่ตลาด พ่อบอกว่าพ่อโชคดีมากที่ไม่ตา จึงอยากลองเข้ามาเสี่ยงโชคดูบ้าง

บรรดานักพนันเห็นพ่อเดินเข้ามาก็สะกิดเรียกกันใหญ่ “เฮ้! ดูนั่นสิ เจ้างูซื่อ เจ้างูซื่อมาแล้ว!”

ไม่มีเหตุผลอื่นนอกจากว่า พ่อตาบอด แต่หูของท่านก็ดีมากจนยากจะหาคนเทียบติด เกมพนันที่ท่านถนัดที่สุดเพียงอย่างเดียวคือไฮโลลูกเต๋าเดี่ยว โดยเจ้าของบ่อนจะวางกระดาษแผ่นหนึ่งที่ตีตารางเป็นหกช่อง มีเลขหนึ่งถึงเลขหกเขียนกำกับไว้ไล่ทีละช่อง ให้ผู้ที่มาพนันวางเดิมพันลงในช่องที่ตนเลือก หากช่องที่เลือกตรงกับแต้มลูกเต๋าที่ออก เจ้ามือก็จะต้องเสียพนันให้กับผู้เล่น

หูของพ่อจับเสียงได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ เพียงแค่ฟังเสียงลูกเต๋าที่ถูกเขย่ากระทบกับถ้วย ก็จะรู้ทันทีว่าตานี้ลูกเต๋าจะออกแต้มเท่าไร เมื่อก่อนผมเคยได้ยินพ่อโม้เรื่องนี้ให้ฟังที่บ้าน พวกเราก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จนกระทั่งวันนี้ผมได้เห็นเองกับตา พ่อแทงพนันถูกติดต่อกันหลายตา บ้านเจ้ามือตระกูลจวงจ่ายเงินจนชักจะเหงื่อตก

แต่ฝ่ายนักพนันกลับยิ่งสนุกสนานเมามันกันใหญ่ พอเห็นพ่อพนันได้แทบทุกตาก็พากันปรบมือไชโยโห่ร้องเอาใจช่วย เมื่อเห็นพ่อลงพนันช่องไหนก็จะรีบวางตามทันที พวกที่กำลังจะหมดตัว ตอนนี้ก็เปลี่ยนเป็นเริ่มจะชนะขึ้นมาบ้าง เงินของฝ่ายเจ้ามือชักจะลดน้อยลงทุกที แต่เงินตรงหน้านักพนันมีแต่จะกองเป็นพะเนินสูงขึ้น ทำเอาบ้านเจ้ามือตระกูลจวงโกรธเสียจนต้องเก็บแผงวิ่งหนีไป พร้อมกับหมายหัวไว้ว่า คราวหน้าจะไม่ยอมให้พ่อเข้ามาเล่นอีกแล้ว

เงาของเจ้ามือที่วิ่งหนีไปพร้อมกับคำด่าทอหยาบคายกำลังจะลับตาไปแล้ว คุณลุงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ยื่นบุหรี่ส่งให้พ่อ พ่อเป็นนักเลงบุหรี่เก่าอยู่แล้ว หยิบไม้ขีดไฟขึ้นมาจุดเบา ๆ เพียงครั้งเดียว ประกายไฟก็ลุกพึ่บขึ้นมาตรงหน้า บรรดานักพนันพากันทึ่งจนต้องปรบมือให้กับพ่ออีกครั้ง

หลายคนไม่ยอมเลิกราอยู่แค่นั้น ยังอยากจะลองดีกับพ่อต่อไปอีก จึงควักเอาธนบัตรออกมาสองสามใบ แล้วให้พ่อลองทายดูว่าใบไหนมีมูลค่าเท่าไร แต่ไหนเลยจะชนะพ่อได้ด้วยเรื่องเท่านี้ ไม่ต้องกางใบเล็กใบใหญ่ออกมาเทียบกันหรอก แค่จับดูเท่านั้นพ่อก็รู้แล้ว ทุกคนในที่นั้นต่างก็จุปากด้วยความทึ่งและอัศจรรย์ใจ กระซิบกระซาบกันว่า “ตาบอดคนนี้ท่าจะกินยากว่ะ”

หากไม่ใช่เพราะพ่อไม่เคยสวมแว่นตาดำ แต่กลับเผยให้ทุกคนเห็นลูกตาขาวกลิ้งกลอกไปมาตามธรรมชาติอย่างนั้นแล้วละก็ ผมรับรองได้ว่าคงไม่มีใครเชื่อว่าท่านตาบอดเป็นแน่

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2009, 00:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ตอนที่ 22
ประจำเดือนของแม่

ผมจัดการกับประจำเดือนของแม่มานานประมาณยี่สิบกว่าปีได้แล้วกระมัง แม่ผู้มีไอคิวเพียง 58 ไหนเลยจะเคยรู้ว่าประจำเดือนคืออะไร ยิ่งเรื่องจัดการทำความสะอาดด้วยแล้วยิ่งแทบไม่ต้องพูดถึง

โดยปกติสมาชิกในบ้านเราก็ไม่ค่อยจะได้อาบน้ำกันอยู่แล้ว แถมเราอยู่กันจนชินกับกลิ่นตัวที่เหม็นสาบของแม่ จึงไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่า ทำไมใต้ขากางเกงของแม่จึงมีเลือดไหลหยด เพราะถึงอย่างไรประจำเดือนของแม่ก็มาเองไปเองตามธรรมชาติอยู่แล้ว และถึงมันจะทำให้เสื้อผ้าเปื้อน แต่แม่เองก็ไม่เคยรู้

ต่อมาเมื่อผมกับพี่สาวโตขึ้นมาหน่อย ขณะที่เรากำลังเร่ร่อนบนถนนสายหนึ่ง ก็มีคุณป้าใจดีคนหนึ่งดึงมือเราเข้าข้างทางเงียบ ๆ แล้วเอาผ้าขาด ๆ สองสามชิ้นยัดใส่มือเราไว้ บอกให้เราใช้รองไว้ที่ด้านในกางเกงของแม่ หรือไม่ก็ให้เราพยายามหากางเกงสีทึบ ๆ มาให้แม่ใส่ จะได้มองไม่เห็นเลือดประจำเดือนที่ไหลออกมาเปื้อนกางเกงในแดงเถือกเป็นดวง ๆ อย่างนี้

ประจำเดือน ผมกับพี่สาวได้ยินแล้วก็งง ก็เราอายุยังไม่ทันถึงสิบขวบเลย ไม่มีทางจะรู้จักว่าอะไรคือระยะไข่ตก อะไรคือประจำเดือน แต่พอเราเดินไปที่ข้างหลังของแม่เท่านั้น โอ! อะไรกันนี่ พระเจ้าช่วย! มีเลือดเปื้อนแม่เต็มไปหมดจริง ๆ ด้วย ผมตกใจแทบตาย! ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้ แม่ก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไรตรงไหนนี่นา แล้วทำไมถึงมีเลือดไหลออกมามากมายอย่างนี้ กำลังจะถามพ่ออยู่เชียว แต่ไม้เท้าของพ่อลอยละลิ่วมาเสียก่อน

ผมจึงต้องรีบทำตามที่ผู้หญิงคนนั้นบอกคือ เอาผ้าเก่า ๆ ที่เขาให้มาพับทบกันเป็นเส้นยาว แล้วสอดลงไปรองในกางเกงของแม่แทนผ้าอนามัย

แม้ว่าผ้านี้จะไม่ใช่เสื้อผ้าที่เหลือของผู้ตายในงานศพ แม้จะเป็นเพียงแค่เศษผ้าเก่า ๆ ที่ชาวบ้านเอื้อเฟื้อแก่เรา แต่สำหรับเราแล้ว ต่อให้มันจะเก่าหรือขาดวิ่นสักแค่ไหน ก็ต้องถือว่าเป็นของล้ำค่าหายากทั้งนั้น จะใช้เพียงครั้งเดียวแล้วทิ้งไปได้อย่างไร จึงมีอยู่วิธีเดียวเท่านั้นคือ พอใช้เสร็จแล้วก็จะต้องเอาไปซักที่แม่น้ำ ตากให้แห้ง แล้วนำกลับมาใช้อีก

แต่ผ้าที่สกปรกแบบนี้คงซักในตอนกลางวันไม่ได้ เพราะช่วงกลางวันจะมีแม่บ้านมาใช้น้ำที่แม่น้ำกันเยอะ ทั้งที่มาซักผ้าบ้าง ล้างผักบ้าง หรือที่หาบน้ำไปรดแปลงผักก็มี ถ้าผมซักผ้าจนน้ำเปลี่ยนเป็นสีแดงแล้วไม่ถูกด่าสิถึงจะน่าแปลก ดังนั้นผมจึงต้องรอจนเย็นย่ำ ช่วงที่ดวงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าจนแทบไม่มีแสงสว่างแล้วนั่นแหละ จึงค่อยแอบเอาผ้าที่เปื้อนประจำเดือนของแม่ออกมาซักได้

ครั้งแรกที่ได้เห็นเลือดมากมายขนาดนี้ ผมก็แทบลมจับ อยากจะอาเจียนออกมาตลอดเวลา ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่น่าจะใช่หน้าที่ของผู้ชาย แต่ในเมื่อพ่อผู้เป็นสามีไม่สามารถจะจัดการในเรื่องนี้ได้ ดังนั้นหน้าที่นี้จึงตกเป็นของลูกชายคนโตอย่างผมไปโดยปริยาย แต่ความจริงผมก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นเรื่องลำบากอะไรนักหรอก เพราะการปรนนิบัติดูแลแม่เป็นหน้าที่ที่ผมไม่ควรผลักไสให้ผู้อื่นอยู่แล้ว

จำได้ว่ามีอยู่คราวหนึ่ง เมื่อผมเห็นว่าแม่น้ำปลอดคนแล้ว จึงรีบฉวยเอากางเกงที่เปื้อนประจำเดือนของแม่ไปซักทันที พอไปถึงผมก็รีบนั่งลงซักกางเกงอย่างระแวดระวัง คอยมองซ้ายทีขวาที แล้วก็เร่งมือซักเต็มที่ จะได้รีบกลับบ้านเร็ว ๆ นึกไม่ถึงว่าขณะที่ผมกำลังซักผ้าอยู่ที่ต้นน้ำนั้น

ที่ตอนล่างของแม่น้ำจะมีสามีภรรยาคู่หนึ่งเห็นเลือดที่กำลังไหลตามแม่น้ำเข้า สองสามีภรรยาตกใจมาก รีบวิ่งขึ้นมาดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็พอดีมาเห็นผมกำลังลุกลี้ลุกลน ทั้งคู่ไม่ฟังอีร้าค่าอีรม คว้าได้จอบได้พร้าก็วิ่งตรงเข้ามาหาผมทันที ปากก็ด่าไปด้วยว่า “ไอ้เด็กเปรตเอ๊ย! ไอ้เด็กเวรตะไล! แกฆ่าคนใช่ไหม!” ผมสะดุ้งตกใจจนเสื้อผ้าหลุดออกไปจากมือ ตัวเองก็กองลงไปนั่งตัวสั่นงันงกอยู่กับพื้น

พอเริ่มสงบสติอารมณ์ลงได้แล้ว ผมก็รีบคุกเข่าคำนับ ขอร้องให้พวกเขาปล่อยผมไปเถิด แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่ยอมเลิกรา มือของพวกเขายังกำทั้งจอบทั้งพร้าไว้เสียแน่น สายตาที่มองผมก็อย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ “ไอ้เด็กสารเลว! เป็นเด็กเป็นเล็กตัวแค่นี้ยังใจดำอำมหิตกล้าฆ่าคนได้ลงคอเชียวรึ ชั่วจริง ๆ!”

ผมพยายามอธิบายให้พวกเขาฟังว่า ผมไม่ได้ฆ่าคน นี่เป็นประจำเดือนของแม่ผมต่างหาก แต่พวกเขาไม่ยอมเชื่อผมเลยสักนิด ก็ใครจะเชื่อลงละครับว่า ในโลกใบนี้ยังจะมีแม่คนไหนที่ยอมรับเอากางเกงในเปื้อนประจำเดือนของตัวเองมาให้ลูกชายช่วยซักให้ ต่อให้เป็นแม่เลี้ยงก็ตามเถอะ คงไม่มีใครทำเช่นนี้แน่ แต่ผมก็ยังพยายามยืนยัน “จริงนะครับ ผมพูดจริง ๆ” จากนั้นจึงเล่าเรื่องในครอบครัวให้พวกเขาฟังด้วยใบหน้าอาบน้ำตา แม้ผมจะพูดอย่างจริงจัง แต่ดูเหมือนทั้งคู่ไม่ยอมเชื่อผมเชื่อสักเท่าไรเลย แต่ยังดีที่ทั้งคู่ยอมลดมือที่เงื้อจอบและพร้าอันแสนน่ากลัวนั้นลงมาเสียก่อน

สองสามีภรรยาปรึกษากันว่าควรจะเชื่อน้ำหน้าเด็กอย่างผมดีหรือไม่ ในที่สุดก็ตัดสินใจให้ผมพาพวกเขาไปที่บ้าน พวกเขาอยากไปดูบ้านที่ป่าช้าของผมให้เห็นกับตา

ผมยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา แล้วนำทางพวกเขาไปที่บ้าน พอเห็นสภาพบ้านผมเท่านั้น ทั้งคู่ก็ถึงกับตะลึงงัน ด้วยแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง ไม่มีใครพูดอะไรอีก ได้แต่น้ำตาไหลลงมาเงียบ ๆ พวกเขายกมือขึ้นตบบ่าผมเบา ๆ ก่อนที่จะเดินจากพร้อมกับเสียงถอนใจยาว ๆ

ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา สามีภรรยาคู่นี้ก็กลับมาที่บ้านเราอีก คราวนี้มาพร้อมกับข้าวปลาอาหารและเสื้อผ้าเก่าที่นำมามอบให้แก่ครอบครัวเรา

แม้ว่าเรื่องร้ายจะกลายเป็นเรื่องดี แต่หลังจากนั้นผมไม่กล้าเอาเสื้อผ้าของแม่ไปซักตอนกลางวันอีกเลย คิดถึงตอนนั้นแล้วก็รู้สึกสยองขึ้นมาจริง ๆ ผมเกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่ริมแม่น้ำตั้งแต่วันนั้นแล้วไหมล่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2009, 00:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ตอนที่ 23
ขอทานวันฝนตก

ก็เป็นอีกเช้าหนึ่งที่แทบจะขออะไรไม่ได้เลย ผมถือขันขอทานเครื่องมือหากินประจำกายเดินต่อไปอย่างจนปัญญา เดินมาถึงร้านขายขนมปัง พอดีเหลือบไปเห็นเจ้าของร้านเดินถือขนมปังถาดใหญ่ที่เพิ่งจะอบเสร็จใหม่ ๆ ออกมาจัดเรียงโชว์ใส่ตู้กระจกไว้ ขนมปังเหล่านี้ทั้งชิ้นใหญ่ทั้งหอม กลิ่นนมเนยที่โชยมาเหมือนจะหลอกล่อให้ผมน้ำลายไหล ผมแทบไม่รู้ว่าตัวเองขยับเท้าก้าวมาข้างหน้าตั้งแต่เมื่อไร

“จะทำอะไร!” พอเจ้าของร้านมองเห็นผมเข้า ก็ตวาดออกมาทันที

ผมรีบขยับถอยหลังไปหนึ่งก้าว ที่จริงผมไม่ได้คิดจะทำอะไรสักหน่อย ผมอยากบอกเขาเหลือเกินว่า ผมแค่อยากจะดมกลิ่นขนมปังเท่านั้นแหละ แค่ได้ดมกลิ่นก็พอแล้ว

“ไป! ไป๊! ที่นี่ไม่มีอะไรจะให้แกหรอก!” เจ้าของร้านไล่ผมพลางหันไปพูดกับเมียแกที่กำลังอุ้มลูกน้อยอยู่ว่า “ยังไม่รีบอุ้มลูกเข้าไปข้างในอีก! ไม่เห็นไอ้เด็กขอทานยืนอยู่ตรงนี้เหรอ เดี๋ยวเชื้อโรคจากตัวมันก็กระโดดมาโดนลูกเราเข้าหรอก เอ้า! แล้วไอ้เด็กขอทานนี่ทำไมยังมัวยืนอยู่ตรงนี้อีกวะ รีบไปไป๊! เดี๋ยวขนมปังข้าจะเปื้อนหมด”

พอได้ยินเขาพูดอย่างนี้ ก็ได้แต่นึกน้อยใจว่าการเป็นขอทานนี่ช่างเป็นที่รังเกียจของผู้คนเสียจริง แล้วก็เดินก้มหน้าออกจากร้านขนมปังมาอย่างเงียบ ๆ ผมเดินเคาะขันเล่นไปเรื่อย ๆ วันนี้ยังขอทานไม่ได้อะไรเลย กลับบ้านไปคงต้องโดนด่าแน่ ยิ่งถ้ากลับไปเจอตอนที่พ่อกำลังอารมณ์ไม่ดีด้วย มีหวังโดนตียับ ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม ขาที่ก้าวก็เลยช้าลงทุกที

ทันใดนั้นเอง ผมได้ยินเสียงท่องหนังสือดังขึ้น ที่จริงก็คือผมเดินมาถึงกำแพงของโรงเรียนแห่งหนึ่ง เสียงเด็กนักเรียนอ่านหนังสือประสานกันทำให้ผมตื่นเต้นจนแทบระงับใจไว้ไม่อยู่ ผมเดินเลียบไปตามกำแพงจนเจอประตูหน้าโรงเรียนที่ถูกกั้นไว้ด้วยลูกกรงเหล็ก ผมมองเข้าไปเห็นเด็กนักเรียนนั่งอยู่ตามที่นั่งในห้องเรียน ทุกคนถือหนังสือกันคนละเล่มกำลังตะเบ็งเสียงอ่านหนังสือกันอย่างขะมักเขม้น

ผมซึ่งอยู่ข้างนอกก็พลอยท่องเบา ๆ ตามไปด้วย ย้อนกลับมานึกถึงตัวเองที่ต้องขอทาน ซ้ำยังไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ก็รู้สึกอิจฉาเด็ก ๆ เหล่านั้นเหลือเกินที่เขามีโอกาสได้เรียนหนังสือ พวกเขาช่างโชคดีอะไรอย่างนี้ แล้วผมล่ะ เมื่อไรผมถึงจะได้ไปโรงเรียน ไปนั่งเรียนหนังสือแบบนี้บ้างหนอ ผมไม่กล้าถามพ่อหรอก เพราะแค่หากินให้ท้องอิ่มยังไม่ค่อยจะมีปัญญาเลย แล้วจะหาเงินที่ไหนไปเรียนหนังสืออย่างคนอื่นเขา

ผมเดินคอตกกลับบ้านอย่างหมดหวัง เดินไปเรื่อย ๆ ตลอดเช้า ผมเหนื่อยจัง

ยังไม่ทันกลับถึงบ้าน จู่ ๆ ฝนก็ตกลงมาเสียก่อน และยิ่งตกหนักขึ้นทุกที ๆ ผมรีบหลบเข้าไปในไร่เผือกข้างทาง เด็ดใบเผือกมาบังไว้ที่หัวแทนร่มกันฝน แต่เพียงแค่ลมพัดมาหน่อยเดียวเท่านั้น ใบเผือกที่แสนจะปวกเปียกก็ปลิวเปิดเปิงไปไม่เป็นท่า ในที่สุดผมก็เปียกอีกจนได้

พอกลับมาถึงประตูสุสานเห็นเสื้อผ้าของคนในบ้านยังแขวนตากอยู่ตามหลุมศพ ก็รู้ทันทีว่าพี่สาวยังไม่กลับมาแน่ แม่ที่ปัญญาอ่อนจะเก็บเสื้อผ้าเป็นที่ไหน พ่อตาบอดมองไม่เห็นก็เก็บเสื้อผ้าไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นเสื้อผ้าทั้งหมดจึงเปียกชุ่มอยู่ท่ามกลางพายุฝนอย่างนี้เอง ทีแรกผมกะว่าจะเปลี่ยนชุดที่เปียกออก แต่เมื่อเป็นอย่างนี้ก็คงจะหาเสื้อผ้าแห้งมาผลัดไม่ได้แล้ว

เมื่อเห็นผมกลับบ้านมามือเปล่า สีหน้าของทุกคนก็ปรากฏรอยผิดหวังอย่างปิดเอาไว้ไม่อยู่ ผมก้มหน้าลงด้วยความละอายใจ หลบไปนั่งอยู่อีกมุมหนึ่ง ผมมันใช้การไม่ได้ กะอีแค่ขอทานก็ยังขอไม่ได้ ความจริงผมเองก็หิวมากและเสื้อผ้าที่เปียกแนบติดตัวก็ทำให้หนาวสั่นจนพูดไม่ออก ผมพยายามห่อตัวให้ความอบอุ่นแก่ตัวเอง มองดูสายฝนที่ตกอยู่นอกหน้าต่างผุ ๆ เม็ดฝนกระเซ็นซัดสาดมาที่ชายคาหน้าต่าง แล้วไหลลงมารวมกันเป็นหยดน้ำทีละหยด ๆ

ผมมองดูแล้วเริ่มนับในใจ “หนึ่งหยด สองหยด สามหยด…” หนาว หนาวจัง หนาวจังเลย ริมฝีปากผมเริ่มสั่น แต่ก็ยังฝืนนับต่อไป “สี่หยด ห้าหยด...” ผมพยายามนับหยาดน้ำฝนอย่างตั้งอกตั้งใจ เผื่อจะช่วยให้ลืมความหนาวและลดความหิวลงไปได้บ้าง

แต่แม่กับน้องชายคนโตทนหิวไม่ไหวแล้ว ทั้งแผดร้อง กระโดด และอาละวาดไม่ยอมหยุด เอาแต่ตะเบ็งเสียงตะโกนว่า “หิว! หิว! หิว!” ผมหนาวเหลือเกิน ผมไม่อยากได้ยินเลย ไม่อยากฟัง ไม่อยากได้ยินอะไรอีกแล้ว แต่เสียงร้องไห้เพราะความหิวโหยของพวกเขาเหมือนเสียงกรีดร้องของปีศาจที่บาดทะลุเข้าไปในหัวของผม ยิ่งไม่อยากได้ยินเท่าไร กลับยิ่งรู้สึกเหมือนว่าเสียงนั้นจะยิ่งดังขึ้นทุกที ๆ

หูของผมใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว ผมเฝ้าร่ำร้องในใจ “หยุดร้องเสียที หยุดร้องเสียที ได้โปรดเถอะ” แต่ก็ไม่เป็นผล เสียงร้อง “หิว หิว หิว” เฝ้าวนเวียนเข้ามาโจมตีมโนธรรมที่อยู่ในใจผมอีก ผมมันแย่จริง ๆ ใช้การไม่ได้ เท่านี้ก็ไม่มีปัญญาหาเลี้ยงน้องกับแม่ให้กินอิ่มได้ แล้วยังจะมีหน้ามาซุกหัวอยู่ในบ้านอีก เอาละ ทุกคนหยุดคร่ำครวญกันได้แล้ว ผมจะลองออกไปขอทานดูอีกสักทีก็ได้

พอเปิดประตูออกมา เห็นสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ปรานีปราศรัย ผมก็น้ำตาร่วงเผาะ ฝนเอ๋ย หยุดตกเสียที หยุดตกเสียทีจะได้ไหม ทำไมเกิดเป็นอาจิ้นต้องลำบากอย่างนี้ด้วย สวรรค์ ท่านมองเห็นหรือไม่เห็นกันแน่ ทำไมถึงได้โหดร้ายกับผมเช่นนี้ ผมตะโกนจนคอจะแตกอยู่แล้ว ทำไมไม่มีใครได้ยินเสียงร้องของผมบ้าง หากใครได้ยินแล้วก็ช่วยบอกให้ฝนหยุดตกเสียทีจะได้ไหม อย่าให้ฝนตกลงมาอีกเลย ฝนตกอย่างนี้แล้วจะให้อาจิ้นไปขอทานที่ไหนกันเล่า

ไม่ยุติธรรมเลย ไม่ยุติธรรมเลยจริง ๆ ขณะที่เด็กคนอื่น ๆ ได้ไปโรงเรียนเรียนหนังสือ ไยสวรรค์จึงได้กลั่นแกล้งผมเช่นนี้หนอ ทำไมต้องเอาความทุกข์ยากลำบากทุกอย่างมาโปะใส่หัวผมไว้คนเดียวด้วย ทำไมนะทำไม ผมแค้นใจเหลือเกิน ผมกำหมัดแน่นทุบลงกับพื้นอย่างแรง เชอะ! คิดจะเอาชนะผมมันคงไม่ง่ายดายอย่างนั้นหรอก ผมจะยิ่งกตัญญูให้มาก ๆ ผมจะสู้ให้ดู ผมไม่มีทางล้มหรอก ผมต้องชนะท่าน ต้องเอาชนะชะตากรรมให้จงได้!

เมื่อตั้งใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ผมจึงเดินฝ่าสายฝนออกไปทันที อย่างไรก็เปียกปอนไปหมดทั้งตัวแล้ว ถึงจะต้องตากฝนอีกก็คงจะไม่เปียกไปกว่านี้หรอก

ผมวิ่งอยู่ท่ามกลางสายฝน บอกกับตัวเองว่า “ผมจะไปเคาะประตูทุกบ้าน ใครจะด่าดูถูกผมอย่างไรก็เชิญ บ้านหลังนี้ไม่ให้ก็ย้ายไปบ้านหลังใหม่ หมู่บ้านนี้ไม่ให้ก็ไปหมู่บ้านอื่น อย่างไรก็จะต้องหาทางเอาข้าวกลับมาบ้านให้ได้ ไม่มีอะไรที่จะผลักให้ผมล้มลงได้ อุปสรรคมีแต่จะยิ่งทำให้ผมแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น”

คอยดูต่อไปก็แล้วกัน สวรรค์!

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2009, 00:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ตอนที่ 24
หยุดพเนจร

ไม่รู้ว่ามันเริ่มตั้งแต่เมื่อไร ดูเหมือนว่าตัวผมจะค่อย ๆ ยาวขึ้น พริบตาเดียวก็สูงเท่าหัวไหล่พ่อแล้ว วันหนึ่ง ผมพาพ่อออกไปขอทานเช่นเคย เดินกันมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ที่หน้าหมู่บ้านนี้มีต้นมะเดื่ออยู่สามสี่ต้น คุณลุงผมขาวสองสามคนกำลังนั่งโบกพัดรับลมเย็นอยู่ใต้ต้นไม้ พอผมจูงพ่อเดินเข้าไปขอเงินพวกเขา พวกเขาก็มองผมแล้วมองพ่อ จากนั้นคุณลุงคนหนึ่งในนั้นถามผมว่า “ไอ้หนูเอ๊ย เอ็งได้ไปโรงเรียนหรือยัง” ไปโรงเรียน ฟังดูช่างห่างเหินอะไรเช่นนี้ แค่คิดก็ยังไม่กล้าเลย ผมจึงได้แต่ส่ายหน้า

ไม่คิดเลยว่าคุณลุงคนนั้นจะส่ายหน้า แล้วท่านก็หันไปพูดกับพ่อว่า “โธ่เอ๋ย ลูกโตขนาดนี้แล้ว น่าจะให้เข้าโรงเรียนเรียนหนังสือสิ จะได้ไม่ต้องออกมาขอทานอย่างนี้ไง เป็นขอทานแล้วจะมีอนาคตเหรอ หรือต่อไปก็ยังอยากให้ลูกเป็นเหมือนตัวเอง จะเป็นขอทานอย่างนี้ไปตลอดชาติเลยหรือ” พ่อไม่ได้พูดอะไร คุณลุงคนนั้นควักเงินออกมาจากกระเป๋าสิบหยวน วางบนมือพ่อเบา ๆ แล้วพูดต่อไปอีกว่า “เอ้า! นี่เงินสิบหยวน เอาไว้ให้ลูกไปเรียนหนังสือซะนะ ต้องเรียนหนังสือ แล้ววันนึงจะได้มีโอกาสลืมตาอ้าปากกับคนอื่นเขาบ้าง”

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินคนพูดว่า “เรียนหนังสือแล้วจึงจะลืมตาอ้าปากได้” คำพูดประโยคนี้กระทบใจผมอย่างรุนแรง ส่วนพ่อนั้นหลังจากเอาเงินยัดใส่ไว้ในกระเป๋าแล้วก็ไม่พูดจาอะไรอีก ผมก็ไม่กล้าถาม

หรือบางทีอาจเป็นเพราะเทพเจ้าแห่งชะตากรรมกำลังแอบช่วยเหลือผมอยู่อย่างเงียบ ๆ ก็เป็นได้ อีกสองสามวันต่อมา ไม่ว่าพวกเราจะไปขอทานกันที่ไหนก็ตาม ไม่ว่าจะสถานีขนส่งหรือตามตลาดโต้รุ่ง ก็มักจะได้พบกับคุณน้าคุณอาผู้มีใจเอื้ออาทรเข้ามาพูดเกลี้ยกล่อมในทำนองนี้กับพ่อเสมอ ผมชักจะร้อนใจขึ้นทุกที แต่ไม่อาจพูดออกมาได้ พอตกกลางคืนก็ได้แต่ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มแอบวิงวอนกับสวรรค์เบา ๆ

คืนหนึ่ง พ่อเรียกผมเข้าไปหาตรงหน้าท่าน แล้วพูดว่า “วันนี้แกรีบนอนแต่หัวค่ำนะ เพราะพรุ่งนี้จะต้องตื่นแต่เช้า พ่อจะให้แกจูงพ่อไปไถจง ว่าจะไปธุระที่เฉียนจู๋สักหน่อย”

หมู่บ้านเฉียนจู๋ อำเภออูรื่อ เขตไถจง เป็นที่อยู่ของลุง ผมจำได้ว่าเคยได้ยินจากที่พ่อเล่าเรื่องสมัยเด็ก ๆ ของท่านได้ฟัง ถึงจะเร่ร่อนกันมาเป็นสิบปี แต่พวกเราก็ไม่เคยผ่านไปที่นั่นเลย จึงไม่เคยพบลุงกับป้าด้วย หรือว่าพ่อจะไปเฉียนจู๋หาลุงกับป้า

“ก็แกอยากเรียนหนังสือนักไม่ใช่เรอะ ถ้าจะเรียนหนังสือก็จะเร่ร่อนต่อไปไม่ได้แล้ว เราต้องไปหาลุงของแกให้ช่วยคิดหาที่ทางเช่าบ้านให้เราอยู่กัน” พ่อบอกขึ้น

ผมได้ยินเท่านั้นก็ดีใจจนเนื้อเต้น แทบจะตะโกนไชโยออกมาเลยทีเดียว เราจะมี “หลักแหล่ง” แล้ว ในที่สุดเราก็จะได้อยู่กันเป็นหลักเป็นแหล่งเสียทีไม่ต้องเร่ร่อนกันอีกแล้ว สำหรับครอบครัวเราอาจถือได้ว่าเรื่องนี้เป็นข่าวดีที่สุดเลยก็ว่าได้ ผมกับพี่สาวสบตากัน เก็บความยินดีไว้ในอกแล้วแอบส่งยิ้มให้กัน ถ้าพ่อผู้เคร่งขรึมของเราไม่ได้อยู่ในห้องนี้ด้วย ผมว่าเราคงกระโดดกอดกันจนตัวลอยด้วยความดีใจไปแล้ว

แม้ระยะทางจะยาวไกล แต่จนถึงวันที่สองของการเดินทางก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกอ่อนล้าแต่อย่างใด ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าบ้านเราไม่เคยมี “ญาติ” มาก่อน แต่ตอนนี้ผมกำลังจะได้พบพี่ชายกับพี่สาวของพ่อแล้ว ลึก ๆ แล้วผมคิดว่านี่คือพลังของญาติสนิท ต่อไปเราก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาข่มเหงรังแกอีก

แต่สิ่งที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยก็คือ เมื่อตอนที่ลุงกับป้ามาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าพวกเรานั้น สิ่งที่ผมได้เห็นกลายเป็นคนตาบอดถือไม้เท้ากันทั้งสองคน

เรื่องมีอยู่ว่า หลังจากที่พ่อออกจากหมู่บ้านมาตั้งแต่อายุ 19 ปี ไม่นานนัก ลุงกับป้าก็ตาบอดทั้งสองข้างเช่นเดียวกัน ผมรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าลงมาตอนกลางวันแสก ๆ ดูเอาเถิด ว่าสวรรค์ปฏิบัติต่อครอบครัวเราอย่างไร พ่อตาบอดกับแม่และน้องปัญญาอ่อนยังไม่สาแก่ใจใช่ไหม กว่าญาติพี่น้องจะมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตาได้ ก็กลายเป็นคนตาบอดไปหมดแล้ว เมื่อไรล่ะครับ เมื่อไรเจ้าชะตากรรมอันแสนหดหู่นี้จะเลิกเกิดกับเราเสียที

ดีที่ลุงกับป้าอยู่ที่นี่มานาน จึงยังพอจะให้ความช่วยเหลือเราได้บ้าง โดยตอนแรกช่วยหาเล้าหมูร้างให้พวกเราอยู่กันไปพลาง ๆ ก่อน จากนั้นลุงก็บอกให้พวกเราไปแจ้งสำมะโนประชากรที่ที่ว่าการอำเภอด้วย มาถึงตอนนี้ผมจึงได้รู้ว่า พวกเราเด็ก ๆ ที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินนี้มานานหลายปีนั้น ที่แท้ก็ไม่ได้ “มีตัวตน” อยู่เลย พวกเราเป็นเหมือนวิญญาณเร่ร่อนที่เดี๋ยวก็เร่ไปทางโน้นที เดี๋ยวก็ร่อนมาทางนี้ที แต่กลับไม่เคยมีชื่อปรากฏเป็นประชากรของแผ่นดินเลย

หลักฐานที่พ่อพกติดตัวไว้มีแต่ใบเกิดที่ออกให้โดยหมอตำแยเท่านั้น ซึ่งมันเก่าช้ำจนแทบจะไม่เหลือสภาพเดิม และตัวหนังสือบางตัวก็แทบจะดูไม่ออกว่าเป็นตัวหนังสือ เจ้าหน้าที่ถึงกับตะลึงเมื่อเห็นใบเกิดที่ยับเยินเหมือนเศษขยะอย่างนี้เข้า ปากก็บ่นอุบอิบ ตำหนิที่พ่อปล่อยปละละเลยหน้าที่พลเมืองดีทิ้งมานานขนาดนี้ถึงมาแจ้ง สุดท้ายยังพูดอีกว่า “แบบนี้ทำเรื่องแจ้งไม่ได้หรอก ต้องเสียค่าปรับก่อนถึงจะทำเรื่องได้” ค่าปรับ ต้องปรับเท่าไรกันล่ะนี่

พอได้ยินเขาบอกจำนวนเงิน ผมก็แทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง พ่อพูดออกมาด้วยความยัวะจัดว่า “ข้าเป็นขอทานมาตลอดชีวิต แล้วก็ยังตาบอดอีก คนในบ้านก็มีตั้งสิบชีวิต แค่จะหาอะไรใส่ปากท้องไม่มีปัญญา แล้วจะไปหาเงินที่ไหนมาเสียค่าปรับให้พวกแก หา! ถ้าเรื่องมากนักก็ไม่ต้องจ้งต้องแจ้งเลยแล้วกัน”

พอพูดจบ พ่อก็เดินออกไปข้างนอกทันที เจ้าหน้าที่ชักจะเริ่มใจอ่อน จึงเรียกไว้ “อ้าว ๆ อย่าเพิ่งด่วนโมโหไปสิ ผมเห็นใจว่าคุณน่าสงสารจริง ๆ เอาอย่างนี้ ดูซิว่าเขาพอจะยกเว้นให้เป็นกรณีพิเศษได้ไหม”

ทำเรื่องเดินเอกสารไปเพียงไม่กี่สัปดาห์ก็เป็นอันว่าสำเร็จเรียบร้อย บางทีนี่อาจจะเป็น “หลักการดำเนินงานโดยธรรม” ของรัฐบาลกระมัง นอกจากนี้ตลอดระยะสี่สิบปีที่ผ่านมา ครอบครัวเราไม่เคยได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลเลยแม้แต่สตางค์แดงเดียว

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2009, 00:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ตอนที่ 25
ไปโรงเรียน

ในที่สุดผมก็ได้ไปโรงเรียนเสียที ปีนี้ผมอายุ 10 ขวบแล้ว จึงแก่กว่าเพื่อนนักเรียนร่วมชั้นถึงสองสามปี

วันแรกที่ไปโรงเรียน ผมนึกถึง “หนังสือ” ที่จะได้เรียน นึกถึงคุณครูที่จะคอยสอนผมให้เขียนหนังสือเป็น นึกถึงโรงเรียนว่าช่างดูเหมือน “พระราชวัง” เสียจริง ผมบอกไม่ถูกเลยว่าตัวเองรู้สึกฮึกเหิมแค่ไหน ผมแทบจะเต้นไปจนถึงโรงเรียนเลยทีเดียว ผมลืมแทบทุกอย่าง ลืมพ่อตาบอด ลืมแม่ปัญญาอ่อน ลืมการขอทาน ลืมการเร่ร่อน ลืมความเสียใจ ลืมเรื่องที่ทำให้ผมไม่มีความสุขไปเสียสิ้น ใจคิดแต่ว่าผมจะได้เรียนแล้ว ผมจะรู้หนังสือแล้ว

แต่ไม่คิดเลยว่าเพียงแค่มาถึงหน้าประตูโรงเรียนเท่านั้น ขณะที่ผมกำลังจะวิ่งเข้าไปในโรงเรียน ก็มีนักเรียนรุ่นพี่สามสี่คนเดินสวนออกมาก่อน พอเห็นพวกเขาส่งยิ้มแบบไม่ประสงค์ดีให้ ผมก็ได้แต่กลืนน้ำลาย พยายามทำตัวลีบ ก้มหัว ลดฝีเท้าที่ก้าวเดินให้ช้าลง แต่การสงบเสงี่ยมเจียมตัวก็ไม่ได้ทำให้พวกเขายอมปล่อยผมไปง่าย ๆ อย่างที่คิด ตอนที่ผมกำลังหลีกทางให้ ก็มีเด็กนักเรียนรุ่นพี่คนหนึ่งแกล้งเดินเข้ามาชนผมอย่างจัง แล้วพวกหมาหมู่อีกสองสามคนก็พากันล้อผมว่า

“อะไรวะ ลูกขอทานก็มาเรียนหนังสือด้วยเหมือนกันหรือนี่!”

“อ๊ะ ๆ อย่าเอาความโสโครกของแกมาเปื้อนเสื้อผ้าฉันเชียวนา”

“กลับไปอยู่ที่ชอบ ๆ ของแกเถอะ ไป๊!”

“ขอทานมาเรียนหนังสือ บ้าหรือเปล่า กลับไปขอทานของแกเหมือนเดิมเถอะ!”

“ฮ่า ๆ ๆ พ่อแม่พี่น้องลุงป้าน้าอาครับ ได้โปรดสงสารผมด้วยเถิด ผมหิวจะตายอยู่แล้ว”

ฮ่า ๆ ๆ ... ฮ่า ๆ ๆ ...

พอได้ยินพวกเขาหัวเราะเยาะ ผมก็กำหมัดกัดฟันแน่น เอนตัวพิงแนบสนิทไปกับกำแพง รู้สึกระอุร้อนวาบไปทั้งตัวราวกับภูเขาไฟกำลังจะระเบิดกระนั้นแหละ

อยากจะชกหน้าพวกเขาจริง ๆ เรื่องต่อยตีกันน่ะผมไม่กลัวหรอก ใจจริงก็อยากจะลองตีกันกับเด็กพวกนี้ดูสักตั้ง ช่วงเวลาหลายปีที่ต้องซัดเซพเนจรไปเรื่อยนั้น ช่วยสร้างความแข็งแกร่งและความอดทนให้กับร่างกายผมมากกว่าเด็กทั่วไปอยู่แล้ว ถ้าตีกัน ผมแน่ใจว่าต้องชนะแน่

แต่พอนึกถึงพ่อ ถ้าพ่อรู้ว่าผมมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนตั้งแต่วันแรกที่มาโรงเรียน พ่อคงจะเสียใจมาก แล้วถ้าพ่อเกิดโกรธจนไม่ยอมให้ผมเรียนต่ออีกแล้วผมจะทำอย่างไร

เพียงแค่คิดว่าตัวเองจะไม่ได้เรียนหนังสือเท่านั้น ผมก็รู้สึกราวกับว่าขาดใจ คอตกลงมาจนแทบจะชิดกับหน้าอก พยายามบอกกับตัวเองว่า ต้องอดทน ต้องเข้มแข็ง ห้ามร้องไห้เด็ดขาด อย่าไปมีเรื่องกับใครเขา จากนั้นก็อดทนกลั้นใจเดินเลี้ยวเข้าไปในซอยใกล้ ๆ แถวนั้น เดินไปจนถึงตรงที่ไม่มีใครอยู่ แล้วกำหมัดต่อยรัวเข้าที่กำแพง “นี่แน่ะ! นี่แน่ะ! นี่ ๆ ๆ!” ผมระบายความอัดอั้นออกมาด้วยเสียงแหบต่ำ น้ำตาไหลพรากออกมาจากดวงตา ผมสาบาน ผมขอสาบานว่าผมจะต้องทำให้ทุกคนเห็นว่า สักวันขอทานก็จะต้องมีวันได้ดี ผมจะต้องแปรความแค้นเป็นพลังให้จงได้

ถ้าจะพูดให้ทันสมัยหน่อยก็คงต้องบอกว่า ผมเป็นเด็กที่ถูกสิ่งแวดล้อมในชีวิตจริงขัดเกลาจนกลายเป็นคนที่มี EQ สูงกระมัง ในที่สุดผมก็กล้ำกลืนความเสียใจทั้งหมดลงไปไว้ในอก วันนั้นกว่าจะเดินกลับเข้าไปในโรงเรียนอีกครั้ง ผมก็ต่อยกำแพงจนมือฟกช้ำดำเขียวไปหมด หากคุณถามผมว่าไม่เจ็บมือหรือ ผมก็อยากตอบคุณเหลือเกินว่า คงเป็นเพราะใจผมนั้นเจ็บจนเกินทนแล้ว จึงทำให้มือทั้งสองข้างไร้ความรู้สึกไปเอง

พอมาถึงโรงเรียน ผมก็ไม่รู้ว่าห้องเรียนไปทางไหน แถมยังไม่รู้หนังสืออีกจึงต้องถามคุณครูที่เดินผ่านมา แล้วให้ท่านช่วยพาผมไปส่งที่ห้องเรียน พอเดินมาถึงหน้าห้องเรียนของตัวเองก็เห็นคนอยู่เต็มห้องไปหมด เพราะวันนี้เป็นวันมอบตัว นักเรียนทั้งห้องมี 60 กว่าคน เด็กทุกคนล้วนแต่มีพ่อแม่พามารายงานตัว มีเพียงผมคนเดียวเท่านั้นที่ไม่มีผู้ปกครอง ผมเดินเข้าไปนั่งที่อย่างขลาด ๆ อดอิจฉาคนอื่นที่มีพ่อแม่มาด้วยไม่ได้ พวกเขาช่างเกิดมาโชคดีอะไรเช่นนี้

แล้วคุณครูก็เริ่มขานชื่อ

“ไล่ตงจิ้น!” ในที่สุดครูก็เรียกชื่อผม

“มาครับ” ผมตอบเบา ๆ

ครูขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้นมองผม แล้วมองกลับลงไปที่เอกสาร จากนั้นก็หยุดขานชื่อ แล้วถามผมว่า “ไล่ตงจิ้น แล้วพ่อแม่เธอล่ะ ทำไมไม่มา”

ผมชักจะเสียใจ แต่ก็ไม่กล้าโกหกครู จึงตอบอย่างจริงจังว่า “คุณครูครับ พ่อผมตาบอด แม่ผมปัญญาอ่อน พวกเขามาไม่ได้ครับ”

แล้วเสียงที่กำลังเซ็งแซ่อยู่ในห้องก็เงียบสนิทลงฉับพลัน เด็กทั้งหกสิบคนพร้อมผู้ปกครองของพวกเขา รวมสายตากว่าร้อยคู่เพ่งมาที่ผมเป็นจุดเดียว เสียงเซ็งแซ่เงียบลงเพียงไม่กี่วินาทีก็ดังขึ้นมาใหม่ คราวนี้บรรดาผู้ปกครองทั้งหลายต่างพากันกระซิบกระซาบ ส่วนผมก็เอาแต่ก้มหน้างุดลง หูตาแดงไปหมด

“เงียบหน่อยนะคะ กรุณาเงียบ ๆ หน่อยค่ะ” คุณครูขอให้ทุกคนเงียบก่อนที่จะเดินมาข้างตัวผม ท่านตบบ่าเบา ๆ แล้วพูดว่า “ไล่ตงจิ้น ไม่เป็นไรนะ คนเราหนีความจริงไปไม่พ้นหรอก ไม่ต้องเสียใจนะ”

คำพูดประโยคนี้เป็นเหมือนแสงแดดที่ทาบลงมากลางฤดูหนาว มันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาทันที ผมมองคุณครูด้วยความซาบซึ้ง ในใจเฝ้าแต่ขอบคุณครูอยู่ไม่ขาด “ขอบคุณครับ ขอบคุณครับคุณครู ขอบคุณมากครับ”

พอขานชื่อเสร็จ นักเรียนทุกคนก็ต้องกรอกข้อมูลลงในทะเบียนเอกสาร ผมมองเอกสารแล้วก็นั่งนิ่งตะลึงอยู่กับที่ นี่มันเป็นภาษาสวรรค์หรืออย่างไรนะ อย่าว่าแต่จะให้เขียนกรอกลงไปเลย ผมไม่เคยรู้จักเลยสักตัว ดีที่ตอนนี้คุณครูเดินย้อนกลับมาหาผมอีกครั้ง ครูถามผมตามคำถามในเอกสารทีละคำถามอย่างใจดี จากนั้นก็สอนผมกรอกข้อมูลลงในเอกสาร พอมาถึงข้อที่ถามถึงอาชีพของพ่อแม่ ผมก็อึ้งไป แล้วถามครูว่า “พ่อกับแม่ผมเป็นขอทาน แล้วก็ต้องเติมว่า “ขอทาน” ไหมครับ” ครูตอบว่า “ไม่ต้องเขียนอย่างนั้นหรอกอาจิ้น เติมแค่ว่า “พ่อบ้าน-แม่บ้าน” ก็พอแล้วละ มา ครูจะสอนให้เขียนนะ พอ-ออ-พอ-ไม้เอก-พ่อ บอ-อา-นอ-บาน-ไม้โท-บ้าน มอ-แอ-แม-ไม้เอก-แม่ บอ-อา-นอ-บาน-ไม้โท-บ้าน”

คุณครูท่านนี้คือครูที่แสนดีคนแรกในชีวิตผม เธอชื่อคุณครูเฉินเมี่ยว

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2009, 00:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ตอนที่ 26
พี่สาวผู้เสียสละ

หลังจากเข้าเรียนเพียงไม่กี่วัน วันนั้น ผมรีบกลับบ้านเพื่อออกไปขอทานกับพ่อ แต่พ่อกลับไม่อยู่บ้าน มีเพียงพี่สาวที่กำลังร้องไห้อยู่บนเตียงคนเดียว ผมรี่เข้าไปถามเธออย่างห่วงใยว่าเป็นอะไร ปวดท้องหิวข้าวหรือเปล่า ไม่สบายตรงไหน หรือถูกใครรังแกมา

พี่สาวเอาแต่ส่ายหน้า ไม่ให้ผมถามอะไรอีก บอกแต่ว่าวันนี้พ่อไม่ออกไปขอทานที่ตลาดโต้รุ่ง แล้วก็ไล่ให้ผมรีบไปทำการบ้าน

แต่ไหนแต่ไรมาผมกับพี่สาวรักและสนิทกันมาก ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น เราทั้งคู่ก็จะคอยปลอบใจกัน ช่วยกันรับภาระทุกอย่าง แต่วันนี้เธอดูแปลกไป ถามอะไรก็ไม่ยอมพูด เอาแต่ส่ายหน้าร้องไห้ ผมคิดอย่างจนปัญญาว่า “พวกเด็กผู้หญิงพอโตขึ้นแล้วชอบทำตัวแปลก ๆ พวกเด็กผู้หญิงในห้องก็เหมือนกัน เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวร้องไห้ อะไรนิดหน่อยก็ว่าอย่ามายุ่ง เฮ้อ...ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ไม่รู้พวกเขาคิดอะไรกันอยู่นะ”

ผมเลิกคิดมาก ไหน ๆ วันนี้ไม่ต้องออกไปขอทานแล้ว ผมก็น่าจะรีบทำการบ้านให้เสร็จ จะได้ทบทวนวิชาคณิตศาสตร์ที่เพิ่งเรียนมาวันนี้อีกรอบ

พอตกดึก จู่ ๆ ผมก็ถูกเขย่าตัวปลุกให้ตื่นขึ้นมา ที่แท้ก็มีพี่สาวนั่นเอง เธอยกนิ้วมือขึ้นจุปากให้ผมเงียบ ผมพยักหน้า แล้วพี่สาวก็พูดว่า

“อาจิ้น เธอต้องตั้งใจเรียนหนังสือนะ” ผมพยักหน้า

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับบ้านเราก็ตาม เธอเป็นลูกชายคนโต ต้องเข้มแข็งรู้ไหม” ผมรับคำ

“น้องเล็กลำไส้ไม่ค่อยดี เวลาป้อนข้าวให้น้องต้องระวังให้มาก” ผมเริ่มแปลกใจ แต่พอขยับปากจะถาม พี่สาวก็ใช้มืออุดปากผมเบา ๆ แล้วพยักเพยิดไปทางพ่ออย่างระมัดระวังว่าพ่อจะตื่น

“เรื่องที่รับปากกับพี่ไว้นะ ต้องทำให้ได้นะ” น้ำตาเธอเริ่มเอ่อขึ้นมาคลอตา ทำไมล่ะ พี่ พี่เป็นอะไรไปหรือ แต่ผมก็ถามออกมาไม่ได้ เพราะมือพี่สาวยังอุดอยู่ที่ปาก จึงได้แต่จำใจพยักหน้าให้เธอสบายใจ

พอพูดจบพี่สาวก็กลับเข้าไปนอน ผมอยากจะถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้น แต่กลัวว่าเดี๋ยวพ่อจะตื่นขึ้นมา แล้วเราก็จะถูกตีด้วยกันทั้งคู่ จึงอดใจข่มตาหลับลงด้วยความกังวล แต่คิดว่าอย่างไรก็จะต้องเค้นถามเอาความจริงจากพี่สาวให้ได้ เราเป็นพี่น้องที่รักและสนิทสนมกันขนาดนี้ มีเรื่องอะไรก็ไม่น่าจะปิดบังกัน ไม่ว่าอย่างไรพรุ่งนี้ผมจะต้องถามให้รู้เรื่องให้ได้ คิดไปคิดมาแล้วผมก็หลับผล็อยไป

พอตื่นขึ้นมาตอนเช้า ผมเห็นพี่สาวยังหลับอยู่ก็ไม่อยากปลุก บอกกับตัวเองว่า เดี๋ยวเลิกเรียนตอนเย็นค่อยกลับมาถามก็ได้ จึงคว้ากระเป๋าใส่หลังไปโรงเรียนตามปกติ

ถ้าหากผมรู้ล่วงหน้าได้ว่า บทสนทนาเมื่อคืนนี้จะเป็นการสนทนาครั้งสุดท้ายของเราก่อนที่พี่สาวจะถูกผลักลงสู่เหวนรก วันนี้ผมคงไม่มีทางยอมไปโรงเรียนแน่ แม้จะไม่ให้ผมเรียนต่อ ผมก็ยินดีจะอยู่เฝ้าพี่สาวไว้กับบ้าน

แต่ผมก็พลาดโอกาสสุดท้ายที่จะช่วยชีวิตพี่สาวไป พอตอนเย็นเลิกเรียนกลับมาบ้าน ตอนนี้ผมจึงได้รับรู้ความจริงว่า เพื่อปากท้องของทุกคนในบ้าน และเพื่อที่จะให้ผมได้มีโอกาสเรียนหนังสือ พ่อจึงต้องขายพี่สาวให้กับซ่องโสเภณี พอได้ยินเรื่องนี้จากปากของพ่อ ผมก็รู้สึกเหมือนว่าร่างกายจะถูกจับแยกออกจากกันเป็นชิ้น ๆ ผมยืนนิ่งตะลึงอยู่กับที่ คิดอะไรไม่ออก สมองเบลอไปหมด รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหมุนคว้าง และผมกำลังสั่นเทิ้มไปทั้งตัว

อีกนานกว่าผมจะเรียกสติกลับคืนมาได้ ความจริงพี่สาวรู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ถึงใจเธออยากจะบอกเรื่องนี้กับผมสักแค่ไหน แต่ก็คงพูดไม่ออก ส่วนผมไอ้น้องชายจอมเซ่อ ไม่ได้เฉลียวใจเลยสักนิดว่าพี่สาวกำลังสับสนมากแค่ไหน ผมเหวี่ยงกระเป๋านักเรียนลงพื้นอย่างโกรธจัด แล้วตะเบ็งจนสุดเสียงว่า “ผมจะเอาพี่กลับมา ผมจะเอาพี่กลับมา!...” ผมรู้ดีว่านี่เป็นการตัดสินใจของพ่อซึ่งใครก็ขัดท่านไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีพี่สาวแล้วผมจะทำอย่างไรเล่า

กว่าสิบปีมานี้พี่สาวคือกำลังใจที่ดีที่สุดของผม ถ้าไม่มีพี่สาวอยู่เคียงข้าง แล้วผมจะทนต่อสู้กับชีวิตข้างหน้าได้อย่างไร แล้วใครเล่าจะคอยปลอบใจผม เป็นกำลังใจให้ผม ผมจะซบหน้าลงแนบอกใครในเวลาที่ร้องไห้ยามค่ำคืน ถ้าขอทานไม่ได้อะไรเลย แล้วใครจะแกล้งทำเป็นพูดกับผมอย่างร่าเริงว่า “อาจิ้น เรามาแข่งกันดูซิว่าใครจะขอทานได้มากกว่ากัน” โธ่ พี่ ผมไม่อยากเรียนหนังสือแล้ว พี่กลับมาเถอะนะ

พ่อได้ยินเสียงผมสะอื้น ก็พูดกับผมด้วยน้ำเสียงเข้ม “ไม่ต้องร้องไห้แล้ว หรือแกจะให้อดตายกันทั้งบ้าน”

คำพูดประโยคนี้ตีอารมณ์ความคิดผมแตกกระเจิง ทำเอาผมพูดอะไรไม่ออก ผมมันไม่ดีเอง ไม่มีปัญญาหาเลี้ยงพ่อแม่กับน้อง ๆ ทำให้พี่สาวต้องขายตัว ต้องเอาชีวิตไปสังเวยเป็นเครื่องเล่นให้กับคนอื่นเขา เป็นเพราะผมมันใช้ไม่ได้เอง เป็นเพราะอาจิ้นไม่ดีเอง

ปีนี้พี่สาวเพิ่งจะอายุ 13 เธอไม่เคยมีโอกาสได้รับการศึกษาเลยตลอดชีวิต แต่กลับยอมเสียสละความสาวและความสุขทั้งชีวิตของเธอเพื่อครอบครัว

ผมได้พบพี่สาวอีกครั้งเมื่ออีกหนึ่งปีผ่านไป คนที่ซ่องขับรถพาเธอกลับมาที่บ้าน แต่ให้แวะเพียงไม่กี่นาที จากนั้นก็พาตัวเธอกลับไปอีก ความจริงตอนนั้นผมยังไม่ค่อยเข้าใจนักหรอกว่าซ่องคืออะไร รู้แต่ว่าที่นั่นคือนรก คือหลุมอเวจี เมื่อผมได้พบกับพี่สาวอีกครั้ง แทบจะยิ่งกว่าฝันไปเสียอีก พอเราเจอหน้ากันก็ร้องไห้โผเข้ากอดกันแน่น

คนที่ผ่านช่วงเวลาอันเลวร้ายมาอย่างเราสองคน รู้ดีว่าต้องทะนุถนอมเวลาทุกวินาทีเอาไว้ พี่สาวให้ผมเล่าเรื่องในครอบครัวตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาให้ฟัง รวมทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นกับผมที่โรงเรียนด้วย จากนั้นเธอจึงเล่าเรื่องและสภาพความเป็นอยู่ของตัวเองให้ผมฟังบ้าง

พี่เล่าว่า เธอเป็นพนักงานต้อนรับที่เด็กที่สุดในซ่อง จึงถูกจัดให้ยืนเรียกลูกค้าอยู่แถวหน้าสุดเสมอ เพราะทั่วไปคนมักจะเชื่อกันว่า “เด็กเอ๊าะ ๆ ช่วยบำรุงสายตา” พี่จึงรับแขกบ่อยที่สุด ตอนแรกพี่ก็แทบจะทนความทุกข์ทรมานที่สุมเข้ามาทั้งกายและใจไม่ไหว คิดจะหนีกลับบ้านไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่แม่เล้าขู่ว่าพ่อเอาเงินขายตัวไปหมดแล้ว ถ้าคิดจะหนีก็ต้องให้พ่อเอาเงินมาไถ่ตัวคืนเสียด้วย พี่สาวจึงจำต้องทนยอมรับสภาพไปโดยดี แต่ถ้ารับแขกได้ไม่มากพอ หรือหากทำอะไรให้แขกไม่พอใจเข้า ก็มักจะถูกพวกแมงดาซ้อม

พี่สาวพูดไปก็กลั้นสะอื้นไป ผมอดสงสารพี่ไม่ได้จึงร้องไห้ออกมา แล้วพร่ำบอกพี่สาวว่าไม่ต้องกลับไปอีก ผมไม่เรียนหนังสือแล้วก็ได้ ผมจะไปขอทาน จะให้ผมเป็นกรรมกรก็ได้ ผมจะดูแลครอบครัวเอง พี่สาวเอื้อมมือมาซับน้ำตาผมแล้วพูดว่า “อาจิ้น เธอลืมไปแล้วหรือว่าเคยตกลงกับพี่ได้ยังไง ไม่ว่าเราจะเจ็บปวดสักแค่ไหน เราก็ต้องสู้ต่อไป พี่เต็มใจไปทำงานที่นั่นเอง พี่อยากทำ ไม่มีใครบังคับพี่ มันเป็นความสมัครใจของพี่เอง ขอเพียงเธอตั้งใจเรียนเท่านี้ก็เป็นการทดแทนบุญคุณพี่ได้อย่างดีที่สุดแล้วละ”

แล้วพี่ยังพูดต่ออีกว่า ยิ่งพ่อแม่โชคร้ายแค่ไหน เราก็ต้องยิ่งเข้มแข็งให้มากขึ้นเท่านั้น นับแต่นั้นคำพูดประโยคนี้ก็ประทับไว้ในใจผมตลอดมา เมื่อใดที่รู้สึกท้อแท้ ผมก็จะเอาคำพูดของพี่สาวประโยคนี้มาไตร่ตรองใคร่ครวญทุกครั้งไป

พอเห็นพวกแมงดาเดินเข้ามาลากตัวพี่สาวไปอีกครั้ง ผมก็ตั้งปณิธานไว้กับตัวเองอย่างแน่วแน่ว่าผมจะต้องตั้งใจเรียนให้ดี พร้อมกับแอบครางในใจว่าพี่ ผมจะไม่ให้พี่ต้องเสียสละเปล่า ๆ แน่

ชีวิตพี่สาวลำบากกว่าผมมากนัก เธอทำงานที่ซ่องนานถึงอายุ 18 ปี ที่จริงก็มีแขกหลายคนที่ต้องการจะช่วยไถ่ตัวให้พี่ แต่ก็ได้รับคำปฏิเสธหมดทุกราย พี่บอกว่าฐานะบ้านเรายังไม่ดี จึงต้องยอมทนลำบากต่อไป โดยจะยังไม่รีบแต่งงานเพื่อเอาตัวรอดไปคนเดียว ต่อมาพี่สาวก็แต่งงานไปกับพี่เขยขอทานพิการตาบอดแขนด้วน เธอจึงต้องกลับมาแบกภาระรับผิดชอบดูแลทั้งชีวิตตัวเองและลูก ๆ ทั้งสี่คนของเธออีกครั้ง

ถึงอย่างไรก็ตาม เธอจะเป็นพี่ที่ประเสริฐที่สุดในใจผมตลอดไป เพราะความเสียสละของพี่สาวนี่เองที่ช่วยปลุกจิตสำนึกของผม เตือนให้ผมต้องเข้มแข็งอดทน และมีความตั้งใจที่จะเอาชนะต่อชะตากรรมเสมอมา

ผมนึกอยู่เสมอว่า พี่สาวยังเต็มใจขายตัวเพื่อความอยู่รอดของครอบครัว แล้วผมเล่า เต็มใจรับภาระดูแลคนทั้งครอบครัวแค่ไหน กล้าสละชีวิตโดยไม่ลังเลหรือไม่ ผมยอมได้หรือเปล่า ผมทำได้ไหม

พอนึกถึงตอนนี้ทีไร ผมก็ต้องยกมือขึ้นปิดหน้าร้องไห้โฮออกมาอย่างลืมตัวทุกครั้ง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2009, 00:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ตอนที่ 27
ความรู้ข้างถนน

ครอบครัวเราไม่มีใครอ่านหนังสือออกเลยสักคน แล้วก็พูดภาษากลางไม่ได้ด้วย จึงทำให้การได้เข้าโรงเรียนเพื่อเรียนหนังสือของผมนั้น นอกจากจะรู้สึกยินดีแล้ว ยังรู้สึกขอบคุณด้วย ความรู้สึกขอบคุณเปี่ยมล้นอยู่ในหัวใจผม ผมอยากขอบคุณฟ้าที่ยังปรานีต่อผม และขอบคุณมากครับพ่อ

ผมรู้ว่าครอบครัวเรายากจนมาก การที่ให้ผมได้เรียนหนังสือไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพื่อให้ทุกคนมีอะไรตกถึงท้องทั้งสามมื้อ หลังเข้าโรงเรียนแล้ว ผมจึงต้องเรียนไปด้วยออกขอทานไปด้วย ตอนเย็นหลังเลิกเรียนผมจะต้องออกไปขอทานกับพ่อจนถึงตีหนึ่งตีสองทุกวัน แล้วค่อยลากสังขารอันอ่อนล้าจวนสิ้นแรงกลับบ้าน พอมาถึงบ้านก็ต้องช่วยทำอาหารให้พ่อกินรองท้อง กว่างานทุกอย่างจะเสร็จเรียบร้อยก็ย่างเข้าตีสาม จากนั้นผมจึงจะได้ล้มตัวนอนอย่างสบายใจเสียที แล้วค่อยตื่นขึ้นมาอีกทีตอนตีห้ากว่า อ่านหนังสือ อาบน้ำ หุงข้าว แล้วค่อยไปโรงเรียน หกปีของผมเร็วเหมือนหนึ่งวัน

เพราะการไปโรงเรียนกินเวลาของผมไปเกือบทั้งวัน ดังนั้นพอถึงเวลาออกไปขอทานตอนกลางคืนจึงต้องแข็งขันกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว จะปล่อยให้เวลาผ่านไปเปล่า ๆ ไม่ได้เลยสักวินาที พอถึงเวลาเลิกเรียน ผมต้องแบกกระเป๋าวิ่งกลับบ้านด่วนจี๋ รีบถอดชุดนักเรียน สลัดรองเท้ากีฬาซึ่งเป็นรองเท้าเพียงคู่เดียวของผมออก (ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา ผมเพิ่งจะเคยซื้อชุดนี้และรองเท้าคู่นี้เป็นครั้งแรก ผมจึงกลัวว่ามันจะขาดและสกปรกเร็วเกินไป) เปลี่ยนเป็นชุด “ท่านชายตกยาก” ซึ่งเป็นเสื้อผ้าของผู้ตายที่ได้รับแจกจากงานศพ เดินตีนเปล่าสะพายกระเป๋านักเรียน จูงพ่อออกตระเวนขอทานไปตามที่ต่าง ๆ เดินจากบ้านไปกว่าจะเข้าถึงเขตชุมชนก็กินระยะทาง 10 – 20 กิโลเมตร ระหว่างทางก็ต้องรีบเดินจนแทบไม่ได้หายใจหายคอ หัวใจเต้นรัวแรงเหมือนจะทะลุออกมานอกอก

สถานีรถไฟไถจง ตลาดโต้รุ่ง สะพานลอย ตลอดจนตามตรอกซอกซอยต่าง ๆ ที่ใดก็ตามที่มีผู้คนจอแจ ที่นั่นจะมีเราสองพ่อลูกนั่งขอทานอยู่ บางครั้งพ่อก็สีซอ บางครั้งก็ดีดพิณ บางครั้งก็ดีดหรือสีและร้องเพลงไปพร้อม ๆ กัน หรือบางครั้งก็เอาแต่นั่งคุกเข่าคำนับผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาไม่หยุด ส่วนผมจะนั่งทำการบ้านอยู่ข้าง ๆ พ่อ โดยอาศัยแสงริบหรี่จากเสาไฟข้างถนน พอได้ยินเสียงเศษเหรียญหนึ่งเหมา สองเหมา หรือห้าเหมาหล่นลงในขันดัง “แกร็ง” แล้ว ผมจะต้องรีบวางดินสอลง เงยหน้าขึ้นมาพูดพร้อมกับพ่อทันทีว่า “ขอบคุณครับ ขอให้ท่านร่ำรวย เงินทองไหลมาเทมา ขอให้มีลูกดีหลานดีเป็นเกียรติเป็นศรีแก่วงศ์ตระกูลนะครับ”

จากนั้นจึงค่อยก้มหน้าลงทำการบ้านต่อ แม้พื้นถนนจะขรุขระ แสงไฟจะสลัว แต่ผมก็ยังเป็นนักเรียนที่ลายมือสวยที่สุดในห้อง ถ้าลองเปิดสมุดการบ้านผมดู ก็จะเห็นแต่เอบวกอยู่ทุกหน้าไป เพราะผมรู้ตัวเองดีว่าไม่มีเวลาเหลือเฟือพอที่จะอ่านหนังสือได้ ดังนั้นพอทำการบ้านเสร็จ ผมก็จะรีบหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านต่อทันที โดยยืนอ่านออกเสียงเบา ๆ ทีละตัว ๆ อยู่ข้างกายพ่อ ไม่ว่าเสียงบนถนนจะดังแค่ไหน อึกทึกเพียงไรก็ตาม ยิ่งลำบากมากเท่าใด ผมก็ยิ่งตระหนักถึงคุณค่าและยิ่งทะนุถนอมเวลาของผมมากขึ้นเท่านั้น ผมจึงต้องพยายามใช้เวลาที่ผ่านไปทุกนาทีให้คุ้มค่าที่สุดเท่าที่จะทำได้

ครั้งหนึ่ง เราเจอคุณลุงที่มาจากต่างถิ่นคนหนึ่ง แกฟังภาษาถิ่นไต้หวันของพ่อไม่รู้เรื่อง ส่วนพ่อก็ฟังสำเนียงภาษาจีนกลางของแกไม่ออก พอพ่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาใกล้ ก็พูดขอทานเป็นภาษาถิ่นไต้หวัน คุณลุงคนนั้นฟังไม่เข้าใจก็เลยหลุดออกมาว่า “แม่แกสิ” พ่อเข้าใจว่าคำนี้คงจะมีความหมายว่า “ขอทาน” จึงรีบพยักหน้ารับใหญ่ แล้วก็ตอบไปว่า “ใช่ ๆ!…แม่แกสิ” คุณลุงคนนั้นโกรธจัดจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง แกตวัดมือปัดหนังสือในมือผมตกลงไปกับพื้น แล้วเดินจากไปอย่างโกรธจัด

ผมหยิบหนังสือขึ้นมาด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมเขาจะต้องโมโหถึงขนาดนี้ด้วย พ่อก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เขาเป็นอะไรหรือ แปลกคนจริงเชียว คนต่างถิ่นนี่ช่างร้ายกาจนัก ผ่านเรื่องนี้มาอีกนานทีเดียวกว่าผมจะรู้ว่า ที่จริงแล้วที่คุณลุงแกพูดมันคือคำด่านั่นเอง

แต่การทำการบ้านตามข้างถนนจะตั้งอกตั้งใจมากไปก็ไม่ได้ เพราะปกติพ่อจะกล่าวคำขอบคุณโดยอาศัยฟังเสียงของเหรียญที่ตกลงในขันเท่านั้น แต่บางครั้งก็มีคนที่ให้เงินเป็นธนบัตรใบละห้าเหมาหรือหนึ่งหยวน ผมจึงมีหน้าที่คอยสะกิดเตือนให้พ่อรู้ พร้อมทั้งบอกจำนวนเงินที่เขาให้มาด้วย จากนั้นก็จะต้องไปเก็บหินก้อนเล็ก ๆ มาทับไว้กันลมพัดปลิวหาย มีหลายครั้งที่ลมพัดเงินปลิวไป ผมก็ต้องวิ่งด้วยความเร็วแบบคูณร้อยเพื่อไปเก็บกลับมาให้ได้

นอกจากนี้ ตำรวจอาจจะปรากฏตัวเมื่อไรก็ได้ แรก ๆ เรายังอ่อนหัดนัก พวกหาบเร่ที่อยู่ใกล้ ๆ ต่างเก็บแผงทยอยหนีกันไปจนหมดแล้ว เหลือแต่เราสองพ่อลูกที่ยังนั่งคุกเข่าเซ่ออยู่ ผมก็คือเราสองคนถูกจับไปฝากขังไว้ถึงสองวัน ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้ผมเริ่มหูไวตาไวขึ้น ระหว่างอ่านหนังสือก็คอยเหลียวซ้ายแลขวาเหมือนกับพวกขโมยที่คอยเฝ้าดูต้นทาง เพียงแค่เห็นเงาแวบ ๆ ของตำรวจที่มาแต่ไกล ผมก็จะรีบบอกให้พ่อรู้ตัวก่อน แล้วตัวเองก็หนีไปไกลจากพ่อ ต้องใช้วิธีนี้เท่านั้น เราจึงจะไม่ถูกจับไปด้วยกันทั้งคู่ ไม่เช่นนั้นใครจะมาช่วยดูแลแม่กับน้อง ๆ ให้เราเล่า

วันหนึ่ง ผมกับพ่อนั่งรถประจำทางมาลงที่หน้าตลาดโต้รุ่งเฟิงหยวน ก็มีตำรวจตรงเข้ามาจับกุมเรา ผมรีบวิ่งเข้าไปหลบด้านหลังเสาไฟฟ้า มองดูพ่อที่ถูกตำรวจคุมตัวขึ้นรถไปแล้วน้ำตาจะไหล แต่ก็ต้องกลั้นเอาไว้ ผมกัดริมฝีปากแน่น ไม่กล้าร้องไห้ออกมาในตอนนี้ แล้วตำรวจจะเอาตัวพ่อไปไหนกันนะ ห้องฝากขังก็แหล่งรวมอสรพิษดี ๆ นี่เอง พวกเขาจะรังแกพ่อหรือเปล่า แล้วพ่อจะได้กลับมาอีกไหม ผมมองดูรถตำรวจจนลับตาไป แล้วก็วิ่งเข้าไปร้องไห้โฮคนเดียวในซอยมืด ผมปวดใจแค้นใจเกินจะทน

ตอนนี้ผมไม่มีเงินติดตัวเลยแม้แต่เหมาเดียว จึงต้องสะพายกระเป๋าวิ่งจากตัวเมืองเฟิงหยวนกลับบ้าน วิ่งจนเหนื่อยก็เดินพักเอาแรง แล้วก็วิ่ง ๆๆ อีก ถนนหนทางมืดสนิท ได้แสงจันทร์นวลผ่อง ผมได้ยินเสียงหมาหอนยาวเป็นระยะ ๆ ไม่ใช่ว่าผมกลัว เพียงแต่ไม่เข้าใจมากกว่า ผมเกิดมาทำไมกัน ให้ผมมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ด้วยความทุกข์ทรมานเท่านั้นใช่ไหม ตอนเช้าต้องไปเรียนหนังสือ ตอนเย็นต้องออกมาขอทาน ชีวิตอย่างนี้เป็นชีวิตของคนหรือ ผมเอาความอัดอั้นในใจที่ระเบิดออกมาแปรเป็นพลังให้ผมมุ่งหน้าต่อไป ระยะทาง 30 กิโลเมตรเต็ม ๆ ที่ผมวิ่งไปร้องไห้ไปจนถึงบ้าน

ขนาดผมวิ่งสลับเดินไปตลอดยังกินเวลาถึงสามชั่วโมงกว่าจะถึงบ้าน ฝ่าเท้าผมเป็นตาปลาไปหมด ตอนนี้คงเป็นเวลาสักห้าหกทุ่มได้กระมัง พวกน้อง ๆ วิ่งกรูกันเข้ามารุมถามผมว่า “พี่จ๋า แล้วพ่อล่ะ”

ผมอยากจะพูดแต่ก็พูดไม่ออก จะพูดออกมาก็กลัวว่าน้อง ๆ จะพลอยไม่สบายใจไปด้วย แต่จะไม่บอกก็ไม่ได้ จึงต้องแต่งเรื่องขึ้นมาอ้างว่า “วันนี้พ่อไปนอนบ้านเพื่อน พี่เลยนั่งรถกลับมาคนเดียว เอาละ เป็นเด็กดีนะทุกคน รีบเข้าไปนอนซะ เดี๋ยวพรุ่งนี้พ่อก็กลับบ้านมาแล้วละ”

พอหลอกให้น้อง ๆ เข้านอนกันเรียบร้อยแล้ว ผมก็หันกลับมามองแม่กับน้องชายปัญญาอ่อนที่กำลังนอนหลับสนิท บางทีการไม่รับรู้อะไรเลยนี่ก็ต้องถือเป็นความโชคดีอย่างหนึ่ง อย่างน้อยก็นอนหลับอย่างสบายอกสบายใจได้

ผมคิดถึงพี่สาวขึ้นมาจับใจ ถ้าพี่อยู่บ้าน อย่างน้อยก็ยังมีอีกคนที่จะคอยร่วมทุกข์กับผม อย่างน้อยก็ยังมีอีกคนที่จะคอยโอบกอดผมยามร้องไห้ แต่...พอคิดถึงพี่สาวก็กำลังได้รับความทุกข์ทรมานอยู่ที่ซ่องเหมือนกัน แถมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่สาวจะยิ่งทุกข์ทรมานมากกว่าผมอีกสักกี่ร้อยกี่พันเท่า ผมก็เสียใจจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป

พอตื่นมาผมก็รีบไปโรงเรียนแต่เช้า ครอบครัวเราไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีเพื่อนฝูงที่ไหน ผมจึงต้องไปขอความช่วยเหลือจากคุณครูเฉินซูหุ้ย ซึ่งเป็นครูประจำชั้นของผมในตอนนั้น

“อย่ากังวลใจไปเลยนะอาจิ้น ตอนนี้ตั้งใจเรียนก่อนนะ พอเลิกเรียนแล้ว ครูจะพาเธอไปประกันตัวพ่อที่โรงพักเอง ดีไหม”

ผมเงยหน้าขึ้นมองคุณครู ใจก็ยังอดกังวลไม่ได้

“เรื่องเงินทองก็ไม่ต้องห่วงหรอกนะ เดี๋ยวครูจะออกให้เธอเอง แล้วไม่ต้องร้องไห้นะ เป็นลูกผู้ชายต้องเข้มแข็งรู้ไหม” คุณครูคงจะมองออกว่าผมยังกังวลใจ จึงพูดปลอบผมอย่างใจดี

ผมพยักหน้ารับ ซาบซึ้งใจจนบอกไม่ถูก บนโลกอันสิ้นไร้ซึ่งที่พึ่งพิงใบนี้คงมีแต่คำพูดของคุณครูเท่านั้นที่ช่วยปลอบประโลม และเป็นที่พักพิงใจให้กับผมได้ ในใจผมกู่ร้องดังก้องว่า คุณครูครับ ขอบคุณครับ แต่ก็พยายามบอกกับตัวเองว่าเราต้องเข้มแข็ง การตั้งใจเรียนเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ผมเป็นคนมีอนาคต แล้วจึงจะสามารถกลับมาตอบแทนพระคุณของคุณครูได้

หลังเลิกเรียน คุณครูพาผมตระเวนหาพ่อตามโรงพักต่าง ๆ เราตระเวนหากันอยู่หลายแห่งทีเดียวกว่าจะเจอ คุณครูช่วยเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับครอบครัวผมให้ทางตำรวจฟัง ตำรวจแสดงความเห็นใจ แต่ก็ต้องปฏิบัติตามหน้าที่ เพราะโดยกฎหมายแล้วพวกเราไม่สามารถจะออกไปขอทานได้ ครั้งนี้ตำรวจอาจจะช่วยปล่อยตัวพ่อออกไป แต่หากถูกจับอีกก็คงจะยกเว้นให้ไม่ได้ และคราวหน้าจะต้องถูกขังนานกว่าครั้งนี้แน่

ครับ ๆๆ! ผมรีบพยักหน้าส่งเดช ขอแค่ปล่อยพ่อออกมาก่อนแล้วกันจะว่าอย่างไรผมก็ยอมทั้งนั้น แต่ในความเป็นจริงทั้งพ่อและแม่ต่างก็ไม่มีความสามารถในการหาเงิน ส่วนผมซึ่งเป็นลูกชายคนโตของบ้านก็อายุเพียงสิบกว่าขวบเท่านั้น และบ้านเราก็มีสมาชิกตั้งสิบกว่าคน ถ้าไม่ไปขอทานแล้วเราจะกินอะไรเล่า ผมก็ไม่รู้ แต่ช่างมันเถอะ เรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นผมคงคาดเดาอะไรไม่ได้ ตอนนี้ขอแค่ปล่อยตัวพ่อผมออกมาก่อนก็แล้วกัน ต่อไปจะเป็นอย่างไรค่อยว่ากัน

เสริมความ : ตำรวจที่อยู่เวรยามย่านสถานีรถไฟไถจง ป้อมทางหลวงเฟิงหยวนและสถานีขนส่งจ้างฮว่าในปี 1967 คงไม่มีใครไม่รู้จักเด็กขอทานที่ชื่อ “อาจิ้น” ช่วงนั้นผมหากินอยู่แถวนี้ ถูกจับไปขังกี่หนก็แทบจะนับไม่ถ้วน ผมคุ้นเคยกับห้องฝากขังบนโรงพักดีพอ ๆ กับห้องครัวในบ้านผมเลยทีเดียว

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2009, 00:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ตอนที่ 28
รางวัลใบแรก

ทุกวันตอนเช้า ก่อนจะลุกขึ้นสะพายกระเป๋าไปโรงเรียน ผมมักจะรู้สึกว้าวุ่นใจเหลือเกิน

ผมชอบเรียนหนังสือ ผมชอบคุณครู ในช่วงที่เราเร่ร่อนกันอยู่ ผมก็มักจะแอบย่องเข้าไปในโรงเรียนไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ได้แต่ชะเง้อมองผ่านหน้าต่างเข้าไปดูนักเรียนที่กำลังเรียนหนังสือด้วยความอิจฉา แต่ทุกวันที่ไปโรงเรียน ผมมักจะถูกนักเรียนรุ่นพี่ที่เกเรรุมแกล้งขวางทางผมไว้ แล้วก็พูดจาเยาะเย้ยถากถางหัวเราะดูถูกผมสารพัด คำพูดบาดหูเสียดแทงใจเหล่านี้แทบจะทำให้ทำนบความโกรธของผมทลายลงมาอยู่หลายครั้ง แต่ผมก็ต้องอดทนไว้เพื่อจะได้ไม่ไปโรงเรียนสาย ผมได้แต่ก้มหัวลงพูดขอโทษพวกเขาอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และขอร้องให้พวกเขาปล่อยผมไป

พอตกดึก นึกย้อนถึงการถูกเหยียดหยามที่เกิดขึ้นในตอนกลางวันทีไร ก็รู้สึกปวดใจทีนั้น ผมรัวกำปั้นลงที่อกของตัวเอง แล้วซุกตัวลงร้องไห้ใต้ผ้าห่ม

วันหนึ่งที่โรงเรียน คุณครูเฉินเมี่ยวเรียกผมเข้าไปพบ แล้วพูดว่า “อาจิ้นตามซอกหูของเธอ แล้วก็ที่คอของเธอน่ะมีแต่คราบสกปรกทั้งนั้นเลย มือเท้าก็ดำปี๋เลย กลับไปบ้านอาบน้ำถูตัวให้สะอาดนะ รู้ไหม” ผมหน้าแดงขึ้นมาทันที ดีที่คุณครูผู้เอาใจใส่ผมพูดด้วยเสียงที่เบาราวกับกระซิบ นักเรียนคนอื่นจึงไม่ได้ยิน แต่กระนั้นผมก็ยังรู้สึกอับอายมากอยู่ดี

เมื่อกลับถึงบ้าน ผมก็รีบไปยืมกระจกคนข้างบ้านมาส่องดูตัวเองทันที นับเป็นการส่องกระจกครั้งแรกในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมา พอมองเห็นตัวเองในกระจกแล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัว ผมถอดเสื้อผ้าออก ใช้กระจกส่องดูตามซอกมุมส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย แล้วก็ถึงกับร้องไห้ออกมา

นี่ใช่ผมหรือ ใช่ผมจริง ๆ น่ะหรือ ฟันสีเหลืองจัดจนเป็นคราบดำสกปรกทั้งที่หู คอ หลัง และก้นก็มีแต่คราบไคลสกปรกจับตัวกันเป็นแผ่น ๆ คงจะต้องใช้คำว่า “ชีวิตเปื้อนฝุ่น” จริง ๆ ก็สิบกว่าปีมานี้ บ้านเราไม่เคยได้อาบน้ำเลยสักครั้ง สองสามอาทิตย์เราจึงจะใช้ผ้าขาด ๆ ชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดตัวกันสักครั้งหนึ่ง เวลาเช็ดนั้นแม่แต่เสื้อผ้าก็ไม่ต้องถอดออก บนหัวเรามีแต่เหาเต็มไปหมด ตัวก็มีแต่เห็บ คันกันจนแทบทนไม่ไหว เวลาคันมาก ๆ ก็จะเอาตัวถูไปไถมากับกำแพง หรือบางทีก็โกนหัวกันทั้งบ้านเสียเลย

ผมจำได้ว่าครั้งหนึ่งขณะที่ผมขอทานและก็เกาตามเนื้อตัวไปด้วยนั้น มีคุณนายคนหนึ่งกำลังจะเอาอาหารมายื่นให้ผม พอเธอเห็นผมเกานู่นเกานี่ไม่หยุด ก็ถามผมด้วยความอาทรว่า “นี่ไม่ได้อาบน้ำมานานเท่าไรแล้วจ๊ะหนู” ผมยกมือขึ้นชูสามนิ้วออกมาให้เธอดู คุณนายเห็นดังนี้ก็อุทานออกมาอย่างตกใจว่า “หา! สามเดือนเชียวหรือ” ผมส่ายหน้า “ไม่ใช่ครับ คงจะสามปีได้แล้วมั้งครับ” คุณนายตกใจจนของแทบจะร่วงจากมือ อาหงอาหารอะไรก็ไม่ให้ผมแล้ว เธอรีบหมุนตัวกลับไปปิดประตูใส่หน้าผมดังปัง

พอตอนนี้กลับมานึกทบทวนดูอีกที ก็เริ่มคิดได้ว่า มิน่าเล่าผมจึงได้โดนคนอื่นดูถูก ถูกรุ่นพี่ข่มเหงรังแก มิน่าเล่าจึงไม่มีเพื่อนคนไหนอยากจะเฉียดกรายเข้ามาใกล้ผม มิน่าเล่าพอใคร ๆ ได้กลิ่นตัวผมจึงรีบพากันหลบลี้หนีห่างไปโดยเร็ว ตัวผมที่เร่ร่อนขอทานมาถึง 10 ปีเต็มโดยไม่เคยได้อาบน้ำเลยแม้แต่ครั้งเดียวที่แท้ก็มีสารรูปเป็นแบบนี้นี่เอง

ผมหยิบฝอยขัดหม้อขึ้นมา ขัดคราบสกปรกตามเนื้อตัวออก ขัดจนผิวผมทั้งเจ็บ ทั้งแสบ ทั้งบวม ทั้งแดงไปหมด แล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะสะอาดขึ้น แต่ผมก็ยังไม่พอใจ ขัดไปก็เช็ดน้ำตาไป นี่เป็นครั้งแรกที่ทำให้ผมรู้สึกถึงความสำคัญของรูปลักษณ์ของบุคคล หากผมไม่รู้จักดูแลและเคารพตัวเอง แล้วใครจะให้เกียรติผม

หลายสัปดาห์ผ่านไป คุณครูให้นักเรียนทุกคนยกมือเลือกหัวหน้าชั้นและหัวหน้ากลุ่ม ผมได้รับเสียงสนับสนุนจากนักเรียนทั้งห้องให้เป็นหัวหน้าชั้น คุณครูส่งยิ้มให้กำลังใจผม ผมก็ส่งยิ้มตอบกลับให้คุณครู ไม่รู้ว่าคุณครูจะเห็นหรือเปล่าว่าในรอยยิ้มของผมนั้นมีคราบน้ำตาแฝงอยู่ด้วย

ผมคิดว่าลักษณะและความสามารถในการเป็นผู้นำของผมน่าจะเป็นผลจากการที่ผมมีชีวิตระหกระเหินมานานกว่าสิบปี การต้องต่อสู้กับภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอันโหดร้าย ตลอดจนสัตว์ใหญ่น้อยทุกประเภท ทำให้ผมเผชิญหน้ากับเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างใจเย็นและเป็นผู้ใหญ่กว่าคนอื่น มีความกระตือรือร้นในการทำงานแทบทุกอย่าง และการที่ต้องดูแลทั้งพ่อและแม่ตั้งแต่อายุเพียง 3 – 4 ขวบ จึงทำให้ผมเป็นคนที่มีความละเอียดรอบคอบ มีน้ำอดน้ำทน และมีน้ำใจทั้งยังช่วยหล่อหลอมให้ผมมีนิสัยเข้มแข็งและกล้าหาญด้วย เมื่อได้เป็นหัวหน้าชั้นความภาคภูมิใจนี้ก็ทำให้ผมบอกกับตัวเองว่า ผมจะต้องพากเพียรให้มากกว่าเดิม ถึงฟ้าจะลิขิตให้ผมเกิดมาในครอบครัวขอทาน แต่ผมก็จะต้องเป็นเด็กขอทานคนหนึ่งที่ยืดอกได้อย่างเต็มภาคภูมิ

เวลาอยู่ที่โรงเรียน ผมจะทำตัวให้เป็นแบบอย่างแก่เพื่อนในชั้น ดังนั้นชั้นเรียนของเราจึงมักจะได้รับรางวัลที่ 1 เรื่องความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ตลอดจนชนะเลิศในการประกวดประเภทต่าง ๆ แทบทุกรางวัล ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ผมกลายเป็นที่รักของเพื่อนร่วมชั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนตัวผมเองนั้น ผมจะอ่านหนังสืออย่างบ้าคลั่งทุกวัน แม้บางคืนจะได้นอนไม่ถึงสามชั่วโมงก็ต้องตื่น แต่ผมก็ไม่เคยละทิ้งโอกาสใด ๆ ที่จะทำให้ผมได้อ่านหนังสือไป

ในที่สุดผลการสอบวัดผลในเดือนแรกออกมา ปรากฏว่าผมสอบได้คะแนนเต็มทุกวิชา และสอบได้เป็นที่ 1 ของนักเรียนทั้งสาย ผมยังจำได้ว่าในวันประชุมนั้น ครูใหญ่เป็นผู้ยืนมอบรางวัลอยู่ที่หน้าเวที ตอนที่ครูใหญ่ประกาศว่า “ขอเชิญเด็กชายไล่ตงจิ้น ประถมหนึ่ง ห้อง ข. ให้ออกมารับรางวัล” ผมตื่นเต้นดีใจจนตัวสั่น ขนลุกซู่ไปทั้งตัว ผมอยากจะตะโกนออกมาเหลือเกินว่า “ผมเองครับ! ผมเอง! ผมเองครับ!” ผมวิ่งออกไปรับเกียรติบัตรและรางวัลด้วยความปลาบปลื้ม

ในวินาทีที่มือผมได้สัมผัสกับเกียรติบัตรนั้น ผมรู้สึกราวกับถูกไฟฟ้าช็อต มือผมสั่นจนแทบจะถือเกียรติบัตรบาง ๆ แผ่นนั้นเอาไว้ไม่ไหว น้ำตาร้อนผ่าวหยดลงบนเกียรติบัตร ที่ 1! ที่ 1! ผมทำได้แล้ว ผมทำได้แล้วจริง ๆ วันเวลาแห่งความพากเพียร ที่สู้อดทนยืนท่องหนังสืออยู่ข้างถนน คุกเข่าทำการบ้านกับพื้นดินอันแสนขรุขระ ความอุตสาหะของผมไม่ได้สูญเปล่าเลย ผมสอบได้ที่ 1 แล้ว

ตอนที่ผมกำลังหันตัวกลับลงจากเวทีนั้น คณะครูอาจารย์และนักเรียนทั้งโรงเรียนต่างก็คึกคักกันสุดขีด เสียงปรบมือแสดงความชื่นชมดังสนั่นหวั่นไหว ในโรงเรียนเล็ก ๆ แห่งนี้แทบไม่มีใครไม่รู้สภาพครอบครัวของผม ผมรู้ว่าพวกเขากำลังเอาใจช่วยผม ไม่เพียงแต่เฉพาะเรื่องเรียนเท่านั้น แต่ยังช่วยให้กำลังใจผมให้มีพลังใจที่จะต่อสู้กับชีวิตในวันข้างหน้าด้วย

วันนั้น ระหว่างที่ผมเดินอยู่ในโรงเรียน คุณครูที่เดินผ่านไปมาก็จะเข้ามาตบไหล่ชมเชยผม รุ่นพี่บางคนที่ยืนอยู่ที่ริมระเบียงชั้นบนก็ยกนิ้วหัวแม่มือให้ ความรู้สึกนี้ แค่คำว่า “ปีติ” บรรยายได้ไม่หมดหรอก

แต่แล้วความปรีดาของผมก็ค่อย ๆ ลดจางลง พอหมดชั่วโมงเรียน เลิกเรียน ระหว่างเดินกลับบ้าน เมื่อนึกถึงว่าทั้งพ่อและแม่ต่างก็ไม่รู้หนังสือ แล้วจะมีใครมาร่วมแบ่งปันความสุขความยินดีครั้งนี้ด้วยกันกับผมเล่า ผมกอดเกียรติบัตรไว้แน่น ยืนมองดูแม่ที่กำลังนั่งเล่นดินทรายอยู่ที่พื้นบ้าน ผมรู้สึกสะท้อนใจขึ้นมาทันที เกียรติบัตรใบนี้ก็คงเป็นเพียงแค่เศษกระดาษธรรมดา ๆ ใบหนึ่งสำหรับแม่เท่านั้น ผมยื่นมือออกไป แล้วก็เปลี่ยนใจมาทันที เกียรติบัตรใบนี้ก็คงเป็นเพียงแค่เศษกระดาษธรรมดา ๆ ใบหนึ่งสำหรับแม่เท่านั้น ผมยื่นมือออกไป แล้วก็เปลี่ยนใจหดกลับเข้ามา ใบหน้าปราศจากรอยยิ้มใด ๆ ผมเดินเข้ามาชิดพ่อด้วยความหวังที่เป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้าย พูดขึ้นอย่างระมัดระวังว่า

“พ่อครับ พ่อลองจับกระดาษแผ่นนี้ดูสิครับ...”

พ่อคลำดูอยู่นิดหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอย่างสงสัย

“พ่อครับ นี่เป็นเกียรติบัตรนะครับ เป็นใบประกาศผลสอบได้ที่ 1 ของผมไงครับพ่อ” ผมพูด

แม้แต่จะตอบว่า “อือ” สักคำก็ยังไม่มี พ่อใช้ไม้เท้าประคองตัวลุกขึ้นยืนช้า ๆ ผมคิดว่าพ่อน่าจะลูบหัวผมสักหน่อย หรืออย่างน้อยก็น่าจะพูดสักคำว่า “เก่งจริง” หรือไม่ก็พูดว่า “เยี่ยมไปเลย” ก็ยังดี ผมเงยหน้าขึ้นมองพ่อ ท่านกระแอมเหมือนตั้งท่าจะพูด ผมรอคอยท่านด้วยสายตาเปี่ยมความหวัง...

พ่อพูดแล้ว พ่อพูดว่า “รีบไปหุงข้าวซะ เดี๋ยวต้องออกไปเป็นขอทานกันแล้ว!” พูดจบพ่อก็หมุนตัวเดินออกจากห้องไปทันที

“ฮะ” ผมรอจนท่านเดินออกไปจากห้องแล้ว จึงมีกำลังเปล่งคำนี้ออกมาได้อย่างยากเย็น

ครับ ผมจะไปหุงข้าวเดี๋ยวนี้แหละ ทำไมคัดจมูกจังนะ เอาละ เดี๋ยวก็ต้องออกไปเป็นขอทานเหมือนเดิมแล้ว ทำไมมันช่างเจ็บแปลบในใจอะไรเช่นนี้นะ ครับ ผมเต็มใจทำทุกอย่างอยู่แล้วละครับ แต่ว่าเกียรติบัตรใบนี้ผมจะถือกลับมาให้ใครชื่นชม

ไม่รู้ว่าผมเกิดมุทะลุอะไรขึ้นมา จู่ ๆ ก็วิ่งออกไปนอกประตูรั้ว นั่งคุกเข่าลงกับพื้น สองมือประคองใบเกียรติบัตรไว้ แหงนหน้าขึ้นมองฟ้า แล้วผมก็ตะโกนอ่านตัวหนังสือที่เขียนไว้บนเกียรติบัตรนี้ดัง ๆ ชัด ๆ เน้น ๆ ทีละตัว

“เกียรติบัตรนี้ ขอมอบเพื่อเป็นเกียรติแก่เด็กชายไล่ตงจิ้น นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ห้อง ข. ที่สอบได้ที่ 1 ในการสอบครั้งที่ 1 เทอมที่ 1 ปีไต้หวันที่ 57”

“ขอมอบเกียรติบัตรไว้ ณ โอกาสนี้ เพื่อเป็นเกียรติและกำลังใจ”

พอผมอ่านจบรอบแรก ก็ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำมูกและน้ำตา แล้วเริ่มอ่านอีก...

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2009, 02:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ตอนที่ 29
หัวใจสลาย

วันที่เรียนแค่ครึ่งวัน ได้กลับบ้านมาตอนเที่ยง วันนี้อากาศดีจริง ดวงอาทิตย์สาดแสงจัดจ้า ผมรีบลากเอาที่นอนและผ้าปูขาด ๆ ของเราออกมาตากแดดบนพื้น หวังว่าความร้อนของแสงอาทิตย์จะช่วยทำให้เจ้าตัวเห็บตัวหมัดตกใจรีบกระเด็นหนีออกไปไกล ๆ ได้บ้าง จากนั้นก็รีบเปลี่ยนชุดเครื่องแบบนักเรียนออกแล้วไปขอทาน

ยังมีเวลาเหลืออยู่อีกตลอดบ่าย ในที่สุดผมก็มีโอกาสได้ค่อย ๆ เดินสูดอากาศหายใจเสียที เดินมาจนถึงสนามเด็กเล่นของหมู่บ้าน ผมเห็นพวกเด็ก ๆ พากันล้อมวงเล่นลูกข่างกันอย่างเพลิดเพลิน พวกเขาใช้เชือกพันลูกข่างไว้ก่อนแล้วก็ขว้างมันออกไป พอลูกข่างหมุนตกถึงพื้น มันก็จะหมุนต่อไปไม่หยุด พวกเด็ก ๆ ทั้งกระโดดและกรีดร้องกันอย่างสนุกสนานเต็มที่ มิน่าเล่าผมจึงได้ยินเสียงหัวเราะกรี๊ดกร๊าดของพวกเขามาแต่ไกล

อยากจะลองแตะลูกข่างนั้นดูบ้างจังเลย

ผมอุ้มขันขอทานคู่ชีพไว้แนบอก ชะงักฝีเท้าโดยไม่รู้ตัว เฝ้าจ้องดูเจ้าลูกข่างที่หมุนวนไปมาตาแทบไม่กะพริบ

ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยมีของเล่นเลยสักชิ้นเดียว ตอนเด็ก ๆ พี่สาวเคยเก็บตุ๊กตาผ้าเก่า ๆ ที่เจ้าของทิ้งแล้วได้ตัวหนึ่ง หน้าของมันทั้งดำทั้งสกปรก ลูกตาที่ทำจากกระดุมก็หลุดหายไปข้างหนึ่ง เสื้อผ้าก็ถูกเจ้าของเก่าฉีกเสียขาดวิ่น แต่พี่สาวก็ยังรักและหวงแหนยิ่งนัก แม้พี่สาวจะพยายามชวนผมเล่นตุ๊กตาด้วยหลายครั้ง แต่ผมก็ปฏิเสธเสียทุกครั้ง เพราะตอนนั้นผมรู้สึกว่าเด็กผู้ชายเล่นตุ๊กตาแล้วดูกระตุ้งกระติ้งอย่างไรชอบกล

มีฉากหนึ่งในชีวิตที่ผมคงไม่มีวันลืมได้เลย

ท่ามกลางลำแสงสุดท้ายของยามเย็น ผมเล่นโยนก้อนหินแข่งกับตัวเองอยู่นอกบ้าน โดยพยายามโยนออกไปให้ไกลกว่าครั้งที่แล้ว ส่วนพี่สาวนั่งอยู่กับพื้นคุยกับตุ๊กตาของเธอ ยอดหญ้าแผ่วพลิ้วถูกแสงอาทิตย์ทาบทอจนเปล่งประกายเป็นสีทองไปทั่ว ใบหน้าด้านข้างของพี่สาวกับใบหน้ามอมแมมของเจ้าตุ๊กตาน้อยสะท้อนใส่กันท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเย็น ความเงียบสงัดปกคลุมไปทั่วทั้งผืนแผ่นดิน พอรู้สึกตัวว่าผมกำลังมองอยู่ เธอก็เงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มหวานให้ผม โลกคงจะหยุดหมุนแล้วแน่ ๆ แสงอาทิตย์ในยามอัสดงอย่างนี้ ยอดหญ้าแผ่วพลิ้วอย่างนี้ งามงดเช่นนี้เอง

แต่ตอนนี้นึกขึ้นมาแล้ว ทำให้คิดว่าเจ้าตุ๊กตาที่แสนจะยับเยินตัวนั้นเป็นเสมือนคำทำนายชะตาชีวิตของพี่สาว

ผมดูพวกเด็ก ๆ เล่นลูกข่างแล้วก็อดไม่ได้ที่จะขยับตัวเข้าไปใกล้ ๆ เด็กบางคนโยนลูกได้ไม่ดี พอขว้างออกไปแล้วแทนที่ลูกข่างจะหมุนก็กลับวิ่งออกไปเสียไกล พอผมเห็นจึงรีบวิ่งไปช่วยเก็บลูกข่างมาส่งคืนให้ แต่พวกเขากลับทำหน้าล้อเลียนใส่ผม “ไอ้ตูดหมึกเอ๊ย! ใครใช้ให้แกไปเก็บมาให้” แหม! จริงเลย ๆ ทำดีก็ไม่ได้ดี! ถึงจะไม่ได้เล่นเอง แค่ได้ดูคนอื่นเล่น เท่านี้ก็ถือว่าดีถมไปแล้วสำหรับผม

ลูกข่างที่หมุนไปมาก็เหมือนกับกงล้อแห่งชะตาชีวิต บางครั้งก็หมุนได้ราบรื่นดี แต่บางครั้งก็หมุนเอียงไปเอียงมาทีสองทีแล้วก็กลับหยุดเสียเฉย ๆ อย่างนั้น ชะตาคนเราก็เหมือนกัน ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เชือกเส้นนั้นอยู่ใต้การควบคุมของมือเรา ชะตาฟ้าลิขิตไว้ แต่สองมือเราสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ พอคิดว่าแค่ดูคนเล่นลูกข่างยังนึกเปรียบกับสัจธรรมชีวิตได้ ผมก็อดที่จะแอบยิ้มอย่างภูมิใจอยู่คนเดียวไม่ได้

แล้วผมก็ก้าวเท้าเดินเข้าไปอย่างไม่เกรงกลัว พูดกับเด็กคนที่ตัวโตกว่าใครว่า “พี่ชาย ผมขอยืมเล่นลูกข่างบ้างจะได้ไหม”

“ไปให้พ้นเลย!” เขาพูดพร้อมกับโบกมือไล่ “อยากเล่นแล้วทำไมไม่รู้จักไปซื้อมาเล่นเองล่ะ ไอ้กระจอกเอ๊ย! ไอ้ลูกขอทาน! ฉันไม่มีวันให้แกยืมหรอก ไปบอกพ่อแกให้ซื้อเองสิวะ!”

ผมฟังแล้วก็ได้แต่ก้มหน้าลง ช่างเถอะ การเปลี่ยนแปลงตนเองย่อมง่ายกว่าการเปลี่ยนแปลงผู้อื่น เวลาที่ถูกคนอื่นดูถูกก็จงมุมานะให้มากกว่าเดิม ผมก้มหน้าลงท่องเบา ๆ ผมเคยได้ยินคำเหล่านี้จากพวกผู้เฒ่าที่พูดเพื่อปลุกใจกันในงานประชุมตั้งแต่สมัยที่เรายังเร่ร่อนกันอยู่แถวบ้านนอก ตอนนี้เพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่า ผมมัวแต่ห่วงเล่นเพลินจนเกือบจะลืมไปว่าคนทั้งบ้านกำลังรอกินข้าวเย็นจากผมอยู่

เลิกห่วงเล่นเสียที รีบไปขอทานดีกว่า ขอให้วันนี้โชคดีด้วยเถอะ ถูกด่าน้อยลงนิด มีข้าวกินมากขึ้นหน่อย

พอเดินมาถึงประตูบ้านหลังหนึ่ง กำลังจะยกมือขึ้นเคาะประตูอยู่พอดี บังเอิญไปได้ยินเสียงผู้ใหญ่กระซิบกระซาบกันอย่างมีลับลมคมใน พร้อมกับเสียงหัวเราะเฮฮาอย่างเบิกบานใจดังก้องขึ้นตรงหัวมุมถนนเสียก่อน ในบทสนทนาที่ฟังดูคลุมเครือนั้นเหมือนจะมีชื่อพ่ออยู่ด้วย ผมจึงเงี่ยหูฟังด้วยความตั้งใจว่า

“ใช่ ๆ ก็ลูกสาวของไอ้งูซื่อนั่นแหละ”

“ได้ยินว่าสวยสะเด็ดไปเลยเหรอ”

“เรื่องนั้นน่ะไม่ต้องพูดถึงเลย อาทิตย์ที่แล้วข้าก็เพิ่งไปเที่ยวมา ทั้งซิงทั้งเอ๊าะ เขาว่ากันว่าเด็กเอ๊าะ ๆ นี่บำรุงสายตาไม่ใช่เรอะ ฮ่า ๆๆ”

“นี่ ๆ จะมัวสำเริงสำราญอยู่คนเดียวไม่ได้นะ เมื่อไหร่จะพาพวกเราไปด้วยล่ะ”

“สบายใจได้ ไว้ใจเถอะ เดี๋ยวข้าจะพาไปเอง ไว้วันไหนพวกเรานัดกันสองสามคนไปสนุกกับเธอด้วยกันก็ได้”

ฮ่า ๆ ๆ! ฮ่า ๆ ๆ!

เสียงหัวเราะสรวลเสเฮฮาประสานกันลอยละล่องไปตามสายลม แต่ละเสียงเหมือนมีดแต่ละเล่มที่ปรี่เข้ามากรีดหัวใจผม

ผมกลั้นใจที่เจ็บดั่งโดนมีดกรีด กดซ่อนไว้ภายใต้เสียงที่คำรามออกมา ผมขบกรามแน่น ยกสองมือขึ้นปิดหู วิ่งพรวดพราดเข้าไปในซอยแคบ ๆ แล้ว ทรุดตัวลงกับพื้นร้องไห้โฮ

อา!—อา! ผมกู่เสียงขึ้นร้องกับฟ้าอย่างโหยหวน โอ! สวรรค์ ท่านหลับอยู่หรืออย่างไรกัน

พี่! บ้านเราจนจนต้องขายพี่ไป แล้วยังถูกพวกคนมีเงินเหยียบย่ำเอาถึงเพียงนี้ ช่างน่าอัปยศอดสูอะไรเช่นนี้หนอ ช่างเจ็บปวดทรมานอะไรถึงเพียงนี้หนอ ผมทุบกำปั้นลงกับพื้นด้วยความเคียดแค้นชิงชัง ผมแค้นจนอยากจะให้มีมีดสักเล่มในมือ ผมจะเอาไปแล่เนื้อไอ้คนสารเลวที่รังแกพี่พวกนั้นให้ตายหมดเลย จะฆ่าพวกมันให้ตายหมดเลย จะแทงพวกมันเป็นหมื่นเป็นพันแผลเลย

พี่ครับ ผมขอโทษ เป็นเพราะอาจิ้นไม่ดีเอง อาจิ้นไม่ควรอยากไปโรงเรียนเรียนหนังสือเลย อาจิ้นเป็นน้องที่เห็นแก่ตัว พี่ ผมคิดถึงพี่เหลือเกิน ผมขอโทษ...

ความเคียดแค้นและความอดสูทำให้ผมกัดริมฝีปากตัวเองจนแตกเยิน แต่ผมกลับไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิดเดียว จากนั้นเป็นต้นมา ไม่ว่าจะเป็นเมื่อใดก็ตามผมจะต้องมีหนังสือเรียนติดอยู่ในมือตลอดเวลา ผมจะต้องเอาชนะต่อชะตากรรมให้ได้ ผมจะต้องได้รับเกียรติบัตรมากยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก ผมจะต้องทำให้สวรรค์เห็นให้ได้ และผมจะต้องช่วยพี่สาวออกมาจากนรกนั่นให้ได้

พี่ครับ รอผมหน่อยนะครับ!

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2009, 02:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ตอนที่ 30
บ้านแสนรัก

หลังจากเข้าเรียนแล้ว เราจึงมี “บ้าน” จริง ๆ ของเราเป็นครั้งแรก

พ่อหาเล้าหมูร้างได้เล้าหนึ่งที่หมู่บ้านเฉียนจู๋ อำเภออูรื่อ ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าของเดิมหนีหายไปไหนเสียแล้ว จึงได้ปล่อยเล้าหมูทิ้งไว้ให้รกร้างเช่นนี้ พอรู้ว่าจะได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่เล้าหมู ผมก็ตื่นเต้นเริงร่าไปหลายวันทีเดียว แม้เพื่อนบ้านด้านซ้ายของเราจะเป็นบรรดาหมูน้อยใหญ่ และเพื่อนบ้านด้านขวาจะเป็นพ่อวัวกับแม่วัว ทั้งขี้หมูและขี้วัวต่างส่งกลิ่นโชยออกมาตีกันอยู่ตลอดเวลา แล้วพวกมันก็ยังร้องเสียงดังมาก ๆ แต่อย่างน้อยในที่สุดเราก็หนีออกจากสุสานในป่าช้าอันน่าสะพรึงกลัวมาได้เสียที ถึงเวลากลับบ้านตอนกลางคืนก็ไม่ต้องคอยหวาดระแวงจนขวัญหนีดีฝ่อ เวลานอนผมก็ไม่ต้องคอยกลัวว่าจะถูกผีอำอีกต่อไป

ถ้าบอกว่า “เล้าหมู” เป็นบ้านของเรา ก็รู้สึกอับอายอยู่สักหน่อย เพราะ “บ้าน” ที่มีพื้นที่เจ็ดตารางเมตรนี้ไม่มีประตูและห้องส้วม ผนังก็เก่าลอกถลอกไม่น่าดู พื้นก็ไม่ราบเรียบสม่ำเสมอ แถมยังต้องใช้ไม่ไผ่ลำใหญ่สองลำคอยช่วยค้ำเอาไว้ไม่ให้เอียงด้วย บางครั้งพอมองไปที่ผนังดินนั้นแล้ว ก็อดรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมาไม่ได้ ต้องรีบยกมือขึ้นพนมวิงวอนต่อฟ้า เพราะกลัวว่าถ้ากลางคืนมันเกิดถล่มล้มลงมาจริง ๆ แล้วละก็ เราคงต้องพากันตายยกบ้านแน่ กระดานไม้แผ่นหนึ่งกับหินที่รองอยู่ด้านล่าง ประกอบกันเท่านี้ก็เป็นเตียงนอนได้แล้ว

สมาชิกทั้งสิบคนของครอบครัวเรานอนด้วยกันบนเตียงนี้ หัวชนเท้า เท้าชิดตัว ทุกคนนอนเบียดยัดกันได้อย่างลงตัวพอดิบพอดี พอดีจนแทบจะขยับพลิกตัวไม่ได้เลย บ้านเราไม่มีไฟฟ้า ค่ำลงก็จุดเทียนให้แสงสว่าง แต่ที่จริงแม้ตอนกลางวันในห้องก็ยังดูอับทึมอยู่เสมอ กระนั้นที่เพดานก็ยังอุตส่าห์มีรูรั่วอยู่นับสิบรู ฝนตกทีไรก็ต้องช่วยกันวิ่งหาถ้วยถังกะละมังมารองกันให้วุ่นวาย น้ำฝนหยดติ๋งๆ ลงมาอยู่ไม่ขาดสาย

และเป็นเพราะบ้านเราไม่มีห้องส้วม ดังนั้นเราจึงต้องหากระโถนพลาสติกมาใช้แทนส้วม ถ่ายทุกข์กันแต่ละทีก็เหม็นหึ่งไปทั่วห้อง พอใช้จนเต็มกระโถนแล้ว ก็เป็นหน้าที่ผมเอาไปเททิ้งลงในแม่น้ำอยู่ทุกวัน

พอตกดึกก็ยิ่งคึกคักไปกันใหญ่ ทั้งหนูและแมลงสาบต่างก็ออกมาปาร์ตี้กันสนุกสนาน จี๊ด ๆ ๆ จ๊าด ๆ ๆ บางครั้งเหมือนมีประชุมด่วน เพราะฟังดูร้อนรนและพร้อมเพรียง บางครั้งเหมือนพวกมันกำลังเล่นเกมกัน กรีดเสียงร้องกันเสียงสูง ๆ ต่ำ ๆ เดี๋ยวตัวนั้นร้องทีตัวนี้ร้องที มีบางครั้งที่เราได้ยินเสียงดัง “ตุ๊บ!” จากนั้นตามด้วยเสียงครวญครางดัง “จี๊ด - - จาจาจา” นึกว่าอะไร ที่แท้เป็นเพราะพวกหนูเล่นกันสนุกไปหน่อย ก็เลยหล่นลงมาจากหลังคา ผมกับน้อง ๆ นอนกันอยู่บนเตียง เห็นแล้วก็อดหัวเราะกันจนท้องคัดท้องแข็งไม่ได้

บางครั้งขนาดกลางวันแสก ๆ พวกหนูก็ยังอุตส่าห์ออกมาเยี่ยมเยียนเที่ยวเล่น พ่อพยายามเงี่ยหูฟังว่าเสียงมันมาจากทางไหน แล้วก็ใช้ไม่ไผ่สุ่มตีไปทั่ว ผ่านไปเป็นอาทิตย์พ่อก็ยังตีไม่ได้เลยสักตัว พ่อโมโหจนยอมลงทุนควักเงินซื้อเหล็กดักหนูมาดักไว้ตรงมุมห้อง ครั้งหนึ่งผมไม่ทันระวังจึงไปเหยียบโดนกับดักเข้า เจ็บจนตะโกนลั่นว่า “โดนหนีบแล้ว! โดนหนีบแล้ว!” แล้วผมก็เจ็บเสียจนร้องไม่ออกอีก ฝ่ายพ่อผมเข้าใจว่ากับดักหนีบโดนหนูเข้าก็ตื่นเต้นดีอกดีใจใหญ่ รีบบอกผมว่า “หนีบโดนแล้วเรอะ ดีจริงเชียว อาจิ้น แกไปจับมาให้พ่อทีซิ เดี๋ยวพ่อจะสั่งสอนมันเสียหน่อย ต้องเอาไปล้างน้ำก่อน แล้วค่อยเอามาย่างไฟ” ผมร้องขึ้นอย่างทุรนทุราย่า “โธ่! พ่อ ที่โดนหนีบน่ะเท้าผมต่างหาก!”

แม้จะย้ายบ้านใหม่ แต่ชีวิตผมก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมสักเท่าไร พอนักเรียนทุกคนขึ้นชั้นประถมปีที่ 3 ก็ต้องเริ่มห่อข้าวไปโรงเรียนเอง พ่อกับแม่หุงข้าวไม่เป็น ผมจึงต้องช่วยเหลือตัวเอง ซึ่งข้าวปิ่นโตของผมมักจะมีแต่ข้าวเปล่าเป็นส่วนใหญ่ บางครั้งข้าวแฉะจนแทบจะเละเป็นข้าวต้มอยู่แล้ว บางครั้งหุงนานเกินไปข้าวก็แข็งจนแทบจะกลายเป็นข้าวตังไปเสียหมด

พอถึงเวลากินข้าวกลางวัน เพื่อน ๆ ก็มักจะขยับเก้าอี้เข้ามาล้อมวงกินข้าวด้วยกัน เด็กนักเรียนชายบางคนที่ซุกซนหน่อยมักจะแย่งกินกับข้าวในปิ่นโตของเพื่อนคนอื่นไปทั่ว ส่วนผมกลัวว่าเพื่อน ๆ จะเห็นข้าวในปิ่นโต จึงเปิดฝาปิ่นโตขึ้นเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น แล้วก็รีบตั้งหน้าตั้งตากินเงียบ ๆ คนเดียวให้หมดไป ดีที่ผมเป็นหัวหน้าชั้นติดต่อนานถึงหกปี ประกอบกับที่ปกติผมเป็นคนค่อนข้างเคร่งขรึมอยู่แล้ว ดังนั้นต่อให้เพื่อน ๆ จะซนขนาดไหนก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาแหย่ผม

บางครั้งผมเคยแอบมองในปิ่นโตของเพื่อน ๆ เห็นมีทั้งปลา ไข่ หรือไม่ก็ผัดผักสีเขียว ๆ เห็นแล้วก็อดอิจฉาไม่ได้ ยิ่งได้ยินเพื่อน ๆ บ่นกันเสมอว่า “เฮ้อ! เบื่อแม่จริง ๆ เลย ก็รู้อยู่ว่าเราไม่ชอบกินปลา ดูสิ ยังจะห่อปลามาให้อีก” “ว้า! หมูย่างซอสอีกแล้ว กินติด ๆ กันมาสามวันแล้วนะเนี่ย” พอก้มดูข้าวเปล่าในปิ่นโตของตัวเอง ก็อดนึกขึ้นมาไม่ได้ว่า นี่คือข้าวเปล่าที่แลกมาจากการขายตัวของพี่สาว ผมปวดแปลบขึ้นที่หัวใจจนแทบจะกินข้าวต่อไม่ลง รีบเก็บปิ่นโตขึ้น แล้วก็วิ่งไปนั่งซึมใต้ต้นไม้ข้างสนามกีฬาอยู่คนเดียว

ผมบอกกับตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า ไม่ได้กินของดี ๆ ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ยังไงชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป แต่ก่อนกับข้าวเน่าบูดยังไงก็ต้องกิน ตอนนี้มีข้าวเปล่าให้กินอย่างนี้แล้วยังจะไม่พอใจอีกหรือ

ต่อมาเมื่อสถานการณ์เริ่มดีขึ้น ผมก็จะเจียวไข่หรือไม่ก็ใช้น้ำมันหมูกับซีอิ๊วคลุกข้าวมากินบ้าง เท่านี้ก็นับว่าเป็นข้าวห่อที่ปิ่นโตที่หรูหราที่สุดแล้วสำหรับผม

แน่นอน ค่าเล่าเรียนก็นับเป็นปัญหาหนักอกอีกปัญหาหนึ่ง ตลอดระยะ 12 ปีของการศึกษานั้น ผมเรียนด้วยทุนเรียนดีตลอดมา บางครั้งยังต้องเอาเงินทุนการศึกษามาแปลงเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัวก่อนด้วยซ้ำไป รอจนใกล้จะจ่ายค่าเทอมนั่นแหละ ผมถึงจะเริ่มมานั่งกลุ้มใจ หลายครั้งหลายหนที่วิตกจนต้องร้องไห้ในคืนก่อนที่จะถึงวันจ่ายค่าเทอม ด้วยไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะทำอย่างไรต่อไป สุดท้ายก็เดือดร้อนพ่อไปหยิบยืมคนในบ้านโน้นนิดบ้านนี้หน่อยมาโปะ ๆ รวมกันเข้า

ดีที่พ่อตรวจจับชีพจร วินิจฉัยโรค และเขียนใบสั่งยาให้คนในหมู่บ้านอยู่บ่อย ๆ ดังนั้นการหยิบยืมเงินจึงไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรนัก ทั้งนี้ผมอยากจะขอบพระคุณคุณหลินเหวยซงและภรรยา แห่งหมู่บ้านอู่กวง อำเภออูรื่อ ไว้ ณ ที่นี้ ที่ท่านได้มอบทุนการศึกษา ซึ่งช่วยให้ผมรอดพ้นจากอุปสรรคความทุกข์ยากนานัปการมาด้วยดี

ปกติเราไม่เคยได้กินอิ่มกันอยู่แล้ว “การเฉลิมฉลองเทศกาล” ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงใหญ่เลย แม้จะเจ็บปวดอยู่บ้าง แต่ก็ต้องพยายามบังคับตัวเองให้ชินให้ได้ สมัยเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 5 ในวันก่อนวันเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างหนึ่งวัน จู่ ๆ คุณครูก็เรียกชื่อผมขึ้นมาในห้องเรียน แล้วบอกว่า “หัวหน้าชั้น เธอช่วยไปหยิบหนังสือคณิตศาสตร์บนโต๊ะในห้องพักครูมาให้หน่อยสิ” ผมเป็นหัวหน้าชั้นติดต่อกันมาหลายปี และมักจะมีหน้าที่ช่วยหยิบนั่นถือนี่ให้คุณครูอยู่เสมอ จึงไม่ได้แปลกใจอะไร พอส่งหนังสือให้คุณครูเสร็จก็หันหลังจะกลับมานั่งที่เดิม เพื่อนนักเรียนคนหนึ่งในชั้นหันมามองผม ขอบตาแดงเรื่อ ผมคิดว่าเขาคงจะไม่สบาย แล้วก็ไม่ได้คิดอะไรมากอีก

พอเลิกเรียนวันต่อมา หลังจากที่นักเรียนคนอื่นทยอยออกจากห้องเรียนไปหมดแล้ว คุณครูก็เรียกผมให้เข้าไปหาที่โต๊ะ แล้วหยิบสิ่งของที่ห่อด้วยหนังสือพิมพ์ห่อใหญ่ใส่มือผม พอเปิดออกก็ได้กลิ่นขนมบ๊ะจ่างหอมฉุย มีทั้งชิ้นใหญ่ชิ้นเล็ก ทั้งไส้เค็มไส้หวานไม่เหมือนกันเลยสักชิ้น

ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลออกมา เงยหน้าขึ้นมองครูตาไม่กะพริบ แล้วครูก็บอกว่า “ขนมบ๊ะจ่างเหล่านี้เป็นน้ำใจจากเพื่อน ๆ จ๊ะ” มาตอนหลังผมจึงได้รู้ว่า ความจริงเมื่อวานหลังจากที่ครูแกล้งใช้ให้ผมออกไปแล้ว ครูก็พูดกับเพื่อน ๆ ว่า “นักเรียนทุกคนคงรู้แล้วใช่ไหมว่าบ้านของหัวหน้าชั้นน่าสงสารมาก พ่อตาบอด แม่ปัญญาอ่อน แล้วยังมีน้อง ๆ อีกตั้งหลายคน พวกเขาคงไม่มีเงินห่อขนมบ๊ะจ่างแน่ ๆ เลย พรุ่งนี้เป็นวันเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง เอาอย่างนี้ดีไหมคะ ครูว่าเราทุกคนช่วยกันเอาขนมบ๊ะจ่างมาฝากหัวหน้าชั้นกันคนละชิ้น ให้ครอบครัวของหัวหน้าชั้นได้ฉลองเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างเหมือนกันกับพวกเราดีไหม”

แล้วเพื่อน ๆ ก็พากันเอาขนมบ๊ะจ่างมาฝากผมจริง ๆ บางคนถึงกับยอมสละบ๊ะจ่างที่เป็นอาหารกลางวันของตัวเองให้ น้ำใจห่อใหญ่นี้ทำเอาผมซาบซึ้งใจจนแทบจะพูดอะไรไม่ออก ครูจึงพูดขึ้นอีกว่า “รีบกลับบ้านเถอะ ครูรู้จ๊ะว่าเธอจะพูดอะไร” ผมถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว แล้วก้มลงทำความเคารพครูอย่างขึงขังก่อนจะเดินทางไป แล้วน้ำอุ่น ๆ ก็ไหลรินจากดวงตา

หลังจากเทศกาลขนมบ๊ะจ่าง ก็เป็นเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ซึ่งผมก็ได้รับขนมไหว้พระจันทร์จากทุกคนอีก เป็นความอบอุ่นที่คุณครูมีให้ เป็นความรักที่เพื่อน ๆ แบ่งปันให้ผม

คุณครูท่านนี้คือครูเฉินซูหุ้ย ครูประจำชั้นสมัยเรียนประถม 5 และ 6 ของผม ครูผู้ทำให้ผมรู้สึกและสัมผัสได้ถึงความรักความอบอุ่นระหว่างเพื่อนมนุษย์และขนมบ๊ะจ่างกับขนมไหว้พระจันทร์ที่อร่อยที่สุด ผมคงไม่มีวันลืมเลยตลอดชีวิต

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 50 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร