วันเวลาปัจจุบัน 06 พ.ย. 2025, 06:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 132, 133, 134, 135, 136, 137, 138 ... 151  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2019, 13:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาทิตฺตสฺมึ ความว่า ขณะเมื่อ
เรือนถูกไฟไหม้นั้น. บทว่า ภาชนํ ได้แก่ อุปกรณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง
บทว่า โน จ ยํ ตตฺถ ความว่า แต่สิ่งใดในเรือนนั้นไม่ได้ขนออก
ย่อมถูกไฟไหม้ไม่เหลือแม้แต่หญ้า สิ่งเหล่านั้นทั้งหมด ย่อมไม่เป็นคุณ
ประโยชน์แก่เราเลย. บทว่า ชราย มรเณน จ นี้เป็นเพียงหัวข้อเทศนา.

แต่โดยอรรถ โลกคือเบญจขันธ์นั้น ชื่อว่า ถูกไฟ ๑๑ กอง เผาผลาญ
แล้ว. บทว่า นีหเรเถว ความว่า เพราะเหตุนั้นโลกคือเบญจขันธ์ถูก
ไฟ ๑๑ กอง เผาผลาญอยู่เช่นนี้ บุคคลต้องนำออกด้วยการตั้งใจให้
บริขารทาน ต่างโดยทานวัตถุ ๑๐ อย่างเท่านั้น. ทานที่ให้แล้วจะน้อย
หรือมากก็ตามนั้น ชื่อว่า เป็นการนำออกดีแล้ว.

พระสังฆเถระ ครั้นอนุโมทนาอย่างนี้แล้ว ได้ให้โอวาทแด่
พระราชาว่า มหาบพิตร พระองค์อย่าทรงประมาท แล้วเหาะขึ้นอากาศ
ทำช่อฟ้าปราสาทให้แยกเป็นสองช่องไปลง ณ เงื้อมภูเขานันทมูลกะ. แม้
บริขารที่พระราชาถวายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็ลอยตามไปกับพระ-
ปัจเจกพุทธเจ้าลงที่เงื้อมภูเขานั้นเหมือนกัน. พระสกลกายของพระราชา

และพระเทวี เต็มตื้นไปด้วยปิติ. เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้เป็นใหญ่ใน
หมู่ไปอย่างนี้แล้ว พระปัจเจกพุทธเจ้าที่ยังคงเหลืออยู่ ๖ องค์ ได้
อนุโมทนาด้วยคาถา องค์ละคาถาว่า:-

คนใดให้ทานแก่ท่านผู้มีธรรมอันได้แล้ว
ผู้บรรลุธรรมด้วยความเพียรและความหมั่น คน
นั้นล่วงเลยเวตรณีนรก ของพระยายมไปได้
แล้วจะเข้าถึงทิพยสถาน.
ท่านผู้รู้กล่าวทานกับการรบว่า มีสภาพ
เสมอกัน นักรบแม้จะมีน้อย ก็ชนะคนมาก
ได้ เจตนาเครื่องบริจาคก็เหมือนกัน แม้
จะน้อยย่อมชนะหมู่กิเลสแม้มากได้ ถ้าบุคคล
เชื่อกรรมและผลแห่งกรรม ย่อมให้ทานแม้
น้อย เขาก็เป็นสุขในโลกหน้า เพราะการ
บริจาคมีประมาณน้อยนั้น.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2019, 13:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
การเลือกทักขิณาทานและพระทักขิไณย-
บุคคล แล้วจึงให้ทาน พระสุคตเจ้าทรง
สรรเสริญ ทานที่บุคคลถวายในพระทักขิไณย-
บุคคลมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ซึ่งมีอยู่ในสัตว-
โลกนี้ ย่อมมีผลมาก เหมือนพืชที่หว่านลงใน
นาดีฉะนั้น.

บุคคลใดไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย
เที่ยวไปอยู่ ไม่ทำบาปเพราะกลัวคนอื่นจะ
ติเตียน บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญบุคคล
ผู้กลัวบาปนั้น ย่อมไม่สรรเสริญบุคคลผู้กล้า
ในการทำบาป เพราะว่าสัตบุรุษทั้งหลาย ย่อม
ไม่ทำบาป เพราะความกลัวถูกติเตียน.

บุคคลย่อมเกิดในตระกูลกษัตริย์ เพราะ
พรหมจรรย์อย่างต่ำ เกิดในเทวโลก เพราะ
พรหมจรรย์อย่างกลาง และบริสุทธิ์ได้ เพราะ
พรหมจรรย์อย่างสูง.

ทาน ท่านผู้รู้สรรเสริญโดยส่วนมากก็
จริง แต่ว่าบทแห่งธรรมแลประเสริฐกว่าทาน
เพราะว่าสัตบุรุษทั้งหลายในครั้งก่อน หรือว่า
ก่อนกว่านั้นอีก ท่านมีปัญญา เจริญสมถ
วิปัสสนาแล้ว ได้บรรลุพระนิพพานทีเดียว.
ครั้นกล่าวอนุโมทนาอย่างนี้แล้ว ก็ได้เหาะไปเหมือนอย่างนั้น
แหละ พร้อมกับบริขารทั้งหลาย.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2019, 13:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺมลทฺธสฺส ความว่า บุคคล
มีพระขีณาสพเป็นต้น จนถึงพระโยคาวจรผู้สุกขวิปัสสก ชื่อว่า
ธัมมลัทธะ เพราะความเป็นผู้มีธรรมอันได้บรรลุแล้ว. บุคคลประเภท
นั้นแหละ ชื่อว่า อุฏฺ€านวิริยาธิคต เพราะธรรมวิเศษนั้น ท่านได้
บรรลุแล้วด้วยความเพียร คือความหมั่น. อธิบายว่า ชนผู้ต้องเกิดตาย

เป็นธรรมดา ให้ทานวัตถุที่ควรให้ แก่บุคคลผู้บรรลุธรรมวิเศษแล้วนั้น.
อีกนัยหนึ่ง มีอธิบายว่า ชนผู้ต้องเกิดต้องตายเป็นธรรมดา ถือเอาส่วน
อันเลิศของไทยธรรมที่ตนได้แล้วโดยธรรม คือได้มาด้วยความเพียร
กล่าวคือความขยันขันแข็ง แล้วให้ทานในท่านผู้มีศีลทั้งหลาย. อีก

อย่างหนึ่งความในคาถานี้ บัณฑิตพึงทราบโดยทำทุติยาวิภัติให้เป็นฉัฏฐี
วิภัติ. บทว่า เวตรณี นี้เป็นหัวข้อแห่งเทศนา. อธิบายว่า พระขีณาสพ
ตลอดถึงพระสุกขวิปัสสก ย่อมจะล่วงเลย เวตรณีนรก คือมหานรก ๘
อุสสทนรก ๑๖ ของพญายมไปได้. บทว่า ทิพฺพานิ €านานิ อุเปติ

ความว่า ย่อมไปบังเกิดในเทวโลก. บทว่า สมานมาหุ ความว่า
ท่านผู้รู้กล่าวว่าเหมือนกัน. อธิบายว่า คนกลัวความสิ้นเปลือง ย่อม
ไม่มีการให้ คนขลาดต่อภัย ย่อมไม่มีการยุทธนา คือนักรบสละความ
อาลัยในชีวิตได้ ก็อาจเข้ารบกันได้ ทายกสละความอาลัยในโภคะเสียได้

ก็อาจบริจาคได้ด้วยเหตุนั้นแหละ ท่านผู้รู้จึงกล่าวการให้และการรบทั้ง
สองอย่างนั้น ว่ามีสภาพเสมอกัน. บทว่า อปฺปาปิ สนฺตา ความว่า
นักรบถึงมีพวกน้อยแต่พร้อมใจกันสละชีวิตก็อาจรบคนพวกมาก เอา
ชัยชนะได้ฉันใด เจตนาคิดบริจาคถึงจะมีน้อย ก็ย่อมชนะหมู่กิเลส

พวกมาก มีมัจฉริยจิต และโลภะเป็นต้นได้ฉันนั้น บทว่า อปฺปมฺปิ เจ
ความว่า ถ้าทายกใดเชื่อกรรม เชื่อผลแห่งกรรม บริจาคไทยธรรมแม้


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2019, 13:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เล็กน้อยไซร้. บทว่า เตเนว โส ความว่า ดูก่อนมหาบพิตรทายกนั้น
ย่อมเป็นสุขในโลกหน้า ด้วยผลแห่งไทยธรรมเล็กน้อยนั้นทีเดียว.
บทว่า วิเจยฺย ทานํ ได้แก่ทานที่บุคคลเลือกทักขิณาทาน และ
ทักขิไณยบุคคลก่อนแล้วจึงถวาย. ในทักขิณาทาน และทักขิไณยบุคคล
สองอย่างนั้น เมื่อบุคคลไม่ให้ของตามมีตามเกิดเลือกให้แต่ไทยธรรม

ที่เลิศที่ประณีต ชื่อว่า ย่อมเลือกให้แม้ซึ่งทักขิณาทาน. เมื่อไม่ให้แก่
บุคคลทั่วไป เลือกให้แต่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยคุณธรรมมีศีลเป็นต้น ชื่อว่า
ย่อมเลือกเป็นพระทักขิไณยบุคคล บทว่า สุคตปฺปสฏฺ€ํ ความว่า
ทานเห็นปานนี้ แม้พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็ทรงสรรเสริญ.

ใน ๒ อย่างนั้น เพื่อจะแสดงถึงการเลือกเฟ้นพระทักขิไณย-
บุคคล ท่านจึงกล่าวคำมีอาทิว่า เย ทกฺขิเณยฺยา ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทกฺขิเณยฺยา ได้แก่พระอริยบุคคล
ทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ผู้สมควรแก่ทักษิณา. บทว่า ปาณภูตานิ
ได้แก่ภูต กล่าวคือสัตว์ที่มีชีวิตทั้งหลาย. บทว่า อเห€ยนฺโต มีความ
กรุณาไม่เบียดเบียนสัตว์ให้เดือดร้อน ท่องเที่ยวไป. บทว่า ปรูปวาทา
ความว่า ไม่ทำบาปเพราะกลัวคนอื่นติเตียน. บทว่า ภีรุํ ได้แก่ผู้กลัว

การถูกติเตียน. บทว่า น หิ ตตฺถ สูรํ ความว่า ส่วนบุคคลใด
ไม่กลัวการติเตียนนั้น จึงกล้าทำบาปโดยอโยนิโสมนสิการ บัณฑิต
ทั้งหลายย่อมไม่สรรเสริญบุคคลนั้นเลย. บทว่า ภยา หิ ความว่า
เพราะว่าสัตบุรุษทั้งหลาย ย่อมไม่ทำบาปเพราะกลัวเขาติเตียน. บทว่า
หีเนน พฺรหฺมจริเยน ความว่า จะกล่าวในลัทธิภายนอกพระศาสนา

ก่อน ผลเพียงเมถุนวิรัติและศีล ชื่อว่า พรหมจรรย์อย่างต่ำ บุคคล
เกิดในขัตติยตระกูลด้วยอำนาจพรหมจรรย์อย่างต่ำนั้น. ผลเพียงอุปจาร-


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2019, 13:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ฌาน ชื่อว่า พรหมจรรย์อย่างกลาง บุคคลเกิดในเทวโลก ด้วย
พรหมจรรย์อย่างกลางนั้น. สมาบัติแปดเป็นพรหมจรรย์อย่างสูง บุคคล
ย่อมชื่อว่า บริสุทธิ์เข้าถึงพรหมโลกได้ด้วยพรหมจรรย์อย่างสูงนั้น.
ส่วนในทางพระพุทธศาสนา การประพฤติพรหมจรรย์โดยมุ่ง เทวนิกาย
ของผู้มีศีลนั่นแล ชื่อว่า พรหมจรรย์อย่างต่ำ การยังสมาบัติให้บังเกิด
ขึ้น ของผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์นั่นแล ชื่อว่า พรหมจรรย์อย่างกลาง. การที่
ภิกษุดำรงอยู่ในปาริสุทธิศีล เจริญวิปัสสนาแล้วบรรลุพระอรหัต ชื่อว่า
พรหมจรรย์อย่างสูง.
คาถาสุดท้าย มีอรรถาธิบายดังนี้ ดูก่อนมหาบพิตร ได้มีผู้
สรรเสริญคือยกย่องทานโดยส่วนมากก็จริง แต่ถึงกระนั้น ธรรมบท
ซึ่งเป็นส่วนแห่งธรรม กล่าวคือ สมถวิปัสสนาก็ดี กล่าวคือ พระนิพพาน
ก็ดี ประเสริฐกว่าทาน.

เพราะเหตุไร ?
เพราะว่า สัตบุรุษทั้งหลายในกาลก่อน คือในภัทรกัปนี้ มีพระ
กัสสปทศพลเป็นต้น หรือในกาลก่อนกว่านั้นอีก มีพระเวสสภูทศพล
เป็นต้น ท่านมีปัญญา เจริญสมถวิปัสสนาได้บรรลุถึงพระนิพพานที
เดียว.

พระปัจเจกพุทธเจ้า ๗ พระองค์ พรรณนาอมตมหานิพพาน
แด่พระราชา ด้วยอนุโมทนาคาถาอย่างนี้แล้ว กล่าวสอนพระราชา
ด้วยอัปปมาทธรรม แล้วไปที่อยู่ของตนๆ ตามนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
แม้พระราชา พร้อมด้วยพระอัครมเหสี ก็ได้ถวายทานจนตลอด
พระชนมายุ ครั้นเคลื่อนจากอัตภาพนั้นแล้ว ก็ได้เสด็จไปสู่สวรรค์.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ตรัสว่า
แม้ในกาลก่อน บัณฑิตก็ได้เลือกถวายทานด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้แล้ว
ทรงประชุมชาดกว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายในครั้งนั้น ปรินิพพาน
แล้ว พระสุททวิชยาเทวี ได้เป็นมารดาพระราหุล พระเจ้าเภรุวราช
คือเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาอาทิตตชาดกที่ ๘

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2019, 13:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาอัฏฐานชาดกที่ ๙

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ภิกษุผู้กระสันรูปหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า คงฺคา กุมุทินี
ดังนี้.

พระศาสดา ตรัสถามภิกษุนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่า เธอ
กระสันจริงหรือ ? เมื่อภิกษุนั้นกราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า จึงตรัสถามว่า
เธอกระสันเพราะเหตุไร ? เมื่อภิกษุนั้นกราบทูลว่า เพราะอำนาจกิเลส
จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ขึ้นชื่อว่ามาตุคามมักอกตัญญู ประทุษร้ายมิตร
ไม่น่าไว้วางใจ บัณฑิตทั้งหลายในครั้งก่อน แม้ให้ทรัพย์วันละพัน ก็

ไม่สามารถจะให้มาตุคามยินดีได้ นางนั้นพอไม่ได้ทรัพย์พันหนึ่งเพียง
วันเดียวเท่านั้น ก็ได้ให้คนลากคอบัณฑิตเหล่านั้นไปเสีย มาตุคามไม่รู้
คุณคนอย่างนี้ เธออย่าตกอยู่ในอำนาจกิเลส เพราะเหตุมาตุคามนั้น
ดังนี้แล้วได้ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้:-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร-
พาราณสี พระโอรสของพระองค์ มีพระนามว่า พรหมทัตกุมาร และ
บุตรของเศรษฐีพระนครพาราณสี มีชื่อว่า มหาธนกุมาร กุมาร
ทั้งสองเป็นสหายกันมาแต่เล็กๆ เรียนศิลปะในตระกูลอาจารย์เดียวกัน.
พรหมทัตกุมารได้ครองราชสมบัติ เมื่อพระราชบิดาสวรรคต. บุตร

เศรษฐีได้อยู่ในราชสำนักนั้นแหละ. ก็ในพระนครพาราณสี มีนาง
วรรณทาสีคนหนึ่งเป็นหญิงนครโสเภณี มีรูปร่างงามเลิศ. บุตรเศรษฐี
ได้ให้ทรัพย์วันละพัน อภิรมย์อยู่กับนางนั้นตลอดกาล แม้ได้ตำแหน่ง
เศรษฐี เมื่อบิดาตายแล้ว ก็ไม่ทิ้งนางนั้น คงยังให้ทรัพย์วันละพัน
อภิรมย์อยู่เช่นนั้นเอง.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2019, 13:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เศรษฐีบุตร ต้องเข้าเฝ้าพระราชาวันละ ๓ ครั้ง. ครั้นอยู่มา
วัน ๑ เมื่อเศรษฐีบุตรเข้าเฝ้าพระราชาเวลาเย็น ปราศรัยอยู่กับพระ-
ราชาจนพลบค่ำ จึงออกจากราชสำนักคิดว่า บัดนี้ถ้าเราจะไปบ้านก่อน
แล้วมาหาหญิงนครโสเภณี เวลาไม่พอ เราจักไปบ้านหญิงนครโสเภณี
เลยทีเดียว แล้วส่งคนใช้ไปเรือนตัวคนเดียวเท่านั้น ไปบ้านหญิงนคร

โสเภณี. ลำดับนั้น หญิงนครโสเภณีเห็นเศรษฐีบุตรแล้วกล่าวว่า แน่ะ
ลูกเจ้า ท่านนำทรัพย์พันหนึ่งมาหรือเปล่า ? เศรษฐีบุตรกล่าวว่า น้องรัก
วันนี้เราล่วงเลยผิดเวลาไป เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้ไปบ้าน ส่งแต่คนใช้
ไป เราเข้ามานี่แต่คนเดียว แต่วันพรุ่งนี้เราจักให้ทรัพย์แก่เจ้าสองพัน.
นางคิดว่า ถ้าวันนี้เราให้โอกาส แม้วันอื่นๆ ก็จักมามือเปล่าอีก เมื่อ

เป็นเช่นนี้เราก็จักเสื่อมจากทรัพย์ เราจักไม่ให้โอกาสแก่เขา. คิดดังนี้
แล้ว จึงกล่าวกะบุตรเศรษฐีว่า นาย พวกเราชื่อว่าเป็นวรรณทาสีซึ่งจะ
ให้เย้าหยอกเล่นเปล่าๆ นั้นไม่มี ท่านจงนำทรัพย์พันหนึ่งมา. เศรษฐี

บุตรได้ขอร้องอยู่แล้วๆ เล่าๆ ว่า น้องรัก พรุ่งนี้เราจักนำมาให้ ๒ เท่า.
หญิงนครโสเภณีบังคับพวกทาสีว่า พวกเจ้าอย่าให้เศรษฐีนี้มายืนแลดู
อยู่ที่นี่ จงลากคอมันออกไปแล้วปิดประตูเสีย. พวกนางทาสีได้กระทำ
เช่นนั้น.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2019, 18:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เศรษฐีนั้นคิดว่า เราได้ให้ทรัพย์แก่หญิงนี้ถึง ๘๐ โกฏิ แต่
พอนางเห็นเรามือเปล่าเข้าวันเดียว ก็ให้ลากคอเราออกไปเสีย โอ! ขึ้น
ชื่อว่ามาตุคามเป็นผู้ลามก หมดละอาย อกตัญญู ประทุษร้ายมิตร
คิดดังนี้ ก็มองเห็นโทษของมาตุคามได้ จึงคลายความรักกลับได้ปฏิกูล

สัญญา เบื่อหน่ายแม้ฆราวาส คิดว่าการครองเรือน จะเป็นประโยชน์
อะไรแก่เรา เราจักออกบวชในวันนี้แหละ ไม่ไปเรือน และไม่เฝ้า
พระราชาอีกเลย ออกจากพระนครเข้าป่า บวชเป็นฤๅษีสร้างอาศรมอยู่
ที่ฝั่งแม่น้ำคงคา ทำฌานและอภิญญาให้เกิดขึ้นมีเผือกมัน ผลไม้ป่าเป็น
อาหารอยู่ ณ ที่นั้น.

เมื่อพระเจ้าพรหมทัตไม่เห็นมหาธนเศรษฐีเข้าเฝ้า จึงตรัสถาม
ว่า สหายของเราไปไหน ? แม้ข่าวการกระทำของหญิงนครโสเภณีก็ได้
แพร่สะพัดไปทั่วพระนคร. ลำดับนั้น พวกราชบุรุษ ได้กราบทูล
ความนั้น แต่พระราชาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพพระสหายของ

พระองค์ มีความละอายไม่กลับบ้าน เข้าป่าบวชแล้ว. พระราชารับสั่งให้
เรียกหญิงนครโสเภณีมาตรัสถามว่า ได้ยินว่า เจ้าไม่ได้ทรัพย์พันหนึ่ง
วันเดียวเท่านั้น ก็ให้พวกทาสีลากคอสหายของเราออกไป จริงหรือ ?
นางรับว่า จริงเพคะ พระราชาตรัสว่า แน่ะหญิงลามกเลวทราม เจ้า

จงไปยังที่ที่สหายของเราไป แล้วนำเขามา ถ้าเจ้านำมาไม่ได้ เจ้าต้อง
ตาย. นางได้ฟังพระราชดำรัส ดังนั้น มีความกลัว จึงขึ้นรถออกจาก
พระนครไปพร้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก เที่ยวเสาะแสวงหาที่อยู่ของ
ฤๅษีนั้นพอได้ฟังข่าวว่าอยู่ที่นั่น ก็ได้ไป ณ ที่นั้น นมัสการแล้ววิงวอน

ว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ขอท่านได้อดโทษที่ดิฉันกระทำด้วยความเป็น
คนอันธพาล ดิฉันจักไม่กระทำอย่างนี้อีก เมื่อพระฤๅษีกล่าวว่า ดีแล้ว


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2019, 18:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เราอดโทษให้ เราไม่มีความอาฆาตในเธอ นางจึงกล่าวว่า ถ้าท่านอดโทษ
ให้ดิฉัน ก็ขอจงขึ้นรถไปสู่พระนครกับดิฉัน เมื่อถึงพระนครแล้ว ดิฉัน
จักถวายทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในเรือนของดิฉัน. พระฤๅษีได้ฟังคำของ
นางแล้วกล่าวว่า น้องหญิง บัดนี้เราไม่อาจจะไปกับเจ้า ก็คราวใด ของ
สิ่งใดในโลกนี้ไม่พึงมีพึงเป็น ของสิ่งนั้นจักมีจักเป็นได้ ของสิ่งนั้นจัก
มีจักเป็นได้ คราวนั้นแหละ เราจะพึงไปกับเจ้า ดังนี้แล้วกล่าวคาถา
ที่ ๑ ความว่า:-

เมื่อใด แม่น้ำคงคาดารดาษด้วยดอกบัว
ก็ดี นกดุเหว่าสีขาวเหมือนสังข์ก็ดี ต้นหว้า
พึงให้ผลเป็นผลตาลก็ดี เมื่อนั้น เราทั้งสอง
พึงอยู่ร่วมกันได้แน่.

คาถานั้น มีอรรถาธิบายดังนี้ ดูก่อนนางผู้เจริญเมื่อใด แม่น้ำ
มหาคงคา แม้ทั้งหมด มีกอโกมุทละความเป็นมหานทีมีกระแสไหลเชี่ยว
เวียนวนไม่ไหวติง เหมือนสระโกมุท ดารดาษไปด้วยดอกโกมุทตั้งอยู่
ก็ดี นกดุเหว่าทั้งหมดมีสีขาวเหมือนสังข์ก็ดี อนึ่ง ต้นหว้าทั้งหมด ให้
ผลเป็นผลตาลก็ดี

บทว่า อถ นูน ตทา สิยา มีอธิบายว่า เมื่อนั้น คือในเวลา
นั้น แม้เราทั้ง ๒ จะพึงอยู่ร่วมกันได้แน่.
ก็แล ครั้นพระฤๅษีกล่าวอย่างนี้แล้ว เมื่อนางกล่าวอีกว่า เชิญ
พระผู้เป็นเจ้ามาไปด้วยกันเถิด จึงกล่าวว่า เราจักไป เมื่อนางถามว่า
จักไปเมื่อใด ? พระฤๅษีจึงกล่าวว่า จักไปเวลาโน้น เวลาโน้น ดังนี้
แล้ว ได้กล่าวคาถาที่เหลือ ความว่า:-

เมื่อใด ผ้า ๓ ชนิดจะพึงสำเร็จได้ด้วย
ขนเต่า ใช้เป็นเครื่องกันหนาวในคราวน้ำค้าง
ตกได้ เมื่อนั้น เราทั้ง ๒ พึงอยู่ร่วมกันได้แน่.
เมื่อใด เท้ายุงทั้งหลาย จะพึงทำเป็น
ป้อมมั่นคงดีไม่หวั่นไหว อาจจะทนบุรุษผู้ขึ้น
รบได้ตั้งร้อย เมื่อนั้น เราทั้ง ๒ พึงอยู่ร่วมกัน
ได้แน่.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2019, 18:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เมื่อใด เขากระต่าย จะพึงทำเป็นบันได
เพื่อขึ้นไปสวรรค์ได้ เมื่อนั้น เราทั้ง ๒ พึง
อยู่ร่วมกันได้แน่.
เมื่อใด หนูทั้งหลายจะพึงไต่บันได
ขึ้นไปกัดพระจันทร์ และขับไล่ราหูให้หนีไป
ได้ เมื่อนั้น เราทั้ง ๒ พึงอยู่ร่วมกันได้แน่.
เมื่อใด แมลงวันทั้งหลายเที่ยวไปเป็น
หมู่ๆ ดื่มเหล้าหมดหม้อเมาแล้ว จะพึงเข้า
ไปอยู่ในโรงถ่านเพลิง เมื่อนั้น เราทั้ง ๒ พึง
อยู่ร่วมกันได้แน่.

เมื่อใด ลาพึงมีริมฝีปากงาม สีเหมือน
ผลมะพลับ มีหน้างามเหมือนแว่นทอง จะ
เป็นสัตว์ฉลาดในการฟ้อนรำขับร้องได้ เมื่อนั้น
เราทั้ง ๒ พึงอยู่ร่วมกันได้แน่.
เมื่อใด กากับนกเค้า พึงปรารถนา
สมบัติให้แก่กันและกัน ปรึกษาปรองดองกัน
อยู่ในที่ลับได้ เมื่อนั้น เราทั้ง ๒ พึงอยู่ร่วม
กันได้แน่.

เมื่อใด รากไม้และใบไม้อย่างละเอียด
พึงเป็นร่มมั่นคงป้องกันฝนได้ เมื่อนั้น เรา
ทั้ง ๒ พึงอยู่ร่วมกันได้แน่.
เมื่อใด นกตัวเล็กๆ พึงเอาจะงอยปาก
คาบภูเขาคันธมาทน์ บินไปได้ เมื่อนั้น เรา
ทั้ง ๒ พึงอยู่ร่วมกันได้แน่.

เมื่อใด เด็กๆ พึงขับเรือใหญ่ อัน
ประกอบด้วยเครื่องยนต์ และใบพัด กำลัง
แล่นไปในสมุทรไว้ได้ เมื่อนั้น เราทั้ง ๒
พึงอยู่ร่วมกันได้แน่.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2019, 18:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ติวิโธ ได้แก่ ผ้า ๓ ชนิดอย่างนี้
คือ ผ้าทำด้วยดอกไม้หนึ่ง ทำด้วยนุ่น ๑ ทำด้วยของ ๒ อย่าง ๑
ซึ่งจะทำให้สำเร็จได้ด้วยขนเต่า. บทว่า เหมนฺติกํ ปาวุรณํ ความว่า
สามารถใช้เป็นเครื่องคลุมกันหนาว ในคราวน้ำค้างตกได้. บทว่า อถ
นูน ตทา สิยา ความว่า เมื่อนั้น คือในเวลานั้น เราจะพึงอยู่ร่วม
กับเจ้าได้โดยส่วนเดียว.

โดยวิธีนี้ บัณฑิต พึงเอาบทข้างหลังประกอบเข้ากับทุกๆ บท.
บทว่า อฏฺฏาโล สุกโต ความว่า เมื่อใด หากจะทำเท้าแห่งยุงทั้งหลาย
ให้เป็นป้อมที่มั่นคงดีไม่หวั่นไหว รองรับบุรุษร้อยคนผู้ขึ้นรบไว้ได้.
บทว่า ปริพาเหยฺยุํ แปลว่า ขับไล่ให้หนีไป. บทว่า องฺคาเร ได้แก่
ในโรงที่ปราศจากเปลว. บทว่า วาสํ กปฺเปยฺยุํ ความว่า แมลงวัน

ทั้งหลาย พากันดื่มสุราหมดหม้อ เมาแล้วเข้าไปอยู่ในโรงถ่านเพลิง.
บทว่า พิมฺโพฏฺ€สมฺปนฺโน ความว่า ประกอบด้วยริมฝีปากทั้ง ๒
งามเหมือนผลมะพลับ. บทว่า สุมุโข ได้แก่ มีหน้างามเหมือนแว่น
ทอง. บทว่า ปิหเยยฺยุํ ความว่า พึงปรารถนาสมบัติให้แก่กันและกัน
ปรารถนาดีต่อกัน ปรองดองกันได้. บทว่า มูลสปตฺตานํ ได้แก่ รากไม้

และใบไม้อย่างละเอียด. บทว่า กุลุโก ได้แก่ นกเล็กๆ ตัว ๑.
บทว่า สามุทฺทิกํ ได้แก่ เรือใหญ่ซึ่งกำลังแล่นไปในสมุทร. บทว่า
สยนฺตํ สวฏากรํ ความว่า ประกอบไปด้วยสัมภาระครบครัน พร้อม
ด้วยเครื่องยนต์และใบพัด. บทว่า เจโต อาทาย ความว่า ก็เมื่อใด
เด็กชาวบ้านตัวเล็กๆ พึงขับเรือเห็นปานนี้ ไว้ได้ด้วยมือ.

พระมหาสัตว์ได้กล่าวคาถา ๑๑ คาถา โดยอัฏฐานปริกัปนี้ ด้วย
ประการฉะนี้. หญิงนครโสเภณีได้ฟังดังนั้นแล้ว ขอขมาโทษพระมหา-
สัตว์ไปพระนคร กราบทูลเรื่องนั้นแก่พระราชา แล้วทูลขอชีวิตของตน
ไว้.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้จบลงแล้ว ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุ ขึ้นชื่อว่า มาตุคามมักอกตัญญู ประทุษร้ายมิตรอย่างนี้
ดังนี้แล้ว ทรงประกาศสัจจะ แล้วทรงประชุมชาดก. ในเวลาจบสัจจะ
ภิกษุผู้กระสัน ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล. พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า
พระราชาในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระอานนท์ ส่วนพระดาบส ได้มาเป็น
เราผู้ตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาอัฏฐานชาดกที่ ๙

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2019, 18:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาทีปิชาดกที่ ๑๐

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร ทรงปรารภ
แม่แพะตัวหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า ขมนียํ ยาปนียํ ดังนี้.

ความพิสดารว่า สมัยหนึ่งพระมหาโมคคัลลานเถระอยู่ที่เสนา-
สนะซอกเขา ใกล้ประตูภูเขาวงก์แห่งหนึ่ง. ที่จงกรมของท่าน ได้มี
อยู่ที่ใกล้ๆ ประตูภูเขานั้น. ครั้งนั้น พวกคนเลี้ยงแพะ คิดว่า แพะ
จะเที่ยวอยู่ในที่นี้ จึงได้ต้อนแพะเข้าไปไว้ในซอกภูเขา แล้วพากัน
เที่ยวเล่นอยู่. เย็นวันหนึ่ง เมื่อพวกคนเลี้ยงแพะพากันต้อนฝูงแพะไป

แม่แพะตัวหนึ่งไปเล่นไกลฝูง ไม่ทันเห็นฝูงแพะออกจากคอก จึงเดิน
ล้าหลังอยู่. เสือเหลืองตัวหนึ่ง เห็นแม่แพะนั้นออกทีหลัง จึงคิดว่า
เราจักกินแม่แพะนั้น แล้วจึงไปยืนขวางประตูซอกเขาอยู่. แม่แพะ
เหลียวดูทางโน้น ทางนี้ เห็นเสือเหลืองนั้น คิดว่า เสือนี้ยืนอยู่
ถ้าเราจะกลับหนีไป ก็คงไม่รอดชีวิต เราควรจะทำความกล้าหาญใน

วันนี้ ดังนี้แล้ว จึงยกเขามุ่งหน้าเผชิญเสือเหลืองนั้นวิ่งไปโดยเร็ว
เสือเหลืองหลบ ด้วยคิดว่า จักจับเอาทางนี้ แต่ไม่ทัน แม่แพะได้โจน
เข้าที่รกชัฏรีบหนีเข้ากลุ่มแพะไปได้.

พระโมคคัลลานเถระ ได้เห็นกิริยาของสัตว์ทั้งสองนั้น วันรุ่งขึ้น
จึงไปกราบทูลพระตถาคตว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม่แพะนั้น ได้ทำ
ความบากบั่น ด้วยความที่ตนเป็นผู้มีอุบายฉลาด จึงรอดพ้นจากเสือ-
เหลืองได้อย่างนี้ พระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสว่า โมคคัลลานะเสือเหลือง

ไม่อาจจับแม่แพะนั้นได้ในบัดนี้เท่านั้น แต่ในกาลก่อน เสือเหลืองได้
ฆ่าแม่แพะนั้น ผู้กำลังคร่ำครวญอยู่กินแล้ว ดังนี้ พระมหาโมคคัลลานะ
ได้กราบทูลอาราธนาให้ตรัสเรื่องราว จึงได้ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมา
สาธก ดังต่อไปนี้:-


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2019, 18:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์ได้เกิดในตระกูลมีโภคะมาก ในบ้าน
ตำบลหนึ่งในมคธรัฐ ครั้นเจริญวัยแล้ว ได้ละกามออกบวชเป็นฤๅษี
ทำฌานและอภิญญาให้เกิดแล้ว อยู่ในหิมวันตประเทศเป็นเวลานาน
เมื่อต้องการจะเสพรสเค็ม รสเปรี้ยว จึงได้ไปพระนครราชคฤห์ สร้าง
บรรณศาลาอยู่ที่ซอกเขาแห่งหนึ่ง. ครั้งนั้น พวกคนเลี้ยงแพะ ปล่อย

ฝูงแพะเที่ยวอยู่โดยทำนองที่กล่าวแล้ว วันหนึ่งเสือเหลืองได้เห็นแม่แพะ
ตัวหนึ่งออกทีหลัง จึงคิดว่า เราจักกินแม่แพะนั้น จึงยืนขวางประตูอยู่
แม่แพะเห็นดังนั้น คิดว่า วันนี้เราจักไม่รอดชีวิต เราจักปราศรัยด้วย
วาจาอ่อนหวานกับเสือเหลืองนี้ ด้วยอุบายอย่างหนึ่ง ทำหัวใจเสือเหลือง

ให้อ่อนโยน รักษาชีวิตไว้ คิดดังนี้แล้ว จึงกระทำปฏิสันถารกับเสือ-
เหลืองนั้นมาแต่ไกล เมื่อมาถึง จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ความว่า:-

คุณลุงครับ ท่านพออดทนได้หรือ พอจะ
เยียวยาอัตภาพให้เป็นไปได้อยู่หรือ ท่านมี
ความสุขดีหรือ มารดาของฉันได้ถามความสุข
ของท่าน เราทั้งหลายปรารถนาความสุขแก่ท่าน
เหมือนกัน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุขํ เต อมฺม ความว่า มารดา
ของฉัน ได้พูดมากะฉันในวันนี้ว่า จะได้รับความสุขจากท่าน. บทว่า
มยํ ความว่า ข้าแต่ท่านลุง แม้ตัวฉันก็ต้องการให้ลุงมีความสุขเหมือน
กัน.

เสือเหลืองได้ฟังดังนั้น คิดว่า แม่แพะฉ้อโกงตัวนี้ ประสงค์
จะล่อลวงเรา ด้วยคิดว่า ลุง ไม่รู้ว่าเป็นผู้ร้ายกาจ ดังนี้ แล้วกล่าว
คาถาที่ ๒ ความว่า:-
แน่ะแม่แพะ เจ้ามารังแกเหยียบหาง
ของเราได้ วันนี้เจ้าสำคัญว่า จะพึงพ้นความ
ตาย ด้วยวาทะว่า ลุง หรือ ?


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2019, 18:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
คาถานั้น มีความหมายว่า แน่ะแม่แพะ เจ้ามาแกล้งรังแก
เหยียบหางเรา วันนี้ เจ้าคงจะเข้าใจว่า จะพ้นจากความตาย ด้วย
เสแสร้งแกล้งกล่าวคำว่า ลุง เจ้าอย่าได้มั่นหมายอย่างนี้เลย.
แม่แพะได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวว่า ข้าแต่ท่านลุง ขอท่านอย่าได้
ทำอย่างนี้เลย แล้วกล่าวคาถาที่ ๓ ความว่า:-

ท่านนั่งผินหน้าตรงทิศบูรพา ฉันก็ได้มา
นั่งอยู่ตรงหน้าท่าน ไฉนฉันจะเข้าไปเหยียบ
หางของท่าน ซึ่งอยู่เบื้องหลังได้เล่า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มุขํ แปลว่า เฉพาะหน้า. บทว่า
กถํ โขหํ ความว่า ไฉนฉันจะไปเหยียบหางของท่าน ซึ่งอยู่เบื้องหลัง
ได้อย่างไรเล่า?

ลำดับนั้น เสือเหลืองกล่าวกะแม่แพะว่า แน่ะแม่แพะ เจ้าพูด
อะไร ที่ที่จะพ้นจากหางของเราไปไม่มี ดังนี้แล้ว กล่าวคาถาที่ ๔
ความว่า:-

ทวีปทั้ง ๔ ทั้งมหาสมุทร และภูเขา
มีประมาณเท่าใด เราเอาหางของเราวงที่มีประ-
มาณเท่านั้นไว้หมด เจ้าจะงดเว้นที่ที่เราเอาหาง
วงไว้นั้นได้อย่างไร ?

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตาวตา ความว่า เสือเหลือง
กล่าวว่า เราเอาหางของเราวงที่เท่านั้น เข้าไว้ทั้งหมด.
แม่แพะได้ฟังดังนั้น คิดว่า เสือเหลืองนี้ลามก หาติดอยู่ใน
ถ้อยคำที่ไพเราะไม่ กลับเป็นศัตรูกล่าวเสียดแทงเรา ดังนี้แล้ว กล่าว
คาถาที่ ๕ ความว่า:-


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2019, 18:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ในกาลก่อน มารดาบิดาก็ดี พี่น้อง
ทั้งหลายก็ดี ได้บอกความเรื่องนี้แก่ฉันแล้ว
ว่าหางของท่านผู้ประทุษร้ายยาว ฉันจึงมาทาง
อากาศ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อกฺขึสุ ความว่า เมื่อก่อนมารดา
บิดาก็ดี ญาติพี่น้องทั้งหลายก็ดี ได้บอกความเรื่องนี้ไว้แก่เราแล้ว.
บทว่า สมฺหิ ความว่า เรานั้นทราบความจากสำนักมารดาบิดา ญาติ
พี่น้องว่า หางของท่านผู้ประทุษร้ายยาว เพื่อรักษาหางของท่าน จึงมา
ทางอากาศ.

ลำดับนั้น เสือเหลืองกล่าวว่า เรารู้ว่าเจ้ามาทางอากาศ แต่
เมื่อมา เจ้าได้มาทำภักษาหารของเราให้พินาศ ดังนี้แล้ว กล่าวคาถา
ที่ ๖ ความว่า:-
แน่ะแม่แพะ ก็เพราะว่า ฝูงเนื้อเห็น
เจ้ามาในอากาศ จึงพากันหนีไปเสีย ภักษาหาร
ของเรา เจ้าทำให้พินาศหมดแล้ว.

แม่แพะได้ฟังดังนั้น ก็กลัวมรณภัย เมื่อไม่อาจหาอุบายอย่างอื่น
มาแก้ไขได้ จึงร้องวิงวอนว่า ข้าแต่ลุง ท่านอย่าได้ทำกรรมหยาบช้า
อย่างนี้เลย จงให้ชีวิตแก่ข้าพเจ้าเถิด. เสือเหลืองได้ตะครุบแม่แพะ
ซึ่งกำลังร้องวิงวอนอยู่ ฆ่ากินแล้ว.

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสอภิสัมพุทธคาถา ๒ คาถานี้ว่า:-
เมื่อแม่แพะวิงวอนอยู่อย่างนี้ เสือ
เหลืองผู้มีเลือดเป็นภักษาหารก็ขม้ำคอ วาจา
สุภาษิตมิได้มีในหมู่บุคคลผู้ประทุษร้าย.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 132, 133, 134, 135, 136, 137, 138 ... 151  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร