วันเวลาปัจจุบัน 04 พ.ค. 2025, 21:58  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2011, 09:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มี.ค. 2011, 13:20
โพสต์: 12


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อกลับเข้าบ้าน เกตุดารารู้สึกได้ถึงความว้าเหว่ อ้างว้าง เงียบเหงา อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งที่ในอดีตเธอก็เคยชินเสียแล้ว ที่ต้องอยู่บ้านกับคนแก่เพียงสองคน คนหนึ่งได้แก่ ตาปุ๋ย คนสวนที่ซื่อสัตย์ เพราะเป็นคนเก่าแก่ ตั้งแต่สมัยคุณตาของเธอยังมีชีวิตอยู่ กับอีกคนหนึ่ง คือ ป้าอำไพที่เคยเลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่เล็กๆ ป้าอำไพเป็นญาติทางคุณแม่ เป็นสาวใหญ่ไม่ได้แต่งงาน จิตใจดีงาม ฝักใฝ่ในการปฏิบัติธรรม รักและศรัทธาในคำสอนของพระพุทธองค์มาก

คุณป้าได้ติดตามครอบครัวของเธอไปอยู่ด้วย ตอนที่คุณพ่อเป็นทูตและต้องไปประจำตามประเทศต่าง ๆ และช่วยเลี้ยงเกตุดารา เมื่อเธอเกิดที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เป็นลูกคนเดียว เมื่อเติบโตที่นั่นอายุได้ประมาณสี่ขวบ คุณพ่อก็ต้องย้ายมาอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ อยู่ที่นี่ก็มีเพื่อนเป็นชาวต่างชาติมากมาย อยู่ที่สิงคโปร์อีกเกือบห้าปี เธอก็มาเรียนต่อที่โรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย ต่อมาคุณพ่อย้ายไปเป็นทูตที่ประเทศอียิปต์ เกตุดาราได้ไปเที่ยวบ้าง แต่ยังสมัครใจอยู่เมืองไทย เพื่อเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่เมืองไทย ส่วนคุณแม่ต้องเดินทางไปๆมาๆ เพื่อดูแลทั้งลูกและสามี

จากการมีชีวิตที่ระหกระเหินดังกล่าว มีเพื่อนเป็นชาวต่างชาติ หลายสัญชาติ เกตุดาราจึงเป็นคนมีนิสัยรักความเป็นอิสระ ชอบท่องเที่ยวเป็นการเปิดโลกทัศน์ รักการผจญภัย ตลอดจนสนใจในเรื่องลี้ลับที่ยังพิสูจน์ไม่ได้

ป้าอำไพดีใจมากเมื่อหลานสาวกลับมาบ้าน แต่ก็ไม่ค่อยสบายใจนัก เมื่อเห็นเกตุดาราดูซึมๆ เงียบขรึม ไม่ร่าเริงเหมือนเดิม ด้วยรักหลานเหมือนลูก เพราะช่วยเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก ป้ากับหลานจึงสนิทกันมาก เธอไว้ใจป้ามาก ไม่เคยมีความลับกับป้าเลย แต่เธอกลับไม่ยอมเล่าเหตุการณ์ต่างๆที่ได้ประสบมาที่หนองคายให้ป้าฟัง เมื่อถูกถาม ก็ได้แต่ยิ้มเศร้าๆ ดูหมกมุ่นครุ่นคิด ชอบกลอยู่ ป้าผู้อารีจึงเอ่ยปากชวนหลาน
“ อาทิตย์หน้า ป้าจะไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าแห่งหนึ่ง ในจังหวัดกาญจนบุรี ต้องพักค้างที่วัดเก้าคืน เพราะมีการฝึกอบรม หลักสูตร “ อานาปานสติภาวนา” ที่ป้าเคยไปทุกปี วัดตั้งอยู่ติดภูเขา เป็นธรรมชาติ ร่มรื่น สงบ สงัด น่าอยู่มาก เกดเพิ่งจบมหาวิทยาลัยมา ยังไม่ได้ทำงาน สนใจจะไปกับป้าหรือเปล่า ชวนหนูรุ้งระวีไปด้วยก็ได้”
“ ไปค่ะ ไป เกดไปด้วย ขอบคุณคุณป้าที่ชวน เกดขอพารุ้งไปด้วยนะคะ”

เกตุดาราสนใจทันที เหมือนพระมาโปรด เธอคิดอยู่ในใจ ก็ที่เธอเงียบไป ก็กำลังคิดอยู่นี่แหละ ว่าจะต้องไปปฏิบัติธรรมให้ได้ตามที่ท่านพระฤๅษีมีเมตตาชี้ทางให้เธอ แต่จะไปที่ไหน ไปกับใคร ไปอย่างไร และปฏิบัติธรรมต้องทำตัวอย่างไร เตรียมอะไรไปบ้าง เธอช่างไม่มีความรู้ในเรื่องนี้เลย ทำไมนะจึงลืมป้าอำไพไปได้ ก็ป้าอำไพชอบไปปฏิบัติธรรมที่วัดอยู่ทุกปี เรานี่ ทำไมจึงขี้หลง ขี้ลืม ได้ถึงเพียงนี้ เหมือนคนไม่มีสติ เธอนึกต่อว่าตัวเอง ดังนั้นจึงตกลงติดตามป้าอำไพไปปฏิบัติธรรมด้วยทันที โดยขออนุญาตพาเพื่อนรัก รุ้งระวีไปด้วยกัน

วัดที่ทั้งสามคนไปปฏิบัติธรรมตั้ง อยู่ติดภูเขา พื้นที่เดิมเป็นที่ดินของชาวบ้านที่ถูกทิ้งร้างให้เป็นป่าเสื่อมโทรม แต่พระเดชพระคุณท่านเจ้าอาวาสมาซื้อที่และ ท่านเป็นผู้นำในการปลูกป่า สร้างเป็นสถานปฏิบัติธรรมที่มีบรรยากาศกลมกลืนไปกับธรรมชาติ มีโบสถ์ มีบ้านพัก และเรือนปฏิบัติธรรมไว้รองรับญาติโยม อีกทั้งท่านยังเป็นผู้สอนและฝึกอบรม “ อานาปานสติภาวนา” ให้แก่ผู้มาปฏิบัติธรรม ท่านเป็นศิษย์ของพระกรรมฐานผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบเป็นที่เคารพ นับถือมากของคนทั่วๆไป

เมื่อท่านมาสร้างวัดป่าขึ้นเพื่อช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนา ท่านจึงยึดแนวทางการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ตามแนวทางของพระพุทธองค์และตามแนวทางของพระอาจารย์ของท่าน ท่านจะฉันวันละมื้อเดียว ทำให้ผู้ปฏิบัติธรรมก็ต้องรับประทานอาหารวันละมื้อเดียวเช่นกันเพราะต้องถือศีลแปด

ทุกวันระฆังจะถูกเคาะให้ดังประมาณตีสามสี่สิบห้านาทีเพื่อปลุกให้ทุกคนตื่น นุ่งขาวห่มขาวไปสวดมนต์ เดินจงกรม ฟังธรรม และนั่งสมาธิ จนถึงเช้า ประมาณหกนาฬิกา ก็จะกลับมาทำกิจธุระส่วนตัว อาบน้ำ ใส่บาตร รอรับประทานอาหารเช้าพร้อมกัน หลังจากพระท่านฉันเสร็จ และให้ศีลให้พรญาติโยม

อาหารที่รับประทานก็จะสำรวมเช่นเดียวกับพระ อาหารทุกอย่าง ทั้ง คาว หวาน และขนม ผลไม้ จะใส่รวมกันหมดในกะละมังใบเดียว นั่งรับประทานกับพื้น รับประทานเสร็จแล้วต้องช่วยตัวเอง เก็บล้างให้เรียบร้อย แล้วจึงแยกย้ายกันไป ซักเสื้อผ้า ทำความสะอาดห้องพัก ประมาณสิบนาฬิกา ก็จะมีการรวมตัวกันเพื่อเดินจงกรม แล้วฟังพระอาจารย์บรรยายธรรม หรือตอบปัญหาธรรมะ จนถึงสิบสามนาฬิกาก็จะกลับไปพักผ่อน

ประมาณสิบห้านาฬิกา ก็จะมีการเคาะระฆัง เรียกให้ทุกคนมากวาดลานวัด กวาดถนน ทำความสะอาดสถานที่ปฏิบัติธรรม เสร็จแล้วจึงไปอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย

สิบแปดนาฬิกาเสียงระฆังจะเรียกไปเดินจงกรม ฟังธรรม สวดมนต์ นั่งสมาธิ จนกระทั่งถึงสามทุ่มจึงแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนนอนหลับ เพื่อจะได้ตื่นในวันรุ่งขึ้นตามเสียงระฆังปลุกเวลาประมาณตีสามสี่สิบห้านาฑีเช่นเคย ปฏิบัติเป็นกิจวัตรเช่นนี้ตลอดทุกวันเป็นจำนวนเก้าวัน จึงถือว่าจบหลักสูตร

เกตุดาราชื่นชอบ และมีความสุขกับการปฏิบัติธรรมมาก รู้สึกว่าถูกจริตกับตนเอง จึงเคร่งครัด พยายามอดทนปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง จนรู้สึกได้ถึงความสงบ สะอาด สว่างของจิต และได้รับความสุขสูงสุดจากความสงบ เมื่อจบหลักสูตร รุ้งระวีต้องกลับกรุงเทพมหานคร ตามที่สัญญากับเตี่ยว่าจะไปช่วยทำบัญชีที่ร้านทอง ส่วนคุณป้า ต้องกลับไปดูแลบ้านและสัตว์เลี้ยง
เกตุดาราขออยู่ปฏิบัติธรรมต่อ ทั้งๆที่ค้นพบว่า ความสุขอื่นใด มิอาจเทียบได้กับความสุขจากความสงบได้เลย แต่ในส่วนลึกของหัวใจ เธอก็ยังแอบหวังอยู่ตลอดเวลา ว่าจะได้ความกระจ่างในเรื่องประสบการณ์ประหลาด ที่เกิดขึ้นกับเธอ ตอนที่ไปดู ดอกไม้ไฟน้ำ ที่เกิดในลำน้ำโขง และได้รู้ว่าชายหนุ่มรูปงามราวกับเทพเจ้าที่ได้พบเพียงแวบเดียวนั้นเป็นใคร เพราะท่านพระฤๅษีบอกว่า เธอจะได้คำตอบของข้อสงสัยทั้งหมด ถ้าตั้งใจปฏิบัติธรรม และเกตุดาราก็ยังรอคอยคำตอบนั้นอยู่

เมื่อเธอขออยู่ปฏิบัติธรรมต่อ พระอาจารย์ซึ่งมีเมตตาสูงสุดก็อนุญาต เกตุดาราใช้เงินส่วนหนึ่งทำบุญกับทางวัด เป็นค่าอาหาร ที่พัก และค่าน้ำ ค่าไฟ และใส่บาตรทุกเช้า เคร่งครัดในศีลแปด อดทนปฏิบัติ เรียนรู้หลักธรรมตามคำสอนของพระพุทธองค์ได้ครบหนึ่งเดือนเต็ม โดยทุกๆวันก่อนเวลาสิบเจ็ดนาฬิกา เธอจะซื้ออาหารปลาของทางวัดมาเลี้ยงปลาในสระน้ำใกล้เรือนปฏิบัติธรรม เพื่อรอเวลาเดินจงกรมกับหมู่คณะ เย็นวันนี้เกตุดาราก็มานั่งเลี้ยงปลาเช่นเคยอยู่คนเดียว

เธอเพลิดเพลินกับการโปรยอาหารให้ปลา จนกระทั่งไม่ได้สังเกตเห็นสตรีงามสง่า ท่าทางสูงศักดิ์ผู้หนึ่ง ที่กำลังยืนตะลึงจ้องมองมาที่เธอด้วยอาการตื่นเต้น ดีใจเหลือประมาณ

สตรีผู้นั้นมองเธออยู่ชั่วขณะ แล้วก็อุทานด้วยน้ำเสียงกังวาน ใส นุ่มนวล น่าฟังเหมือนเสียงระฆัง แฝงด้วยความอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด แต่ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่าก็คือ สตรีสูงศักดิ์ผู้นั้นอ้างตัวกับเกตุดาราว่าเธอเป็น “ แม่”
“ ดาว ดาวน้อย ลูกของแม่ โอ ในที่สุด แม่ก็ได้พบลูก ลูกรัก แม่คิดถึงหนูเหลือเกิน นานหนักหนาแล้วที่ลูกหนีแม่มา”

สตรีผู้นั้นร้องทักพร้อมกับก้าวยาว ๆ มาสวมกอดเธอไว้อย่างดีอกดีใจ พลางสายตาก็เพ่งพิศมองเกตุดาราตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ชมว่า
“ ลูกสวยขึ้นมากนะ ดูมีความสุขสดใสกว่าเดิมมาก”

เกตุดารางุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน พอตั้งสติได้ เธอก็ค่อยเบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนอบอุ่นนั้น เมื่อมองหน้าสบตาสตรีลึกลับ เธอก็ส่ายหน้า ปฏิเสธว่า
“ เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ท่านคงจำคนผิดแน่นอน”
“ ไม่ผิดหรอก ไม่ว่าจะนานสักเท่าใด กี่สิบ กี่ร้อยปี แม่ก็ต้องจำลูกของแม่ได้เสมอ แม่คิดถึงลูก เป็นห่วงลูกเหลือเกิน ดีใจจริง ๆ แม่ตามหาหนูมานานแสนนาน ในที่สุดเราก็ได้พบกัน”

เธอพร่ำรำพัน มือก็เอื้อมมาลูบหลังลูบไหล่เกตุดารา พลางเพ่งพิศดูวงหน้าแตกตื่น สับสนของเกตุดารา เมื่อเห็นว่าเกตุดารายังไม่มีวี่แววที่จะจำเธอได้เลย พลันน้ำตาก็ไหลพร่างพรู อาบดวงหน้าที่งดงามราวกับภาพวาด ทั้งๆที่อยู่ในอาการโศกเศร้า แต่สตรีท่าทางสูงศักดิ์ผู้นี้ ก็ยังงดงาม แม้ว่าจะอยู่ในวัยกลางคนแล้วก็ตาม
เกตุดาราเห็นอาการโศกสลด ก็อดใจอ่อนไม่ได้ นึกในใจว่า
“ ถ้าเรามีแม่ที่สวยงามอ่อนหวานอย่างนี้ อีกสักคนหนึ่ง จะเป็นอะไร ก็ไม่ได้เสียหายอะไรที่จะมีแม่สวยๆ ตั้งสองคนในชีวิตนี้ ใครรู้ก็ต้องอิจฉาเราแน่เลย” ในใจคิดไปสนุกๆแต่ปากกลับพูดว่า
“ ท่านพอมีหลักฐานอะไร ที่จะพิสูจน์ได้บ้างไหมค่ะ ว่าเกดเป็นลูกของท่าน แต่ที่น่าจะเหมือนกันก็คือ เราทั้งสองคนสวยมากทั้งคู่เลย เพียงแต่ท่านอายุมากกว่า”

สตรีสูงศักดิ์ยิ้มกว้าง ด้วยขำและเอ็นดูเกตุดารา เหมือนแม่ที่รักและเอ็นดูบุตรีของนาง พลางกล่าวว่า
“ นี่แหละ วิธีพูดอย่างนี้น่ะ ดาวลูกของแม่เลย ท่าทางเชื่อมั่นในตัวเอง นับถือตัวเอง และชอบมองโลกในแง่ดีเสมอ อ้อ แม่นึกออกแล้ว แม่จะพาดาวไปดูหลักฐาน ไปย้อนดูเหตุการณ์ในอดีตของดาว เผื่อว่าดาวจะจำเรื่องราวในอดีตชาติ เมื่อครั้งที่เราเกิดเป็นแม่และลูกกันได้”

สตรีผู้นั้นหันหลังกลับ ออกเดินพร้อมกับเหลียวหน้ามาพยักเรียก ให้เธอตามไป น่าแปลกประหลาด เมื่อเธอก้าวเดินไปข้างหน้า เบื้องซ้ายและเบื้องขวาของเธอ ปรากฏว่ามี สุนัขพันธ์ พูเดิล สีขาวสองตัว ทั้งคู่เพศเมีย อายุประมาณห้าปี เดินขนาบข้างคู่ไปกับเธอ พูเดิลน้อยทั้งสองสีขาว ขนฟู น่ารัก น่าเอ็นดูเสียเหลือเกิน เมื่อสตรีผู้นั้นก้าวเดิน มันก็เดินตาม เมื่อเธอหยุด มันก็หยุดบ้าง แสดงถึงความฉลาด มีความสามารถพิเศษ พอเธอเห็นเกตุดาราทึ่ง สนใจเจ้าสุนัขทั้งสอง เธอจึงสั่งให้มันนั่ง และสวัสดีเกตุดารา

ทั้งสองตัวก็แสนรู้ เชื่อฟังคำสั่งเป็นอย่างดี ต่างตัวก็พร้อมใจกัน นั่งสองขา อีกสองขายกขึ้นประณม ก้มหัว ทำท่า “สวัสดี” ได้อย่างน่าเอ็นดู

เกตุดาราเป็นคนรักสัตว์ เห็นอาการสวัสดีของมัน ก็อดทรุดตัวลง เอื้อมมือไปลูบหัวมันทั้งสองตัวไม่ได้ ถูกลูบหัว มันก็ถือโอกาสเลียมือเกตุดารา อีกตัวยืนขึ้นเลียหน้าเลย เกตุดาราก็ตามใจ หัวเราะหยอกล้อเล่นกับมัน มันก็ได้ใจเลียหน้าเกตุดารากันใหญ่ จนเจ้านายต้องดุให้หยุด และสั่งให้ขอโทษเกตุดารา

มันทั้งสองก็พร้อมใจกัน ลงนั่งสองขา “สวัสดี” อีกครั้งหนึ่ง ก้มหัวน้อยๆ นั่งค้าง “ประนมมือ” นิ่งอยู่ชั่วครู่ แต่อาจเป็นเพราะพื้นดินไม่เรียบเสมอกัน เจ้าตัวทางขวาก็เลยเสียหลักเซไปชนเจ้าตัวทางซ้าย ซึ่งไม่ทันระวังตัว จึงหงายท้องลงไปนอน “ เอ้งเม้ง” อยู่ด้วยกันทั้งสองตัว แต่ก็ยังไม่ลุกขึ้น รอจนเจ้านายสั่งว่าลุกขึ้น มันจึงกระเด้งตัวฉับพลัน ยืนขึ้นทันทีที่ถูกสั่ง

เกตุดาราขบขันกับกิริยาท่าทางแสนรู้ของเจ้าสุนัขทั้งสอง จนออกอาการ “ขำกลิ้ง” เธอผู้นั้นก็หัวเราะตามด้วย บรรยากาศจึงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม

ขณะก้าวเดินตามไป เกตุดารารู้สึกอบอุ่นอย่างน่าแปลกใจ มีความรู้สึกเหมือน แม่ ลูก และสัตว์เลี้ยงไปเดินชมธรรมชาติในป่าเขาลำเนาไพรกัน ท่ามกลางสายลมพัดโชยกลิ่นดอกกล้วยไม้ป่า หอมเย็นชื่นใจ เกตุดาราสดชื่นและรู้สึกเป็นสุข จนลืมไปว่าตอนแรกที่เห็นเจ้าพูเดิลเธอยังนึกสงสัยว่า ที่วัดนี้มีสุนัขด้วยหรือ ก็เธอมาอยู่เป็นเดือนแล้ว ยังไม่เคยเจอสุนัขเลยสักตัว เพราะที่วัดนี้ไม่มีใครเลี้ยงสุนัข เพราะมันจะส่งเสียงรบกวนผู้ปฏิบัติธรรม แต่เพราะความน่ารัก น่าเอ็นดูของเจ้าพูเดิลทั้งสอง จึงทำให้เธอลืมความสงสัยเสียสิ้น เธอจึงเดินตามสตรีสูงศักดิ์ผู้นั้นไปอย่างไว้วางใจ

เธอเดินนำเกตุดาราไปตามทางเดินที่ค่อยๆ ชันขึ้น สองข้างทางมีต้นไม้ใบหนาขึ้นปกคลุม ทำให้ร่มรื่นเหมือนเดินอยู่ในรีสอร์ต ทางเดินค่อยๆ ชันขึ้น ลัดเลาะไปตามไหล่เขา แล้วลาดลงมายังพื้นราบ ทะลุไปถึงตีนเขาเตี้ย ๆ นอกเขตวัด ปรากฏว่าตรงนั้นมีทางเดินขึ้นไปยังถ้ำ มีราวไม้เป็นบันไดเอาไว้จับยึดเพื่อเดินขึ้นเขา สตรีผู้นั้นพาเธอไต่เนินเขาที่มีระยะทางคดเคี้ยวไปมา ใช้เวลาปีนเขาพอได้ออกแรงให้ได้เหงื่อ เกตุดาราก็ขึ้นมายืนอยู่บนลานกว้าง ยาว พอประมาณ ลานนั้นสามารถจุคนนั่งได้ประมาณ ห้าสิบคน ตรงนี้เป็นปากถ้ำ เมื่อเดินทำลุเข้าไปในถ้ำ จะมองเห็นพระพุทธรูปอยู่ด้านขวามือ หน้าตักประมาณ สิบเก้านิ้วตั้งอยู่บนแท่นบูชา
เธอบอกเกตุดาราว่า
“ ถ้ำนี้ มีพระสงฆ์ในวัดบางรูป ชอบปลีกวิเวกขึ้นมาปฏิบัติธรรม เพราะเงียบสงบ และอากาศดีมาก มีลมพัดถ่ายเทได้ตลอด”

เมื่อพาเธอไปกราบพระพุทธรูปในถ้ำ เจ้าพูเดิลสองตัวก็นั่งลงยกมือไหว้ ทำความเคารพตามประสาสุนัขด้วย ไหว้พระเสร็จ เธอจึงพาเกตุดาราเดินตรงไปด้านหลัง ที่นั่นมีบ่อน้ำความกว้างประมาณสองเมตร ติดชิดกับผนังถ้ำ เมื่อมองลงไปปรากฏมีน้ำใส สะอาด บริสุทธิ์ขังอยู่เกือบเต็มบ่อ พอเธอชะโงกหน้าลงไปมอง น่าแปลกที่น้ำใสจนเธอมองเห็นเงาตัวเองชัดเจน เหมือนกำลังยืนส่องกระจกเงาบานใหญ่ อยู่ในห้องแต่งตัวที่บ้านของเธอเอง

เมื่อเห็นเกตุดาราทำท่าทางแปลกใจที่เห็นเงาตัวเองชัดเจนเช่นนั้น เธอจึงบอกว่า
“ อย่าแปลกใจเลย เรื่องบางเรื่อง แม้จะเกิดขึ้นจริง แต่ก็ยากที่จะอธิบายว่า เกิดขึ้นได้อย่างไร หนูจะได้คำตอบ ในเรื่องที่หนูอยากจะรู้ ณ บัดนี้แล้ว เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่น่าพิศวงที่หนูได้ประสบมา ในวันที่หนูไปดูดอกไม้ไฟน้ำ แล้ว ได้พบกับ “ เจ้านาเคนทร์นาคราช” หนูตั้งใจดูให้ดีๆนะลูก ลูกรักของแม่ แม่จะเล่าให้หนูได้รู้ ได้เห็น เรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตชาติ บัดนี้แล้ว มองลงไปที่บ่อมรกตอีกครั้ง ซิลูก”

เกตุดาราปฏิบัติตาม น่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก เรื่องราวในอดีตของเธอ ปรากฏขึ้นตรงหน้า เมื่อเธอมองลงไปในบ่อน้ำสีเขียวใสเหมือนสีมรกต เธอมองเห็นตัวเองได้ชัดเจน ทั้งภาพและเสียง เหมือนกำลังชมวีดิทัศน์อยู่ในขณะนั้น
“ ดาวเห็นตัวเองในเครื่องแต่งกายของธิดาพญานาคแล้วใช่ไหม ? เมื่ออดีตชาติ ดาวเป็นราชบุตรีของเจ้าผู้ครองนครซึ่งเป็นพญานาค ชื่อเจ้าภุชงค์นาคินทร์ แม่เป็นชายาคนหนึ่งของท่าน เมื่อโตเป็นสาว ลูกผูกสมัครรักใคร่อยู่กับ เจ้านาเคนทร์นาคราช ซึ่งเป็นโอรส ของเจ้าต่างเมือง ......”

เกตุดารามัวตกตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า ก็ “นาเคนทร์นาคราช” คนนี้นี่เอง แท้ที่จริงแล้ว เป็นคนๆเดียวกับ “เทพเจ้าอพอลโล” ของเธอ ที่เธอได้เห็นเพียงแวบเดียว ตอนที่ไปดู ดอกไม้ไฟน้ำ ที่หนองคาย เขาผู้นั้น ก็ยังอยู่ในความทรงจำของเธอตลอดมานับตั้งแต่วันที่พบกัน จนกระทั่งถึงวันนี้ก็ยังไม่จางไปจากใจ เธอตะลึงงัน จนไม่ได้ยินคำบอกเล่าของสตรีสูงศักดิ์ลึกลับ จนต้องขอร้องให้เธอเล่าซ้ำอีกครั้งหนึ่ง
“ นาเคนทร์นาคราชเป็นเจ้าราชบุตรของ ท่านวาสุกรีนาคินทร์ พญานาคผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งท่านได้หมั้นหมายราชบุตรของท่านกับพระธิดาของ เจ้ามหามานพนาค ซึ่งเป็นพระสหาย และเป็นเจ้าผู้ครองนครนาคอีกเมืองหนึ่ง พญานาคผู้เป็นสหายทั้งสองรักใคร่กันมากมายและมีศัตรูคนเดียวกัน คือพ่อของลูก เพราะในอดีตเมื่อแม่ยังเป็นนาคินีสาวงามแห่งเมืองนาคนคร นาคทั้งสามตนมาหลงรักแม่ผู้เดียว แต่พ่อของลูกซึ่งมีฤทธิ์อำนาจมาก ได้ครอบครองแม่ พาไปเป็นเมียอีกคนหนึ่ง ทั้งที่พ่อของหนูมีมเหสีและเมียรองอยู่หลายคนแล้ว

ทั้งสองจึงโกธรแค้นพ่อของหนูมาก แล้วจึงมาลงที่ลูก ลูกและนาเคนทร์นาคราชจึงถูกกีดกันความรัก ต่อมานาเคนทร์นาคราชต้องเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับราชธิดาของเจ้ามหามานพนาค โดยที่มิได้รักนางเลย นาคจึงโกธรแค้นหนูมาก กล่าวพยาบาทอาฆาตมาดร้ายไว้ว่า จะเอาชีวิตลูก

ต่อมานาเคนทร์นาคราชได้เข้าพิธีอภิเษกสมโภชขึ้นเป็นเจ้าครองนครเมืองใหม่ แต่ดาวลูกรักของแม่ก็มิอาจตัดใจจากความรักได้ เศร้าโศกเสียใจจนล้มป่วยลง แทบจะถึงแก่ชีวิต

พอหายป่วย หนูก็ขอแม่ไปเมืองมนุษย์ เพื่อรับฟังคำสอนของพระธุดงค์ และอยู่ปฏิบัติธรรมที่เมืองมนุษย์ หนูซาบซึ้งในรสพระธรรมมาก ขออนุญาตแม่ว่า หนูจะตั้งสัตย์อธิษฐานจิต ปฏิบัติธรรมจนวันตาย และเมื่อตายจะขอเกิดเป็นมนุษย์ทุกชาติไป แล้วลูกก็ไม่ได้กลับมาเมืองบาดาลอีกเลย ...”

เกตุดาราดูภาพเหตุการณ์ในอดีตชาติของตนและฟังคำบรรยายขยายความของ “ แม่” เพลิดเพลิน จนแทบจะลืมตัวรู้สึกเหมือนอยู่ในเหตุการณ์จริง ทว่าด้วยความสงสัยใคร่รู้ จนมิอาจกลั้นความสงสัยไว้ได้ จึงขัดจังหวะถามแทรกขึ้นว่า
“ แล้วเจ้านาเคนทร์นาคราชเล่าจ้ะ เขาไม่เสียใจหรือ หรือว่าเขาลืมลูกไปแล้ว”
“ เขาไม่เคยลืมลูกเลย เขาทุกข์ทรมานใจมาก แต่ด้วยขัตติยะมานะ และความที่เป็นเจ้าผู้ครองนคร เขาจึงมิอาจละทิ้งหน้าที่ติดตามลูกไปได้ แต่ถ้ามีโอกาส เขาก็จะออกตามหาลูกเสมอ เขาไม่เคยลืมลูกเลย ดังนั้น เขาจึงครองพรหมจรรย์ มิได้ข้องเกี่ยวฉันท์ชู้สาวกับมเหสีเลย เช่นนั้น นางจึงยิ่งโกธรแค้นลูกมาก แ ละนี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ลูกต้องอธิษฐานจิต ปฏิบัติธรรมเพื่อเกิดเป็นมนุษย์ แต่เขาไม่รู้ว่าลูกมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์แล้ว”
“ เช่นนี้นี่เอง เมื่อพบกันอีกครั้งหนึ่งที่หนองคาย เราถึงจำกันไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อแรกพบท่าน “ เทพเจ้าอพอลโล” ของเกด เราถึงมีความรู้สึกดีกับท่านเหลือเกิน เหมือนเป็นรักเมื่อแรกพบอย่างไรอย่างนั้นเลย” เกตุดารารำพึงกับตัวเองเธอได้คำตอบแล้ว เพราะเราเคยรักกันมาก่อนเมื่ออดีตชาตินี่เอง
“ ได้คำตอบแล้ว แม่จะพาหนูกลับไปเรือนปฏิบัติธรรมนะลูก นี่ใกล้ค่ำแล้ว มืดแล้วจะเดินกลับลำบาก”

เกตุดาราเดินตาม” แม่” กลับมาเงียบๆ ในใจครุ่นคิดถึงแต่เรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้น ฉงนฉงายมากมายจนไม่รู้ว่าทำไมจึงมาถึงเรือนปฏิบัติธรรมได้เร็วนัก มองหาสตรีผู้บอกว่าเป็นมารดาในอดีตชาติกับเจ้าพูเดิลสองตัว ก็ไม่ปรากฏในสายตาเลย ทำไมหายไปเร็วนัก เกตุดารายังไม่ได้ลาท่านเลย เธอคร่ำครวญ
“ แล้วเมื่อไร เราจะได้พบกันอีก”

คืนนั้น เมื่อสวดมนต์เสร็จ นั่งสมาธิ แผ่เมตตา และฟังพระอาจารย์แสดงธรรมจบแล้ว เกตุดาราจึงอุทิศผลบุญจากการปฏิบัติธรรมให้กับแม่และทุกคนที่เกี่ยวข้องในอดีตชาติ เมื่อครั้งเธอถือกำเนิดอยู่ที่เมืองบาดาล ขณะเดินกลับที่พัก เธอนึกขอบคุณทั้งพระฤๅษี และแม่ในอดีตชาติ ที่มาช่วยไขปัญหา ข้อข้องใจทั้งมวลให้กับเธอ เธอคิดในใจ
“ ได้คำตอบแล้ว พรุ่งนี้จะต้องโทรศัพท์ให้รุ้งกับนพมารับกลับบ้านเสียที เกดมีเรื่องจะเล่าให้ฟังมากมาย”

ถึงที่พักแล้วก็ยังมิวาย หวนคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเธอ รวมทั้งการได้รับรู้เรื่องในอดีตชาติ นึกสงสารตัวเองที่ต้องผิดหวังในความรัก แล้วชาตินี้เล่า จะต้องผิดหวังซ้ำซากอีกกระนั้นหรือ คิดไปต่างๆ นาๆ จนรู้สึกว่า ชักจะฟุ้งซ่านมากไปแล้ว เกตุดาราจึงอาบน้ำและสวดมนต์อีกครั้งเพื่อให้จิตสงบ
เมื่อได้สวดมนต์ กำหนดลมหายใจ สำรวมจิตทำสมาธิจนจิตสงบ รู้สึกง่วงนอน เธอจึงนอนหลับไปด้วย จิตใจที่ สงบ สะอาด และ สว่าง และเป็นนิทรารมณ์ ที่บรมสุขอย่างแท้จริง หลังจากที่นอนไม่ค่อยหลับมาหลายคืน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร