วันเวลาปัจจุบัน 03 ส.ค. 2025, 12:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 35, 36, 37, 38, 39, 40, 41 ... 151  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2018, 18:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ดูก่อนเต่าเราขอเตือน ท่านจงกัดบ่วงอัน
มีเกลียวแข็งด้วยฟัน เราจักทำอุบายไม่ให้นาย
พรานมาถึงเร็วได้.

เต่าจึงเริ่มแทะเชือกหนัง นกสตปัตตะก็จับคอยอยู่บนต้นไม้
ไม่ไกลจากบ้านที่นายพรานอยู่. นายพรานถือหอกออกแต่เช้าตรู่.
นกรู้ว่านายพรานออกก็โฉบปรบปีก เอาปากจิกนายพรานผู้จะ
ออกทางประตูหน้า. นายพรานคิดว่าเราถูกนกกาฬกัณณีตีเข้า
ให้แล้ว จึงกลับไปนอนเสียหน่อยหนึ่ง แล้วลุกขึ้นถือหอกไปอีก.

นกรู้ว่านายพรานนี้ออกไปทางประตูหน้า บัดนี้คงจะออกไปทาง
ประตูหลัง จึงไปจับที่เรือนด้านหลัง ฝ่ายนายพรานคิดว่า เมื่อ
เราออกทางประตูหน้าก็พบนกกาฬกัณณี บัดนี้เราจะออกทาง
ประตูหลัง จึงออกไปทางประตูหลัง. นกก็โฉบลงเอาปากจิกอีก.
นายพรานคิดว่า เราถูกนกกาฬกัณณีตีอีก. บัดนี้นกนี้คงไม่ให้

เราออก นอนรอจนอรุณขึ้น จึงถือหอกออกไปในเวลาอรุณขึ้น.
นกรีบไปบอกแก่พระโพธิสัตว์ว่า พรานกำลังเดินมา. ในขณะนั้น
เต่ากัดเชือกขาดยังเหลืออีกเกลียวเดียว. แต่ฟันของเต่าชักจะ
เรรวนจวนจะร่วง ปากก็ฟูมไปด้วยเลือด. พระโพธิสัตว์เห็น

บุตรนายพรานถือหอก เดินมาด้วยความเร็วดุจฟ้าแลบ จึงกัด
เกลียวนั้นขาดเข้าป่าไป. นกจับอยู่บนยอดไม้. แต่เต่าคงนอน
อยู่ในที่นั้นเอง เพราะบอบช้ำมาก. พรานเห็นเต่า จึงจับใส่
กระสอบแขวนไว้ที่ตอไม้ต้นหนึ่ง. พระโพธิสัตว์กลับมาดูรู้ว่า

เต่าถูกจับไปจึงคิดว่า เราจักให้ช่วยชีวิตสหาย จึงทำเป็นคล้าย
จะหมดกำลังแสดงตนให้พรานเห็น. พรานคิดว่า เนื้อนี้คงหมด
แรง เราจักฆ่ามันเสียแล้วถือหอกติดตามไป. พระโพธิสัตว์ไป
ได้ไม่ไกลไม่ใกล้นัก ล่อพรานเข้าป่าไป. ครั้นรู้ว่าพรานไปไกล

แล้ว จึงเหยียบรอยเท้าลวงไว้ แล้วไปเสียทางอื่นด้วยความเร็ว
ราวกะลมพัด เอาเขายกกระสอบขึ้นแล้วทิ้งลงบนพื้นดิน ขวิด

* ความพอดีอยู่ที่ความพอใจ ความพอใจอยู่เห็นคุณค่าของสิ่งนั้นๆว่าดี
• ทุกชีวิตล้วนแต่มีกรรมเป็นของๆตน วิตกกังวนใจมากไปทำไม
• ผิดถูกไม่ค่อยแน่ใจ ไม่เป็นไรเมื่อปฏิบัติไปรู้เห็นจะเข้าใจเอง
• เพียรสร้างเพียรสั่งสมมาทั้งชีวิต สุดท้ายตายเอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง
• คิด พูด ทำชั่ว เป็นภัยอย่างยิ่ง
• เมื่อความตระหนี่ยังมีอยู่เต็มดวงจิต ก็ยากที่รู้เห็นเข้าใจตามความเป็นจริง

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2018, 18:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ฉีกขาดนำเต่าออกมาได้. แม้นกสตปัตตะก็ลงจากต้นไม้. พระ-
โพธิสัตว์เมื่อจะให้โอวาทแก่สัตว์ทั้งสอง จึงกล่าวว่า เราได้ชีวิต
ก็เพราะอาศัยพวกท่าน กิจที่ควรทำแก่สหาย พวกท่านก็ได้ทำ
แก่เราแล้ว บัดนี้พรานคงจะมาจับท่านอีก เพราะฉะนั้น สหาย
สตปัตตะท่านจงพาลูกเล็ก ๆ ของท่านไปอยู่ที่อื่นเสียเถิด สหาย
เต่า แม้ท่านก็จงลงน้ำไปเถิด. สัตว์ทั้งสองได้ทำตาม.

พระศาสดาตรัสรู้แล้ว ตรัสคาถาที่ ๒ ว่า :-
เต่าก็ลงน้ำไป กวางก็เข้าป่าไป นกสต-
ปัตตะไปถึงต้นไม้แล้ว ก็พาลูก ๆ ไปอยู่ในที่
ห่างไกล.

แม้พรานมายังที่นั้น ไม่เห็นใคร ๆ หยิบกระสอบที่ขาด
ขึ้นแล้วก็เสียใจ กลับเรือนของตน. สัตว์ทั้งสามสหายก็มิได้ตัด
ความสนิทสนมกันจนตลอดชีวิต แล้วต่างก็ไปกันตามยถากรรม.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดก. นายพรานในครั้งนั้นได้เป็นเทวทัตในครั้งนี้ นกสตปัตตะ
ได้เป็นสารีบุตร เต่าได้เป็นโมคคัลลานะ ส่วนกวาง คือเราตถาคต
นี้แล.
จบ อรรถกถากุรุงคมิคชาดกที่ ๖

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2018, 18:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
ปรารภการเล้าโลมของภรรยาเก่า ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มี
คำเริ่มต้นว่า อยมสฺสกราเชน ดังนี้.

ความย่อมีว่า ภิกษุนั้นพระศาสดาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ
ได้ยินว่า เธอกระสันจริงหรือ กราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า ตรัส
ถามว่าเพราะเหตุไร เธอจึงกระสัน กราบทูลว่า เพราะภรรยา
เก่าพระเจ้าข้า. จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ หญิงนั้นมีความรักใน
เธอมิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อนเธอก็ได้รับทุกข์ใหญ่หลวง
เพราะอาศัยหญิงนั้นเหมือนกัน แล้วทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า

ในอดีตกาลพระราชาพระนามว่า อัสสกะ ครองราชสมบัติ
อยู่ในนครชื่อว่า ปาฏลิแคว้นกาสี. พระองค์มีอัครมเหสีพระนาม
ว่าอุพพรี เป็นที่รักใคร่โปรดปรานของพระองค์ มีรูปโฉมงดงาม
น่าดู มีพระฉวีเหนือมนุษย์ แต่ยังไม่ถึงวรรณะทิพย์. พระนางได้
สิ้นพระชนม์ลง. พระราชาทรงโศกาดูร เสวยทุกข์โทมนัสยิ่งนัก

เพราะการสิ้นพระชนม์ของพระนางนั้น. พระองค์ให้เชิญพระศพ
ของพระนางลงในรางแล้วใส่น้ำมันหล่อไว้ ยกไปตั้งไว้ใต้พระ-
แท่นไสยาสน์ ทรงอดพระกระยาหารบรรทมกันแสงปริเทวนาการ.
พระราชมารดาพระราชบิดา หมู่พระญาติมิตรอำมาตย์ พราหมณ์

คหบดีเป็นต้น พากันทูลปลอบโยนเป็นต้นว่า อย่าทรงเศร้าโศก
ไปเลย มหาราช สังขารทั้งหลาย เป็นของไม่เที่ยง ก็ไม่สามารถ
ให้พระองค์ยินยอมได้. พระองค์ทรงรำพันอยู่เช่นนั้นล่วงไป ๗ วัน.
ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์เป็นดาบสสำเร็จอภิญญาห้าและสมาบัติ
แปด อยู่ในหิมวันตประเทศ เจริญอาโลกกสิณตรวจดูชมพูทวีป

ด้วยทิพยจักษุ เห็นพระราชาปริเทวนาการอยู่อย่างนั้น ดำริว่า
เราควรเป็นที่พึ่งของพระราชาพระองค์นั้น จึงเหาะไปบนอากาศ
ด้วยอิทธานุภาพ แล้วลงไปในพระอุทยานนั่งเหนือแผ่นมงคลสิลา
ราวกะว่า พระปฏิมาทองคำ.

ครั้งนั้นมาณพพราหมณ์ชาวนครพาราณสีคนหนึ่ง ไป
พระอุทยานเห็นพระโพธิสัตว์จึงนั่งลงไหว้. พระโพธิสัตว์กระทำ
ปฏิสันถารกับมาณพนั้นแล้วถามว่า มาณพพระราชาทรงตั้งอยู่
ในธรรมหรือ. มาณพตอบว่า ขอรับพระคุณเจ้า พระราชาทรง

ตั้งอยู่ในธรรม แต่พระมเหสีของพระองค์สิ้นพระชนม์เสียแล้ว
พระองค์เชิญพระศพของพระนางไว้ในรางแล้วทรงบรรทม

* ความพอดีอยู่ที่ความพอใจ ความพอใจอยู่เห็นคุณค่าของสิ่งนั้นๆว่าดี
• ทุกชีวิตล้วนแต่มีกรรมเป็นของๆตน วิตกกังวนใจมากไปทำไม
• ผิดถูกไม่ค่อยแน่ใจ ไม่เป็นไรเมื่อปฏิบัติไปรู้เห็นจะเข้าใจเอง
• เพียรสร้างเพียรสั่งสมมาทั้งชีวิต สุดท้ายตายเอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง
• คิด พูด ทำชั่ว เป็นภัยอย่างยิ่ง
• เมื่อความตระหนี่ยังมีอยู่เต็มดวงจิต ก็ยากที่รู้เห็นเข้าใจตามความเป็นจริง

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2018, 18:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พร่ำเพ้อรำพันวันนี้เป็นวันที่ ๗ พระคุณเจ้าจะไม่ช่วยพระราชา
ให้พ้นจากทุกข์บ้างหรือ เมื่อมีผู้มีศีล เช่นท่านสมควรจะให้
พระราชาเสวยทุกข์เช่นนั้นหรือ. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ดูก่อน
มาณพ เราไม่รู้จักพระราชา หากพระราชาจะเสด็จมาถามเรา
เรานี่แหละจะทูลบอกที่ที่พระมเหสีไปเกิด จะให้พระนางตรัส

สนทนากับพระราชาทีเดียว. มาณพนั้นกล่าวว่า ข้าแต่พระคุณเจ้า
ถ้าเช่นนั้น ขอพระคุณเจ้านั่งรออยู่ที่นี้ จนกว่ากระผมจะทูลเชิญ
พระราชาเสด็จมา มาณพรับปฏิญญาของพระโพธิสัตว์แล้ว ไป
เฝ้าพระราชา กราบทูลความนั้น แล้วทูลพระองค์ควรเสด็จไป

ยังสำนักของท่านผู้มีจักษุทิพย์. พระราชาทรงดีพระทัยที่จะได้
ทรงเห็นพระนางอุพพรี เสด็จขึ้นรถไปอุทยาน ไหว้พระโพธิสัตว์
แล้วนั่ง ณ ส่วนหนึ่งถามว่า ได้ยินว่าท่านรู้ที่เกิดของพระเทวี
จริงหรือ. พระโพธิสัตว์ทูลว่า จริงพระเจ้าข้า. ตรัสถามว่า เกิด
ที่ไหน. ทูลว่า ข้าแต่มหาราช พระนางทรงมัวเมาในรูป อาศัย

ความเมาไม่ทรงทำกรรมดี จึงไปเกิดในกำเนิดหนอนมูลโค. ตรัส
ว่า ข้าพเจ้าไม่เชื่อ. ทูลว่า ถ้าเช่นนั้น อาตมาจะแสดงแก่พระองค์
แล้วให้พูด. ตรัสว่า ดีแล้ว จงให้พระนางพูดเถิด. พระโพธิสัตว์
ได้ทำให้หนอนสองตัวมาด้วยอานุภาพของตน โดยอธิษฐานว่า

ขอให้หนอนสองตัวจงชำแรกก้อนโคมัยออกมาเบื้องพระพักตร์
ของพระราชา. หนอนสองตัวก็ออกมาตามนั้น. พระโพธิสัตว์
เมื่อจะแสดงพระเทวี จึงกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช พระเทวี
อุพพรีนี้จากพระองค์ไปแล้ว เดินตามหลังหนอนโคมัยมา ขอ
พระองค์จงทอดพระเนตรเถิด. พระราชาตรัสว่า พระคุณเจ้า

ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่า สัตว์ที่เกิดในกำเนิดหนอนโคมัยชื่ออุพพรี.
พระโพธิสัตว์ทูลว่า มหาบพิตร อาตมาภาพจะให้หนอนนั้นพูด.
ตรัสว่า ให้พูดเถิดพระคุณเจ้า.

พระโพธิสัตว์เมื่อจะให้หนอนพูดด้วยอานุภาพของตน จึง
เรียกว่า แน่ะนางอุพพรี. นางหนอนพูดเป็นภาษามนุษย์ว่า อะไร
เจ้าคะ. พระโพธิสัตว์ถามว่า ในอัตภาพที่ล่วงแล้วท่านเป็นอะไร.
ตอบว่า ข้าพเจ้าเป็นมเหสีของพระเจ้าอัสสกะ ชื่ออุพพรีเจ้าคะ.
ุถามว่า ก็เดี๋ยวนี้พระราชาอัสสกะยังเป็นที่รักของเจ้าหรือว่า หนอน

โคมัยเป็นที่รักของเจ้า. ตอบว่า ท่านเจ้าขา พระราชาเป็นพระ-
สวามีของข้าพเจ้าในชาติก่อน ครั้งนั้นข้าพเจ้าเที่ยวชื่นชมรูป
เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะกับพระราชานั้นในอุทยานนี้ แต่เดี๋ยวนี้
ตั้งแต่ข้าพเจ้าไปต่างภพกันแล้ว พระราชาอัสสกะจะเป็นอะไรกับ
ข้าพเจ้าเล่า บัดนี้ข้าพเจ้าจะสังหารพระเจ้าอัสสกะ เอาพระโลหิต

* ความพอดีอยู่ที่ความพอใจ ความพอใจอยู่เห็นคุณค่าของสิ่งนั้นๆว่าดี
• ทุกชีวิตล้วนแต่มีกรรมเป็นของๆตน วิตกกังวนใจมากไปทำไม
• ผิดถูกไม่ค่อยแน่ใจ ไม่เป็นไรเมื่อปฏิบัติไปรู้เห็นจะเข้าใจเอง
• เพียรสร้างเพียรสั่งสมมาทั้งชีวิต สุดท้ายตายเอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง
• คิด พูด ทำชั่ว เป็นภัยอย่างยิ่ง
• เมื่อความตระหนี่ยังมีอยู่เต็มดวงจิต ก็ยากที่รู้เห็นเข้าใจตามความเป็นจริง

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2018, 18:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ในพระศอของพระองค์มาล้างเท้าของหนอนโคมัยผัวของข้าพเจ้า
เสีย แล้วได้กล่าวคาถาเหล่านี้ด้วยภาษามนุษย์ในท่ามกลาง
บริษัทว่า :-
ประเทศนี้เราผู้มีความจงรักได้เที่ยวเล่น
อยู่กับพระเจ้าอัสสกะผู้เป็นพระสวามีที่รัก ผู้มี
ความประสงค์ตามความใคร่.

ความสุขและความทุกข์เก่า ถูกความสุข
และความทุกข์ใหม่ปกปิดไว้ เพราะฉะนั้นหนอน
จึงเป็นที่รักของเรายิ่งกว่าพระเจ้าอัสสกะอีก.

ในบทเหล่านั้น บทว่า อยมสฺสกราเชน เทโส วิจริโต มยา
ความว่า อุทยานประเทศอันน่ารื่นรมย์นี้ เราเคยเที่ยวไปกับ
พระเจ้าอัสสกะ. คำว่า อนุ ในบทว่า อนุกามยกาเมน เป็น
เพียงนิบาต. ความว่า เราผู้มีความใคร่ต่อพระเจ้าอัสสกะนั้น
ได้เที่ยวเล่นกับพระเจ้าอัสสกะผู้ใคร่เรา. บทว่า ปิเยน ได้แก่

เป็นที่รักในอัตภาพนั้น. บทว่า นเวน สุขทุกฺเขน โปราณํ อปิถิยฺยติ
ความว่า นางหนอนกล่าวว่า ท่านเจ้าขา สุขเก่าถูกสุขใหม่ปกปิด
ครอบงำ ทุกข์เก่าถูกทุกข์ใหม่ปกปิดครอบงำ นี้เป็นธรรมดา
ของโลก. บทว่า ตสฺมา อสฺสกรญฺญาว กีโฏ ปิยตโร มมํ. ความว่า

เพราะสุขทุกข์เก่าถูกสุขทุกข์ใหม่ปกปิด ฉะนั้น หนอนจึงเป็นที่รัก
ของข้าพเจ้ายิ่งกว่าพระเจ้าอัสสกะร้อยเท่าพันเท่า.

พระเจ้าอัสสกะได้สดับดังนั้นแล้ว ทรงแค้นพระทัย ยัง
ประทับอยู่ ณ ที่นั้น รับสั่งให้ย้ายศพพระเทวีออกไป ทรงสรง
สนานพระเศียร แล้วไหว้พระโพธิสัตว์ เสด็จเข้าพระนคร ทรง
อภิเษกสตรีอื่นเป็นอัครมเหสี ทรงครองราชสมบัติโดยธรรม.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ถวายโอวาทพระราชาให้ทรงหายโศกแล้ว ก็
ได้กลับไปยังป่าหิมพานต์.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศ
สัจธรรม ทรงประชุมชาดก. เมื่อจบสัจธรรม ภิกษุผู้กระสัน
ได้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล พระเทวีอุพพรีในครั้งนั้นได้เป็นภรรยา
เก่า (ของภิกษุนั้น) ในครั้งนี้ พระเจ้าอัสสกะได้เป็นภิกษุกระสัน
มาณพได้เป็นสาริบุตร ส่วนดาบส คือเราตถาคตนี้แล.
จบ อรรถกถาอัสสกชาดกที่ ๗

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2018, 18:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร ทรง
ปรารภพระเทวทัตพยายามปลงพระชนม์พระองค์ ตรัสพระ-
ธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อลเมเตหิ อมฺเพหิ ดังนี้

ความย่อมีว่า ในครั้งนั้นพระศาสดาทรงสดับว่า พระ-
เทวทัตพยายามจะฆ่าพระองค์ จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เทวทัตพยายามจะฆ่าเรามิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อนก็พยายาม
เหมือนกัน แต่ก็ไม่สามารถทำแม้เพียงให้หวาดสะดุ้งได้ แล้ว
ทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.

ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดวานร ในหิมวันต-
ประเทศ มีกำลังดุจช้างสาร สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรง ร่างกาย
ใหญ่ มีความงามพร้อม อาศัยอยู่ที่ราวป่าตรงคุ้งแม่น้ำ. ในกาล

นั้น จระเข้ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในแม่น้ำคงคา. ภรรยาของจระเข้
เห็นร่างกายพระโพธิสัตว์ แล้วเกิดแพ้ท้องอยากกินเนื้อหัวใจ
ของพระโพธิสัตว์ จึงบอกจระเข้สามีว่า ผัวจ๋า น้องอยากกินเนื้อ
หัวใจของพญาลิงนั้น. ผัวบอกว่า น้องจ๋า เราเป็นสัตว์เที่ยวไป

ในน้ำ ลิงเป็นสัตว์เที่ยวไปบนบก เราจะจับลิงนั้นได้อย่างไรเล่า.
เมียบอกว่า พี่จระเข้ต้องหาอุบายจับมาให้ได้ หากจับมาไม่ได้
น้องขอตาย. ผัวปลอบว่า อย่าคิดมากไปเลยน้อง พี่มีอุบายอย่าง
หนึ่ง พี่จะให้น้องกินหัวใจพญาวานรนั้นให้จงได้ จึงเข้าไปหา

พระโพธิสัตว์ในเวลาที่พระโพธิสัตว์ดื่มน้ำในแม่น้ำคงคา แล้ว
นั่งพัก ณ ฝั่งคงคา กล่าวอย่างนี้ว่า ท่านพญาวานร ท่านเดี๋ยว
กินผลกล้วยในถิ่นนี้ เที่ยวไปในที่ที่เคยไปอย่างเดียวเท่านั้นหรือ
ที่ฝั่งคงคาฟากโน้นมีผลไม้อร่อย เป็นต้นว่า มะม่วงและชมพู่ ไม่

รู้จักวาย ท่านไม่ควรไปเคี้ยวกินผลาผล ที่ฝั่งโน้นบ้างหรือ.
พญาวานรตอบว่า ท่านพญากุมภีล์ แม่น้ำคงคามีน้ำมาก ทั้ง
กว้างใหญ่ ข้าพเจ้าจะข้ามไปได้อย่างไรเล่า. จระเข้กล่าวว่า
หากท่านจะไป ข้าพเจ้าจะให้ท่านขึ้นหลังเราไป พญาวานรเชื่อ
จึงยอมตกลง. เมื่อจระเข้กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านจงมาขึ้นหลัง

เรา พญาวานรจึงขึ้นหลังจระเข้. จระเข้พาไปได้หน่อยหนึ่งก็
ดำน้ำจมลง. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า สหายท่านแกล้งทำให้เรา
จมน้ำ นี่เรื่องอะไรกัน. จระเข้ตอบว่า เรามิได้พาท่านไปตาม

* ความพอดีอยู่ที่ความพอใจ ความพอใจอยู่เห็นคุณค่าของสิ่งนั้นๆว่าดี
• ทุกชีวิตล้วนแต่มีกรรมเป็นของๆตน วิตกกังวนใจมากไปทำไม
• ผิดถูกไม่ค่อยแน่ใจ ไม่เป็นไรเมื่อปฏิบัติไปรู้เห็นจะเข้าใจเอง
• เพียรสร้างเพียรสั่งสมมาทั้งชีวิต สุดท้ายตายเอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง
• คิด พูด ทำชั่ว เป็นภัยอย่างยิ่ง
• เมื่อความตระหนี่ยังมีอยู่เต็มดวงจิต ก็ยากที่รู้เห็นเข้าใจตามความเป็นจริง

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2018, 18:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ธรรมดาดอก แต่เมียของเราเกิดแพ้ท้อง อยากกินหัวใจท่าน
เราประสงค์จะให้เมียของเรากินหัวใจท่านต่างหาก. พญาวานร
กล่าวว่า สหายที่ท่านบอกมาก็ดีแล้ว หากหัวใจอยู่ในท้องของเรา
เมื่อเรากระโดดไปตามยอดไม้ หัวใจก็จะพึงแหลกลาญหมด.
จระเข้ถามว่า ก็ท่านเอาหัวใจไปไว้ที่ไหนเล่า. พระโพธิสัตว์ชี้

ให้ดูต้นมะเดื่อต้นหนึ่งไม่ไกลนัก มีผลสุกเป็นพวงแล้วกล่าวว่า
ท่านจงดูหัวใจของข้าพเจ้าแขวนไว้ที่ต้นมะเดื่อนั่น. จระเข้กล่าว
ว่า หากท่านให้หัวใจแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่ฆ่าท่าน. พญา-
วานรกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านจงนำเราไปที่นั่นเถิด เราจะให้

หัวใจที่แขวนอยู่บนต้นมะเดื่อแก่ท่าน. จระเข้จึงพาพญาวานร
ไป ณ ที่นั้น. พระโพธิสัตว์จึงกระโดดจากหลังจระเข้ไปนั่งบน
ต้นมะเดื่อ กล่าวว่า สหายจระเข้หน้าโง่ เจ้าเข้าใจว่า ธรรมดา
หัวใจของสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้อยู่บนยอดไม้หรือ เจ้าเป็นสัตว์โง่

เราจึงลวงเจ้าได้ ผลาผลของเจ้าก็จงเป็นของเจ้าเถิด เจ้าก็ใหญ่
แต่ตัวเท่านั้น แต่หามีปัญญาไม่ เมื่อจะประกาศเนื้อความนี้
ได้กล่าวคาถานี้ว่า :-

เราไม่ต้องการด้วยผลมะม่วง ผลชมพู่
และขนุนทั้งหลาย ที่ท่านเห็นฝั่งสมุทร ผล
มะเดื่อของเราต้นนี้ดีกว่า.
ร่างกายของท่านใหญ่โตก็จริง แต่ปัญญา
ไม่สมกับร่างกายเลย ดูก่อนจระเข้เจ้าถูกเราลวง
เสียแล้ว บัดนี้เจ้าจงไปตามสบายเถิด.

ในบทเหล่านั้น บทว่า อลเมเตหิ ความว่า เราไม่ต้องการ
ผลไม้ที่ท่านเห็นบนเกาะ. บทว่า วรํ มยฺหํ อุทุมฺพโร คือ มะเดื่อ
ต้นนี้ของเราดีกว่า. บทว่า ตทูปิกา ความว่า เจ้ามีปัญญานิดเดียว
ไม่สมกับร่างกายของเจ้าเลย. บทว่า คจฺฉทานิ ยถาสุขํ ความว่า

เจ้าจงไปตามสบายเถิด อธิบายว่า อุบายที่เจ้าจะได้เนื้อหัวใจ
ไม่มีแล้ว.

จระเข้เป็นทุกข์เสียใจ ซบเซาดุจเสียพนันแพ้ไปตั้งพัน
ได้กลับไปที่อยู่ของตนตามเดิม.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดก. จระเข้ในครั้งนั้นได้เป็นเทวทัตในครั้งนี้ นางจระเข้ได้
เป็นนางจิญจมาณวิกา ส่วนพญาวานร คือเราตถาคตนี้แล.
จบ อรรถกถาสุงสุมารชาดกที่ ๘

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2018, 18:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
ปรารภภิกษุหนุ่มผู้เป็นสัทธิวิหาริกของพระธรรมเสนาบดี
สารีบุตร ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ทิฏฺฐา มยา
วเน รุกฺขา ดังนี้.

ได้ยินว่า ภิกษุหนุ่มรูปนั้น เป็นผู้ฉลาดในการรักษา
ร่างกายของตน. ไม่ฉันของเย็นจัด ร้อนจัด เพราะเกรงว่าร่างกาย
จะไม่สบาย ไม่ออกไปข้างนอก เพราะเกรงว่าร่างกายจะกระทบ
หนาวและร้อน ไม่ฉันจังหันที่แฉะและเป็นท้องเล็น. เพราะภิกษุ

หนุ่มนั้นเป็นผู้ฉลาดในการรักษาร่างกาย จึงปรากฏไปในท่าม
กลางสงฆ์. ภิกษุทั้งหลายประชุมสนทนากันว่า อาวุโสทั้งหลาย
ได้ยินว่า ภิกษุหนุ่มรูปนั้นเป็นผู้ฉลาด ในการรักษาร่างกาย
เป็นอย่างดี. พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุ
ทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ภิกษุหนุ่มรูปนี้
มิใช่ฉลาดในการรักษาร่างกายในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อนเธอ
ก็เป็นผู้ฉลาดเหมือนกัน แล้วทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.

ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นรุกขเทวดาอยู่ในราวป่าใหญ่.
ครั้งนั้นมีพรานนกคนหนึ่ง อุ้มไก่ต่อตัวหนึ่ง ถือบ่วงและแร้ว
เที่ยวดักไก่ในป่าอยู่ เริ่มจะดักไก่ตัวหนึ่งซึ่งเป็นไก่ของตนมาก่อน

หนีเข้าป่าไป. ไก่ตัวนั้นเพราะเข้าใจในบ่วงจึงไม่ยอมเข้าติดบ่วง
ถอยหนีไปเรื่อย ๆ . นายพรานจึงเอากิ่งไม้และใบไม้คลุมกำบัง
ตนไว้ เลื่อนคันแร้วและบ่วงตามไปเรื่อย ๆ. ฝ่ายไก่อยากจะ
ให้นายพรานละอายใจ จึงพูดเป็นภาษามนุษย์ กล่าวคาถาแรกว่า:-

* ความพอดีอยู่ที่ความพอใจ ความพอใจอยู่เห็นคุณค่าของสิ่งนั้นๆว่าดี
• ทุกชีวิตล้วนแต่มีกรรมเป็นของๆตน วิตกกังวนใจมากไปทำไม
• ผิดถูกไม่ค่อยแน่ใจ ไม่เป็นไรเมื่อปฏิบัติไปรู้เห็นจะเข้าใจเอง
• เพียรสร้างเพียรสั่งสมมาทั้งชีวิต สุดท้ายตายเอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง
• คิด พูด ทำชั่ว เป็นภัยอย่างยิ่ง
• เมื่อความตระหนี่ยังมีอยู่เต็มดวงจิต ก็ยากที่รู้เห็นเข้าใจตามความเป็นจริง

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2018, 06:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ต้นหูกวาง และสมอพิเภกทั้งหลายในป่า
เราเคยเห็นแล้ว ต้นไม้เหล่านั้นย่อมเดินไปเหมือน
กับท่านไม่ได้.

คาถานั้นมีอธิบายว่า ดูก่อนสหายพราน เราเคยเห็นต้น
หูกวางและสมอพิเภกเป็นอันมากเกิดในป่านี้ ต้นไม้เหล่านั้น
ไม่เคลื่อน ไม่ก้าว ไม่เดินเหมือนท่านก้าวเคลื่อนเดินไปทางโน้น
ทางนี้ได้ฉะนั้น.

ก็และครั้นไก่นั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงได้หนีไปเสียที่อื่น.
ในเวลาที่ไก่หนีไป นายพรานจึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
ไก่ตัวเก่าที่แหกกรงหนีมาได้นี้ เป็นไก่
ฉลาดในบ่วงขนสัตว์ ย่อมหลีกไปและยังขันเย้ย
เสียด้วย.

ในบทเหล่านั้น บทว่า กุสโล วาลปาสานํ ความว่า ไก่
ฉลาดในบ่วงขนสัตว์ ไม่ให้จับตัวได้ย่อมหนีไป และยังขันเย้ย
เสียด้วย ครั้นขันเย้ยแล้วไก่ก็หนีไป.
ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว พรานก็เที่ยวไปในป่าจับไก่ตาม
ที่ดักได้กลับเรือน.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดก. พรานในครั้งนั้นได้เป็นเทวทัตในครั้งนี้. ไก่ได้เป็นภิกษุ
หนุ่มผู้ฉลาดในการรักษาร่างกาย ส่วนรุกขเทวดาผู้เห็นเหตุการณ์
อย่างประจักษ์ คือเราตถาคตนี้แล.
จบ อรรถกถากักกรชาดกที่ ๙

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2018, 06:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร ทรง
ปรารภภิกษุเลียนเอาอย่างพระสุคต ตรัสพระธรรมเทศนานี้
มีคำเริ่มต้นว่า อมฺโภ โกนามยํ ลุทฺโท ดังนี้.
เรื่องย่อมีอยู่ว่า ในครั้งนั้นพระศาสดาทรงสดับว่า พระ-
เทวทัตได้เลียนเอาอย่างพระสุคต จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เทวทัตเลียนอย่างเรา ถึงความพินาศ มิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้
เมื่อก่อนเทวทัตก็ได้ถึงความพินาศมาแล้ว ทรงนำเรื่องอดีต
มาตรัสเล่า.

ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดนกหัวขวาน ใน
หิมวันตประเทศ. เที่ยวหาอาหารในป่าไม้ตะเคียน. นกหัวขวาน
นั้นมีชื่อว่าขทิรวนิยะ. มีนกสหายตัวหนึ่ง ชื่อกันทคลกะ. นก
กันทคลกะเที่ยวหากินอยู่ในป่าไม้ทองหลาง. วันหนึ่งนกกันทคลกะ

ได้ไปหานกขทิรวนิยะ. นกขทิรวนิยะดีใจว่าสหายของเรามาแล้ว
จึงพานกกันทคลกะเข้าไปยังป่าไม้ตะเคียน ใช้จงอยปากเคาะ
ลำต้นตะเคียน ได้ตัวสัตว์ออกจากต้นไม้นั้นมาให้. นกกันทคลกะ
จิกกินสัตว์ที่สหายให้แล้ว ๆ เล่า ๆ ดุจขนมอร่อย. เมื่อนก

กันทคลกะจิกกินอยู่นั้น จึงเกิดมานะขึ้นว่า นกขทิรวนิยะแม้นี้
ก็เกิดในกำเนิดนกหัวขวาน แม้เราก็เกิดในกำเนิดเดียวกัน ทำไม
เราจะต้องอาศัยเหยื่อที่เขาให้เล่า เราจักหาเหยื่อในป่าตะเคียน
เอง.

นกกันทคลกะกล่าวกะนกขทิรวนิยะว่า สหายท่าน อย่า
ลำบากเลย เรานี่แหละจักหากินในป่าตะเคียนเอง. ลำดับนั้น
นกขทิรวนิยะ จึงกล่าวว่า ดูก่อนสหายท่าน ด้วยการหากินใน
ป่าไม้ไม่มีแก่น เช่นไม้งิ้วและไม้ทองหลางเป็นต้น ส่วนไม้ตะเคียน
เป็นไม้แก่นแข็ง จะทำอย่างนั้นรู้สึกไม่พอใจเราเลย. นกกันทคลกะ

กล่าวว่า เรามิได้เกิดในกำเนิดนกหัวขวานดอกหรือ ไม่เชื่อคำ
ของนกขทิรวนิยะ ผลุนผลันไป เอาจงอยเคาะต้นตะเคียน. ทันใด
นั้นเองจงอยปากของนกกันทคลกะหักทันที ตาทะเล้น หัวแตก
ไม่อาจจับอยู่บนยอดไม้นั้นได้ ตกลงพื้นดิน กล่าวคาถาแรกว่า :-

* ความพอดีอยู่ที่ความพอใจ ความพอใจอยู่เห็นคุณค่าของสิ่งนั้นๆว่าดี
• ทุกชีวิตล้วนแต่มีกรรมเป็นของๆตน วิตกกังวนใจมากไปทำไม
• ผิดถูกไม่ค่อยแน่ใจ ไม่เป็นไรเมื่อปฏิบัติไปรู้เห็นจะเข้าใจเอง
• เพียรสร้างเพียรสั่งสมมาทั้งชีวิต สุดท้ายตายเอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง
• คิด พูด ทำชั่ว เป็นภัยอย่างยิ่ง
• เมื่อความตระหนี่ยังมีอยู่เต็มดวงจิต ก็ยากที่รู้เห็นเข้าใจตามความเป็นจริง

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2018, 06:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ดูก่อนผู้เจริญ ต้นไม้ที่มีใบละเอียด มี
หนามนี้เป็นต้นไม้อะไร เราเจาะเพียงครั้งเดียว
ทำให้สมองศีรษะแตกได้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า อมฺโภ โก นามยํ รุกฺโข ความว่า
ดูก่อนนกขทิรวนิยะผู้เจริญ ต้นไม้นี้ชื่อไม้อะไร. บาลีว่า โกนามโส
บ้าง. บทว่า สินฺนปตฺโต คือใบละเอียด. บทว่า ยตฺถ เอกปฺปหาเรน
ได้แก่ ด้วยการเจาะครั้งเดียวที่ต้นไม้. บทว่า อุตฺตมงฺคํ วิสาฏิตํ
ได้แก่ หัวแตก ไม่เพียงหัวเท่านั้น แม้จงอยปากก็หัก. นกกันทคลกะ
ไม่สามารถจะรู้จักต้นตะเคียนว่า เป็นต้นอะไร เพราะเจ็บปวดมาก
ได้รับเวทนาจึงพร่ำเพ้อด้วยคาถานี้.

นกขทิรวนิยะฟังคำเพ้อของนกกันทคลกะ แล้วจึงกล่าว
คาถาที่ ๒ ว่า :-
นกกันทคลกะ เมื่อเจาะหมู่ไม้อยู่ในป่า
ได้เคยเที่ยวเจาะแต่ไม้แห้งที่ไม่มีแก่น ภายหลัง
มาพบเอาต้นตะเคียนซึ่งมีกำเนิดเป็นไม้แก่นอัน
เป็นที่ทำลายสมองศีรษะ.

ในบทเหล่านั้น บทว่า อจาริ วตายํ ได้แก่ นกกันทคลกะ
นี้ได้เที่ยวไป. บทว่า วิตุทํ วนานิ ความว่า เจาะ คือจิกไม้ไม่มีแก่น
เช่นงิ้ว ทองหลาง เป็นต้น. บทว่า กฏฺฐงฺครุกฺเขสุ ได้แก่ ไม้แห้ง.
บทว่า อสารเกสุ ได้แก่ ไม้ไม่มีแก่น มีทองหลางและงิ้วเป็นต้น.
บทว่า อถาสทา ขทิรํ ชาตสารํ ความว่า ภายหลังมาพบต้นตะเคียน
มีแก่นออกมาตั้งแต่ยังเล็ก. บทว่า ยตฺถพฺภิทา ในบทว่า ยตฺถพฺ-
ภิทา ครุโฬ อุตฺตมงฺคํ ได้แก่ เจาะคือจิกที่ต้นไม้ใด.

นกขทิรวนิยะ พูดกะนกกันทคลกะนั้นว่า ดูก่อนกันทคลกะ
ุผู้เจริญ ต้นตะเคียนนี้เป็นไม้แก่นที่ทำลายสมองศีรษะ. นก-
กันทคลกะได้ถึงแก่ความตายในที่นั้นเอง.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดก. กันทคลกะในครั้งนั้น ได้เป็นเทวทัตในครั้งนี้ ส่วนนก-
ขทิรวนิยะ คือเราตถาคตนี้แล.
จบ อรรถกถากันทคลกชาดกที่ ๑๐
รวมชาดกที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. พันธนาคารชาดก ๒. เกฬิสิลชาดก ๓. ขันธปริตต-
ชาดก ๔. วีรกชาดก ๕. คังเคยยชาดก ๖. กุรุงคมิคชาดก
๗. อัสสกชาดก ๘. สุงสุมารชาดก ๙. กักกรชาดก ๑๐. กัน-
ทคลกชาดก.
จบ นตังทัฬหวรรคที่ ๖

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2018, 06:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาโสมทัตตชาดกที่ ๑

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
ปรารภพระโลฬุทายีเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้น
ว่า อกาสิ โยคฺคํ ดังนี้.

เรื่องย่อมีว่า พระโลฬุทายีเถระนั้น ไม่สามารถจะกล่าว
คำแม้สักคำเดียวได้สำเร็จ ในระหว่างชนสองสามคน เป็นผู้
ประหม่าครั่นคร้ามคิดจะพูดคำหนึ่งกลับไปพูดอีกคำหนึ่ง. ภิกษุ
ทั้งหลายนั่งสนทนากันถึงเรื่องราวของพระเถระนั้น. พระศาสดา
เสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุม

สนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบ
แล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โลฬุทายีมิใช่เป็นผู้ประหม่า
ครั่นคร้ามแต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อนก็เป็นผู้ประหม่าครั่น-
คร้ามเหมือนกัน แล้วทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.

ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์อุบัติในตระกูลพราหมณ์ตระกูล
หนึ่ง ในแคว้นกาสี ครั้นเจริญวัยเรียนศิลปะในเมืองตักกสิลา
ครั้นสำเร็จแล้วจึงกลับมาเรือน รู้ว่ามารดาบิดายากจนคิดว่า

เราจักกู้ตระกูลที่ตกต่ำ จึงอำลามารดาบิดาไปรับราชการใน
กรุงพาราณสี. พระโพธิสัตว์เป็นที่รักโปรดปรานของพระราชา.
ครั้งนั้นเมื่อบิดาของพระโพธิสัตว์ซึ่งไถนาเลี้ยงชีพด้วยโคสองตัว
โคตัวหนึ่งได้ตายไป. บิดาจึงไปหาพระโพธิสัตว์กล่าวว่า นี่แน่ะ

ลูก โคตายไปเสียตัวหนึ่งแล้ว เลยทำกสิกรรมไม่ได้ ลูกจงขอ
พระราชทานโคกะพระราชาสักตัวหนึ่งเถิด. พระโพธิสัตว์กล่าว
ว่า พ่อจ๋า ลูกรับราชการยังไม่นานนัก จะทูลขอโคในตอนนี้ยัง
ไม่สมควร พ่อทูลขอเองเถิด. พราหมณ์กล่าวว่า นี่ลูก ลูกไม่รู้

ว่าพ่อเป็นคนประหม่าครั่นคร้ามดอกหรือ ต่อหน้าคนสองสามคน
พ่อไม่อาจจะพูดได้ถูกต้องนัก หากพ่อจะไปเฝ้าทูลขอโค พ่อคง
จะถวายโคตัวนี้เสียก็ได้. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า จะอย่างไรก็ตาม

* ความพอดีอยู่ที่ความพอใจ ความพอใจอยู่เห็นคุณค่าของสิ่งนั้นๆว่าดี
• ทุกชีวิตล้วนแต่มีกรรมเป็นของๆตน วิตกกังวนใจมากไปทำไม
• ผิดถูกไม่ค่อยแน่ใจ ไม่เป็นไรเมื่อปฏิบัติไปรู้เห็นจะเข้าใจเอง
• เพียรสร้างเพียรสั่งสมมาทั้งชีวิต สุดท้ายตายเอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง
• คิด พูด ทำชั่ว เป็นภัยอย่างยิ่ง
• เมื่อความตระหนี่ยังมีอยู่เต็มดวงจิต ก็ยากที่รู้เห็นเข้าใจตามความเป็นจริง

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2018, 11:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เถิดพ่อ ลูกไม่อาจทูลขอโคได้ เอาอย่างนี้เถิดพ่อ ลูกจะซักซ้อม
ให้พ่อเอง. พราหมณ์กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นลูกจงซ้อมพ่อให้ดีก็แล้ว
กัน. พระโพธิสัตว์พาบิดาไปป่าช้าชื่อพีรณัตถัมภกะ มัดฟ่อน
หญ้าไว้เป็นแห่ง ๆ สมมตินามแสดงแก่บิดาตามลำดับว่า นี้พระ-

ราชา นี้อุปราช นี้เสนาบดี แล้วกล่าวว่า พ่อจ๋าพ่อไปเฝ้าพระ-
ราชาแล้ว จงกราบถวายพระพรว่า ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ
เถิด แล้วจึงค่อยกล่าวคาถานี้ทูลขอโค จึงให้บิดาเรียนคาถาว่า :-

ข้าแต่มหาราช ข้าพระพุทธเจ้ามีโค
สำหรับไถนาอยู่สองตัว ในโคสองตัวนั้นตายเสีย
ตัวหนึ่งแล้ว ขอพระองค์โปรดพระราชทานโค
ตัวที่สองเถิดพระเจ้าข้า.

พราหมณ์เรียนคาถานี้ได้คล่องแคล่วเป็นเวลาหนึ่งปีแล้ว
จึงบอกพระโพธิสัตว์ว่า โสมทัต ลูกพ่อ พ่อจำคาถาได้คล่องแล้ว
บัดนี้พ่อสามารถจะกล่าวได้ไม่ว่าในสำนักใด ๆ ลูกจงนำพ่อไป
เฝ้าพระราชาเถิด. พระโพธิสัตว์รับว่า ดีแล้วพ่อ จึงให้จัดหา

เครื่องบรรณาการนำบิดาไปเฝ้าพระราชา. พราหมณ์กราบทูล
ว่า ขอมหาราชเจ้าจงทรงพระเจริญเถิดพระเจ้าข้า แล้วทูลถวาย
เครื่องบรรณาการ. พระราชาตรัสว่า โสมทัต พราหมณ์ผู้นี้

เป็นอะไรกับเจ้า. กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้าเป็นบิดาของ
ข้าพระพุทธเจ้า พระเจ้าข้า. ตรัสถามว่า มาธุระอะไร. ขณะนั้น
พราหมณ์ เมื่อจะกล่าวคาถาทูลขอโค จึงทูลว่า :-

ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้าพระพุทธเจ้ามีโค
สำหรับไถนาอยู่สองตัว ในโคสองตัวนั้นตายเสีย
ตัวหนึ่งแล้ว ขอพระองค์โปรดรับตัวที่สองไป
เถิด พระเจ้าข้า.

พระราชาทรงทราบว่า พราหมณ์พูดผิด ทรงพระสรวล
ตรัสถามว่า โสมทัต ในเรือนเจ้าเห็นจะมีโคหลายตัวซินะ. โสมทัต
กราบทูล ขอเดชะข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์พระราชทานแล้ว
ก็จักมีมากพระเจ้าข้า. พระราชาทรงโปรดปรานพระโพธิสัตว์

พระราชทานโค ๑๖ ตัว กับเครื่องประดับ และบ้านสำหรับ
อยู่เป็นรางวัลด้วย แล้วทรงส่งพราหมณ์ไปด้วยยศยิ่งใหญ่.

* ความพอดีอยู่ที่ความพอใจ ความพอใจอยู่เห็นคุณค่าของสิ่งนั้นๆว่าดี
• ทุกชีวิตล้วนแต่มีกรรมเป็นของๆตน วิตกกังวนใจมากไปทำไม
• ผิดถูกไม่ค่อยแน่ใจ ไม่เป็นไรเมื่อปฏิบัติไปรู้เห็นจะเข้าใจเอง
• เพียรสร้างเพียรสั่งสมมาทั้งชีวิต สุดท้ายตายเอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง
• คิด พูด ทำชั่ว เป็นภัยอย่างยิ่ง
• เมื่อความตระหนี่ยังมีอยู่เต็มดวงจิต ก็ยากที่รู้เห็นเข้าใจตามความเป็นจริง

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2018, 11:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พราหมณ์ขึ้นรถเทียมด้วยม้ามีขาวล้วน ได้ไปบ้านพร้อมด้วย
บริวารใหญ่. พระโพธิสัตว์นั่งไปในรถกับบิดา กล่าวว่า พ่อ
ลูกทำการซ้อมมาทั้งปี แต่พอถึงคราวเอาจริงเอาจังเข้า พ่อ
กลับทูลถวายโคของพ่อแด่พระราชาเสียนี่ แล้วกล่าวคาถา
แรกว่า :-

ท่านเป็นผู้ไม่ประมาทเป็นนิจ ได้ทำความ
เพียรอยู่ในป่าช้าชื่อ พีรณัตถัมภกะถึงหนึ่งปี
ครั้นเข้าประชุมบริษัทกลับกล่าวให้ผิดพลาดไป
ความเพียรย่อมป้องกันผู้ปราศจากปัญญามิได้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า อกาสิ โยคฺคํ ธุวํ อปฺปมตฺโต
สํวจฺฉรํ วีรณตฺถมฺภกสฺมึ ความว่า พ่อจ๋า พ่อไม่ประมาทเป็น
นิจ ได้ทำการซักซ้อมที่ป่าช้าชื่อ พีรณัตถัมภกะถึงหนึ่งปี. บทว่า
พฺยากาสิ อญฺญํ ปริสํ วิคยฺห ความว่า ครั้นพ่อเข้าประชุม

บริษัท ได้ทำเป็นอย่างอื่น คือได้ทำพลาดไป ได้แก่เปลี่ยนแปลง
ไป. บทว่า น นิยฺยโม ตายติ อปฺปปญฺญํ ความว่า ความเพียร
ย่อมไม่ป้องกัน คือไม่รักษาบุคคลผู้มีปัญญาน้อยแม้ทำบ่อย ๆ ได้.
พราหมณ์ฟังคำของพระโพธิสัตว์ แล้วจึงกล่าวคาถา
ที่ ๒ ว่า :-

ดูก่อนพ่อโสมทัต บุคคลผู้ขอย่อมประสบ
อาการสองอย่างคือ ได้ทรัพย์ ๑ ไม่ได้ทรัพย์ ๑
เพราะว่าการขอมีอาการอย่างนี้เป็นธรรมดา.
ในบทเหล่านั้น บทว่า เอวํ ธมฺมา หิ ยาจนา ได้แก่ เพราะ
การขอมีสภาพเป็นอย่างนี้.

พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โลฬุทายีมิใช่
เป็นผู้ประหม่าครั่นคร้ามในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อนก็เป็นผู้
ประหม่าครั่นคร้าม แล้วทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา ทรง
ประชุมชาดก. บิดาของโสมทัตได้เป็นโลฬุทายี ส่วนโสมทัต
คือ เราตถาคตนี้แล.
จบ อรรถกถาโสมทัตตชาดกที่ ๑

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2018, 11:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
ปรารภการเล้าโลมของภรรยาเก่า ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มี
คำเริ่มต้นว่า อญฺโญ อุปริโม วณฺโณ ดังนี้.

ความย่อมีว่า พระศาสดาตรัสถามภิกษุนั้นว่า ดูก่อน
ภิกษุได้ยินว่าเธอกระสันจริงหรือ ภิกษุนั้นกราบทูลว่า จริง
พระเจ้าข้า ตรัสถามว่า ใครทำให้เธอกระสัน กราบทูลว่า
ภรรยาเก่าพระเจ้าข้า. ลำดับนั้นพระศาสดาตรัสกะภิกษุนั้นว่า
ดูก่อนภิกษุ หญิงนี้เป็นผู้ทำความเสื่อมเสียให้เธอ แม้ในครั้งก่อน
ได้ให้เธอบริโภคอาหารเหลือเดนของชายชู้ตน แล้วทรงนำเรื่อง
อดีตมาตรัสเล่า.

ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลคนฟ้อนรำที่ยากจน
เที่ยวขอภิกษาเขาเลี้ยงชีพตระกูลหนึ่ง ครั้นเติบใหญ่ เป็นคน
เข็ญใจ รูปชั่วเที่ยวขอภิกษาเลี้ยงชีพ. ในครั้งนั้น พราหมณีของ
พราหมณ์คนหนึ่งในหมู่บ้านแคว้นกาสี เป็นหญิงทุศีล ลามก
ประพฤตินอกใจผัว.

อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อพราหมณ์ไปทำธุระนอกบ้าน ชายชู้
ของพราหมณีเห็นได้โอกาสจึงเข้าไปเรือนนั้น. นางประพฤติ
นอกใจร่วมกับชายชู้แล้วกล่าวว่า เชิญบริโภคอาหารสักครู่หนึ่ง
จึงค่อยกลับไป จัดแจงหาอาหารคดข้าวร้อน ๆ พร้อมด้วยแกง

และกับ ให้ชายชู้นั้น กล่าวเชิญให้บริโภค นางเองยืนที่ประตู
คอยดูพราหมณ์กลับมา. พระโพธิสัตว์ยืนคอยขอก้อนข้าวอยู่ในที่
ชายชู้ของพราหมณ์บริโภค. ขณะนั้นพราหมณ์เดินตรงมาบ้าน.
พราหมณีเห็นพราหมณ์มา จึงรีบเข้าไปบอกว่า ลุกขึ้นเถิด

พราหมณ์กำลังมา แล้วให้ชายชู้ลงไปในยุ้งข้าวในเวลาที่พราหมณ์
เข้าไปนั่งแล้ว นางจึงเอาแผ่นกระดานไปให้ ให้น้ำล้างมือ
คดข้าวร้อน ๆ ไว้ข้างบนข้าวเย็นที่เหลือจากชายชู้บริโภค
ให้พราหมณ์. พราหมณ์เอื้อมมือลงไปในข้าว เห็นข้าวข้างบน

ร้อน ข้างล่างเย็น จึงคิดว่าข้าวนี้คงเป็นข้าวเหลือเดนจากคนอื่น
กิน. พราหมณ์เมื่อจะถามพราหมณี จึงกล่าวคาถาแรกว่า :-

* ความพอดีอยู่ที่ความพอใจ ความพอใจอยู่เห็นคุณค่าของสิ่งนั้นๆว่าดี
• ทุกชีวิตล้วนแต่มีกรรมเป็นของๆตน วิตกกังวนใจมากไปทำไม
• ผิดถูกไม่ค่อยแน่ใจ ไม่เป็นไรเมื่อปฏิบัติไปรู้เห็นจะเข้าใจเอง
• เพียรสร้างเพียรสั่งสมมาทั้งชีวิต สุดท้ายตายเอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง
• คิด พูด ทำชั่ว เป็นภัยอย่างยิ่ง
• เมื่อความตระหนี่ยังมีอยู่เต็มดวงจิต ก็ยากที่รู้เห็นเข้าใจตามความเป็นจริง

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 35, 36, 37, 38, 39, 40, 41 ... 151  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร