วันเวลาปัจจุบัน 17 ต.ค. 2025, 02:08  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2016, 07:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.ย. 2012, 08:47
โพสต์: 33


 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งหนึ่งก่อนที่ศาสนาของพระสมณโคดมจักปรากฏ ครานั้นยังมีบุรุษผู้หนึ่ง เขาไม่มีบ้านเรือนเป็นหลักเป็นแหล่ง ได้แต่ยึดเอากำแพงเมืองทิศอุดรเป็นที่พำนักเรื่อยมา บุรุษผู้นี้ไม่มีความรู้ใด อาศัยว่าตนยังอยู่ในวัยฉกรรจ์ จึงใช้พละกำลังที่มีเป็นเครื่องหาเลี้ยงชีพ คราวหนึ่งเขาสะสมทรัพย์ได้ครึ่งมาสกไม่รู้จักเก็บที่ไหน จึงแอบไปฝังไว้ที่ข้างกำแพงเมือง ต่อมาเขาได้ย้ายถิ่นฐานรับจ้างผู้คนไปเรื่อย จนไปได้ภรรยาอยู่แถวประตูเมืองด้านทักษิณ ซึ่งก็เป็นหญิงเข็ญใจเช่นกัน ดังนั้นทั้งคู่จึงปักหลักอยู่ที่นั่น

สองผัวเมียคู่นี้ต่างก็ไม่มีความรู้ใด ได้แต่ใช้แรงกายรับจ้างผู้คนไปวันๆ จนวันหนึ่งตำบลที่เขาและนางอาศัยอยู่ได้จัดงานประจำปีขึ้น มีการออกร้านและว่าจ้างมหรสพมาแสดง ภรรยาชายเข็ญใจเมื่อเห็นชาวบ้านต่างเตรียมตัวเฉลิมฉลองงานเทศกาล นางที่มีนิสัยรักสนุกจึงถามสามี “ ท่านพี่! ค่ำนี้เขาจักมีการละเล่นกัน ท่านพี่พอจักมีทรัพย์บ้างหรือไม่? ” ผู้เป็นสามีพอฟังภรรยาถามก็นิ่งอยู่ครู่ จากนั้นจึงตอบ

“ ทรัพย์นั้นมีอยู่ดอกน้องหญิง ประมาณครึ่งมาสก แต่มันฝังอยู่ข้างกำแพงเมืองทิศอุดรโน่น! หากจะไปเอาก็ต้องเดินกันเป็นวันทีเดียว น่าเสียดายจริงๆ! ” ภรรยาพอฟังก็ให้แสนดีใจ รีบบอกไปทันที “ ถึงไกลก็จะเป็นไรเล่า ขอท่านพี่รีบไปนำมาเถอะ ที่ติดตัวน้องเวลานี้ก็มีอยู่ครึ่งมาสกเช่นกัน เดี๋ยวน้องจะนำทรัพย์นี้ไปซื้อดอกไม้ส่วนหนึ่ง ของหอมส่วนหนึ่ง ส่วนของพี่จักเก็บไว้ซื้ออย่างอื่น แล้วคืนนี้เราจักได้เล่นมหรสพกับเขาให้เป็นที่สนุกสนานกัน เพราะนานทีจักมีสักครั้ง ” ภรรยาผู้ชอบงานรื่นเริงพยายามพูดหว่านล้อมสามีให้ไปนำทรัพย์มาให้ตน

ถึงคราวที่กรรมฝ่ายกุศลจักให้ผลกับบุรุษเข็ญใจ พอเขาฟังภรรยาก็ให้มีจิตยินดี รีบเดินทางไปเอาทรัพย์ตามที่นางบอกทันที! ระหว่างทางเมื่อนึกถึงความสนุกสนานที่จักมีขึ้นในยามค่ำคืน เขาก็อดที่จักครึ้มใจไม่ได้ ดังนั้นจึงเดินไปพลางร้องเพลงไปพลาง

หลังจากที่เดินไปได้ครึ่งทางเพลานั้นได้เลยยามเที่ยงไปพักใหญ่แล้ว แสงอาทิตย์ที่ส่องมาต้องพื้นผิวทางหลวงเวลานั้นหากผู้ใดมิได้สวมรองเท้าแล้วออกไปเหยียบย่ำล่ะก็ รับรองว่าต้องโดดโหยงกันไปทุกราย เพราะความร้อนของมันมิได้ต่างจากขี้เถ้าในเตาที่แม่บ้านกำลังหุงข้าวต้มแกงเลย แต่บุรุษผู้มีมือเปล่าเท้าเปลือยผู้นี้กลับมิได้รู้สึกรู้สาใดๆ มิหนำซ้ำยังครวญเพลงหงิงๆอยู่ในลำคออีกต่างหาก

เขาเดินไปตามเส้นทางอันร้อนผ่าวจนกำลังจะผ่านหน้าพระลานหลวงอันเป็นเขตพระราชฐาน ขณะนั้นพระเจ้าอุทยราชาผู้ครองกรุงพาราณสีกำลังประทับอยู่บนพลับพลา จอมราชาเมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นหนุ่มชนบทเดินร้องเพลงอย่างสบายอารมณ์มาก็ให้ทรงรู้สึกเอ็นดู จึงทรงรับสั่งมหาดเล็กให้ไปพาตัวเขามา
เมื่อมหาดเล็กนำเขามาถึงพระองค์จึงตรัสถามหนุ่มบ้านนอกไปด้วยพระสุรเสียงอันกรุณา “ ดูก่อนท่านผู้มีความอดทน เหตุไฉนท่านจึงเดินร้องเพลงฝ่าเปลวแดดมาได้อย่างไม่รู้สึกร้อนเลยเล่า? ท่านจักไปยังที่ใดฤา พอจักบอกให้เรารู้ได้มั้ย? ”

บุรุษเข็ญใจเมื่อฟังพระดำรัสจึงยกมือพนมขึ้นกราบทูล “ ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า ข้าพระบาทกำลังจะไปนำทรัพย์ที่ฝังอยู่ข้างกำแพงเมืองทิศอุดรกลับไปให้ภรรยาใช้จ่ายในการละเล่นมหรสพคืนนี้พระพุทธเจ้าข้า! ” พระราชาครั้นทรงสดับก็ให้ทรงรู้สึกสนุกสนาน จึงตรัสถามเขาต่อ “ นี่! ท่านผู้มีความรักใคร่ในภรรยา ทรัพย์ของท่านมีอยู่เท่าใดฤา สักพันกหาปณะได้ไหม? ” บุรุษหนุ่มพอฟังรีบกราบทูลว่า “ หามิได้พระเจ้าข้า ทรัพย์ของกระหม่อมมีเพียงครึ่งมาสกเท่านั้น พระพุทธเจ้าข้า! ”

พระราชาเมื่อทรงสดับก็ให้ทรงประหลาดพระทัย จึงตรัสถามเขา “ อะไร! ทรัพย์แค่ครึ่งมาสกท่านก็ยอมฝ่าเปลวแดดอันร้อนระอุเดินทางไกลไปเอาเทียวรึ? ท่านนี่ช่างอุตสาหะจริงๆ ” บุรุษหนุ่มพอฟังจึงกราบทูลว่า “ ขอเดชะพระผู้เป็นใหญ่เหนือใครในแผ่นดิน ความร้อนแห่งแสงอาทิตย์ฤาจักร้อนยิ่งกว่าความร้อนของความรักที่ข้าพระบาทมีให้กับภรรยานั้น หาเทียบได้ไม่ ข้าพระบาทมีจิตยินดีที่จะไปนำทรัพย์มาให้นางใช้จ่ายในการละเล่นคืนนี้ พระพุทธเจ้าข้า! ”

สมเด็จพระราชาธิบดีเมื่อได้ทรงสดับถ้อยพาทีอันไพเราะคมคายของหนุ่มบ้านป่าเข้าก็ถึงกับทรงพระสรวลออกมา ทรงรู้สึกว่าการได้โต้ตอบถ้อยคำกับบุรุษผู้นี้มันช่างเป็นเรื่องสนุกสนานจริงๆ ดังนั้นจึงทรงชวนเขาคุยต่อ “ เออแน่ะ! ท่านผู้ฉลาดในการเจรจา ขอท่านอย่าเดินไปให้มันเหนื่อยเลย เราจักให้ทรัพย์ครึ่งมาสกแก่ท่านเอง แล้วท่านจงรีบกลับไปหาภรรยาเพื่อเตรียมซื้อหาข้าวของสำหรับงานคืนนี้เถิด ” บุรุษเข็ญใจเมื่อฟังพระดำรัสจึงรีบทรุดตัวก้มลงกราบแทบเบื้องพระยุคลบาท จากนั้นจึงทูล

“ ขอเดชะพระผู้ทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตา การที่พระองค์ทรงประทานทรัพย์ครึ่งมาสกแก่ข้าพระบาทก็เพราะน้ำพระทัยอันกรุณาที่ทรงมีให้ต่อเหล่าพสกนิกร ฉะนั้นข้าพระบาทจักขอน้อมรับทรัพย์นี้ไว้ แต่อย่างไรเสียข้าพระบาทก็จักต้องไปเอาทรัพย์ที่ฝังไว้กลับมา เพื่อมิให้ทรัพย์นั้นต้องฉิบหายไปโดยเปล่าประโยชน์ พระพุทธเจ้าข้า! ”

จอมราชาเมื่อทรงสดับก็ยิ่งทรงรู้สึกเอ็นดูเขามากยิ่งขึ้นไปอีก จึงทรงออกพระโอษฐ์เพิ่มทรัพย์ให้เขาจากครึ่งมาสกเป็นหนึ่งมาสก หวังจักให้เขารีบกลับไปหาภรรยา แต่ชายเข็ญใจก็ยังไม่ยอมยกเลิกความตั้งใจที่จะไปเอาทรัพย์กลับมาเหมือเดิม ดังนั้นพระองค์จึงทรงเพิ่มทรัพย์ขึ้นเรื่อยๆ จากหนึ่งมาสกเป็นสองมาสก เป็นสามมาสก จนถึงร้อยกหาปณะ แต่ถึงจะเพิ่มทรัพย์มากขึ้นสักปานใด ทว่าบุรุษบ้านป่าผู้มีใจมั่นคงก็หาได้ยอมล้มเลิกความตั้งใจไม่ ยังคงยืนกรานที่จะไปเอาทรัพย์อยู่อย่างนั้น

สมเด็จพระราชาธิบดีเมื่อทรงเห็นถึงความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อต่อสิ่งที่ตั้งใจทำของชายเบื้องหน้า พระองค์ก็ยิ่งทรงรู้สึกปลาบปลื้มในตัวเขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดจอมราชันก็ทรงลุกขึ้นจากพระแท่นที่ประทับเสด็จมายืนอยู่ที่ขอบปะรำ พร้อมกันนั้นก็ทรงกวาดพระเนตรมองดูเหล่าข้าราชบริพารที่กำลังจ้องมองมาที่พระองค์เหมือนดั่งจักถามว่าจักทรงตรัสสิ่งใด แหละทันใดนั้นเองโดยที่ไม่มีใครคาดคิด พระเจ้าอุทยราชาก็ทรงประกาศต่อเหล่าข้าราชบริพารที่อยู่ ณ ที่นั้นด้วยพระสุรเสียงอันดังว่า

“ ดูก่อนท่านทั้งหลาย บุรุษผู้นี้ถือเป็นผู้มีปัญญา มีวาจาสัตย์ จิตใจไม่กลับกลอก ยากจักหาผู้ใดเสมอเหมือน คนเช่นนี้สมควรจักตั้งไว้ในฐานะใหญ่ ดังนั้นเราจึงขอตั้งเขาเป็นกษัตริย์ครองกรุงพาราณสีร่วมกับเรากึ่งหนึ่ง และถือเขาเป็นสหายของเรานับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป! ”

พอจบพระบรมราชโองการบริเวณรอบๆพลับพลาที่เคยเงียบสงบ บัดนั้นก็กระหึ่มไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าข้าราชบริพารกันจนไม่รู้ว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร เนื่องจากไม่มีผู้ใดคิดว่าองค์ราชาจักทรงรับสั่งเยี่ยงนี้ออกมา จนเสียงพากษ์วิจารณ์เริ่มซาลง จอมราชันจึงตรัสให้มหาดเล็กพาบุรุษเข็ญใจไปอาบน้ำชำระร่างกาย ขัดสีฉวีวรรณให้ผุดผ่อง ตัดแต่งทรงผมเล็บมือเล็บเท้าให้สะอาด จากนั้นให้นำเครื่องทรงกษัตริย์มาสวมให้เขาเพื่อทำพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นเป็นราชาในวันนั้นเลย

หลังจากที่ทรงแต่งตั้งบุรุษบ้านนอกขึ้นเป็นพระราชาเสมอพระองค์แล้ว สมเด็จพระราชาธิบดียังทรงพระราชทานนามให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ว่า พระเจ้าอัฒมาสกราช พร้อมทั้งทรงแบ่งเขตการปกครองให้เขาดูแล พอยามใดที่ทรงว่างจากราชกิจจอมกษัตริย์ผู้มีน้ำพระทัยยากจักหาผู้ใดเสมอเหมือน ก็ยังเสด็จมาทรงสั่งสอนรัฏฐาภิปาลโนบายให้กับเขาเป็นการส่วนพระองค์อีกต่างหาก จนไม่ช้าไม่นานพระเจ้าอัฒมาสกราชก็ทรงมีความชำนาญในการปกครองบ้านเมืองมิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าจอมกษัตริย์เลย! แต่ทว่าสรรพสิ่งล้วนเป็นอนิจจัง ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ถาวร โดยเฉพาะจิตมนุษย์ มันช่างยากแท้หยั่งถึงจริงๆ!

หลังจากพระเจ้าอัฒมาสกขึ้นครองราชย์เป็นเวลาหลายปีผ่านไป วันหนึ่งพระเจ้าอุทยราชาทรงรู้สึกคิดถึงพระสหายผู้มีอดีตเป็นชายเข็ญใจ จึงรับสั่งให้มหาดเล็กไปทูลอัญเชิญพระเจ้าอัฒมาสกให้มาพักผ่อนคลายพระอิริยาบถร่วมกับพระองค์ในพระราชอุทยานหลวง

หลังจากทั้งคู่เสด็จทอดพระเนตรสิ่งสวยๆงามๆจนรอบอุทยานแล้ว จอมราชันก็ทรงรู้สึกเมื่อยล้าพระวรกาย จึงเผลอบรรทมหลับอยู่ใต้เงาไม้ต้นหนึ่ง เวลานั้นไม่ทราบว่าเป็นยามอุบาทว์อันใด จู่ๆพระเจ้าอัฒมาสกก็เกิดความคิดชั่วช้าขึ้นมาว่า

“ โอ้หนอ! การที่เราได้ครองราชสมบัติแต่เพียงครึ่งหนึ่ง รู้สึกยังมิเป็นการดีแท้ เพราะจักรู้อย่างไรว่ากษัตริย์ผู้นี้จักไม่เรียกเอาสมบัติของพระองค์กลับคืน? อย่ากระนั้นเลย ควรจักฉวยโอกาสอันประเสริฐนี้ลอบปลงพระชมม์จอมราชาเสียเถิด แล้วก็สถาปนาตนขึ้นเป็นกษัตริย์แต่เพียงผู้เดียว ถึงจักเป็นที่วางใจได้! ” ทันทีที่ราชาอดีตคนขายแรงงานมีความคิดอัปรีย์เยี่ยงนี้ เขาจึงไม่รอช้า รีบเอื้อมมือไปคว้ามีดสั้นข้างเอวขึ้นมาทันที จากนั้นก็เดินทื่อเข้าไปหาจอมกษัตริย์ที่กำลังทรงหลับใหลอยู่ หมายใจจักฆ่าพระราชาที่แสนประเสริฐให้ตายภายในมีดเดียว

ในห้วงขับขันเป็นตายนั้นอุปถัมภกกรรมฝ่ายกุศลที่มีกำลังแรงก็ไม่รอช้า รีบดลจิตดลใจราชามืดบอดให้ทรงกลับมามีพระสติทันทีทันใด ดังนั้นเขาจึงคำนึงขึ้น “ อหา! นี่เราเป็นบ้าอะไร ไฉนจึงมีความคิดจัญไรได้ถึงเพียงนี้ เดิมทีเราก็เป็นแค่คนขายแรงงานไร้เกียรติ์ไร้ศักดิ์ศรี แต่เพราะกุศลหนหลังให้ผล จึงทำให้พระราชาผู้เปี่ยมไปด้วยพระเมตตาพระองค์นี้ทรงยกฐานะจากยาจก แต่งตั้งให้เป็นถึงกษัตริย์ครองเมืองกึ่งหนึ่งร่วมกับ พระองค์ มิหนำซ้ำยังทรงรักใคร่ไว้วางพระทัยในตัวเราเป็นนักหนา แล้วไฉนเราจักมาเนรคุณพระองค์ด้วยการกระทำเยี่ยงเดรัจฉานอย่างนี้เล่า? ”

พอหวนนึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่จอมกษัตริย์ทรงมีต่อตน มีดสั้นที่เงื้ออยู่ก็ร่วงหล่นพื้นทันที แต่สักพักเจ้ากิเลสตัณหาที่ฝังอยู่ก้นบึ้งดวงจิตก็ฉวยโอกาสเข้าครอบงำอีก ยั่วยุให้คิดมักใหญ่ใฝ่สูง หวังจักครองราชย์แต่เพียงผู้เดียว จึงก้มลงหยิบมีดสั้นขึ้นมาใหม่ หมายใจจักฆ่าจอมราชันอีกครั้ง แต่อุปถัมภกกรรมที่ตั้งท่ารออยู่ก็เข้ายับยั้งได้ทันท่วงทีอีก เป็นอยู่อย่างนี้หลายครั้งหลายครา

ในที่สุดราชาอดีตบุรุษเข็ญใจก็ทรงรู้สึกสลดสังเวชในดวงจิตแห่งตน ทรงคำนึงขึ้น “ โอ้หนอ! บัดนี้จิตเราได้ถูกอกุศลเข้าครอบงำเสียแล้ว ยามใดที่มันกำเริบก็จักพาเราให้กระทำชั่ว คิดฆ่าได้แม้แต่พระราชาผู้มีคุณ หากยังปล่อยให้เจ้าอกุศลครอบครองดวงจิตของเราอยู่อย่างนี้ เห็นทีภายหน้าเราคงไม่แคล้วต้องลอบปลงพระชนม์พระราชาผู้แสนประเสริฐพระองค์นี้แน่ไม่วันใดก็วันหนึ่ง! อย่ากระนั้นเลย เราจงอย่าปล่อยให้บาปเข้าครอบงำใจเราได้อีกเลย! ”

เมื่อทรงเกิดความไม่ไว้วางพระทัยในจิตของตนแล้ว พระเจ้าอัฒมาสกราชจึงทรงทรุดพระองค์ลงปลุกพระราชาธิบดีให้ทรงตื่นจากบรรทม จากนั้นก็ทรงก้มลงกราบแทบเบื้องพระยุคลบาทพร้อมกับทูลว่า
“ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ขอพระองค์โปรดทรงลงโทษหม่อมฉันด้วยเถิดพระเจ้าข้า! ”

จอมกษัตริย์ซึ่งกำลังบรรทมอยู่อย่างเป็นสุข พอจู่ๆถูกปลุกก็ให้ทรงรู้สึกประหลาดพระทัย จึงตรัสถามพระสหายว่า “ มีเรื่องอันใดฤาสหาย ไฉนท่านจึงขอให้เราลงโทษท่านเล่า? ” ราชาอดีตบุรุษเข็ญใจจึงทรงเล่าเรื่องที่ตนมีจิตคิดร้ายหมายลอบปลงพระชนม์ให้กับจอมราชันได้ทรงรับทราบทั้งหมด จากนั้นได้ขอให้จอมกษัตริย์ลงโทษเขา

พระราชาธิบดีหลังทรงฟังเรื่องที่พระสหายเล่าแทนที่จักทรงมีพระพิโรธโกรธกริ้ว สั่งประหารราชาอกตัญญูผู้นี้เสียทันที ที่ไหนได้กลับตรัสว่า “ เอาเถิดเพื่อนเอ๋ย หากท่านปรารถนาจักเป็นพระราชาแต่เพียงผู้เดียว เราก็จักยกสมบัติครึ่งเราให้กับท่านด้วยก็แล้วกัน ส่วนเราจักขอเป็นแค่อุปราชก็พอ อย่าวิตกไปเลย รีบกลับเข้าวังกันเถอะ จักได้มีเวลาเตรียมงานเตรียมการกันเสียแต่เนิ่นๆ ”

พระเจ้าอัฒมาสกราชครั้นได้ฟังถ้อยคำที่จอมราชันตรัสดังนั้น ก็ถึงกับทรงหลั่งน้ำพระเนตรออกมาจนนองพระพักตร์ ด้วยสุดจักทรงข่มกลั้นความตื้นตันพระทัยเอาไว้ได้ ทรงโผลงกอดพระบาททั้งสองของพระเจ้าอุทยราชาเอาไว้แน่นพร้อมกับสะอึกสะอื้น จนผ่านไปพักใหญ่หลังจากที่ทรงข่มกลั้นพระทัยได้ จึงทรงเงยพระพักตร์ตรัสกับจอมราชันว่า

“ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ บัดนี้ข้าพระบาทหาได้ปรารถนาในราชสมบัติไม่ การที่ข้าพระบาทมีจิตคิดร้ายก็เพราะถูกตัณหาเข้าครอบงำ หากข้าพระบาทมิรีบแก้ไข ภายหน้าสืบไปเห็นทีคงต้องถูกเจ้าตัณหานี้ยั่วยุให้ก่อแต่กรรมทำแต่ชั่วไม่มีวันหยุดวันหย่อนเสียเป็นแน่แหละพอถึงกาลสิ้นชีพไปก็คงไม่แคล้วต้องไปทนทุกข์อยู่ในอบาย ฉะนั้นขอพระองค์โปรดทรงรับเอาพระราชสมบัติของพระองค์กลับคืนไปเถิด ข้าพระบาทหาได้ต้องการมันแล้ว ข้าพระบาทจักขอเข้าป่าไปบวชเป็นฤาษี ด้วยบัดนี้ได้เห็นซึ้งถึงภัยแห่งตัณหา เจ้าตัณหานี้หากผู้ใดครุ่นคิดถึงมันเนืองๆ มันก็จักเจริญงอกงามในใจผู้นั้น ทำให้เขาต้องไปก่อกรรมทำบาปตามอำนาจของมัน ดังนั้นนับแต่นี้ไปข้าพระบาทจักไม่ขอคิดถึงมันอีกเป็นอันขาด! ”

หลังจากทรงกราบทูลราชาอดีตบุรุษเข็ญใจก็อัญเชิญสมเด็จพระราชาธิบดีเสด็จกลับพระนครทันที
พอถึงก็ทรงรับสั่งให้ราชบุรุษไปป่าวประกาศทั่วพระนครว่าพระองค์จักทรงกระทำพิธีถวายพระราชสมบัติกลับคืนให้กับพระเจ้าอุทยราชาดังเดิม ผู้ใดไม่ติดภารกิจขอให้มาร่วมชุมนุมพร้อมกันเพื่อเป็นสักขีพยาน

หลังเสร็จพระราชพิธีถวายพระราชสมบัติกลับคืนแล้ว ราชาอดีตบุรุษเข็ญใจ ก็มิทรงรอช้า รีบเสด็จสู่ยัง หิมวันตประเทศแต่เพียงลำพัง ทรงเข้าป่าไปประพฤติพรตบำเพ็ญพรหมจรรย์อยู่ในนั้น จนสำเร็จฌานสมาบัติ พอถึงกาลแตกดับแห่งสังขาร ด้วยอำนาจของฌานที่ทรงบำเพ็ญได้ จึงนำให้พระองค์ทรงไปอุบัติเป็นพระพรหม เสวยสุขอยู่บนพรหมโลกต่อไป....อีกนานเท่านาน.

อ้างอิงจากพุทธชาดก และ โลกทีปนี เรียบเรียงโดย พระพรหมโมลี(วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙)

สืบ ธรรมไทย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร