วันเวลาปัจจุบัน 04 พ.ค. 2025, 12:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2011, 10:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มี.ค. 2011, 13:20
โพสต์: 12


 ข้อมูลส่วนตัว


รุ่งเช้า ทั้งสองสาวก็ชิงกันเล่าเรื่อง “ เที่ยวบาดาลของเกด” ให้นพฟัง นพได้ฟังก็นั่งนิ่ง ครุ่นคิดพิจารณาไตร่ตรองตามนิสัยไม่ด่วนตัดสินใจ จากประสบการณ์เมื่อครั้งติดตามพระธุดงค์ไปนั้น มีคุณค่ากับนพมากมาย นอกจากได้พบเห็นสิ่งต่างๆ เรื่องราวต่างๆ ที่เป็นเรื่องเหลือเชื่อแล้ว ยังทำให้นพได้มีโอกาสฝึกสติ ไม่เผลอสติ ไม่ขาดสติง่าย จิตนิ่ง มีสมาธิในการทำงาน ที่สำคัญเหนืออื่นใด พระอาจารย์สอนให้นพรู้จัก โยนิโสมนสิการ แปลว่าการทำในใจโดยแยบคาย คล้ายกับที่เรียกกันว่า รู้จักคิด คิดเป็น หรือคิดถูกทาง นพยังจำได้ว่า พระอาจารย์บอกว่า ท่านพระธรรมปิฎก ท่านอธิบายว่า
“ เมื่อไปพบอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งหรือมองเห็นอะไร ถ้าทำใจถูกต้อง คิดถูกต้อง ก็จะทำให้เกิดปัญญาขึ้น ทำให้รู้ว่าควรปฏิบัติอย่างไร ปฏิบัติอย่างไรจึงจะถูกต้องเกิดประโยชน์ ซึ่งปัญญา จะเกิดจากการ ฟัง จะเกิดจากการคิดค้นหาเหตุผล เช่น การวิจัย และเกิดเพราะมี โยนิโสมนสิการ เรียกว่า วิปัสสนาปัญญา ถ้าคนที่มีปัญญามาก เขาจะสามารถคิดเอง ด้วย โยนิโสมนสิการ ได้แก่ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า” แล้วท่านยังขยายความต่ออีกว่า
“ สำหรับคนธรรมดาทั่วไป ก็มี เครื่องมือที่จะทำให้ ค้นพบ เห็นความจริง แม้ว่าจะต้อง อาศัย กัลยาณมิตรบ้าง แต่ถ้ามี โยนิโสมนสิการ มาก ก็จะคิดเห็นช่องทางของตนเอง ที่จะคิดต่อ คิดแยกแยะเชื่อมโยงออกไป แล้วก็ก่อให้เกิด ปํญญา สามารถก้าวหน้าไปในการดำเนินชีวิตที่ดี สรุปว่า โยนิโสมนสิการ จึงเป็นเรื่องสำคัญ ที่จะทำให้คนพึ่งตนเองได้ และเข้าถึงชีวิตที่ดีงามอย่างแท้จริง โยนิโสมนสิการจึงเป็นหลักธรรมสำคัญ ที่จะทำให้มีความเจริญก้าวหน้า ในการปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า”

นพนั่งคิด พิจารณา ใคร่ครวญไปมา ก็ยังหาคำตอบให้เพื่อนไม่ได้ ว่าทำไมเกตุดาราจึงได้พบกับเหตุการณ์แปลกๆ หลายสิ่งหลายอย่าง

ช่วงนั้นเอง ป้าเจ้าของบ้านเช่าแบบโฮมสเตย์ ก็มาเรียกไปรับประทานอาหารเช้าที่จัดเตรียมไว้ให้แล้ว ทั้งหมดจึงเดินตามเข้าไปในครัว ขณะเดินตามไป นางก็เล่าว่า ตอนนี้คนในหมู่บ้านของเธอโชคดี เพราะเมื่อเช้ามืดนี้เอง สามีของเธอกับเพื่อนบ้านได้พบกับ พระฤๅษีท่านมาธุดงค์ ปักกลดอยู่ที่ชายป่าหลังหมู่บ้าน ท่านเคยฝ่านมาเมื่อหลายปีมาแล้ว แต่มาครั้งนี้ดูท่าทางน่าเลื่อมใสกว่าเดิมมาก เธอกับสามีจะรีบนำอาหาร คาว หวาน ไปให้ท่านฉัน แล้วจะขอยาสมุนไพรมารักษาโรคปวดเมื่อย และอาการปวดหลังของสามี”

นพได้ฟังนางเล่าว่าจะไปหาพระฤๅษี ก็คิดได้ทันที นึกในใจว่า

“ ใช่แล้ว จะต้องไปถามพระฤๅษี เพราะท่านจะต้องเป็นกัลยาณมิตร ท่านคงจะไขปัญหา หาคำตอบให้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งฝันประหลาดให้กับเกตุดาราได้แน่” คิดได้แล้วจึงรีบบอกเพื่อน
“ เกด รุ้ง นพว่าเราอย่าเพิ่งทานข้าวกันดีกว่า เราตามป้ากับลุง ไปหาพระฤๅษี เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเกด รวมทั้งความฝันของเกด ให้ท่านฟังแล้วถามท่าน นพว่า เราอาจจะได้คำตอบที่เกดต้องการก็ได้นะ”
“ ตกลง เกดเห็นด้วย รุ้งอย่าเพิ่งทานข้าวเช้าได้ไหม?” เกตุดารากระตือรือร้นอยากไปทันที แต่หันไปขอความเห็นเพื่อนรักก่อน รุ้งระวีพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะหันไปคว้า กล้วยน้ำว้าหวีงาม สำหรับเป็นผลไม้มื้อเช้าของพวกเธอติดมือเพื่อเอาไปกินระหว่างเดินไปด้วย กิริยาคว้ากล้วยของรุ้ง ทำให้นพฉุกคิดได้ จึงทักขึ้นว่า
“ ถ้าอย่างนั้น อาหารเช้าที่ป้าเตรียมไว้ให้ เราอย่ากินกันเลย ห่อไปถวายพระฤๅษีให้ท่านฉันเช้าจะดีกว่า ทำบุญไปด้วย ดีไหม ?”

สองสาวพยักหน้าเห็นพ้องต้องกัน พร้อมชมนพว่า มีจิตใจดี ใจบุญ รุ้งระวีไม่ได้ชมแต่ปาก แต่ส่งกล้วยลูกอ้วนๆ ให้นพกินเป็นรางวัลหนึ่งลูก เมื่อนพทำรีๆ รอๆ ไม่รับมาปลอกกิน รุ้งระวีก็ปอกเปลือกเสียเอง ปลอกเสร็จก็ยื่นให้นพที่ปาก พร้อมยิ้มหวาน กิริยาท่าทางของรุ้งระวีเป็นธรรมชาติ มิได้เสแสร้งทำให้นพต้องอ้าปากรับแล้วเคี้ยวกินอย่างมีความสุข

เกตุดารามองเพื่อนทั้งสองแล้วยิ้มน้อยๆ รู้ว่ารุ้งระวีนั้นชื่นชมนพมานานแล้ว แต่นพเองเป็นฝ่ายเจียมตัว ด้วยความแตกต่างของฐานะ เพราะรุ้งระวีเป็นถึงลูกสาวคนเดียวของเถ้าแก่ร้านทองที่ ร่ำรวยมาก แต่นพเป็นลูกอีสานกำพร้าพ่อและแม่ ที่พระอาจารย์นำมาเลี้ยงเป็นเด็กวัด ก็เท่านั้นเอง

ระหว่างเดินตามป้าและลุงเจ้าของบ้านพักพร้อมกับเพื่อนบ้านชายหญิงอีกห้าคน ไปหาพระฤๅษี สามีของป้าก็เล่าประวัติย่อเท่าที่รู้มาของพระฤๅษีให้ฟัง
“ พระฤๅษีท่านมีถิ่นกำเนิดอยู่ชายแดนติดกับประเทศลาว ท่านเคยครองเรือน มีครอบครัว เคยรับราชการ ต่อมาก็เบื่อหน่าย เห็นว่าชีวิตนี้เป็นทุกข์ มีความตายในที่สุด เห็นความไม่แน่นอนในชีวิต อยากบวชเพื่อตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่ ต่อมาก็สึกมาทำมาหากิน ส่งเสียเลี้ยงดูครอบครัวอีกครั้งหนึ่ง จนกระทั่งลูกๆ เติบโต พอที่จะช่วยแม่ทำงานได้ ท่านจึงตัดสินใจบวชเป็นพระฤๅษี ต่อมาท่านได้พบกับพระอาจารย์ผู้ทรงคุณวิชาแก่กล้า ท่านจึงกราบนมัสการกราบเรียนขอเป็นศิษย์ ท่านบำเพ็ญเพียร ทำสมาธิด้วยการเจริญอานาปานสติ จนแก่กล้า และชำนาญในการเข้ากรรมฐานจนครบทุกอย่าง พระอาจารย์ของท่านจึงอนุญาตให้พระฤๅษีออกธุดงค์ตามลำพังเป็นเวลาหลายปี ต้องเผชิญกับภยันตรายมากมาย ทั้งสัตว์ร้าย และภูตผี ปีศาจ ระหว่างธุดงค์เข้าไปในป่าลึก ท่านได้พบกับผู้วิเศษ ที่มอบพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ให้ท่าน เมื่อเปิดอ่านดู จะมีคำสอนต่างๆ เช่น สามารถเดินบนผิวน้ำได้ หายตัวได้ ย่นระยะทางได้ รู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ รู้ใจคนได้ เป็นต้น”

ทั้งหมดเร่งเดินทางกันอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ทันได้นำอาหาร และ น้ำ ที่เตรียมมาถวายให้พระฤๅษีฉัน เมื่อพ้นแนวเขตหมู่บ้าน เข้าสู่ชายป่าโปร่ง ร่มรื่น มีลมพัดโชยมาเฉื่อยฉิว ทางด้านขวามือมีลำธารเล็กๆ น้ำในลำธาร ใส สะอาด ไหลค่อนข้างแรง จนได้ยินเสียงน้ำเซาะตลิ่งดังซู่ๆ ดูน่ารื่นรมย์

ที่ริมลำธารนั้นเอง มีพระฤๅษีสูงอายุนั่งอยู่ ผ้าที่นุ่งห่มดูเก่า เป็นสีดำจาง ลักษณะเหมือนพระนุ่งห่มจีวร แต่ท่านมีลูกประคำเส้นยาวสามเส้น แขวนเฉียงจากไหล่ด้านซ้ายพาดยาวมาถึงแนวสะโพกด้านขวา ข้างกายมีไม้เท้าวางพาดอยู่ ผมยาวของท่านเป็นสีดอกเลาแซมขาว มีเครายาวมาถึงราวนม มีหนวดขาวๆไม่ดกมากนักปกคลุมอยู่เหนือริมฝีปาก ถ้าไม่สังเกต ก็แทบจะมองไม่เห็นปาก แถมไม่ได้โกนคิ้ว สีหน้าเรียบ วางเฉย แต่ดวงตาฉายแววเมตตาต่อสัตว์โลก

ท่านนั่งขัดสมาธิอยู่บนผ้าบางๆที่ปูอยู่บนพื้นดิน เรือนร่างของท่านสูงผ่ายผอม แต่ทว่าดูน่าเลื่อมใส ศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง เพราะท่านนั่งตัวตรงหลังตรง ไม่ค้อมงอ มือขวาทับมือซ้ายอยู่ในท่านั้นตลอด ไม่ได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว เมื่อคณะของเกตุดาราและชาวบ้านเข้าไปกราบท่าน ท่านก็หันมามองด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา ยิ้มให้น้อยๆ แล้วหันหน้ากลับไปหาคณะชาวบ้านกลุ่มแรก ที่มานั่งต้อนรับท่านอยู่แล้ว พร้อมกับเล่าประวัติของท่านให้ฟัง เกตุดาราดีใจมากที่มีโอกาสไปทันได้ฟังท่านเล่าประวัติของท่านคร่าวๆ ตามที่ชาวบ้านขอร้องให้เล่าให้ฟัง ท่านเล่าว่า

“ ก่อนออกบวชเป็นฤๅษีดาบสนั้น ปู่เคยมีลูก มีเมีย แต่ต่อมาเกิดเบื่อหน่ายในชีวิต จึงอำลา ลูก เมีย มาบวชเป็นพระฤๅษี สมัครเป็นศิษย์ของพระอาจารย์ผู้วิเศษ แล้วก็ธุดงค์ไปตามป่า ตามเขา ตลอดระยะเวลาสิบหกปี ไม่เคยเข้าไปอยู่ในหมู่บ้านเลย ถือสัจจะในศีลฤๅษีโยคี ละเว้นความชั่วทุกประการ ห้าวันจึงจะฉันอาหารครั้งหนึ่ง เพื่อเป็นการบำเพ็ญตบะอย่างแรงกล้า และเพื่อพิสูจน์กำลังใจ และความอดทนของร่างกาย เคยนอนในป่าช้า นอนข้างๆเชิงตะกอนที่เผาศพของชาวบ้าน ขณะที่มีการนำศพมาเผาสดๆ เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองมีความกลัวตายอีกหรือไม่ การที่ทำตัวเช่นนี้ ไม่มีการโกนผม โกนคิ้ว ก็เพื่อพิสูจน์ว่ายังมีความรู้สึกอาลัยใยดีในสังขารอีกหรือไม่ จากการปฏิบัติตนแบบฤๅษีอย่าง เอาจริงเอาจังเช่นนี้ ทำให้จิตสงบ มีความสุขอย่างที่สุดในการทำสมาธิ สามารถเข้าฌานได้ครั้งละหลายๆวัน โดยไม่ต้องกินอาหาร ไม่ต้องดื่มน้ำ แต่ร่างกายก็แข็งแรงเป็นปกติดี สามารถเดินธุดงค์เข้าป่า เดินข้ามภูเขาได้ทั้งวัน โดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยใด ๆ อาศัยนอนในถ้ำ โดยที่ไม่มีสัตว์ป่ามาทำอันตรายใด ๆ เพราะอำนาจของเมตตาบารมีอย่างล้ำลึกนั่นเอง”

รุ้งระวีนั่งฟังท่านเล่า พลางสายตาก็เพ่งพิศมองสำรวจพระฤๅษีไปทั่วเรือนร่าง แล้วโน้มตัวไปหาเกตุดารา พร้อมกับกระซิบเบาๆที่ข้างหูเพื่อนรักว่า

“ อย่างนี้นี่เอง มิน่า ผมของท่านถึงยาวราวกับไม่เคยตัดมาเลยสักยี่สิบปี ที่เขาพูดกันว่า หนวดถึงเข่า เคราถึงนม ผมถึงตีน คงเป็นอย่างนี้นี่เอง นะเกดนะ”
เกตุดาราเผลอยิ้มออกมาน้อยๆ แต่แล้วทั้งสองก็พลันสะดุ้งสุดตัว เมื่อพระฤๅษีเบือนหน้ามาทางรุ้งระวีแวบหนึ่ง
“ หนวดถึงเข่า เคราถึงนม ผมถึงตีน ไม่เคยเห็นก็เห็นเสีย อีนางเอ้ย”
รุ้งระวีตาเหลือก เผลอตัวถามท่านออกไปด้วยเสียงอันดังฟังชัด จนทุกคนที่นั่งอยู่ ต่างหันมามองเป็นตาเดียวกันหมด
“ หนูกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูเพื่อน ได้ยินกันสองคนเท่านั้น ทำไมท่านได้ยินด้วยค่ะ ท่านต้องมีหูทิพย์แน่ๆเลย”

พระฤๅษีมีสีหน้าเรียบเฉย เพียงสายตาเท่านั้นที่ฉายแววเอ็นดู รุ้งระวีเหมือนเด็กช่างซักช่างถาม สนใจใคร่รู้ไปเสียหมด เห็นอะไรก็แสดงอาการตื่นตาตื่นใจ โดยไม่เก็บงำความรู้สึก ท่านจึงพูดเหมือนสัพยอกต่ออีกว่า
“ เออ แล้วอย่าลืมนะ กลับไปบ้านก็ไปเล่าให้ เตี่ย นายห้างขายทองของอีนางฟังด้วย ว่าได้พบฤๅษีชีไพร”
คราวนี้รุ้งระวีไม่ได้ทำตาเหลือกอย่างเดียว ยังสะดุ้งโหยง ร้องโวยวายเพราะสนเท่ห์ใจสุดประมาณ
“ ท่าน รู้ได้อย่างไร ว่าเตี่ยของหนูเป็นนายห้างขายทอง” พูดเสร็จก็ประณมมือ ก้มลงกราบท่านด้วยความเคารพ และนับถืออย่างสูงสุด ทุกคนที่นั่งอยู่ในที่นั้นจึงพากันประณมมือ ก้มลงกราบท่านตามกันไปหมด กราบงามๆ คนละสามครั้ง แล้วทุกคนก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมๆกัน พลันลุงเจ้าของโฮมสเตย์ก็เผอิญเหลือบไปเห็นว่า ที่ข้างกายของพระฤๅษีที่ท่านวางไม้เท้าเอาไว้ ตอนนี้ได้กลายเป็น งูเห่าตัวใหญ่ ขนาดเท่าแขนของแก กำลังชูคอ แผ่แม่เบี้ย ส่ายหัวไปมา พร้อมที่จะฉกกัดใครที่คิดจะทำร้าย
“ งู งูเห่าตัวใหญ่” ร้องเอะอะโวยวายจนทุกคนหันมาเห็นงูเห่าตัวนั้นเข้า เท่านั้นเองทุกคนก็พร้อมใจกันลุกขึ้นยืน หันหลังกลับ แล้วต่างคนต่างก็วิ่งเตลิดเปิดเปิงกันไปคนละทิศละทาง สักครู่หนึ่งนพได้สติก่อน จึงหยุดวิ่ง ค่อยๆเดินกลับไปหาพระฤๅษี เมื่อเข้าไปใกล้ๆ เขม่นมองจ้องไปตรงที่ที่เห็นงูเห่าตัวใหญ่ชูคออยู่ แต่นพก็ต้องพิศวง งูเห่าตัวนั้นอันตรธานไปแล้ว จะมีก็เพียงไม้เท้าของพระฤๅษีที่วางอยู่เหมือนเดิม

นพทรุดตัวลงก้มลงกราบพระฤๅษีอีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงเหลียวกลับไปมองหาเพื่อนทั้งสอง ก็เห็นเกตุดารากับรุ้งระวีค่อยๆย่องมาใกล้ๆนพ ครั้นเห็นสถานการณ์น่าจะปลอดภัย ทั้งสองจึงก้มลงกราบพระฤๅษีบ้าง จังหวะเดียวกับที่เมื่อเกตุดาราเงยหน้าขึ้นมา พระฤๅษีท่านก็หันมามองพอดี เกตุดาราได้จังหวะคิดจะสอบถามเรื่องประหลาดต่างๆ ที่เธอเพิ่งจะได้พบเห็นมา แต่ก็ต้องประหลาดใจอีกครั้งหนึ่ง ด้วยพระฤๅษีท่านพูดขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงเมตตากึ่งเอ็นดูว่า

“ สิ่งต่างๆที่หลานได้พบ เจอะเจอ ตลอดจนได้เห็นในฝันนั้น มันเป็นผลมาจากการกระทำในอดีตชาติ ถ้าอยากจะรู้ความจริงทั้งหมด ปู่จะแนะนำให้หลานจงไปปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด หลานมีบุญเก่ามาก เคยปฏิบัติธรรมมาแล้วในอดีตชาติ ถ้าสร้างบุญใหม่ในชาตินี้ต่อเนื่องไปกับบุญเก่าที่สะสมไว้แต่ในอดีตชาติ หลานก็จะรู้ความจริงทั้งหมดได้ด้วยตัวเอง จะหาคำตอบได้เอง”
“ แล้วหลานจะต้องโกนศรีษะ บวชชีเลยหรือเปล่าเจ้าค่ะ พระฤๅษี”
“ ก็สุดแล้วแต่ การปฏิบัตินั้น จะต้องปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ รักษาศีล เจริญสติ ปฏิบัติธรรมเพื่อให้เกิดปัญญา ด้วยการทำลายกิเลสภายในของตัวเอง โดยใช้หลักใหญ่ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ปู่บอกได้เท่านี้ ทั้งหมดมันขึ้นอยู่กับ กรรม ก็คือการกระทำของหลานเอง ว่าจะทำลายกิเลสภายในของตัวเองได้เท่าไร จะช้าหรือ เร็ว กว่าจะหาคำตอบให้ตัวเองได้ แต่หลานเป็นคนเข้มแข็ง อดทน มุ่งมั่นตั้งใจจริง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดีที่จะปฏิบัติธรรมได้ดี”

ขณะที่พระฤๅษีให้คำแนะนำกับเกตุดารานั้น ชาวบ้านที่พากันวิ่งหนีไปเพราะตกใจ กลัวงูเห่าตัวใหญ่เมื่อครู่ พอรู้ตัวว่าตัวเองตาฝาดเพราะเห็นไม้เท้าของพระฤๅษีเป็นงูๆไปเอง ก็ทยอยกันเข้ามาหมอบกราบพระฤๅษีอีกครั้งหนึ่ง ด้วยความนับถือสูงสุด และทันได้ฟังคำแนะนำที่พระฤๅษี ชี้แนวทางการปฏิบัติธรรมให้กับเกตุดาราด้วย ทุกคนต่างก็ยิ่งเคารพ ศรัทธาพระฤๅษียิ่งขึ้น เพระท่านสอนให้พึ่งตนเอง ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ไม่ได้สอนให้งมงายในเรื่องของไสยศาสตร์ ไม่ได้ใบ้หวย แต่ให้เชื่อเรื่องของ กรรม ซึ่งก็คือ การกระทำของตัวเอง

เมื่อหมดคำถาม ข้อสงสัย และหลังจากถวายสิ่งของที่เตรียมมา รวมทั้งภัตตาหารให้พระฤๅษีแล้ว พระฤๅษีก็หันไปตอบข้อซักถามเรื่อง โรคภัยไข้เจ็บของคนอื่น ทั้งสามก็กราบลาท่าน มุ่งหน้ากลับที่พัก เพื่อเก็บของ เดินทางกลับกรุงเทพมหานครกันในวันนั้นเลย

ขณะเดินทางกลับด้วยรถยนต์ส่วนตัว มีนพเป็นสารถีสลับกันกับรุ้งระวีซึ่งเป็นเจ้าของรถ เกตุดาราค่อนข้างจะเงียบขรึมไป จนกระทั่งรถยนต์วิ่งเข้าสู่ถนนสายหลักที่จะวิ่งเข้าสู่ตัวเมือง ทั้งสามคนก็ต้องเผชิญกับเรื่องตื่นเต้นอีกครั้งหนึ่ง เพราะขณะที่นพชะลอความเร็วของเครื่องยนต์เพื่อเลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนสายหลัก พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นงูสามเหลี่ยมตัวใหญ่ เลื้อยช้าๆตัดหน้ารถไป ขณะเลื้อย งูตัวนั้นยังชูคอ หันมามองเกตุดาราด้วยสายตาอาวรณ์ เหมือนสายตาของชายหนุ่มอาลัยคนรักที่กำลังจะจากกันไม่มีผิด นพคิดในใจแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพราะกลัวว่าเพื่อนทั้งสองที่ไม่ได้เห็นเหมือนตนจะตกใจกลัว แต่หารู้ไม่ว่า ทั้งเกตุดาราและรุ้งระวีก็เห็นเหมือนกัน แต่คราวนี้กลับไม่นึกกลัว อาจจะเป็นด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์คู่นั้นของเจ้าอสรพิษร้าย ที่เศร้าสร้อยเสียจนน่าสงสาร ประสาคนปากไว รุ้งระวีเอ่ยขึ้นมาทันที
“ งูใหญ่ในฝันของเกด มาส่งเกดกลับบ้านไงล่ะ” พร้อมทั้งโบกมือ เป็นเชิงอำลา เกตุดาราจึงโบกมือตามเพื่อนไปด้วย ขณะสบตากัน เกตุดารารู้สึกเหมือนงูประหลาดตัวนั้นยิ้มน้อยๆให้ แล้วจึงเลื้อยลงข้างทางหายไป
เกตุดารานั่งเงียบ แทบจะไม่ได้พูดอะไรเลยตลอดทาง หลับบ้างตื่นบ้างจนกระทั่งถึงบ้านที่กรุงเทพมหานคร


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร