วันเวลาปัจจุบัน 04 พ.ค. 2025, 16:08  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2009, 12:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
ระฆังเบิกบาน

เณรน้อยองค์หนึ่งมีหน้าที่เคาะระฆังเงิน ที่แขวนอยู่กับต้นไม้
ทุกๆ วันเณรน้อยจะเดินไปที่ระฆัง และเคาะระฆังนั้น
เสียงระฆังที่ดังกังวานใสในทุกๆ วันนั้น...ส่งผลให้ดวงอาทิตย์ส่องแสง
ส่งผลให้ดอกไม้แย้มบาน ส่งผลให้ไก่ขันเสียงเจื้อยแจ้ว ส่งผลให้ผู้คนเบิกบาน

เณรน้อยเคาะระฆังอยู่อย่างนี้ทุกวัน...
วันหนึ่งระฆังรู้สึกเบื่อ และไม่อยากส่งเสียงดังกังวานเหมือนเช่นเคย
ระฆังจึงบอกเณรน้อยว่า “หยุดเคาะฉันเสียทีเถอะ”
เมื่อเณรน้อยหยุดเคาะระฆัง... ระฆังก็เงียบ ท้องฟ้าที่สดใสกลับมืดมัว ดอกไม้ที่แย้มบานก็เหี่ยวเฉา
ไก่ที่ขับขานก็เงียบเสียง ผู้คนที่เบิกบานก็เศร้าซึม

ทุกสิ่งรอบตัวเงียบราวกับไร้ชีวิต เงียบเหงาจนระฆังเศร้าสร้อย
เพราะเหมือนขาดอะไรไป และรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ระฆังเริ่มคิด
จะทำอย่างไรให้ตัวเองเบิกบานและมีคุณค่า
ระฆังนิ่งและค่อยๆ คิด จนในที่สุดก็คิดออก
จึงบอกเณรน้อย “เณรน้อย เณรน้อย มาช่วยเคาะฉันหน่อยสิ”
เณรน้อยจึงกลับมาเคาะระฆังอีก เสียงระฆังดังกังวาน
ดวงอาทิตย์ก็ส่องแสง ดอกไม้ก็แย้มบาน
ไก่ก็ขันเสียงเจื้อยแจ้ว ระฆังก็เบิกบาน ผู้คนก็สุขใจ...


ที่มา http://www.familyweekend.co.th

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2009, 12:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ฤาษีกับหนู
ฤาษีตนหนึ่งบำเพ็ญเพียรในป่าใหญ่ เห็นหนูถูกอีกาไล่มา ก็เกิดความสงสาร
จึงช่วยชีวิตและเลี้ยงดูหนูเอาไว้ จนวันหนึ่งแมวป่าย่องเข้ามาจะกินหนู
เมื่อฤาษีเห็นจึงร่ายคาถาให้หนูกลายเป็นแมวตัวใหญ่ พอแมวป่าเห็นแมวของฤาษีก็กลัวและวิ่งหนีไป

จากนั้นไม่นานมีหมาย่องเข้ามาจะทำร้ายแมวตัวนี้
ฤาษีเห็นก็ร่ายคาถาให้แมวกลายเป็นหมาตัวใหญ่กว่า
พอหมาเห็นก็กลัวและวิ่งหนีไป
ตกกลางคืนเสือย่องเข้ามาจะกินหมาของฤาษี
ฤาษีจึงร่ายคาถาให้หมากลายเป็นเสือตัวใหญ่กว่า
พอเสือเห็นก็กลัวและวิ่งหนีไป

ตั้งแต่นั้นมาเสือของฤาษีก็เป็นที่เกรงกลัวของสัตว์ป่ามากมาย
มันจึงลำพองใจ และคิดจะกำจัดฤาษีเพื่อจะได้เป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว
แต่พอฤาษีหยั่งรู้ความคิดของเจ้าเสือร้าย
ฤาษีจึงร่ายคาถาให้เสือกลายเป็นหมา หมากลายเป็นแมว แมวกลายร่างเป็นหนูตัวเล็ก
และกลับเข้าไปอยู่ในป่าตามลำพังตามเดิม

:b48: :b48: :b48: :b48: :b48:
นิทานเรื่องนี้แฝงไว้ซึ่งคติเตือนใจไม่ให้เด็กๆ หลงลืมตน และผู้มีพระคุณ




.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2009, 12:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ


เรื่อง ซุปก้อนหิน

นักบวช 3 ท่าน – ท่านฮก ท่านลก และท่านซี่ว เดินทางออกเผยแพร่เรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
มาจนถึงหมู่บ้านหนึ่ง ซึ่งคนเคยผ่านความทุกข์เข็ญ ความอดอยากมานานจนกลายเป็นคนแล้งน้ำใจ
ไม่ไว้วางใจใคร แม้กระทั่งเพื่อนบ้านกันเอง ต่างคนต่างอยู่ ไม่คบค้ากัน

เมื่อนักบวชมาถึง ชาวบ้านก็ปิดประตู ไม่ต้อนรับ
นักบวชทั้งสามจึงออกอุบายต้มซุปก้อนหินให้พวกเขาดู

ผู้ทรงศีลทั้งสามต่างช่วยกันเก็บใบไม้ กิ้งไม้แห้งมาก่อไฟ ตักน้ำจากบ่อมาใส่หม้อจนเต็ม
เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเห็นเข้าก็เข้ามาถามไถ่
พอรู้ว่านักบวชจะต้มซุปก้อนหินก็ช่วยหาก้อนหินด้วย
พอนักบวชเปรยว่าหม้อที่ต้มเล็กไป เธอก็อาสาไปเอาหม้อใบใหญ่กว่าที่บ้านมาให้
พอแม่ของเธอรู้เรื่องการต้มซุปหินของนักบวช ก็ขอตามไปดูด้วย
จากนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นชาวบ้านก็ค่อยๆ ทะยอยออกจากบ้าน
มาดูการต้มซุปก้อนหินทีละคนๆ
นักบวชก็เปรยว่าขาดเครื่องปรุงต่างๆ ชาวบ้านก็วิ่งกลับไปเอาที่บ้านมาให้
พอเปรยว่าขาดผักชนิดไหน ชาวบ้านก็วิ่งกลับไปเอาผักนั้นๆ มาเติมอย่างไม่ขาดสาย

เมื่อคนหนึ่งเปิดใจให้ คนต่อไปก็ให้มากยิ่งขึ้น...ยิ่งขึ้น
นักบวชก็คอยคนซุปในหม้อจนเดือดพล่าน ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ยั่วน้ำลายมาก...

ในที่สุด ซุปหม้อใหญ่นั้นก็สุกได้ที่
ชาวบ้านจุดโคมไฟ นั่งรับประทานอาหารรวมกัน
พวกเขาไม่ได้ร่วมวงกินเลี้ยงด้วยกันอย่างนี้มานานแล้ว
หลังอาหารก็ผลัดกันเล่านิทาน ร้องเพลง และเฉลิมฉลองกัน
จากนั้นก็เปิดประตูเชิญนักบวชทั้งสามเข้าไปในบ้าน แล้วจัดหาที่หลับที่นอนอย่างดีให้

ตอนเช้า นักบวชทั้งสามท่านก็เดินทางต่อไป
ชาวบ้านก็มาอำลา พร้อมทั้งขอบพระคุณที่นักบวชช่วยให้พวกเขาเรียนรู้ว่า
การแบ่งปัน จะทำให้พวกเขามีอยู่มีกินมากขึ้น...
นักบวชก็กล่าวว่า การทำใจให้เป็นสุข ก็เป็นเรื่องง่ายดังการปรุงซุปก้อนหินนั่นแล...





.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2009, 12:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2009, 12:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2009, 12:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2009, 12:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2009, 12:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2009, 12:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระฉันนะ (ผู้ว่ายากสอนยาก)

ไม่พึงคบผู้ชั่วช้าหรือต่ำช้า พึงคบผู้ดีงามหรือผู้ประเสริฐสุด


ในบรรดาพระภิกษุที่ว่ายากสอนยากนั้น ไม่มีใครเกินพระฉันนะ พระฉันนะหรือเดิมชื่อนายฉันนะ เป็นผู้ที่เกิดพร้อมเจ้าชายสิทธัตถะประสูติ เป็นผู้รับใช้ใกล้ชิด ในยามที่เจ้าชายออกบวชก็ออกตามเสด็จพร้อมด้วยม้ากัณฐกะ จึงได้ชื่อว่าเป็น สหชาติ (ผู้เกิดในเวลาเดียวกันพร้อมกัน) เพราะอย่างนี้ จึงได้หยิ่งทะนงตนเองว่าเป็นคนใกล้ชิดพระพุทธเจ้ามาแต่ไหนแต่ไร จึงไม่ค่อยยอมรับการว่ากล่าวตักเตือนจากพระรูปอื่น แม้พระพุทธเจ้าจะไม่เคยให้ท้ายเลยก็ตาม

พระฉันนะชอบด่าพระอัครสาวกสองท่านคือ พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ว่า "อันตัวเรานั้นเป็นผู้เดินทางไปพร้อมกับพระพุทธเจ้าในคราวท่านออกผนวช ส่วนพระสองรูปนี้กลับเที่ยวประกาศตนว่า เป็นพระสารีบุตรบ้าง เป็นพระโมคคัลลานะบ้าง เที่ยวประกาศตนว่าเป็นพระอัครสาวก"

พระพุทธเจ้าทรงทราบ ก็เรียกมาว่ากล่าวตักเตือน พระฉันนะก็นิ่งรับฟัง พอพระพุทธเจ้าเสด็จไป ก็เริ่มด่าพระอัครสาวกอีก แม้พระองค์จะเรียกมาตักเตือนอีกจนถึงครั้งที่ ๓ ว่า พระอัครสาวกทั้งสองรูปเป็นกัลยามิตรที่ดี เป็นผู้ประเสริฐ จงคบกัลยาณมิตรเพื่อนผู้ดีงามเช่นนี้เถิด แม้กระนั้น พระฉันนะได้ฟังโอวาทแล้วก็ยังไม่เชื่อฟัง ยังคงด่าพระอัครสาวกอีกต่อไป

พระพุทธเจ้าจึงตรัสแก่บรรดาพระภิกษุว่า ภิกษุทั้งหลาย ขณะที่เรายังคงอยู่ พวกเธอคงไม่อาจอบรมสั่งสอนฉันนะได้ แต่เมื่อเราปรินิพพานไปแล้ว จึงจะสามารถทำได้ พระอานนท์จึงกราบทูลถามว่า จะให้ทำเช่นไรต่อพระฉันนะ พระองค์จึงได้ตรัสว่า ให้ลงพรหมทัณฑ์แก่ฉันนะ

ครั้นพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานไปแล้ว พระสงฆ์ก็ประกาศลงพรหมทัณฑ์แก่พระฉันนะ พอพระฉันนะได้ยินเช่นนั้น ก็เกิดความทุกข์ขึ้นในใจ จิตใจเศร้าหมองเป็นลำดับ จนล้มสลบลงถึง ๓ ครั้ง เมื่อฟื้นคืนสติ ก็ได้อ้อนวอนต่อคณะสงฆ์ว่า ขอท่านทั้งหลายให้โอกาสกระผมเถิด ว่าแล้วก็กลับตนประพฤติตนใหม่เป็นพระภิกษุที่ดี จนปฏิบัติธรรมได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่สุด

พรหมทัณฑ์ คือ การที่พระสงฆ์ประกาศไม่คบ ไม่พูดคุย ไม่สนทนา ไม่ประกอบพิธีกรรมต่อพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งที่ประพฤติตนเป็นคนว่ายากสอนยาก

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า พึงหลีกหนีจากคนไม่ดี พึงเข้าสนทนาเรียนรู้จากบัณฑิตผู้ฉลาดทรงคุณธรรม และการเป็นคนว่ายากสอนยากมักเป็นอยู่ลำบาก เมื่อตนไร้ที่พึ่งพิง จึงควรประพฤติตนให้ว่าง่ายสอนง่าย


.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


แก้ไขล่าสุดโดย ณ มรณา เมื่อ 22 พ.ย. 2009, 13:43, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2009, 13:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระราธะ (ผู้ว่าง่ายสอนง่าย)

:b51: :b53: สุวโจ ผู้ว่าง่ายสอนง่าย :b53: :b51:

ในบรรดาพระมหาเถระ ๘๐ รูป ที่ได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้เลิศในด้านต่างๆ (เอตทัคคะ) มีพระราธะเป็นหนึ่งในนั้นที่ได้รับยกย่องว่า เป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย

นามเดิมท่านชื่อ ราธะ มาบวชเมื่ออายุแก่มากแล้ว ช่วงปลายของชีวิตที่ลูกหลานไม่เลี้ยงท่าน แม้ท่านจะแบ่งทรัพย์สินให้ลูกๆ แต่ท่านกลับโดนทอดทิ้งจนต้องไปอาศัยกวาดลานวัดแลกกับอาหารที่พระภิกษุอนุเคราะห์ให้แก่ท่าน ท่านก็ช่วยปัดกวาดดูแลวัดวาอาราม หลายครั้งที่ท่านอยากจะขอบวชเป็นพระภิกษุ แต่พระสงฆ์ก็ยังมิได้บวชให้ท่าน

วันหนึ่งราธะได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าขณะพระองค์เสด็จไปโปรดราธะเป็นการเฉพาะ จึงได้ถือโอกาสนี้ขอบวช พระพุทธเจ้าจึงเรียกประชุมพระสงฆ์ แล้วตรัสถามว่า ใครระลึกถึงคุณของราธะ ใครจะช่วยปลดเปลื้องทุกข์ให้แก่ราธะได้ พระสารีบุตรจึงกราบทูลว่า ราธะเคยถวายข้าวทัพพีหนึ่งแก่ท่าน ท่านจะเป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้ราธะและจะอบรมสั่งสอนราธะเอง ด้วยเหตุนี้ พระสารีบุตรจึงได้รับยกย่องว่าเป็นผู้มีความกตัญญูรู้คุณ จดจำแม้ข้าวทัพพีเดียวที่เคยได้รับจากราธะ

ความที่พระราธะบวชเมื่อแก่ จึงได้นั่งแถวท้ายๆ ทำให้ได้รับอาหารน้อย จิตใจก็เศร้าหมอง ปฏิธรรมแทบจะไม่ได้ พระสารีบุตรจึงพาท่านออกเดินทางไปปฏิบัติธรรมในป่า ออกเดินธุงค์ เมื่อผ่านไปได้ระยะหนึ่งแล้ว วันหนึ่งท่านได้พาพระราธะกลับมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าอีกครั้ง

พระพุทธเจ้าตรัสถามพระสารีบุตรว่า สัทธิวิหาริก(ศิษย์)ของเธอเป็นคนเช่นไร ท่านจึงกราบทูลไปว่า ราธะนี้แม้จะเป็นผู้บวชตอนแก่ แต่ก็มิได้มีอาการของคนกระด้างกระเดื่องเลย แม้จะตามว่ากล่าวตักเตือน ติดตามสั่งสอนตลอดเวลา ราธะก็ไม่ได้แสดงอาการว่ายากสอนยาก กลับเป็นผู้รู้จักนอบน้อมถ่อมตน รับฟังโอวาทด้วยความสงบเสงี่ยม ได้ชื่อว่าเป็น ขันติโสรัจจะ ผู้มีความอดทนและสงบเสงี่ยมโดยแท้

พระองค์ตรัสถามอีกว่า ถ้าหากมีสัทธิวิหาริกเช่นนี้ จะรับไปดูแลสั่งสอนได้เท่าไร พระสารีบุตรกราบทูลว่า มิจำกัดประมาณเลย

ข้อคิด บุคคลผู้ว่าง่ายสอนง่าย ย่อมเป็นที่รักที่เอ็นดูของผู้ใหญ่ มิควรเลยที่จะแสดงอาการกระด้างกระเดื่อง ควรที่จะเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ยกตนข่มท่าน จะทำให้เราอยู่ในสังคมใดๆ ได้อย่างสงบสุข

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร