วันเวลาปัจจุบัน 04 พ.ค. 2025, 14:27  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2011, 21:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มี.ค. 2011, 13:20
โพสต์: 12


 ข้อมูลส่วนตัว


วันรุ่งขึ้นเกตุดาราขออนุญาตคุณพ่อ และคุณแม่ ขอไปเที่ยวชมมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ โดยเรียนท่านเพียงสั้นๆว่า
“ เมื่อวานเกดไปชมน้ำพุเทรวี่มา โชคดีได้พบเพื่อนเก่าที่มาเรียนที่อิตาลี่ เพื่อนเลยอาสาเป็นไกด์นำเที่ยวเอง นานๆทีได้เจอเพื่อนเก่า เกดเลยมาขออนุญาตไปกับเพื่อน”

คุณแม่ก็ตกลงเพราะท่านก็ต้องไปทำหน้าที่ร่วมกับคุณพ่อ ในการต้อนรับแขกคนสำคัญจากเมืองไทยอีกคณะหนึ่ง ประกอบกับไว้วางใจใน ตัวลูกสาว รู้ว่าลูกเอาตัวรอดได้ จึงมิได้ซักถามหรือสงสัยใดๆ เกตุดาราก็โล่งอกเพราะถ้าจะต้องให้เล่าความจริงที่ได้พบกับเจ้านาเคนทร์นาคราช เธอก็ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร เล่าไปแล้ว ท่านทั้งสองจะเชื่อเธอหรือไม่ จึงตัดสินใจว่า ถ้าถึงเวลาที่สมควรแล้ว ก็จะไม่ปิดบังท่านทั้งสองแน่นอน

เจ้านาเคนทร์นาคราชยืนคอยอยู่ ทันทีที่เธอก้าวพ้นประตูหน้าบ้าน ได้เห็นหน้าสบตากันพอให้หัวใจเต้นตูมตามแล้ว ทั้งสองก็พากันเดินทางด้วยรถรับจ้าง มุ่งตรงไปที่ มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ หรือที่เรียกกันว่า โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ทันที

เกตุดาราเคยเรียนมาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และอารยธรรมโลก แล้วมีความรู้สึกประทับใจโบสถ์แห่งนี้มานานแล้ว ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีโอกาสมาเห็นด้วยตาตนเอง อีกทั้งยังได้มากับบุรุษผู้เป็นที่รัก เธอจึงถือโอกาสเล่าให้นาเคนทร์นาคราชฟังย่อๆ ระหว่างเข้าคิวเพื่อรอเดินเข้าไปชมว่า
“ โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ เป็นสถาปัตยกรรมแบบบาร็อค ที่มีชื่อเสียงที่สุดของศิลปะสมัยฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ ช่วงยุคทอง ของอารยธรรมยุโรป โบสถ์แห่งนี้สร้างมาตั้งแต่ ค. ศ. ๑๕๐๖ ถึง ๑๖๒๙ ใช้เวลาก่อสร้างถึง ๑๒๑ ปี ถูกสร้างขึ้นโดย ฝีมือของศิลปินสถาปนิกชั้นนำ ภายใต้การอุปถัมภ์ของสันตะปาปาหลายพระองค์ เพื่ออุทิศถวายให้แก่ นักบุญปีเตอร์ ที่เปรียบเสมือนสันตะปาปาพระองค์แรกของโลกนักบุญ”
“ ดาว จำแม่นจัง เอ้อ ไม่ใช่ ต้องเรียก เกด ซินะ ให้พี่เรียกชื่อไหนดีล่ะ?”
“ เรียก เกด ก็แล้วกัน เกด ไม่คุ้นกับชื่อดาว” เธอมองหน้าคนรัก ยิ้มกว้าง เมื่อได้รับคำชมว่า จำแม่น สารภาพความจริงว่า
“ เมื่อคืน เพิ่งเอาหนังสือ เรื่อง อารยธรรมโลก ของคุณแม่มาอ่าน ไม่ใช่ว่าจำแม่นหรอก”
แล้วถามกลับไปว่า “ ชาติก่อน เกดชื่ออะไรหรือ? พี่นาเคนทร์เล่าเรื่องของเกดให้ฟังหน่อยซิ เกดระลึกชาติไม่ได้”
“ อ้าว แล้วทำไม ตอนนี้เกดจำพี่ได้?”
“ เกดได้พบกับแม่นาคินี ที่วัดแถวไทรโยคน้อย ตอนเกดไปปฏิบัติธรรม ท่านมาพบเกด เล่าเรื่องในอดีต เมื่อครั้งเกดอยู่เมืองบาดาลให้ฟัง แล้วยังพาไปดูให้เห็นภาพด้วย เกดได้เห็นพี่นาเคนทร์ตอนที่แม่พาไปดู ภาพเหตุการณ์ ที่บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์

บนภูเขาเตี้ยๆ ใกล้วัดที่ไปปฏิบัติธรรม พอมาเจอพี่อีกครั้ง เกดจึงจำได้”
“ เราเคยเจอกันก่อนแล้วที่หนองคาย ตอนที่เกดไปดู ดอกไม้ไฟน้ำ แต่ตอนนั้น เราต่างคนต่างก็จำกันไม่ได้”
“ จำได้ว่าเคยเห็น เทพบุตรสุดหล่อ เพียงแวบๆ แต่ตอนนั้นเกดไม่รู้ว่า พี่เป็นใคร เกดคิดว่า พี่เป็นเทพเจ้าอพอลโล” พูดไปก็ยิ้มไป พร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปเพ่งพินิจ ดวงหน้าของคู่รัก ทำท่าฉอเลาะน้อย ๆ อ้อนหน่อยๆ จนนาเคนทร์นาคราชอดใจไว้ไม่ได้ เอื้อมมือไปกุมมือของหวานใจ พาเดินตามนักท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ ทั้งสองตื่นตาตื่นใจ กับความมหึมาและวิจิตรพิสดารของโบสถ์ จนหยุดคุยกันไปชั่วขณะ คอยฟังไกด์จากคณะทัวร์ ชุดที่เดินอยู่ข้างหน้าบรรยายให้ลูกทัวร์ของเขาฟัง ได้ยินเสียงไกด์บอกว่า
“ เมื่อมองจากภายนอก จะเห็นหลังคาโบสถ์โค้งแบบโรมัน สูงจากพื้นดิน ๑๕๐ ฟุต เสาแต่ละด้านสูงถึง ๘๔ ฟุต ประดับประดาด้วยรูปแกะสลักหินอ่อนสลับสี มีลวดลายวิจิตรพิสดาร โบสถ์แห่งนี้เป็น ลักษณะอีกประการหนึ่งของสถาปัตยกรรมของสมัยฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ ช่วงยุคทอง ภายในโบสถ์จะประดับไปด้วยรูปแกะสลักประติมากรรม ซึ่งมี ส่วนสัดถูกต้องตามธรรมชาติ เต็มไปด้วยพลังที่ซ่อนอยู่ภายใน โบสถ์แห่งนี้เคยใหญ่ที่สุดในคริสต์ศาสนา แต่เมื่อปี ค.ศ. ๑๙๙๐ ได้กลายเป็นโบสถ์ที่ใหญ่เป็นอันดับสอง รองจากโบสถ์โนตร์ดามเดอลาเปซ์ ที่ชายฝั่งไอวอรี่ ซึ่งสร้างเลียนแบบโบสถ์เซนต์ปีเตอร์นั่นเอง”

ทั้งสองแอบติดตามไปฟังไกด์เล่าให้ฟังต่อ
“ ภายในโบสถ์ เป็นที่เก็บงานศิลปะ ซึ่งมีมากกว่าพิพิธภัณฑ์บางแห่ง ที่โบสถ์น้อยแห่งแรก ที่เป็นส่วนหนึ่งอยู่ในโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ เราจะได้พบกับ ปิเอตา ซึ่งเป็นประติมากรรมหินอ่อนรูปศพพระเยซูนอนอยู่บนตักของพระแม่มาเรีย สร้างโดย ไมเคิล แอนเจลโล่ ประติมากรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกและของยุคนั้น ขณะที่มีอายุเพียง ๒๕ ปีเศษ ”

ทั้งคู่หยุดมอง ปิเอตา ด้วยความทึ่งและชื่นชมอย่างสูงสุด เป็นประติมากรรมหินอ่อนที่งดงามอ่อนไหว งามอย่างหาที่ติมิได้ พระแม่มาเรียมองดูสวยซึ้งเหมือนมีชีวิตจริง แกะสลักอาภรณ์ที่หุ้มห่อร่างกายจากหินอ่อน ให้เป็นริ้วแบบโรมัน ส่วนประติมากรรมรูปพระเยซู มีการแกะสลักโดยการแสดงกล้ามเนื้อต่างๆ มีความเหมือนจริง ที่ไม่มีผู้ใดสามารถทำได้เสมอเหมือนอีกแล้ว
นาเคนทร์นาคราชประทับใจ “ ปิเอตา” มาก จนดึงมือเกตุดาราไว้ ไม่ให้เดินตามไกด์ต่อไป เธอหยุดหันมามองหน้าบุคคลอันเป็นรักแรกและรักเดียวในดวงใจ ส่งสายตาแสดงความสนเท่ห์ เป็นเชิงถามว่า ให้หยุดเดินทำไม แล้วเธอก็ได้คำตอบ
“ เกดรู้ไหม? ที่พี่หยุดเดินเพระพี่อยากจะให้รูปแกะสลักประติมากรรมพระแม่มาเรียกับพระเยซู ท่านเป็นพยานความรักของพี่ที่มีต่อเกดว่า พี่จะรักเกดไปจนชั่วฟ้าดินสลาย ความรักของพี่ที่มีต่อเกด จะเป็นอมตะ จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เปรียบดัง รักของแม่ที่มีต่อลูก”

เกตุดาราซาบซึ้งใจ จนอดไม่ได้ที่จะบีบมือคนรักเบาๆ แสดงความขอบคุณ แต่แล้ว ใบหน้านวล งามผ่อง ก็หมองลงเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่า รักของทั้งสองจะไม่มีทางสมหวังไปได้ เมื่อทั้งคู่อยู่กันคนละภพ จึงอดกระซิบเบาๆ กับคนรักไม่ได้ว่า
“ รักของเราคงไม่เป็นอมตะหรอก เพราะมันขัดกับกฎของพระไตรลักษณ์ ที่พระพุทธองค์ท่านสอนไว้ว่า ทุกสรรพสิ่งเมื่อ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วจะต้อง ดับไป เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ มันตกอยู่ภายใต้กฎของ อนิจจัง คือความไม่เที่ยงแท้แน่นอน วันหนึ่ง ความรักที่พี่มีให้เกด ก็จะต้องแปรเปลี่ยนไป จะค่อยๆ จืดจางไปตามกาลเวลา แล้วพี่ก็จะลืมเกด”
“ รักของพี่จะคงอยู่ตลอดไป เพราะเป็นรักแท้ที่มีแต่ให้ ไม่หวังสิ่งตอบแทน เพราะรักของพี่เป็นรักตามคำสอนของพระพุทธองค์ คือ รักที่กอปรไปด้วย พลังแห่งเมตตา อภัย และสันติ ซึ่งพระพุทธองค์ได้ตรัสสอนถึง วิถีชีวิตที่เป็นพื้นฐาน ในการอยู่ร่วมกัน ก็คือ เมตตา อภัยและสันติ นั่นเอง อันเป็นเหตุให้เกิดความร่มเย็นในการอยู่ร่วมกัน และความร่มเย็นในสังคม”
“ เกดก็จะรักพี่ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนเหมือนกัน จะเป็นรักที่มีแต่ให้ หวังให้พี่มีความสุข ความสบายใจ จะให้อภัยเสมอ แม้เราจะไม่ได้ครองคู่อยู่ด้วยกัน เพราะเราอยู่กันคนละภพ และพี่มีมเหสีแล้ว เกดจะไม่แย่งพี่มาจากใคร จะมองพี่ในแง่บวกเสมอ เพื่อให้เกิดสันติสุข โดยการหาทาง “ จับถูก” แทนการ “ จับผิด”
“ ขอบคุณมาก ชื่นใจของพี่” ทั้งสองสบตากัน เป็นสัญญาใจ ที่จะไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่า หนทางข้างหน้าจะเป็นเช่นไร จากนั้นก็เกี่ยวก้อยกัน เดินชมความยิ่งใหญ่ วิจิตร งดงาม ของโบสถ์ เซนต์ปีเตอร์ จนได้เวลารับประทานอาหารกลางวัน

นาเคนทร์นาคราชพาเกตุดารามารับประทานอาหารกลางวันที่ ภัตตาคารชื่อดัง ซึ่งอยู่บนดาดฟ้าของโรงแรมแห่งหนึ่ง ทำให้สามารถเห็นทิวทัศน์เหนือกรุงโรมได้ทั้งเมือง เพื่อให้เกิดความประทับใจ และจดจำกรุงโรมไว้ไม่รู้ลืม เพราะมีโอกาสได้ชื่นชมโดมที่ส่องประกายของโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ ขณะที่รับประทานอาหารไปด้วย ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ที่สุดแสนจะประทับใจไปอีกนานแสนนานในความรู้สึกของทั้งสอง หนึ่งหนุ่มนาคราชเมืองบาดาลกับสตรีสาวสวยแห่งภาคพื้นพิภพ
ระหว่างรับประทานอาหารด้วยกัน เกตุดาราขอให้เจ้านาเคนทร์นาคราชเล่าเรื่องความรักของเธอกับเจ้านาเคนทร์นาคราชให้ฟังย่อๆ เพราะเธอสงสัยว่าทำไม จึงสามารถตามมาพบเธอ ทั้งที่ตอนนี้ต่างฝ่ายต่างก็อยู่กันคนละภพ คนละชาติ

นาเคนทร์นาคราชนึกทบทวนความหลัง เมื่อครั้งแรกพบราชธิดาพญานาคสาวสวยซึ้ง ซึ่งเขาหลงรักเธอทันทีที่แรกพบ เขาจำได้ไม่เคยลืมเลยว่า คืนนั้นเป็นวันขึ้น สิบห้าค่ำ เดือนสิบเอ็ด เช่นกัน แม้ว่าเวลาจะฝ่านมาเนิ่นนานมากแล้ว
“ พี่ขึ้นมาเที่ยวบนโลกมนุษย์ริมฝั่งโขง ในวันขึ้นสิบห้าค่ำ เดือนสิบเอ็ด ก็ได้พบธิดาพญานาคแปลงกายมาในร่างหญิงสาวสวยกับเพื่อนของเธอคนหนึ่ง เธอคือเจ้าดาริณีนาคินี ราชบุตรีของเจ้าภุชงค์นาคินทร์ เจอกันครั้งแรกพี่ก็รักเธอแล้วเต็มหัวใจ”
“ ในภพนั้น ดาวก็คือดาริณีนาคินีหรือคะ?”
“ ใช่แล้ว รู้หรือเปล่า ดาวเห็นพี่ครั้งแรก ดาวก็รักพี่เหมือนกัน” พูดจบก็ทำตาซึ้งๆ จ้องมองสาวคนรักยิ้มน้อยๆ
“ ดาวจะไปรักพี่ได้อย่างไร เป็นถึงราชธิดาพญานาค จะใจง่ายหลงรักพี่ตั้งแต่แรกพบ ดาวไม่เชื่อหรอก น่าขายหน้า” ตัดพ้อต่อว่า พร้อมกับตวัดค้อนวงใหญ่ ท่าทางน่าเอ็นดู จนนาเคนทร์นาคราชอดใจไว้ไม่อยู่ ใช้ความว่องไว ยื่นหน้า เอาจมูกไปสูดความหอมของแก้มนวลที่อยู่ข้างๆ เสียหนึ่งที เกตุดาราสะดุ้ง เขินอาย อดไม่ได้ที่จะเหลียวไปมองว่า มีใครมองมาที่เขาและเธอทั้งสองบ้าง แต่ปรากฏว่า ทุกโต๊ะ ต่างคนต่างก็ก้มหน้า ก้มตารับประทานอาหารกลางวันกัน โดยไม่มีใครสนใจใคร เกตุดาราถอนใจอย่างโล่งอก เพราะเกรงคุณพ่อ หรือคุณแม่จะมาเห็นเข้า จึงขยับกายออกห่าง ตั้งข้อสงสัยแล้วถามต่ออีก
“ เราเจอกันครั้งแรกที่ริมฝั่งโขง ในวันขึ้นสิบห้าค่ำ เดือนสิบเอ็ด ดาวมาทำไมหรือคะ คืนนั้น?”
“ ดาวหนีเจ้าพ่อ เจ้าแม่ มาเที่ยวดู ดอกไม้ไฟน้ำ กับเพื่อน ดาวกับเพื่อนก็เลยถูกพวกนักเลงที่เป็นคนต่างถิ่น ที่มาเที่ยวเหมือนกันมันลวนลามเอา ดาวกับเพื่อนตกใจมาก พี่ก็เลยปรากฏตัวเป็นพญานาคราชมาช่วยดาว ไอ้นักเลงพวกนั้นมันเลยวิ่งหนีกันกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง เราก็เลยรู้จักกันแต่นั้นมา” เกตุดารายิ้มกว้าง แกล้งพูดว่า
“ ตอนนี้ ดาวอยากเห็นพี่ ในร่างของพญานาคราชจังเลย”
“ พูดเป็นเล่น ขืนทำอย่างนั้น จะได้กระเจิดกระเจิงกันไปทั้งภัตตาคาร” พูดจบทั้งสองก็สบตากัน หัวเราะเบาๆ เกตุดาราบอกตัวเองว่า เธอมีความสุขเหลือเกิน ความรักเป็นเช่นนี้เอง ทั้งสองรับประทานอาหารต่อ เงียบๆกันไปครู่หนึ่ง เกตุดารานึกย้อนทบทวนความจำ เมื่อครั้งที่เธอไปปฏิบัติธรรมแล้วได้พบกับแม่ในอดีตชาติ จึงตั้งคำถามถามต่ออีก
“ แม่บอกว่า เกดผิดหวังจากความรัก เจ้านาเคนทร์นาคราชต้องไปแต่งงานกับธิดาของเจ้ามานพนาค เกดเลยหนีพี่มาอยู่บนโลกมนุษย์โดยไม่ได้บอกพี่ พี่ต้องแต่งงานกับเธอโดยที่ไม่ได้รักนางหรือคะ?”
นาเคนทร์นาคราชหน้าขรึมลงฉับพลัน เมื่อเจอคำถามโดนใจ ผงกศรีษะยอมรับ พร้อมเล่าต่อ
“ พี่ต้องแต่งงานกับเธอ ตามที่พ่อของพี่กับพ่อของเธอเคยให้คำมั่นกัน แต่พี่ไม่เคยรักเธอเลย ถ้าจะรักก็รัก แบบน้องสาว เพราะเรารู้จักกันมาตั้งแต่เป็นเด็ก”
“ แต่เธอก็รักพี่ หวงพี่ แล้วเกลียดดาวมาเลย เธอคงคิดว่าดาวจะไปแย่งพี่มา”
“ พี่ก็บอกเธอแล้ว ว่าพี่รักเธอเหมือนน้องสาว แล้วบอกเธอว่าพี่รักเจ้าดาริณีนาคินี จะรักคนเดียวและรักตลอดไป เราแต่งงานกันแต่ในนาม พี่ไม่เคยล่วงเกินเธอเลย เพราะสงสารเธอเหมือนกัน พี่ก็เลยไม่อยากหักหาญน้ำใจเธอ โดยทอดทิ้งเธอไป แต่พี่ก็ไม่เคยมีความสุขเลย” เจ้านาเคนทร์นาคราชหยุดเล่า มองหน้าสาวคนรัก ถอนหายใจครั้งหนึ่งก่อนเล่าต่อ
“ พอมีโอกาส พี่ก็จะขึ้นมาบนโลกมนุษย์ ออกตามหาเกด พี่ไปทุกหนทุกแห่ง ตามสถานที่ที่เกดเคยไป ท่านแม่ของเกดก็ช่วยพี่ตามหา เราแยกย้ายกันไป ตามที่ที่มีแหล่งน้ำ จนในที่สุดพี่ได้พบเกด ที่ริมฝั่งโขงที่หนองคาย ในภพที่เกดมาเกิดเป็นมนุษย์

เกดจำพี่ไม่ได้เลย พี่ก็ไม่แน่ใจว่าใช่เกดหรือเปล่า แต่สงสัยอยู่ว่าน่าจะใช่เกด เพราะพี่ไม่รู้ว่า เกดมาเกิดใหม่ในโลกมนุษย์ จึงไปเล่าให้ท่านแม่ของเกดฟัง แล้วท่านแม่ของเกดจึงตามมาพบเกด ตอนที่เกดไปปฏิบัติธรรม ท่านจำเกดได้ ท่านจึงมาบอกพี่ เกดเข้าใจแล้วใช่ไหม? ว่าทำไมพี่จึงเปรียบเทียบความรักของพี่ที่มีต่อเกด ว่าเปรียบดั่ง รักของแม่ที่มีต่อลูก เพราะเป็นรักแท้ที่ไม่มีวันตาย แม้จะอยู่กันคนละภพคนละชาติ แม่ของเกดก็ยังจำลูกของท่านได้”

เกตุดาราพยักหน้าเห็นพ้องด้วย พลางเล่าเรื่องของตนให้คนรักฟังบ้าง
“ เกดมาเกิดในภพนี้ เกดก็โชคดี มีทั้งคุณพ่อ คุณแม่ที่ท่านทั้งสองรักเกดมาก แล้วเกดก็เป็นลูกคนเดียวของท่าน ไม่รู้ว่า ถ้าเกดเล่าเรื่องของเราให้ท่านฟัง ท่านจะเข้าใจและยอมรับพี่นาเคนทร์หรือเปล่า” สีหน้าและแววตาฉายความกังวลใจลึกๆ ดวงหน้างามสดใสจึงหมองลงจนเห็นได้ชัดเจน
“ เรื่องบางเรื่องหรือปัญหาบางอย่าง อาจจะต้องใช้เวลาเป็นการแก้ปัญหา เราปล่อยเรื่องนี้ไปก่อน พี่ว่าเมื่อเวลาผ่านไป ความจริงต่างๆ อาจจะปรากฏขึ้นเอง โดยที่เราไม่ต้องเล่าอะไรเลยก็ได้ เพราะในโลกนี้ไม่มีความลับหรอก อยู่แต่ว่าจะรู้ช้าหรือรู้เร็วเท่านั้น”

เกตุดาราพยักหน้าเห็นด้วย ทั้งสองจึงรับประทานอาหารกลางวันต่อ อย่างสบายใจและสุขใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่แล้วตามประสาคนช่างสงสัย เกตุดาราก็มีคำถามที่เธอยังอยากได้คำตอบอยู่อีกเรื่องหนึ่ง จึงอดใจไม่ได้ที่จะขอคำอธิบายจากนาเคนทร์นาคราช
“ เกดสงสัยว่า คืนวันที่เกดไปดูบั้งไฟพญานาค ตอนหัวค่ำเกดเห็นพญานาคและงูใหญ่ พอตกกลางคืน เกดก็ฝันว่า มีพญางูใหญ่ในฝันมาพาเกดไปที่เมืองบาดาล งูใหญ่ในฝันนั้นคือ พี่นาเคนทร์ใช่ไหม?
แต่ตอนที่อยู่ที่หนองคาย พี่ยังไม่รู้ว่าในอดีตชาติ เกดคือ ดาริณีนาคินี แล้วจะมาเข้าฝันพาเกดไปเมืองบาดาลทำไม?”
“ พญานาคและงูใหญ่ที่เกดเห็นตอนหัวค่ำ คือ พี่เอง แต่พี่ไม่ได้ไปเข้าฝันเกด เพราะตอนนั้น พี่ยังไม่แน่ใจว่าเกดเป็นใคร เพียงแต่มีลางสังหรณ์ว่า เราน่าจะเคยผูกพันกันมาก่อน พี่มารู้จากท่านแม่ของเกดภายหลัง ว่าเกดมาเกิดใหม่ในโลกมนุษย์แล้ว”
“ ถ้าอย่างนั้นในฝัน พี่ก็ไม่ได้พาเกดไปเมืองบาดาล”
“ พี่ยังทำอย่างนั้นไม่ได้ คนที่จะทำได้จะต้องปฏิบัติธรรมขั้นสูงมาก ตัวพี่เอง นานๆครั้งจะขึ้นมาบนโลกมนุษย์ ตามหาเกด แล้วได้พบพระธุดงค์ ได้ฟังธรรมจากท่าน แต่พี่ก็ถือศีล สวดมนต์ ทำสมาธิอยู่เสมอ”
“ แล้วทำไม เกดจึงมีความรู้สึกเหมือนว่าเกด ได้ไปเมืองบาดาลมาจริงๆ ในความฝันคืนนั้น”
“ พี่คิดว่า เป็นเรื่องความมหัศจรรย์แห่งจิต ของคนเรา เพราะสมองของคนในยามที่หลับสนิท สมองได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ คลื่นสมองจะละเอียดและมีพลังสูง เกดจึงนิมิตฝันเห็นพญางูใหญ่พาไปเที่ยวเมืองบาดาล หรือเป็นเพราะว่าตอนนั้น จิตของเกดนิ่งและบริสุทธิ์ จนเป็นสมาธิที่ลึกมาก จนทำให้เกิดจินตภาพ ทั้งนี้เพราะเกดคงเคยปฏิบัติธรรมมาก่อนในอดีตชาติ และเคยเกิดเป็นราชธิดาของพญานาค อีกทั้งเราเคยรักกันมาก่อน คงจะรักกันมาหลายภพ หลายชาติ ใจเราจึงผูกพันกัน ทำให้เกิดจินตภาพ เห็นพี่ และเห็นเมืองบาดาล แต่พี่ก็ไม่แน่ใจในคำตอบ เพราะเรื่องเช่นนี้ อยู่เหนือความเข้าใจของคนทั่วไป จะมีเพียงพระอรหันต์ เท่านั้นที่จะมีคำตอบให้ได้ ส่วนตัวพี่ พี่คิดว่าเป็นเรื่องของความมหัศจรรย์แห่งจิตมากกว่า”

เกตุดารานิ่งฟัง และคิดตามอย่างเห็นด้วย แล้วจึงเปลี่ยนเรื่องถามขึ้นอีก
“ ต่อไป เกดจะได้มีโอกาสพบกับพี่อีกหรือเปล่า หรือเราจะต้องจากกันอีกแล้ว” เธอพูดแล้วก็ถอนหายใจ ด้วยสุดแสนเสียดาย เมื่อคิดว่า คงหมดโอกาสที่จะได้พบ ได้รัก กันอีกแล้ว
นาเคนทร์นาคราชเอง ก็มีสีหน้าหม่นหมอง หมดความสุขทันทีเหมือนกัน เมื่อได้ยินคำถามนี้ แต่ยังมีสติตอบว่า
“ พี่คิดว่า อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด ในโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน เราทำปัจจุบันดีที่สุดก็แล้วกันนะ พรุ่งนี้พี่จะพาเกดไปเที่ยว ฟลอเรนซ์ เมืองหลวงของแคว้นทัสคานี เมืองที่นักท่องเที่ยวที่รักงานศิลปะอย่างเกด ใฝ่ฝันว่าจะต้องไปเยือนให้ได้ ถ้าหากมีโอกาสมาเที่ยวที่อิตาลี่ เกดสนใจไหม?”

เกตุดารายิ้มได้ พยักหน้าแทนคำตอบ แล้วพูดว่า
“ ถ้าเช่นนั้น วันนี้ กินอาหารเสร็จแล้ว เกดคงต้องกลับบ้านก่อน เกรงว่าแม่จะเป็นห่วง พรุ่งนี้เราพบกัน พี่ไปรับเกดที่หน้าบ้านเหมือนเดิม ตอนเช้า เจ็ดนาฬิกานะคะ”
“ จ้ะ ถ้าอย่างนั้น เราเดินให้อาหารได้ย่อย เที่ยวชมกรุงโรมกันสักพักหนึ่ง แล้วพี่จะไปส่งเกดที่บ้านนะจ้ะ”
คู่รักต่างภพ สบตากันแล้วเกี่ยวก้อย ออกจากภัตตาคาร ท่าทางเป็นสุขเสียจน ผู้คนที่พบเห็นต่างต้องเหลียวมองด้วยความชื่นชม ในความสง่างามปานเทพเจ้า ของฝ่ายชาย และตะลึงในความสวยซึ้ง ใบหน้าหวานเหมือนภาพวาด นางในวรรณคดีไทยของฝ่ายหญิง และถ้าได้ยินเสียงอุทานของผู้คนที่พบเห็นเขาทั้งสอง ทุกคนจะต้องอุทานเป็นเสียงเดียวกันว่า
“ ทั้งคู่ช่างเหมาะสมกันราวกับกิ่งทอง ใบหยก”
คืนนั้นเกตุดาราหาหนังสือเกี่ยวกับ คู่มือนักเดินทาง ที่ แนะนำเมืองฟลอเรนซ์ มาศึกษา ก่อนที่จะหลับสนิท และเป็นนิทรารมณ์ ที่เป็นสุขที่สุดอีกคืนหนึ่ง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร