วันเวลาปัจจุบัน 01 ส.ค. 2025, 21:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 51, 52, 53, 54, 55, 56, 57 ... 151  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 11 ธ.ค. 2018, 08:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ดูก่อนกุญชร ท่านปรากฏว่าเป็นผู้เคย
เข้าสงคราม มีความแกล้วกล้า มีกำลังมาก เข้า
มาใกล้เขื่อนประตูแล้ว เหตุไรจึงถอยกลับเสีย
เล่า.

ดูก่อนกุญชร ท่านจงหักลิ่มกลอนถอน
เสาระเนียดและทำลายเขื่อนทั้งหลายแล้วเข้า
ประตูให้ได้โดยเร็วเถิด.

ในบทเหล่านั้น บทว่า อิติ วิสฺสุโต ความว่า ท่านเป็นผู้
ปรากฏ คือ รู้กันทั่วไปอย่างนี้ว่า ชื่อว่าเคยเข้าสู่สงคราม เพราะ
เข้าสงครามย่ำยีประหัตประหารต่อสู้กัน ชื่อว่า กล้าหาญ เพราะ
มีใจบึกบึน และชื่อว่ามีกำลัง เพราะสมบูรณ์ด้วยกำลัง. บทว่า
โตรณมาสชฺช ได้แก่ ถึงค่ายอันยันประตูเมืองแล้ว. บทว่า

ปฏิกฺกมสิ คือ นายหัตถาจารย์พูดว่า ไฉนจึงท้อถอย คือ เพราะ
เหตุไรจึงกลับ. บทว่า โอมทฺท ได้แก่จงบุกเข้าไป คือ จงรุดหน้า
เข้าไป. บทว่า เอสิกานิ จ อุพฺพห ความว่า เสาระเนียดที่เขาปัก
ไว้มั่นคง ลึกลงไปในแผ่นดิน ๑๖ ศอก ๘ ศอก ที่ประตูเมือง
มีอยู่ เจ้าจงขุด คือจงถอนเสาระเนียดนั้นโดยเร็วเถิด นาย-

หัตถาจารย์ได้สั่งไว้. บทว่า โตรณานิ จ มทฺทิตฺวา คือ จงทำลาย
บานประตูนครเสีย. บทว่า ขิปฺปํ ปวิส คือ เจ้าจงรีบเข้าประตู
เมือง. เรียกช้างว่า กุญฺชร.

ช้างมงคลได้ฟังดังนั้น ก็หันกลับเพราะคำสอนของพระ-
โพธิสัตว์เพียงคำเดียวเท่านั้น แล้วใช้งวงพันเสาระเนียดถอนขึ้น
เหมือนดังถอนเห็ดฉะนั้น แล้วทำลายเสาค่าย ถอดกลอน พัง
ประตูเมือง เข้าพระนครยึดราชสมบัติถวายพระราชา.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดก. ช้างในครั้งนั้น ได้เป็นนันทะในครั้งนี้ พระราชาได้เป็น
พระนันทะ ส่วนนายหัตถาจารย์ คือเราตถาคตนี้แล.
จบ อรรถกถาสังคามาวจรชาดกที่ ๒

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 11 ธ.ค. 2018, 08:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารทรง
ปรารภคนกินเดน ๕๐๐ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
วาโลทกํ อปฺปรสํ นิหีนํ ดังนี้.

ได้ยินว่าในกรุงสาวัตถีมีอุบาสก ๕๐๐ มอบความห่วงใย
ในเรือนให้บุตรภรรยา แล้วเดินทางร่วมกันไปฟังพระธรรมเทศนา
ของพระศาสดา. ในอุบาสกเหล่านั้น บางพวกได้เป็นโสดาบัน
บางพวกได้เป็นสกทาคามี บางพวกได้เป็นอนาคามี ไม่มีเป็น
ปุถุชนแม้แต่คนเดียว. ประชาชนแม้เมื่อนิมนต์พระศาสดาก็เชิญ
อุบาสกเหล่านั้นร่วมด้วย. แต่คนรับใช้ ๕๐๐ ทำหน้าที่ให้ไม้

สีฟัน น้ำล้างหน้า ผ้า ของหอม และดอกไม้ของพวกเขา เป็น
คนกินเดนอาศัยอยู่. คนรับใช้เหล่านั้นบริโภคอาหารเช้าแล้วก็
พากันเข้านอน ครั้นตื่นขึ้นพากันไปยังแม่น้ำอจิรวดี โห่ร้อง
ปล้ำกันที่ฝั่งแม่น้ำ. อุบาสก ๕๐๐ เหล่านั้น มีเสียงน้อย มี
เอิกเกริกน้อย ขวนขวายแต่ที่หลีกเร้น. พระศาสดาทรงสดับ

เสียงอื้ออึงของพวกกินเดนเหล่านั้น จึงตรัสถามพระเถระว่า
ดูก่อนอานนท์ นั่นเสียงอะไร กราบทูลว่า เสียงคนกินเดน
พระพุทธเจ้าข้า ตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ คนกินเดนเหล่านี้บริโภค
อาหารเดนแล้วพากันเกรียวกราวมิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้แต่ก่อน
ึคนพวกนี้ก็เกรียวกราวเหมือนกัน แม้อุบาสกเหล่านี้ พากันสงบ

ก็มิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อนก็พากันสงบเหมือนกัน เมื่อ
พระเถระกราบทูลอาราธนา จึงทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.

ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลอำมาตย์ ครั้น
เจริญวัยแล้วก็ได้เป็นผู้ถวายอรรถและธรรมของพระราชา.
ครั้นคราวหนึ่ง พระราชานั้นทรงสดับว่า ทางชายแดนเกิด
จลาจล จึงรับสั่งให้เตรียมม้าสินธพ ๕๐๐ เสด็จพร้อมด้วย

จตุรงคินีเสนา ครั้นปราบชายแดนให้สงบราบคาบแล้ว ก็เสด็จ
กลับกรุงพาราณสี มีพระราชโองการว่า ม้าสินธพลำบากมาก
พวกท่านจงให้น้ำผลจันทน์สดแก่ม้าเหล่านั้น. ม้าเหล่านั้นครั้น
ดื่มน้ำจันทน์หอมแล้วก็กลับโรงม้า พักผ่อนในที่ของตน ๆ. ก็
กากผลจันทน์ที่เหลือจากคั้นให้ม้าเหล่านั้น มีน้ำจันทน์ติดอยู่

เล็กน้อย. พวกมนุษย์จึงทูลถามพระราชาว่า บัดนี้พวกข้าพระองค์
จะทำอย่างไร. พระราชารับสั่งว่า เจ้าจงขยำเข้ากับน้ำ แล้ว
กรองด้วยผ้าเปลือกปอ พวกเธอจงให้แก่ลาที่นำอาหารมาให้
ม้าสินธพ. ลาทั้งหลายครั้นดื่มน้ำกากแล้วก็มึนเมา เที่ยววิ่งร้อง
อยู่แถวพระลานหลวง. พระราชาทรงเผยช่องพระแกล ทอด

พระเนตรไป ณ พระลานหลวง ตรัสเรียกพระโพธิสัตว์ ซึ่งเฝ้า
อยู่ใกล้ ๆ เมื่อจะตรัสถามว่า จงดูเถิด ลาเหล่านี้ดื่มน้ำกาก
เข้าไปมึนเมาแล้ว พากันร้องโดดโลดเต้นไปมา ส่วนม้าสินธพ
ซึ่งเกิดในตระกูลสินธพ แม้ดื่มน้ำจันทน์หอมก็ไม่มีเสียง สงบ
เงียบ ไม่เอะอะ อะไรเป็นเหตุหนอ จึงตรัสคาถาแรกว่า :-

* เมื่อยังเห็นประโยชน์ในการดื่มเหล้าเบียร์อยู่ ใจย่อมจะไม่ยอมออกห่าง
* เมื่อจะเลิกควรมองให้เห็นโทษ ท่องคิดพิจารนาบ่อยๆ จะเกิดความกลัว ความเบื่อหน่าย
คลายกำนัด และกำจัดทิ้งไป
• อ่านหนังสือไปแล้ว ท่านได้อะไรบ้าง?
อ่านแล้วรู้อะไรบ้าง?
อ่านแล้วเข้าใจมากน้อยแค่ไหน?
อ่านแล้วนำไปใช้งานได้มากน้อยเพียงใด?
อ่านแล้วใจผ่องใสขึ้นบ้างหรือไม่?
อ่านแล้วยังไม่เข้าก็คงต้องแล้วอ่านอีก
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 11 ธ.ค. 2018, 08:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ความเมาย่อมเกิดแก่ลาทั้งหลาย เพราะ
ดื่มกินน้ำหางมีรสน้อย เป็นน้ำเลว แต่ความเมา
ย่อมไม่เกิดแก่ม้าสินธพ เพราะดื่มกินน้ำมีรส
อร่อยประณีต.

ในบทเหล่านั้น บทว่า วาโลทกํ ได้แก่ น้ำที่กรองด้วย
เส้นปอ. ปาฐะว่า วาลุทกํ บ้าง. บทว่า นิหีนํ คือ เลวตามสภาพ
ของน้ำมีรสเลว. บทว่า น สญฺชายติ ได้แก่ ความเมาย่อมไม่เกิด
แก่ม้าสินธพทั้งหลาย. พระราชาตรัสถามพระโพธิสัตว์ว่า อะไร
เป็นเหตุหนอ. พระโพธิสัตว์เมื่อจะกราบทูลเหตุแด่พระราชา
จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-

ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมชน สัตว์ผู้มีชาติ
อันเลวทราม ดื่มกินน้ำมีรสน้อย อันรสนั้นถูก
ต้องแล้วย่อมเมา ส่วนสัตว์ผู้มีธุระให้สำเร็จได้
เกิดในตระกูลสูง ดื่มกินรสอันเลิศแล้ว ก็ไม่เมา.

ในบทเหล่านั้น บทว่า เตน ชนินฺท ผุฏฺโฐ ความว่า ข้าแต่
ท่านผู้เป็นจอมชน คือ ข้าแต่กษัตริย์ผู้สูงศักดิ์ ลานั้นมีเลวเป็น
สภาพ เมื่อถูกความมีชาติเลวถูกต้องย่อมเมา. บทว่า โธรยฺหสีลี
ได้แก่มีธุระให้สำเร็จ คือ ชาติม้าสินธพ ถึงพร้อมด้วยมารยาท
มักนำธุระไป. บทว่า อคฺครสํ ความว่า ม้าสินธพแม้ดื่มรสน้ำ
ผลจันทน์ที่กลั่นกรองไว้แต่แรก ก็ไม่เมา.

พระราชาทรงสดับคำของพระโพธิสัตว์แล้ว รับสั่งให้
ไล่ลาออกจากพระลานหลวง ทรงตั้งอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์
ทรงกระทำบุญมีทานเป็นต้น แล้วเสด็จไปตามยถากรรม.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดก. ลา ๕๐๐ ในครั้งนั้น ได้เป็นคนกินเดนในครั้งนี้ ม้าสินธพ
๕๐๐ ได้เป็นอุบาสก พระราชาได้เป็นอานนท์ ส่วนอำมาตย์
บัณฑิต คือ เราตถาคตนี้แล.
จบ อรรถกถาวาโลทกชาดกที่ ๓

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 11 ธ.ค. 2018, 08:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันทรงปรารภ
ภิกษุคบพวกผิดรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
ทูสิโต คิริทตฺเตน ดังนี้. เรื่องราวกล่าวไว้แล้วในมหิลามุขชาดก
ในหนหลัง.

แต่ในเรื่องนี้พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ
นี้คบพวกผิดมิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อนภิกษุนี้ก็คบพวกผิด
เหมือนกัน แล้วทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.

ในอดีตกาล พระราชาพระนามว่าสามะ ครองราชสมบัติ
อยู่ในกรุงพาราณสี. ในครั้งนั้นพระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูล
อำมาตย์ ครั้นเจริญวัยก็ได้เป็นผู้สอนอรรถและธรรมของพระ-
ราชา. ก็พระราชามีม้ามงคลตัวหนึ่งชื่อ ปัณฑวะ. คนเลี้ยงม้า
ของพระองค์ชื่อ คิริทัต. เขามีขาพิการ. ม้าเห็นนายคิริทัตถือ

บังเหียนเดินไปข้างหน้า สำคัญว่าคนนี้สอนเราจึงเรียนตามเขา
กลายเป็นม้าขาพิการไป. นายคิริทัตจึงกราบทูลถึงความพิการ
ของม้าให้พระราชาทรงทราบ. พระราชาจึงทรงส่งแพทย์ไป
ตรวจอาการ. พวกแพทย์ไปตรวจดูก็ไม่เห็นโรคในตัวม้า จึง

กราบทูลพระราชาว่า พวกข้าพระพุทธเจ้าไม่พบโรคของม้า
พระเจ้าข้า. พระราชาจึงทรงส่งพระโพธิสัตว์ไปว่า ท่านจงไปดู
เหตุการณ์ของม้าในร่างกายนี้. พระโพธิสัตว์ไปตรวจดูก็รู้ว่า
ม้านั้นพิการเพราะเกี่ยวกับคนเลี้ยงม้าขาพิการ จึงกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระราชา เมื่อจะแสดงให้เห็นว่าเป็นอย่างนี้ เพราะ
โทษที่เกี่ยวข้องกัน จึงกล่าวคาถาแรกว่า :-

ม้าชื่อปัณฑวะของพระเจ้าสามะถูกคน
เลี้ยงชื่อคิริทัตประทุษร้าย จึงละปกติเดิมของตน
ศึกษาเอาอย่างคนเลี้ยงม้านั่นเอง.

* เมื่อยังเห็นประโยชน์ในการดื่มเหล้าเบียร์อยู่ ใจย่อมจะไม่ยอมออกห่าง
* เมื่อจะเลิกควรมองให้เห็นโทษ ท่องคิดพิจารนาบ่อยๆ จะเกิดความกลัว ความเบื่อหน่าย
คลายกำนัด และกำจัดทิ้งไป
• อ่านหนังสือไปแล้ว ท่านได้อะไรบ้าง?
อ่านแล้วรู้อะไรบ้าง?
อ่านแล้วเข้าใจมากน้อยแค่ไหน?
อ่านแล้วนำไปใช้งานได้มากน้อยเพียงใด?
อ่านแล้วใจผ่องใสขึ้นบ้างหรือไม่?
อ่านแล้วยังไม่เข้าก็คงต้องแล้วอ่านอีก
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 11 ธ.ค. 2018, 08:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ในบทเหล่านั้น บทว่า หโย สามสฺส ได้แก่ ม้ามงคลของ
พระเจ้าสามะ. บทว่า โปราณปกตึ หิตฺวา ได้แก่ละปกติเดิมอัน
เป็นสมบัติของตนเสีย. บทว่า ตสฺเสว อนุวิธิยฺยติ ได้แก่ศึกษา
เอาอย่าง.

ลำดับนั้นพระราชาจึงรับสั่งถาม บัดนี้จะควรทำอย่างไร
แก่ม้านั้น. พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ได้คนเลี้ยงม้าที่ดีแล้วจัก
เป็นเหมือนเดิมพระพุทธเจ้าข้า แล้วกล่าวคาถาที่สองว่า :-

ถ้าบุรุษผู้บริบูรณ์ด้วยอาการอันงดงาม
สมควรแก่ม้านั้น ตกแต่งร่างกายงดงาม จับจูง
ม้านั้นที่บังเหียนพาเวียนไปรอบ ๆ สนามม้า
ไม่ช้าเท่าไรม้าก็จะละความเป็นกระจอกเสีย
ศึกษาเอาอย่างบุรุษนั้นทีเดียว.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ตนุโช ได้แก่ เป็นผู้บังเกิดตาม คือ
สมควรแก่ม้านั้น. บุรุษใดสมควรแก่ม้านั้น บุรุษนั้นชื่อว่าเป็น
ตัวอย่างของม้านั้น. ข้อนี้ท่านอธิบายไว้ว่า ข้าแต่มหาราช หาก
มีบุรุษผู้สมควรแก่ม้าอันถึงพร้อมด้วยมารยาทอันน่ารักนั้น
ชื่อว่าถึงพร้อมด้วยมารยาทอันน่ารัก. บทว่า สิงฺคาราการกปฺปิโต

ความว่า บุรุษนั้นตกแต่งผมและหนวดด้วยอาการอันน่ารัก คือ
งดงาม จะพึงจับม้านั้นที่บังเหียนจูงเดินเวียนไปในบริเวณของม้า
้ม้านี้จักละความพิการนี้เสียทันที จะเอาอย่าง คือสำเหนียกคน
เลี้ยงม้า คือจักตั้งอยู่ในความเป็นปกติโดยสำคัญว่า คนเลี้ยง
ม้าผู้น่ารักถึงพร้อมด้วยมารยาทนี้ให้เราเอาอย่าง.

พระราชารับสั่งให้ทำอย่างนั้น. ม้าก็ตั้งอยู่ในความปกติ.
พระราชาทรงโปรดปรานว่า ท่านผู้นี้รู้อัธยาศัยแม้กระทั่งสัตว์-
เดียรัจฉาน จึงได้พระราชทานยศแก่พระโพธิสัตว์เป็นอันมาก.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดก. คิริทัตในครั้งนั้นได้เป็นเทวทัตในครั้งนี้ ม้าได้เป็นภิกษุ
ผู้คบพวกผิด พระราชาได้เป็นอานนท์ ส่วนอำมาตย์บัณฑิต คือ
เราตถาคตนี้แล.
จบ อรรถกถาคิริทัตตชาดกที่ ๔

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 11 ธ.ค. 2018, 08:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารทรง
ปรารภกุมารพราหมณ์คนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำ
เริ่มต้นว่า ยโถทเก อาวิเล อปฺปสนฺเน ดังนี้.

ได้ยินว่า ในกรุงสาวัตถีมีกุมารพราหมณ์คนหนึ่ง เรียน
จบไตรเพทสอนมนต์พวกกุมารกษัตริย์และกุมารพราหมณ์เป็น
อันมาก. ต่อมาเขาอยู่ครอบครองเรือน ตกอยู่ในอำนาจ ราคะ
โทสะ โมหะ คิดแต่เรื่อง ผ้า เครื่องประดับ ทาส ทาสี นา สวน
โค กระบือ บุตรและภรรยาเป็นต้น จึงมีจิตขุ่นมัว ไม่อาจสอบ

ทานมนต์โดยลำดับได้. มนต์ทั้งหลาย เลอะเลือนไปทั้งข้างหน้า
ข้างหลัง. วันหนึ่งเขาถือของหอมและดอกไม้เป็นต้นหลายอย่าง
ไปพระเชตวันบูชาพระศาสดา ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ส่วนหนึ่ง.
พระศาสดาทรงทำปฏิสันถารกับเขาแล้วตรัสถามว่า ดูก่อน
มาณพ เธอยังสอนมนต์อยู่หรือ มนต์ของเธอยังคล่องอยู่หรือ.

กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ เมื่อก่อนมนต์ของข้าพระองค์ยังคล่อง
ดีอยู่ ตั้งแต่ข้าพระองค์ครองฆราวาส จิตของข้าพระองค์ขุ่นมัว
ด้วยเหตุนั้นมนต์ของข้าพระองค์จึงไม่คล่องแคล่ว. ลำดับนั้น
พระศาสดาตรัสกะเขาว่า ดูก่อนมาณพ มิใช่แต่เวลานี้เท่านั้น
แม้เมื่อก่อนมนต์ของเธอคล่องแคล่วในเวลาจิตของเธอไม่ขุ่นมัว

แต่ในเวลาที่จิตขุ่นมัวด้วยราคะเป็นต้น มนต์ของเธอก็เลอะเลือน
เมื่อเขาทูลอาราธนา จึงทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.

ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล
ครั้นเจริญวัย ได้ไปเรียนมนต์ในเมืองตักกศิลา เป็นอาจารย์
ทิศาปาโมกข์ สอนมนต์กะขัตติยกุมารและพรหมณกุมารเป็น
อันมากในกรุงพาราณสี. พราหมณ์มาณพคนหนึ่งในสำนักของ

พระโพธิสัตว์นั้น ได้ศึกษาไตรเพทจนชำนาญ แม้แต่บทเดียว
ก็ไม่มีสงสัย ได้เป็นอาจารย์สอนมนต์. ต่อมาพราหมณ์มาณพ
อยู่ครองฆราวาส กลับมีจิตขุ่นมัว ไม่สามารถร่ายมนต์ได้ เพราะ
คิดแต่การครองเรือน. ครั้นอาจารย์ถามว่า มาณพ มนต์ของท่าน
ยังคล่องแคล่วอยู่หรือ เมื่อเขาตอบว่า ตั้งแต่ครองฆราวาสจิต

ของข้าพเจ้าขุ่นมัว ไม่สามารถร่ายมนต์ได้ จึงกล่าวว่า เมื่อจิต
ขุ่นมัวแล้ว มนต์ที่เรียนแม้เชี่ยวชาญก็เลือนได้ แต่เมื่อจิตไม่
ขุ่นมัว จะไม่มีเลอะเลือนเลย แล้วกล่าวคาถาสองคาถาว่า :-

* เมื่อยังเห็นประโยชน์ในการดื่มเหล้าเบียร์อยู่ ใจย่อมจะไม่ยอมออกห่าง
* เมื่อจะเลิกควรมองให้เห็นโทษ ท่องคิดพิจารนาบ่อยๆ จะเกิดความกลัว ความเบื่อหน่าย
คลายกำนัด และกำจัดทิ้งไป
• อ่านหนังสือไปแล้ว ท่านได้อะไรบ้าง?
อ่านแล้วรู้อะไรบ้าง?
อ่านแล้วเข้าใจมากน้อยแค่ไหน?
อ่านแล้วนำไปใช้งานได้มากน้อยเพียงใด?
อ่านแล้วใจผ่องใสขึ้นบ้างหรือไม่?
อ่านแล้วยังไม่เข้าก็คงต้องแล้วอ่านอีก
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 11 ธ.ค. 2018, 08:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เมื่อน้ำขุ่นมัว ไม่ใส บุคคลย่อมไม่แลเห็น
หอยกาบ หอยโข่ง กรวด ทราย และฝูงปลา
ฉันใด เมื่อจิตขุ่นมัว บุคคลก็ย่อมไม่เห็นประโยชน์
ตนและประโยชน์ผู้อื่นฉันนั้น.

เมื่อน้ำไม่ขุ่น ใสบริสุทธิ์ บุคคลย่อมเห็น
หอยกาบ หอยโข่ง กรวด ทรายและฝูงปลา
ฉันใด เมื่อจิตไม่ขุ่นมัว บุคคลย่อมเห็นประโยชน์
ตนและประโยชน์ผู้อื่นฉันนั้น.

ในบทเหล่านั้น บทว่า อาวิเล คือขุ่นด้วยเปือกตม. บทว่า
อปฺปสนฺเน คือไม่ใสเพราะขุ่นนั่นเอง. บทว่า สิปฺปิกสมฺพุกํ
ได้แก่ หอยกาบและหอยโข่ง. บทว่า มจฺฉคุมฺพํ ได้แก่ ฝูงปลา.
บทว่า เอวํ อาวิลมฺหิ ความว่า เมื่อจิตขุ่นมัวด้วยราคะเป็นต้น

ก็ฉันนั้นเหมือนกัน. บทว่า อตฺตทตฺถํ ปรตฺถํ ได้แก่ ไม่เห็น
ประโยชน์ตน ไม่เห็นประโยชน์ผู้อื่น. บทว่า โส ปสฺสติ ความว่า
เมื่อจิตไม่ขุ่นมัว บุรุษนั้นย่อมเห็นประโยชน์ตนและประโยชน์
ผู้อื่นฉันนั้นเหมือนกัน.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศ
อริยสัจ ทรงประชุมชาดก. เมื่อจบอริยสัจ พราหมณ์กุมารตั้งอยู่
ในโสดาปัตติผล. มาณพในครั้งนั้นได้เป็นมาณพนี้แล ในครั้งนี้
ส่วนอาจารย์ คือเราตถาคตนี้แล.
จบ อรรถกถาอนภิรติชาดกที่ ๕

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 11 ธ.ค. 2018, 08:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารทรง
ปรารภภิกษุคบพวกผิด ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้น
ว่า วณฺณคนฺธรโสเปโต ดังนี้. เรื่องราวข้าพเจ้ากล่าวไว้แล้ว
ในหนหลัง.

ก็ในเรื่องนี้ พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ขึ้นชื่อว่าการอยู่ร่วมกับอสัตบุรุษ เป็นสิ่งเลวทราม ทำแต่ความ
ฉิบหาย. ในการอยู่ร่วมกันนั้น อย่าว่าแต่อยู่ร่วมกับคนชั่วทำ
ความฉิบหายให้แก่มนุษย์เลย แม้เมื่อก่อนต้นมะม่วงซึ่งไม่มี
จิตใจ มีรสอร่อย เปรียบด้วยรสทิพย์ อาศัยอยู่ร่วมกับต้นสะเดา
ที่ไม่น่าพอใจ ไม่มีรสอร่อย ยังขมได้. แล้วทรงนำเรื่องอดีต
มาตรัสเล่า.

ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
กรุงพาราณสี พราหมณ์สี่คนพี่น้องในแคว้นกาสี บวชเป็นฤๅษี
สร้างบรรณศาลา อาศัยอยู่ตามลำดับกันไปในหิมวันตประเทศ.
พี่ชายใหญ่ของพวกพราหมณ์ถึงแก่กรรมไป เกิดเป็นท้าวสักกะ.
ท้าวเธอทราบเหตุการณ์นั้น ล่วงไปเจ็ดแปดวันเป็นลำดับ ๆ

จะเสด็จไปดูแลดาบสเหล่านั้น วันหนึ่งเสด็จไปนมัสการดาบส
ผู้พี่ประทับนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง ตรัสถามว่า ท่านต้องการอะไร
ดาบสนั้นเป็นโรคผอมเหลือง จึงถวายพระพรว่า อาตมาต้องการ
ไฟ. ท้าวสักกะจึงประทานพร้าโต้ให้. พร้าใส่ด้ามใช้ได้ทั้งมีด

ทั้งขวาน ชื่อว่าพร้าโต้. พระดาบสถวายพระพรว่า ใครจะใช้
พร้านี้หาฟืนมาให้อาตมาได้เล่า. ท้าวสักกะจึงรับสั่งกะดาบส
นั้นว่า หากพระคุณเจ้าต้องการฟืน ก็จงเอามือตบพร้าโต้นี้
แล้วสั่งว่า จงหาฟืนมาก่อไฟให้เรา พร้าโต้นั้นก็จะหาฟืนมา
ก่อไฟให้. ครั้นแล้วท้าวสักกะประทานพร้าโต้แก่ดาบสนั้นแล้ว
จึงเข้าไปหาดาบสรูปที่สอง ตรัสถามว่า ท่านต้องการอะไร.

* เมื่อยังเห็นประโยชน์ในการดื่มเหล้าเบียร์อยู่ ใจย่อมจะไม่ยอมออกห่าง
* เมื่อจะเลิกควรมองให้เห็นโทษ ท่องคิดพิจารนาบ่อยๆ จะเกิดความกลัว ความเบื่อหน่าย
คลายกำนัด และกำจัดทิ้งไป
• อ่านหนังสือไปแล้ว ท่านได้อะไรบ้าง?
อ่านแล้วรู้อะไรบ้าง?
อ่านแล้วเข้าใจมากน้อยแค่ไหน?
อ่านแล้วนำไปใช้งานได้มากน้อยเพียงใด?
อ่านแล้วใจผ่องใสขึ้นบ้างหรือไม่?
อ่านแล้วยังไม่เข้าก็คงต้องแล้วอ่านอีก
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 11 ธ.ค. 2018, 13:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ใกล้บรรณศาลาของดาบสนั้น เป็นทางเดินของช้าง. ดาบสถูก
ช้างรบกวน จึงถวายพระพรว่า อาตมาลำบากเพราะช้าง ขอให้
ไล่มันไปเสียเถิด. ท้าวสักกะจึงทรงมอบกลองใบหนึ่งให้แก่
ดาบสนั้น แล้วรับสั่งว่า เมื่อพระคุณเจ้าตีกลองด้านนี้ ข้าศึก
จะหนีไป ตีด้านนี้ เขาจักมีเมตตาห้อมล้อมท่านด้วยจตุรังคินีเสนา

ครั้นประทานกลองใบนั้นแล้ว จึงเสด็จไปยังสำนักของดาบส
ผู้น้องแล้วตรัสถามว่า พระคุณเจ้าต้องการอะไร. แม้พระดาบส
รูปนั้นก็เป็นโรคผอมเหลือง เพราะฉะนั้น จึงถวายพระพรว่า
ต้องการนมส้ม. ท้าวสักกะจึงประทานหม้อนมส้มใบหนึ่งแก่

ดาบสนั้น แล้วมีรับสั่งว่า ถ้าพระคุณเจ้าต้องการก็จงรินหม้อนี้
จะเกิดเป็นแม่น้ำใหญ่ มีห้วงน้ำใหญ่ไหลไป ทั้งยังสามารถเอา
ราชสมบัติให้ท่านได้ ครั้นรับสั่งแล้วก็เสด็จกลับ.

ตั้งแต่นั้นมา พร้าโต้ก็ก่อไฟให้ดาบสผู้พี่. เมื่อดาบส
รูปที่สองตีกลอง ช้างก็หนี. ดาบสผู้น้องก็ฉันนมส้ม. ในครั้งนั้น
มีสุกรตัวหนึ่ง เที่ยวไปที่บ้านร้างแห่งหนึ่ง ได้พบแก้วมณีที่ทรง
อานุภาพ. มันจึงคาบแก้วมณีนั้น แล้วเหาะไปบนอากาศด้วย
อานุภาพของแก้วมณี ไปถึงเกาะแห่งหนึ่ง ท่ามกลางมหาสมุทร

คิดว่า เวลานี้เราควรอยู่ที่นี่ แล้วลงพักใต้ต้นมะเดื่อต้นหนึ่ง ใน
ที่อันสำราญ. วันหนึ่งมันวางแก้วมณีไว้ข้างหน้าแล้วก็หลับไป
ที่โคนต้นไม้นั้น.

ครั้งนั้นมนุษย์ชาวแคว้นกาสีคนหนึ่ง ถูกมารดาบิดา
ไล่ออกจากเรือนด้วยเห็นว่า เด็กคนนี้ไม่ช่วยเหลือเราเลย จึงไป
ถึงท่าเรือแห่งหนึ่ง สมัครเป็นกรรมกรของชาวเรือโดยสารเรือ
ไป ครั้นเรืออับปางกลางสมุทร จึงนอนบนแผ่นกระดานไปถึง

เกาะแห่งหนึ่ง เที่ยวแสวงหาผลไม้ ครั้นเห็นสุกรนั้นนอนหลับ
จึงค่อย ๆ ย่องเข้าไปลักเอาแก้วมณี แล้วเหาะขึ้นไปบนอากาศ
ด้วยอานุภาพของแก้วมณีนั้น แล้วกลับมานั่งลงบนต้นมะเดื่อ
คิดว่า ชะรอยสุกรนี้จะเที่ยวไปในอากาศด้วยอานุภาพของ

* เมื่อยังเห็นประโยชน์ในการดื่มเหล้าเบียร์อยู่ ใจย่อมจะไม่ยอมออกห่าง
* เมื่อจะเลิกควรมองให้เห็นโทษ ท่องคิดพิจารนาบ่อยๆ จะเกิดความกลัว ความเบื่อหน่าย
คลายกำนัด และกำจัดทิ้งไป
• อ่านหนังสือไปแล้ว ท่านได้อะไรบ้าง?
อ่านแล้วรู้อะไรบ้าง?
อ่านแล้วเข้าใจมากน้อยแค่ไหน?
อ่านแล้วนำไปใช้งานได้มากน้อยเพียงใด?
อ่านแล้วใจผ่องใสขึ้นบ้างหรือไม่?
อ่านแล้วยังไม่เข้าก็คงต้องแล้วอ่านอีก
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 11 ธ.ค. 2018, 13:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
แก้วมณีนี้ แล้วมาพักอยู่ที่นี่ เราควรฆ่าสุกรนี้กินเนื้อเสียก่อน
แล้วจึงไปในภายหลัง. ชายนั้นจึงหักไม้ท่อนหนึ่งเหวี่ยงลงบนหัว
สุกร. สุกรตื่นขึ้นไม่เห็นแก้วมณีจึงกระสับกระส่ายวิ่งพล่าน
ไปมา. ชายที่นั่งบนต้นไม้หัวเราะ สุกรเหลือบเห็นเข้าก็เอาหัว
ชนต้นไม้นั้นตายทันที. ชายผู้นั้นจึงลงจากต้นไม้ก่อไฟย่างเนื้อ

สุกรกิน แล้วเหาะขึ้นไปบนอากาศไปถึงทางสุดของหิมวันต-
ประเทศ ครั้นเห็นอาศรมบทแล้วจึงเหาะลงที่อาศรมของดาบส
ผู้พี่ ได้อาศัยกระทำวัตรปฏิบัติดาบสอยู่สองสามวัน และได้เห็น
อานุภาพของพร้าโต้. ชายผู้นั้นจึงคิดว่า เราควรเอาพร้าเล่มนี้

เสีย จึงอวดอานุภาพแก้วมณีแก่ดาบส แล้วพูดว่า พระคุณเจ้า
จงเอาแก้วมณีนี้ แล้วให้พร้าโต้แก่ข้าพเจ้าเถิด. พระดาบสอยาก
จะเที่ยวไปบนอากาศบ้าง จึงรับเอาแก้วมณีแล้วให้พร้าโต้แก่
เขา. ชายผู้นั้นครั้นได้พร้าโต้ เดินไปได้สักหน่อยจึงตบพร้าโต้

สั่งว่า ดูก่อนพร้าโต้เจ้าจงตัดศีรษะดาบสเสียแล้วเอาแก้วมณี
มาให้เรา. พร้าโต้ก็ไปตัดศีรษะดาบสแล้วนำแก้วมณีมาให้.
เขาซ่อนพร้าโต้ไว้ในที่ที่ปกปิด แล้วเดินไปหาดาบสคนกลาง
พักอยู่สองสามวันก็ได้เห็นอานุภาพของกลอง จึงให้แก้วมณี

แลกกับกลอง แล้วให้พร้าโต้ตัดศีรษะดาบสรูปนั้นเสียเช่นนัย
ก่อน แล้วจึงเข้าไปหาดาบสคนสุดท้าย ก็ได้เห็นอานุภาพของ
หม้อนมส้ม จึงให้แก้วมณีแลกเอาหม้อนมส้ม แล้วให้ตัดศีรษะ
ดาบสนั้นเช่นนัยก่อน ถือเอาแก้วมณี พร้าโต้ กลอง หม้อนมส้ม

เหาะไปบนอากาศ แล้วลงพักไม่ไกลกรุงพาราณสี ฝากหนังสือ
ไปแก่บุรุษคนหนึ่งว่า พระเจ้ากรุงพาราณสีจะสู้รบกับเราหรือ

* เมื่อยังเห็นประโยชน์ในการดื่มเหล้าเบียร์อยู่ ใจย่อมจะไม่ยอมออกห่าง
* เมื่อจะเลิกควรมองให้เห็นโทษ ท่องคิดพิจารนาบ่อยๆ จะเกิดความกลัว ความเบื่อหน่าย
คลายกำนัด และกำจัดทิ้งไป
• อ่านหนังสือไปแล้ว ท่านได้อะไรบ้าง?
อ่านแล้วรู้อะไรบ้าง?
อ่านแล้วเข้าใจมากน้อยแค่ไหน?
อ่านแล้วนำไปใช้งานได้มากน้อยเพียงใด?
อ่านแล้วใจผ่องใสขึ้นบ้างหรือไม่?
อ่านแล้วยังไม่เข้าก็คงต้องแล้วอ่านอีก
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 11 ธ.ค. 2018, 13:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
จะยอมให้ราชสมบัติแก่เรา. พระราชาทรงสดับสาส์นเท่านั้น
ก็เสด็จออกด้วยหมายพระทัยว่าจักจับโจร. ชายผู้นั้นจึงตีกลอง
ด้านหนึ่ง จตุรังคินีเสนาก็เข้ามาห้อมล้อม. เขาทราบอย่าง
แน่วแน่ว่า พระราชาตกอยู่ในเงื้อมมือของตนแล้ว จึงรินหม้อ
นมส้ม. เกิดเป็นแม่น้ำใหญ่ไหลท่วมท้น. มหาชนจมลงในนมส้ม

ไม่สามารถหนีออกไปได้. เขาจึงตบพร้าโต้สั่งว่าเจ้าจงไปตัด
ศีรษะพระราชามา. พร้าโต้ก็ไปตัดพระเศียรพระราชามาวาง
ไว้แทบเท้าของเขา. นักรบแม้คนเดียวก็ไม่อาจเงื้ออาวุธได้.
เขาแวดล้อมด้วยพลนิกายใหญ่ยกเข้าสู่พระนคร ให้จัดทำพิธี
ปราบดาภิเษก เป็นพระราชาพระนามว่า ทธิวาหนะ ครอบครอง
ราชสมบัติโดยธรรม.

วันหนึ่งเมื่อพระราชาทธิวาหนะทรงสนานที่แม่น้ำใหญ่
ภายในมีข่ายกั้นเป็นวงล้อม มะม่วงสุกผลหนึ่งเป็นของเทวดา

ลอยมาติดข่าย. พนักงานทั้งหลายเมื่อยกข่ายขึ้น ก็เห็น
มะม่วงนั้นจึงนำไปถวายพระราชา. มะม่วงนั้นเป็นผลกลม
ประมาณเท่าหม้อใหญ่ มีสีดุจทองคำ. พระราชาตรัสถาม
พรานป่าว่า นี้ผลอะไร ครั้นสดับว่าเป็นผลมะม่วง จึงรับสั่ง

ให้ปลูกในพระราชอุทยานของพระองค์ แล้วให้รดด้วยน้ำนม.
ต้นไม้ได้เจริญเติบโตให้ผลในปีที่สาม. ต้นมะม่วงได้มีสักการะ
เป็นอันมาก. เขารดด้วยน้ำนม เจิมด้วยของหอมห้าชนิด ห้อย
พวงมาลัยตามประทีปด้วยน้ำมันหอม กั้นด้วยผ้าม่าน. เป็น
ผลไม้มีรสหวาน มีสีเหลืองดังทองคำ.

พระเจ้าทธิวาหนะจะทรงส่งผลมะม่วงไปถวายพระราชา
ือื่น ๆ ใช้เงี่ยงกระเบนแทงหน่อทิ้งออกเสียแล้วส่งไป เพราะ
เกรงว่าจะเกิดเป็นต้นขึ้น แล้วทรงส่งไป. เมล็ดมะม่วงที่พระราชา
เหล่านั้นเสวยแล้วให้เพาะก็ไม่งอก. เมื่อพระราชาเหล่านั้น
สอบถามว่า อะไรหนอเป็นเหตุในเรื่องนี้ ก็หาทราบเหตุนั้นไม่.

ครั้นแล้วพระราชาองค์หนึ่งรับสั่งหาคนเฝ้าพระอุทยานมาตรัส
ถามว่า เจ้าสามารถจะทำรสผลมะม่วงของพระเจ้าทธิวาหนะ
ให้เสียกลายเป็นรสขมได้หรือ เมื่อคนเฝ้าสวนกราบทูลว่า ได้
พระเจ้าข้า จึงรับสั่งว่า ถ้าเช่นนั้นก็จงไป แล้วพระราชทาน

* เมื่อยังเห็นประโยชน์ในการดื่มเหล้าเบียร์อยู่ ใจย่อมจะไม่ยอมออกห่าง
* เมื่อจะเลิกควรมองให้เห็นโทษ ท่องคิดพิจารนาบ่อยๆ จะเกิดความกลัว ความเบื่อหน่าย
คลายกำนัด และกำจัดทิ้งไป
• อ่านหนังสือไปแล้ว ท่านได้อะไรบ้าง?
อ่านแล้วรู้อะไรบ้าง?
อ่านแล้วเข้าใจมากน้อยแค่ไหน?
อ่านแล้วนำไปใช้งานได้มากน้อยเพียงใด?
อ่านแล้วใจผ่องใสขึ้นบ้างหรือไม่?
อ่านแล้วยังไม่เข้าก็คงต้องแล้วอ่านอีก
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 11 ธ.ค. 2018, 13:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ทรัพย์พันหนึ่งส่งไป. เขาไปถึงกรุงพาราณสีแล้ว ให้กราบทูล
พระราชาว่า คนเฝ้าสวนคนหนึ่งมาเฝ้า เมื่อพระองค์รับสั่งว่า
ให้มาเฝ้าได้ เขาจึงไปถวายบังคมพระราชา เมื่อรับสั่งถามว่า
เจ้าเป็นคนเฝ้าสวนหรือ เขากราบทูลว่าถูกแล้วพระเจ้าข้า แล้ว
ก็พรรณนาถึงความสามารถของตน. พระราชารับสั่งว่า จงไป

อยู่กับคนเฝ้าสวนของเราเถิด. ตั้งแต่นั้นมาทั้งสองคนก็ช่วยกัน
รักษาพระราชอุทยาน คนเฝ้าสวนคนใหม่มาอยู่ได้ไม่นาน ได้
ทำให้ต้นไม้ออกช่อในเวลามิใช่กาล ให้มีผลในเวลามิใช่ผล
ทำให้พระราชอุทยานน่ารื่นรมย์ยิ่งนัก. พระราชาทรงโปรดปราน
เขา รับสั่งให้ปลดคนเฝ้าสวนคนเก่าออกเสีย ได้พระราชทาน

หน้าที่เฝ้าสวนให้แก่เขาโดยเฉพาะ. เขาตระหนักแน่ว่า พระ-
ราชอุทยานอยู่ในเงื้อมมือของตนแล้ว จึงปลูกต้นสะเดา และ
เถาบรเพ็ดล้อมต้นมะม่วง. ต้นสะเดางอกงามขึ้นโดยลำดับ.
รากต่อรากพันกัน กิ่งต่อกิ่งพาดทับกัน. เพราะความเกี่ยวพัน

กันกับไม้ที่ไม่น่ายินดี และปราศจากรสนั้น มะม่วงซึ่งมีผลหวาน
มาก่อน ก็กลับเป็นรสขมแล้วจึงหนีไป. พระเจ้าทธิวาหนะเสด็จ
ไปพระอุทยานเสวยผลมะม่วง ไม่อาจจะทรงกลืนเยื่อมะม่วง
ซึ่งตกถึงพระโอฐได้ คล้ายน้ำฝากสะเดา ต้องทรงขากถ่มทิ้ง.

ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์ได้เป็นผู้สอนอรรถและธรรมของพระองค์.
พระราชาจึงปรึกษากะพระโพธิสัตว์ว่า ดูก่อนบัณฑิต ต้นไม้นี้
มิได้บกพร่องต่อการดูแลมาก่อนเลย เมื่อเป็นเช่นนั้น ผลของ
มันก็เกิดขมขึ้นมาได้ อะไรหนอเป็นเหตุ เมื่อจะรับสั่งถาม จึง
ตรัสคาถาแรกว่า :-

แต่ก่อนมามะม่วงต้นนี้บริบูรณ์ด้วยสีลี
กลิ่น และรส ได้รับการบำรุงอยู่แต่เดิม เหตุไร
จึงมีผลขมไปได้.
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์เมื่อจะทูลแจ้งเหตุของมะม่วงนั้น
จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-

* เมื่อยังเห็นประโยชน์ในการดื่มเหล้าเบียร์อยู่ ใจย่อมจะไม่ยอมออกห่าง
* เมื่อจะเลิกควรมองให้เห็นโทษ ท่องคิดพิจารนาบ่อยๆ จะเกิดความกลัว ความเบื่อหน่าย
คลายกำนัด และกำจัดทิ้งไป
• อ่านหนังสือไปแล้ว ท่านได้อะไรบ้าง?
อ่านแล้วรู้อะไรบ้าง?
อ่านแล้วเข้าใจมากน้อยแค่ไหน?
อ่านแล้วนำไปใช้งานได้มากน้อยเพียงใด?
อ่านแล้วใจผ่องใสขึ้นบ้างหรือไม่?
อ่านแล้วยังไม่เข้าก็คงต้องแล้วอ่านอีก
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 11 ธ.ค. 2018, 13:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ข้าแต่พระเจ้าทธิวาหนะ มะม่วงของ
พระองค์ มีต้นสะเดาล้อมอยู่ รากต่อรากเกี่ยว
พันกัน กิ่งต่อกิ่งเกี่ยวประสานกัน เหตุที่อยู่ร่วม
กันกับต้นสะเดาที่มีรสขม มะม่วงจึงมีรสขม
ไปด้วย.

บทว่า ปุจิมนฺทปริวาโร แปลว่า ล้อมด้วยต้นสะเดา. บทว่า
สาขา สาขํ นิเวสเร คือกิ่งสะเดาพาดกิ่งมะม่วง. บทว่า
อสาตสนฺนิวาเสน ได้แก่ เพราะพาดกับต้นสะเดาอันมีรสขม.
บทว่า เตน อธิบายว่า เพราะเหตุนั้น มะม่วงนี้จึงมีรสเฝื่อน
มีรสปร่า มีรสขม.

พระราชาทรงสดับคำของพระโพธิสัตว์แล้ว รับสั่งให้
ตัดต้นสะเดาและเถาบรเพ็ดเสีย ให้ถอนรากขึ้นขนดินที่เสียรส
ไปทิ้ง ใส่แต่ดินมีรสดี ให้บำรุงต้นมะม่วงด้วยน้ำนมน้ำตาลกรวด
และน้ำหอม. เพราะปนกับรสดี มันจึงกลายเป็นต้นไม้มีรสหวาน
อย่างเดิม. พระราชาทรงมอบพระอุทยานแก่คนเฝ้าสวนคนเดิม
ทรงดำรงอยู่ตลอดพระชนม์แล้วเสด็จไปตามยถากรรม.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดก. อำมาตย์บัณฑิตในครั้งนั้น คือเราตถาคตในครั้งนี้แล.
จบ อรรถกถาทธิวาหนชาดกที่ ๖

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 11 ธ.ค. 2018, 13:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
ปรารภภิกษุรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
อุจฺเจ วิฏภิมารุยฺห ดังนี้.

มีเรื่องได้ยินว่าวันหนึ่ง เมื่อพระอัครสาวกสองรูป นั่ง
สนทนาปรารภการถามและการแก้ปัญหากัน พระแก่รูปหนึ่ง
ไปหาท่านนั่งเป็นรูปที่สาม กล่าวว่า นี่ท่าน ผมจะถามปัญหา
กะท่าน แม้ท่านก็จงถามข้อสงสัยของตนกะผมบ้าง. พระเถระ
รังเกียจพระแก่นั้น ลุกหลีกไป. พวกบริษัทที่นั่งเพื่อจะฟังธรรม

ของพระเถระ จึงพากันไปเฝ้าพระศาสดา ในเวลาที่การประชุม
ล้มเลิกไป เมื่อพระองค์ตรัสถามว่า ทำไมพวกเธอมาผิดเวลา
จึงกราบทูลเหตุนั้นให้ทรงทราบ. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรและโมคคัลลานะรังเกียจพระแก่นั้น ใช่
พูดจาด้วยแล้วหลีกไป มิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้แต่ก่อนก็พากัน
หลีกไป แล้วทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่า.

ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้ถือกำเนิดเป็นรุกขเทวดา อยู่ใน
ราวป่า. ครั้งนั้นลูกหงส์สองตัวออกจากภูเขาคิชฌกูฏ จับที่
ต้นไม้นั้นแล้วไปหาอาหาร เมื่อบินกลับก็พักอยู่ที่ต้นไม้นั้นเอง

แล้วกลับไปภูเขาคิชฌกูฏ. เมื่อเวลาผ่านไป หงส์สองตัวก็มีความ
คุ้นเคยกับพระโพธิสัตว์. เมื่อบินผ่านไปมาต่างก็ชื่นชมสนทนา
ธรรมกันและกันแล้วก็หลีกไป. อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อหงส์ทั้งสอง
จับอยู่บนยอดไม้สนทนากับพระโพธิสัตว์. สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง

ยืนอยู่ใต้ต้นไม้นั้น เมื่อจะสนทนากับลูกหงส์เหล่านั้นจึงกล่าว
คาถาแรกว่า :-

* เมื่อยังเห็นประโยชน์ในการดื่มเหล้าเบียร์อยู่ ใจย่อมจะไม่ยอมออกห่าง
* เมื่อจะเลิกควรมองให้เห็นโทษ ท่องคิดพิจารนาบ่อยๆ จะเกิดความกลัว ความเบื่อหน่าย
คลายกำนัด และกำจัดทิ้งไป
• อ่านหนังสือไปแล้ว ท่านได้อะไรบ้าง?
อ่านแล้วรู้อะไรบ้าง?
อ่านแล้วเข้าใจมากน้อยแค่ไหน?
อ่านแล้วนำไปใช้งานได้มากน้อยเพียงใด?
อ่านแล้วใจผ่องใสขึ้นบ้างหรือไม่?
อ่านแล้วยังไม่เข้าก็คงต้องแล้วอ่านอีก
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 11 ธ.ค. 2018, 13:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ท่านทั้งสองพากันขึ้นไปบนค่าคบไม้อัน
สูง อยู่ในที่ลับแล้วปรึกษากัน เชิญท่านลงมา
ปรึกษากันในที่ต่ำเถิด พญาเนื้อจักได้ฟังบ้าง.

ในบทเหล่านั้น บทว่า อุจฺเจ วิฏภิมารุยฺห ความว่า พากัน
ขึ้นไปบนค่าคบไม้อันสูงตามปกติ คือ สูงกว่าบนต้นไม้นี้. บทว่า
มนฺตยวฺโห ได้แก่ ปรึกษากัน คือคุยกัน. บทว่า นีเจ โอรุยฺห
ได้แก่ เชิญลงมายืนปรึกษากันในที่ต่ำเถิด. บทว่า มิคราชาปิ
โสสฺสติ ได้แก่ สุนัขจิ้งจอกพูดยกตนเป็น พญาเนื้อ.

ลูกหงส์ทั้งสองรังเกียจ จึงพากันบินไปภูเขาคิชฌกูฏ.
ในเวลาที่หงส์สองตัวกลับไป พระโพธิสัตว์จึงกล่าวคาถาที่ ๒
แก่สุนัขจิ้งจอกว่า :-

ครุฑกับครุฑเขาปรึกษากัน เทวดากับ
เทวดาเขาพูดกันในเรื่องนี้ จะมีประโยชน์อะไร
แก่สุนัขจิ้งจอก ผู้เลวทราม ๔ อย่าง (สรีระ ๑
ชาติ ๑ เสียง ๑ คุณ ๑) เล่า แน่ะสุนัขจิ้งจอกผู้
ชาติชั่ว เจ้าจงเข้าโพลงไปเถิด.

ในบทเหล่านั้น บทว่า สุปณฺโณ แปลว่า สัตว์ผู้มีปีกงาม.
บทว่า สุปณฺเณน ได้แก่ ลูกหงส์ตัวที่สอง. บทว่า เทโว เทเวน
ได้แก่ สมมติลูกหงส์ทั้งสองนั้นเป็นเทวดาปรึกษากัน. บทว่า
จตุมุฏฺฐสฺส อธิบายตามตัวอักษรว่า สุนัขจิ้งจอกผู้เลวทราม คือ
บริสุทธิ์ด้วยเหตุ ๔ อย่าง คือ สรีระ ๑ ชาติ ๑ เสียง ๑ คุณ ๑.
พระโพธิสัตว์เมื่อจะติเตียนความไม่บริสุทธิ์ด้วยคำสรรเสริญ

จึงกล่าวอย่างนี้. ในบทนี้มีอธิบายดังนี้ว่า สุนัขจิ้งจอกชั่วช้า
คือ ลามกด้วยเหตุ ๔ ประการคืออะไร. บทว่า วิลํ ปวิส คือ
พระโพธิสัตว์แสดงอารมณ์อันน่ากลัวนี้ เมื่อจะไล่สุนัขจิ้งจอก
ให้หนีไปจึงกล่าว.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดก. ภิกษุแก่ในครั้งนั้นได้เป็นสุนัขจิ้งจอกในครั้งนี้ ลูกหงส์
สองตัวได้เป็นสารีบุตรและโมคคัลลานะ ส่วนรุกขเทวดา คือเรา
ตถาคตนี้แล.
จบ อรรถกถาจตุมัฏฐชาดกที่ ๗

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 51, 52, 53, 54, 55, 56, 57 ... 151  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร