วันเวลาปัจจุบัน 19 ส.ค. 2025, 04:10  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 131, 132, 133, 134, 135, 136, 137 ... 151  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2019, 21:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ไปข้างหน้าเถิดเจ้าข้า ก็ยังเห็นท่านยืนเฉยอยู่ จึงได้บอกกะภรรยาเก่าว่า
แน่ะแม่เจ้า พระเถระไม่ยอมไป. ภรรยาเก่าไปเลิกม่านมองดู กล่าวว่า
อ้อ พระเถระพ่อของเด็กเรา จึงออกไปไหว้แล้วรับบาตรนิมนต์ให้เข้า
ไปในเรือนแล้วให้ฉัน ครั้นฉันเสร็จ นางกล่าวว่า พระผู้เป็นเจ้า จง
ปรินิพพานอยู่ในที่นี้แหละ ตลอดกาลเท่านี้ ดิฉันมิได้ยึดถือตระกูลอื่น

เลย ก็เรือนที่ปราศจากสามี จะดำรงการครองเรือนอยู่ด้วยดีไม่ได้
ดิฉันจะยึดถือตระกูลอื่นไปอยู่ชนบทที่ไกล ขอพระผู้เป็นเจ้าอย่าได้ประ-
มาท ถ้าดิฉันมีโทษอยู่ไซร้ ขอได้โปรดอดโทษนั้นเสียเถิด. หัวใจของ
ภิกษุแก่ได้เป็นเหมือนถูกฉีกออก. ลำดับนั้น ภิกษุแก่ได้กล่าวกะภรรยา
เก่าว่า เราไม่อาจจะละเจ้าไปได้ เจ้าอย่าไปเลย ฉันจักสึกละ เจ้าจงส่ง

ผ้าสาฎกไปให้ฉันที่โน้น เราไปมอบบาตรจีวรแล้วจักมา. นางรับคำแล้ว.
ภิกษุแก่ไปวิหารให้อาจารย์อุปัชฌาย์รับบาตรจีวร เมื่ออาจารย์และ
อุปัชฌาย์ถามว่า อาวุโส เหตุไรเธอจึงทำอย่างนี้ จึงตอบว่า กระผมไม่
อาจละภรรยาเก่าได้ กระผมจักสึก ลำดับนั้น อาจารย์และอุปัชฌาย์จึง
นำภิกษุนั้นผู้ไม่ปรารถนาจะบวชอยู่ ไปสู่สำนักพระศาสดา เมื่อพระ-

ศาสดาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอนำเอาภิกษุผู้ไม่ปรารถนาจะ
บวชอยู่นี้มาทำไม ? จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุนี้กระ
สันอยากจะสึก พระเจ้าข้า. ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสถามภิกษุนั้นว่า
ได้ยินว่าเธอกระสันจะสึกจริงหรือ เมื่อภิกษุนั้นกราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า
ตรัสถามว่า ใครทำให้เธอกระสัน เมื่อภิกษุกราบทูลว่า ภรรยาเก่า

พระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุมิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่หญิงนั้น
ทำความพินาศให้แก่เธอ แม้ในกาลก่อนเธอก็เสื่อมจากฌานสี่ ถึงความ
ทุกข์ใหญ่ เพราะอาศัยหญิงนั้น แต่ได้อาศัยเราจึงพ้นจากทุกข์กลับได้


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2019, 21:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ฌานที่เสื่อมเสียไปแล้ว ดังนี้แล้ว ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดัง
ต่อไปนี้:-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต ครองราชสมบัติอยู่ในพระ-
นครพาราณสี พระโพธิสัตว์อาศัยปุโรหิตของพระเจ้าพรหมทัตนั้น เกิด
ในครรภ์นางพราหมณีภรรยาปุโรหิตนั้น. ในวันที่พระโพธิสัตว์เกิด
บรรดาอาวุธที่มีอยู่ทั่วพระนครลุกโพลงขึ้น เพราะเหตุนั้นญาติทั้ง
หลาย จึงตั้งชื่อพระโพธิสัตว์ว่า โชติปาละ. โชติปาลกุมารนั้นครั้น

เจริญวัยแล้ว เรียนศิลปะทุกอย่างในเมืองตักกศิลา แล้วกลับมาแสดง
ศิลปะแก่พระราชา ต่อมาได้ละอิสริยยศเสียไม่ให้ใครๆ รู้ หนีออก
ทางอัคคทวาร เข้าป่าบวชเป็นฤๅษีอยู่ในอาศรม ป่าไม้มะขวิดที่ท้าวสักก-
เทวราชเนรมิตรถวาย ทำฌานและอภิญญาให้เกิดแล้ว. พระฤๅษีหลาย
ร้อยห้อมล้อมเป็นบริวาร พระโชติปาลฤๅษีผู้อยู่ที่อาศรมนั้น. อาศรม

นั้นได้เป็นมหาสมาคม มีลูกศิษย์ชั้นหัวหน้า ๗ องค์ องค์ที่ ๑ ชื่อว่า
สาลิสสรฤๅษี ได้ออกจากอาศรมป่าไม้มะขวิด ไปอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำสา-
โตทกา ในสุรัฏฐชนบท มีฤๅษีหลายพันองค์เป็นบริวาร. องค์ที่ ๒
ชื่อเมณฑิสสรฤๅษี ไปอาศัยนิคมกลัมพมูลกะ อยู่ในแว่นแคว้นของ
พระเจ้า ปโชตกราช มีฤๅษีหลายพันองค์เป็นบริวาร. องค์ที่ ๓ ชื่อ

บรรพตฤๅษีไปอาศัยอฏวีชนบทแห่งหนึ่งอยู่ มีฤๅษีหลายพันเป็นบริวาร
องค์ที่ ๔ ชื่อกาฬเทวิลฤๅษี ไปอาศัยโขดศิลาแห่งหนึ่งอยู่ ณ ทักษิณาบท
ในแคว้นอวันตี มีฤๅษีหลายพันเป็นบริวาร. องค์ที่ ๕ ชื่อกิสวัจฉฤๅษี
ไปอาศัยนครกุมภวดีของเจ้าทัณฑกี อยู่องค์เดียวในพระราชอุทยาน.

องค์ที่ ๖ พระดาบสอนุสิสสะ เป็นอุปัฏฐากอยู่กับพระโพธิสัตว์ องค์ที่
๗ ชื่อว่านารทฤๅษี เป็นน้องชายกาฬเทวิลฤๅษี ไปอยู่ในถ้ำที่เร้นแห่ง
หนึ่ง ในระหว่างข่ายภูเขาอัญชนคิรี ในป่ามัชฌิมประเทศแต่องค์เดียว.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2019, 21:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ก็ ณ ที่ใกล้ ๆ ภูเขาอัญชนคิรี มีนิคมแห่ง ๑ มีมนุษย์อยู่มาก
ด้วยกัน. ในระหว่างภูเขาอัญชนคิรีกับนิคมมีแม่น้ำใหญ่ พวกมนุษย์
พากันไปประชุมที่แม่น้ำนั้นมาก. พวกนางวรรณทาสีรูปงามทั้งหลาย
เมื่อเล้าโลมผู้ชายก็พากันไปนั่งที่ฝั่งแม่น้ำ. พระนารทดาบสเห็นนาง ๑
เข้าในบรรดานางเหล่านั้น มีจิตปฏิพัทธ์จึงเสื่อมจากญาน ซูบซีดตกอยู่

ในอำนาจกิเลส นอนอดอาหารอยู่ ๗ วัน. ลำดับนั้น กาฬเทวิลดาบส
ผู้เป็นพี่ชายของนารทดาบสใคร่ครวญดู ก็รู้เหตุนั้น จึงเหาะมาแล้วเข้า
ไปในถ้ำที่เร้น. นารทดาบสเห็นพระกาฬเทวิลดาบส จึงถามว่า ท่านมา
ทำไม ? กาฬเทวิลดาบสตอบว่า ท่านไม่สบายเรามาเพื่อรักษาท่าน.

นารทดาบสจึงพูดข่มกาฬเทวิลดาบสด้วยมุสาวาทว่า ท่านพูดไม่ได้เรื่อง
กล่าวคำเหลาะแหละเปล่าๆ. กาฬเทวิลดาบสคิดว่า เราไม่ควรฟัง นารท-
ดาบสจึงไปนำดาบส ๓ องค์มา คือ สาลิสสรดาบส เมณฑิสสรดาบส
บรรพติสสรดาบส. นารทดาบสก็กล่าวข่มดาบสเหล่านั้นด้วยมุสาวาท.

กาฬเทวิลดาบสคิดว่า เราจักนำสรภังคดาบสมา จึงเหาะไปเชิญ
สรภังคดาบสมา. ท่านสรภังคดาบสครั้นมาเห็นแล้วก็รู้ว่า ตกอยู่ใน
อำนาจแห่งอินทรีย์ จึงถามว่า ดูก่อนนารทะ เธอตกอยู่ในอำนาจแห่ง
อินทรีย์กระมัง. เมื่อนารทดาบส พอได้ฟังถ้อยคำดังนั้น ก็ลุกขึ้นถวาย

อภิวาทกล่าวว่า ถูกแล้วท่านอาจารย์ ท่านสรภังคดาบสจึงกล่าวว่า ดู
ก่อนนารทะ ธรรมดาผู้ที่ตกอยู่ในอำนาจอินทรีย์ ในอัตภาพนี้ก็ซูบซีด
เสวยทุกข์ ในอัตภาพที่สองย่อมเกิดในนรก ดังนี้แล้ว กล่าวคาถาที่ ๑
ความว่า:-


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2019, 08:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ดูก่อนนารทะ บุรุษใดตกอยู่ในอำนาจ
แห่งอินทรีย์ เพราะกาม บุรุษนั้นละโลกทั้ง ๒
ไปแล้ว ย่อมเกิดในอบายมีนรกเป็นต้น แม้
เมื่อยังเป็นอยู่ ก็ย่อมซูบซีดไป.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โย อินฺทฺริยานํ ความว่า ดูก่อน
นารทะ บุรุษใดยึดถืออาการในรูปเป็นต้น ว่างามตกอยู่ในอำนาจแห่ง
อินทรีย์ ๖ ด้วยสามารถแห่งกิเลสกาม. บทว่า ปริจฺจชฺชุโภ ความว่า
บุรุษนั้นละโลกทั้ง ๒ คือมนุษยโลก และเทวโลกเสีย ย่อมบังเกิดใน
อบายมีนรกเป็นต้น. บทว่า ชีวนฺเตว วิสุสฺสติ ความว่า เมื่อยังเป็น
อยู่ ก็ไม่ได้กิเลสวัตถุที่ตนปรารถนา ย่อมเหือดแห้งด้วยความโศกถึง
ทุกข์ใหญ่.

นารทดาบสได้ฟังดังนั้น จึงถามว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์ ขึ้นชื่อว่า
การเสพกาม ย่อมเป็นสุข แต่ท่านมากล่าวความสุขเช่นนี้ว่า เป็นทุกข์
ดังนี้ หมายถึงอะไร ? ลำดับนั้นท่านสรภังคดาบสได้กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น
เธอจงฟัง แล้วกล่าวคาถาที่ ๒ ความว่า:-

ทุกข์เกิดในลำดับแห่งสุข สุขเกิดใน
ลำดับแห่งทุกข์ ส่วนเธอนั้นประสบทุกข์มาก
กว่าสุข เธอจงหวังความสุข อันประเสริฐเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุขสฺสานนฺตรํ ได้แก่ทุกข์คือนรก
อันเกิดขึ้นในลำดับแห่งกามสุข. บทว่า ทุกฺขสฺส ได้แก่สุขที่เป็นทิพย์
สุขมนุษย์และสุขคือพระนิพพาน อันเกิดในลำดับแห่งความลำบาก คือ
ต้องรักษาศีล.

ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ดังนี้ ดูก่อนนารทะ สัตว์เหล่านี้ทำกาละ
ลงในสมัยที่เสพกาม ย่อมเกิดในนรกอันเป็นสถานที่มีทุกข์โดยส่วนเดียว
ส่วนผู้รักษาศีลและเจริญวิปัสสนาย่อมลำบาก เขาเหล่านั้นรักษาศีลด้วย
ความลำบากแล้ว ย่อมกลับได้ความสุขดังกล่าวแล้ว ด้วยผลแห่งศีล
อาศัยเหตุนี้เราจึงกล่าวอย่างนี้.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2019, 08:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บทว่า โสสิ ปตฺโต ความว่า ดูก่อนนารทะ เธอนั้น บัดนี้
ได้ทำฌานสุขให้พินาศเสียแล้วจึงถึงทุกข์ทางใจ ซึ่งอาศัยกามเป็นเหตุ
มากกว่าสุขนั้น. บทว่า ปาฏิกงฺขา ความว่า เธอจงทิ้งกิเลสทุกข์นี้เสีย
แล้วจำนง คือปรารถนาฌานสุขที่ประเสริฐคือสูงสุดนั้นแหละเถิด.

นารทดาบสกล่าวว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์ ทุกข์นี้นั้นข้าพเจ้าไม่
อาจอดกลั้นได้. ลำดับนั้น พระมหาสัตว์กล่าวกะนารทดาบสว่า ดูก่อน
นารทะ ธรรมดาทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว บุคคลพึงอดกลั้นได้ดังนี้ แล้วกล่าว
คาถาที่ ๓ ความว่า:-

ในเวลาเกิดความลำบาก บุคคลใดอดทน
ความลำบากได้ บุคคลนั้นย่อมไม่เป็นไปตาม
ความลำบาก บุคคลนั้นเป็นนักปราชญ์ ย่อม
บรรลุสุขปราศจากเครื่องประกอบ อันเป็นที่
สุดแห่งความลำบาก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาติวตฺตติ แปลว่า ย่อมไม่เป็น
ไปตาม. พระบาลีก็อย่างนี้เหมือนกัน.

ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ว่า ดูก่อนนารทะ บุคคลใดในกาลเมื่อ
ความลำบากคือทุกข์ อันเป็นไปทางกายและทางจิตเกิดขึ้นแล้ว เป็นผู้
ไม่ประมาท หาอุบายกำจัดความลำบากนั้นเสียได้ อดกลั้นต่อความ
ลำบากได้ ชื่อว่าไม่เป็นไปตามความลำบาก คือไม่เป็นไปในอำนาจความ

ลำบากนั้น ใช้อุบายนั้นๆ ครอบงำความลำบาก คือทำความลำบากนั้นให้
หมดไปได้ บุคคลนั้นเป็นนักปราชญ์ บรรลุความสุขที่ปราศจากอามิสคือ
สุขที่มีในที่สุดแห่งความลำบาก หรือว่าเป็นผู้ไม่ลำบาก ย่อมประสบคือ
บรรลุถึง ซึ่งความสุขที่ปราศจากโยคะ ซึ่งเป็นที่สุดของความลำบากนั้น.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2019, 08:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
นารทดาบสกล่าวว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์ ขึ้นชื่อว่ากามสุขเป็น
สุขสูงสุด ข้าพเจ้าไม่อาจละกามสุขนั้นได้. ลำดับนั้น พระมหาสัตว์จึง
กล่าวกะนารทดาบสว่า ดูก่อนนารทะ ขึ้นชื่อว่าธรรม บุคคลไม่ควรให้
พินาศด้วยเหตุไรๆ ก็ตาม ดังนี้แล้วกล่าวคาถาที่ ๔ ความว่า:-

เธอไม่ควรเคลื่อนจากธรรม เพราะ
ปรารถนากามทั้งหลาย เพราะเหตุใช่ประโยชน์
เพราะเหตุเป็นประโยชน์ ถึงเธอจะทำสุขใน
ฌานที่สำเร็จแล้วให้นิราศไป ก็ไม่ควรเคลื่อน
จากธรรมเลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กามานํ กามา ได้แก่ เพราะความ
ใคร่กาม คือเพราะปรารถนาวัตถุกามทั้งหลาย. บทว่า นานตฺถา
นตฺถการณา ความว่า เธอไม่ควรเสื่อมจากธรรม เพราะเหตุใช่
ประโยชน์ และเพราะเหตุเป็นประโยชน์. บทว่า น กตฺจ นิรํกตฺวา
ความว่า ถึงเธอจะทำฌานสุขที่ทำจนสำเร็จแล้วให้นิราศไป.

ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ว่า ดูก่อนนารทะ เธอไม่ควรเคลื่อนจาก
ธรรม เพราะปรารถนาวัตถุกามเท่านั้นเลย คือ เมื่อสิ่งมิใช่ประโยชน์
อย่างหนึ่งเกิดขึ้น ประสงค์จะกำจัดสิ่งมิใช่ประโยชน์นั้น ก็ไม่ควร
เคลื่อนจากธรรม เพราะมุ่งประโยชน์ คือเพราะประโยชน์อันเป็นต้น

เหตุ. อธิบายว่า ก็เธอสมควรเคลื่อนจากธรรม เพราะเหตุอันเป็น
ประโยชน์อย่างนี้ว่า ประโยชน์อย่างโน้นจะเกิดแก่เรา คือถึงเธอจะทำ
ฌานสุขที่ทำจนสำเร็จแล้วให้นิราศไป คือเสื่อมสิ้นไป ก็ยังไม่สมควร
เคลื่อนเสียจากธรรม.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2019, 08:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เมื่อสรภังคดาบสแสดงธรรมด้วยคาถา ๔ คาถาอย่างนี้แล้ว
กาฬเทวิลดาบส เมื่อจะกล่าวสอนน้องชายของตน จึงกล่าวคาถาที่ ๕
ความว่า:-

ความขยันของคฤหบดี ผู้อยู่ครองเรือน
ดีชั้น ๑ การแบ่งปันโภคทรัพย์ให้แก่สมณ-
พราหมณ์ ผู้ตั้งอยู่ในธรรมแล้วบริโภคด้วยตน
เอง ดีชั้น ๒ เมื่อได้ประโยชน์ไม่ระเริงใจ
ด้วยความมัวเมา ดีชั้น ๓ เมื่อเวลาเสื่อม
ประโยชน์ ไม่มีความลำบากใจ ดีชั้น ๔

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทกฺขํ คหปตํ ความว่า ดูก่อน
นารทะ คฤหบดีผู้อยู่ครองเรือน ฉลาดไม่เกียจคร้านทำโภคะให้เกิด
ขึ้น ชื่อว่าขยันหมั่นเพียร คือความเป็นผู้ฉลาด ข้อนี้ดีชั้น ๑. บทว่า
สํวิภชฺชฺจ โภชนํ ความว่า การแบ่งปันโภคะที่ให้เกิดแล้วด้วยความ
ลำบาก แก่สมณพราหมณ์ผู้ประพฤติธรรม แล้วจึงบริโภค ข้อนี้ดีที่ ๒.

บทว่า อหาโส อตฺถลาเภสุ ความว่า เมื่ออิสริยยศอันยิ่งใหญ่เกิดขึ้นแล้ว
ก็ไม่ร่าเริงใจด้วยอำนาจความมัวเมา ได้แก่ปราศจากความระเริงใจ ข้อนี้
ดีที่ ๓. บทว่า อตฺถพฺยาปตฺติ ความว่า ก็เมื่อใดมีความเสื่อมประโยชน์
คือยศพินาศ เมื่อนั้นไม่มีความลำบากซบเซา ข้อนี้ดีที ๔.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2019, 08:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ดูก่อนนารทะ เพราะเหตุนั้น เธออย่าเศร้าโศกไปเลยว่า ฌาน
ของเราเสื่อมไปแล้ว ถ้าเธอไม่ตกอยู่ในอำนาจของอินทรีย์ แม้ฌานของ
เธอที่เสื่อมแล้ว ก็จักกลับคืนเป็นปกติเหมือนเดิม.

พระศาสดา ผู้ตรัสรู้เองด้วยพระปัญญาอันยิ่ง ทรงทราบความที่
กาฬเทวิลดาบส กล่าวสอนนารทดาบสนั้น ตรัสพระคาถาที่ ๖ ความว่า:-
เทวิลดาบสผู้สงบระงับ ได้พร่ำสอนความ
เป็นบัณฑิตกะนารทดาบสนั้น ด้วยคำมีประ-
มาณเท่านี้ว่า บุคคลผู้เลวกว่าผู้ที่ตกอยู่ในอำ-
นาจอินทรีย์ ไม่มีเลย.

พระคาถานั้น มีอรรถาธิบายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวิลดาบส
ผู้สงบระงับ พร่ำสอนความเป็นบัณฑิตกะนารทดาบสนั้น ด้วยคำเท่านี้
ว่า ก็ผู้ใดตกอยู่ในอำนาจแห่งอินทรีย์ ด้วยสามารถแห่งกิเลส คนอื่น
ที่จะเลวไปกว่าผู้นั้นมิได้มีสักนิดเลย.

ลำดับนั้น สรภังคศาสดาเรียกนารทดาบสนั้นมากล่าวว่า ดูก่อน
นารทะ เธอจะฟังคำนี้ก่อน ผู้ใดไม่ทำสิ่งที่ควรจะพึงทำก่อน ผู้นั้นย่อม
เศร้าโศกร่ำไร เหมือนมาณพที่เที่ยวไปในป่าฉะนั้น ดังนี้แล้วได้นำเอา
เรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้:-

ในอดีตกาล ในกาสีนิคมตำบล ๑ มีพราหมณ์มาณพคน ๑
รูปงาม สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรง มีกำลังเท่าช้างสาร. พราหมณ์มาณพนั้น
คิดว่า ประโยชน์อะไรที่เราจะทำกสิกรรมเป็นต้นเลี้ยงมารดา ประโยชน์
อะไรด้วยบุตรภรรยา ประโยชน์อะไรด้วยบุญมีทานเป็นต้นที่เราทำไว้


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2019, 08:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เราจักไม่เลี้ยงดูใครๆ จักไม่ทำบุญอะไรๆ จักเข้าป่าฆ่าเนื้อต่างๆ เลี้ยงชีวิต
ดังนี้แล้ว จึงผูกสอดอาวุธ ๕ ชนิด มุ่งไปสู่ป่าหิมพานต์ ฆ่าเนื้อต่างๆ กิน
วัน ๑ ไปถึงเวิ้งภูเขาใหญ่ มีภูเขาห้อมล้อมรอบใกล้ฝั่งวิธินีนที ภายใน
หิมวันตประเทศ ฆ่าเนื้อแล้วกินเนื้อที่ย่างในถ่านเพลิงอยู่ ณ ที่นั้น.

มาณพนั้นคิดว่า เราจักมีเรี่ยวแรงอยู่เสมอไปไม่ได้ เวลาทุพพลภาพเรา
จักไม่อาจเที่ยวไปในป่า บัดนี้เราจักต้อนเนื้อนานาชนิดเข้าเวิ้งภูเขาแล้ว
ทำประตูปิดไว้ เมื่อเข้าไปป่าไม่ได้เราจักได้ฆ่าเนื้อกินตามชอบใจ คิดดัง
นี้แล้วเขาก็ทำตามนั้น. ครั้นกาลล่วงไป กรรมของเขาถึงที่สุดให้ผลเป็น

ทิฏฐธรรมเวทนีย์ทันตาเห็น คือมือเท้าของตนใช้ไม่ได้ เขาไม่อาจเดิน
และพลิกไปมาได้ กินของเคี้ยวของบริโภคอะไรๆ ไม่ได้ น้ำก็ดื่มไม่ได้
ร่างกายเหี่ยวแห้ง เป็นมนุษย์เปรต ร่างกายแตกปริเป็นร่องริ้วเหมือน
แผ่นดินแตกระแหงในฤดูร้อนฉะนั้น. เขามีรูปร่างทรวดทรงน่าเกลียด
น่ากลัว เสวยทุกข์ใหญ่หลวง.

เมื่อเวลาล่วงผ่านไปนานด้วยอาการอย่างนี้ พระเจ้าสีวิราชใน
สีวิรัฐ ทรงพระดำริว่า เราจักเสวยเนื้อย่างในป่า จึงมอบราชสมบัติ
ให้อำมาตย์ทั้งหลายดูแลแทน พระองค์เหน็บอาวุธห้าอย่างเสด็จเข้าป่า
ฆ่าเนื้อ เสวยเนื้อเรื่อยมาจนลุถึงประเทศนั้นโดยลำดับ ทอดพระเนตร

เห็นบุรุษนั้นตกพระทัย ครั้นดำรงพระสติได้ จึงตรัสถามว่า พ่อมหา
จำเริญท่านเป็นใคร ? เขาตอบว่า นาย ข้าพเจ้าเป็นมนุษย์เปรตเสวย
ผลกรรมที่ตนทำไว้ ก็ท่านเล่าเป็นใคร ?


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2019, 08:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เราคือพระเจ้าสีวิราช
พระองค์เสด็จมาที่นี้เพื่ออะไร ?
เพื่อเสวยเนื้อมฤค.

ลำดับนั้น มาณพนั้นจึงกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า แม้ข้า
พระองค์ก็มาด้วยเหตุนี้แหละ จึงเป็นมนุษย์เปรต แล้วทูลเรื่องทั้งหมด
โดยพิสดาร เมื่อจะกราบทูลความที่ตนเสวยทุกข์แด่พระราชา ได้กล่าว
คาถาที่เหลือ ความว่า:-

ข้าแต่พระเจ้าสีวิราช พระองค์เกือบจะ
ถึงความพินาศอยู่ในเงื้อมมือของศัตรูทั้งหลาย
เทียว เหมือนข้าพระองค์ไม่กระทำกรรมที่ควร
กระทำ ไม่ศึกษาศิลปวิทยา ไม่ทำความขวน
ขวาย เพื่อให้เกิดโภคทรัพย์ ไม่ทำอาวาห
วิวาหะ ไม่รักษาศีล ไม่กล่าววาจาอ่อนหวาน
ทำยศเหล่านี้ให้เสื่อมไป จึงมาบังเกิดเป็น
เปรตเพราะกรรมของตน.

ข้าพระองค์นั้นปฏิบัติชอบแล้ว พึงยัง
โภคะให้เกิดขึ้น เหมือนบุรุษชนะแล้วพันคน
ไม่มีพวกพ้องที่พึ่งอาศัย ล่วงเสียจากอริยธรรม
มีอาการเหมือนเปรต ฉะนั้น.

ข้าพระองค์ทำสัตว์ทั้งหลาย ผู้ใคร่ต่อ
ความสุข ให้ได้รับความทุกข์ จึงได้มาถึงส่วน
อันนี้ ข้าพระองค์นั้นดำรงอยู่ เหมือนบุคคล
อันกองถ่านไฟล้อมรอบด้าน ย่อมไม่ได้ประสบ
ความสุขเลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อมิตฺตานํว หตฺถตฺถํ ความว่า
พระองค์เกือบจะมาถึงซึ่งความตั้งอยู่ไม่ได้ คือความพินาศในมือของพวก
อมิตร.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2019, 09:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
มาณพเรียกพระราชาว่า สีวิ ข้าแต่พระเจ้าสีวิราช. บทว่า
ปปฺโปติ มามิว ความว่า เหมือนดังข้าพระองค์ต้องประสบบาปกรรม.
อธิบายว่า ต้องถึงความพินาศด้วยกรรมของตนเอง. บทว่า กมฺมํ ได้แก่
กิจกรรมอันยังอาชีพให้สำเร็จ มีกสิกรรมเป็นต้นเป็นประเภท. บทว่า
วิชฺชํ ได้แก่ศิลปะ มีศิลปะในเพราะช้างเป็นต้น ซึ่งมีประการต่างๆ

กัน. บทว่า ทกฺเขยฺยํ ได้แก่ความเป็นผู้ฉลาดด้วยการยังโภคะให้เกิดขึ้น
มีประการต่างๆ บทว่า วิวาหํ ความว่า ไม่ทำอาวาหมงคลและวิวาห-
มงคล. บทว่า สีลมทฺทวํ ได้แก่ศีลมีอย่าง ๕ และความเป็นผู้มีวาจา
อ่อนหวาน มีกัลยาณมิตรผู้มุ่งประโยชน์สามารถช่วยห้ามการทำบาป

ก็ข้อนั้นแหละท่านหมายเอาว่า มัททวะในคาถานี้. บทว่า เอเตว ยเส
หาเปตฺวา ความว่า ทำโลกธรรมอันเป็นเหตุให้ถึงยศเหล่านี้มีประมาณ
เท่านี้ให้เสื่อมไป. บทว่า นิพฺพตฺโต เสหิ กมฺเมหิ ความว่า เกิด
เป็นมนุษย์เปรตด้วยกรรมของตน.

ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ดังนี้ ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้าพระองค์ไม่
กระทำกรรมที่ควรกระทำอันเป็นเหตุให้ถึงอิสริยยศในโลกนี้ ไม่ศึกษา
ศิลปวิทยา ไม่ขวนขวายยังโภคะให้เกิดโดยอุบาย ไม่ทำอาวาหวิวาหะ
ไม่รักษาศีล ไม่คบกัลยาณมิตรผู้สามารถห้ามไม่ให้ทำชั่วยังโลกธรรมอัน

ถึงการนับว่ายศ เพราะเป็นเหตุให้ได้ยศเหล่านี้ คือมีประมาณเท่านี้ให้
เสื่อมเสียไป คือละทิ้งเสีย เข้าไปสู่ป่านี้จนเกิดเป็นมนุษย์เปรตในบัดนี้
ด้วยบาปกรรมอันตนทำไว้เอง. บทว่า สหสฺสชีโนว ความว่า เหมือนมี
บุรุษได้ชนะแล้วพันคน. และมีอรรถาธิบายว่า ถ้าข้าพระองค์ปฏิบัติชอบ

ทำโภคะให้เกิดขึ้นมีชัยชนะ ด้วยโภคสมบัติหลายพันเหล่านั้น ดังนี้บ้าง.
บทว่า อปรายโน ความว่า ไม่มีพวกพ้องที่พึ่งอาศัย. บทว่า อริยธมฺมา
ความว่า ก้าวล่วงจากสัปปุริสธรรม. บทว่า ยถา เปโต ความว่า ถึง


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2019, 09:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ยังมีชีวิตอยู่ ก็เหมือนตายแล้วเกิดเป็นเปรต อธิบายว่า ข้าพระองค์
กลายเป็นมนุษย์เปรต. บทว่า สุขกาเม ทุกฺขาเปตฺวา ความว่า ข้า
พระองค์ได้ทำสัตว์ทั้งหลายผู้ใคร่ต่อความสุข ให้ได้รับความทุกข์. ปาฐะ-
เป็นสุขกาโม ก็มี ความก็ว่า ข้าพระองค์ปรารถนาความสุขด้วยตนเอง
แต่ยังผู้อื่นให้ได้รับความทุกข์. บทว่า อาปนฺโนสฺมิ ปทํ อิมํ ความว่า

ข้าพระองค์จึงถึงส่วนอันนี้ คือเห็นปานนี้. ปาฐะว่า ปถํ ดังนี้ ก็มี ความ
ก็ว่า ข้าพระองค์ต้องมาถึงอัตภาพอันเป็นครองแห่งทุกข์นี้. บทว่า €ิโต
ภาณุมกาสิว ความว่า ไฟท่านเรียกว่า ภาณุมา คือมาณพกราบทูลว่า
ข้าพระองค์เป็นราวกะว่า มีกองถ่านเพลิงรายรอบข้าง ถูกความเร่าร้อน
ใหญ่ที่ตั้งขึ้นในร่างกายเผาผลาญอยู่ ไม่ได้ประสบความสุขกายสุขใจเลย.

ก็มาณพนั้น ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว กราบทูลต่อไปว่า ข้าแต่
พระมหาราชเจ้า ข้าพระองค์ประสงค์ความสุข แต่ทำผู้อื่นให้ได้รับความ
ทุกข์ จึงเป็นมนุษย์เปรตในปัจจุบันทันตาเห็น เพราะฉะนั้นขอพระองค์

อย่าทรงทำกรรมชั่วเลย จงเสด็จไปพระนครของพระองค์ ทรงบำเพ็ญ
บุญมีให้ทานเป็นต้นเถิด. พระเจ้าสีวิราชได้ทรงกระทำตามนั้น ทรง
บำเพ็ญทางไปสู่สวรรค์.

สรภังคศาสดา นำเรื่องนี้มาแสดงให้ดาบสเข้าใจแจ่มแจ้งเป็นอัน
ดี. ดาบสนั้นได้ความสลดใจ เพราะถ้อยคำของสรภังคศาสดา จึงไหว้
ขอขมาโทษ แล้วทำกสิณบริกรรม ทำฌานที่เสื่อมแล้วให้กลับคืนเป็น
ปกติ. สรภังคดาบส ไม่ยอมให้นารทดาบสอยู่ที่ที่นั้น พาไปยังอาศรม
ของตน.

พระศาสดาครั้้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรง
ประกาศสัจจะ เวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้กระสันดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล
พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า นารทดาบสในครั้งนั้น ได้เป็นภิกษุผู้
กระสัน สาลิสสรดาบสได้เป็นพระสารีบุตร เมณฑิสสรดาบสได้เป็น

พระกัสสปะ ปัพพตดาบสได้เป็นพระอนุรุทธะ กาฬเทวิลดาบสได้เป็น
พระกัจจายนะ อนุสิสสะดาบสได้เป็นพระอานนท์ กิสวัจฉดาบสได้
เป็นพระโมคคัลลานะ ส่วนสรภังคดาบส คือเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาอินทรยชาดกที่ ๗

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2019, 13:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาอาทิตตชาดกที่ ๘

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
อสทิสทาน จึงได้ตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า อาทิตฺตสฺมึ ดังนี้. เรื่อง
อสทิสทาน มีเนื้อความพิสดารในอรรถกถา มหาโควินทสูตร.

ก็ในวันที่ ๒ จากวันที่พระเจ้าโกศลถวายอสทิสทานแล้ว ภิกษุ
ทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า อาวุโสทั้งหลาย พระเจ้าโกศล
ทรงฉลาดเลือกเนื้อนาบุญอันประเสริฐ ถวายมหาทานแด่อริยสงฆ์ มี
พระพุทธเจ้าเป็นประมุข. พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ดูก่อน

ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ? เมื่อภิกษุ
เหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การ
เลือกถวายทานในเนื้อนาบุญอันสูงยิ่งของพระเจ้าโกศล ไม่น่าอัศจรรย์
โบราณกบัณฑิตก็ได้เลือกเฟ้นแล้ว จึงได้ถวายมหาทานเหมือนกัน ดังนี้
แล้ว ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้:-

ในอดีตกาล พระเจ้าเภรุวมหาราช ครองราชสมบัติในเภรุว-
นคร สีวิรัฐ ทรงบำเพ็ญทศพิธราชธรรม สงเคราะห์มหาชนด้วย
สังคหวัตถุ ๔ ทรงดำรงอยู่ในฐานะเป็นมารดาบิดาของมหาชน ได้ให้ทาน
แก่คนกำพร้า วณิพก และยาจกทั้งหลายมากมาย. พระองค์มีอัครมเหสี

พระนามว่า สมุททวิชยาเป็นบัณฑิตสมบูรณ์ด้วยญาณ. วัน ๑
พระเจ้าเภรุวมหาราช เสด็จทอดพระเนตรโรงทาน ทรงพระดำริว่า
ปฏิคาหกทั้งหลายล้วนเป็นผู้ทุศีล เหลวไหล บริโภคทานของเราข้อนั้น
ไม่ทำให้เรายินดีเลย เราใคร่จะถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้มีศีล

เป็นอรรคทักขิไณยบุคคล แต่ท่านเหล่านั้นอยู่ในหิมวันตประเทศ ใคร
หนอจักไปนิมนต์ท่านมาได้เราจักส่งใครไปนิมนต์ได้ ทรงพระดำริดังนี้
แล้ว ได้ตรัสบอกความนั้นแด่พระเทวี. ลำดับนั้น พระเทวีได้ทูล


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2019, 13:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระราชาว่า ข้าแต่พระองค์ขอพระองค์อย่าทรงวิตกเลย เราจักส่งดอกไม้
ไปนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ด้วยกำลังทานที่จะพึงถวาย กำลัง
ศีลและกำลังความสัตย์ของเราทั้งหลาย ครั้นพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย
มาถึงแล้ว จึงจักถวายทานที่สมบูรณ์ด้วยบริขารทุกอย่าง. พระราชาทรง
รับสั่งว่าดีแล้ว ดังนี้แล้วรับสั่งให้ตีกลองประกาศว่า ชาวพระนครทั้งสิ้น

จงสมาทานศีล ส่วนพระองค์เองพร้อมด้วยราชบริพาร ก็ทรงอธิษฐาน
องค์แห่งอุโบสถบำเพ็ญมหาทาน แล้วให้ราชบุรุษถือกระเช้าทองใส่ดอก
มะลิเต็ม เสด็จลงจากปราสาทประทับที่พระลานหลวง ทรงกราบ
เบญจางคประดิษฐ์เหนือพื้นดิน แล้วผินพระพักตร์ไปทางทิศปราจีน
ถวายนมัสการแล้วประกาศว่า ข้าพเจ้าขอนมัสการ พระอรหันต์ทั้งหลาย

ในทิศปราจีน ถ้าคุณความดีอะไรๆ ของข้าพเจ้ามีอยู่ไซร้ ขอท่านทั้งหลาย
จงอนุเคราะห์พวกข้าพเจ้า โปรดมารับภิกษาหารของข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด
ประกาศดังนี้แล้ว ทรงซัดดอกมะลิไป ๗ กำมือ. ในวันรุ่งขึ้นไม่มี
พระปัจเจกพุทธเจ้ามา เพราะในทิศปราจีนไม่มีพระปัจเจกพุทธเจ้า.

ในวันที่ ๒ ทรงนมัสการไปทางทิศทักษิณ ก็หามีพระปัจเจกพุทธเจ้า
มาไม่. วันที่ ๓ ทรงนมัสการไปทางทิศปัจฉิม ก็หามีพระปัจเจกพุทธเจ้า
มาไม่. วันที่ ๔ ทรงนมัสการไปทางทิศอุดร. ก็แหละครั้นทรงนมัสการ
แล้ว ทรงซัดดอกมะลิไป ๗ กำมือ อธิษฐานว่า ขอพระปัจเจกพุทธเจ้า
ทั้งหลายที่อยู่ในหิมวันตประเทศด้านทิศอุดร จงมารับภิกษาหารของ
ข้าพเจ้า.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2019, 13:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ดอกมะลิได้ลอยไปตกลง เหนือพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย
๕๐๐ องค์ ที่เงื้อมภูเขานันทมูลกะ. พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น
พิจารณาดูก็รู้ว่า พระราชานิมนต์ วันรุ่งขึ้น จึงเรียกพระปัจเจกพุทธเจ้า
มา ๗ องค์ แล้วกล่าวว่า แน่ะ ท่านผู้เช่นกับด้วยเรา พระราชานิมนต์
ท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงสงเคราะห์พระราชาเถิด. พระปัจเจก-

พุทธเจ้าเหล่านั้น เหาะมาลงที่ประตูพระราชวัง. พระเจ้าเภรุวมหาราช
ทอดพระเนตรเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น แล้วทรงโสมนัสนมัส-
การแล้ว นิมนต์ขึ้นปราสาท ทรงสักการะบูชาเป็นการใหญ่แล้วถวาย
ทาน ครั้นฉันเสร็จแล้วได้นิมนต์ให้มาฉันวันต่อๆ ไปอีกจนครบ ๖ วัน
ในวันที่ ๗ ทรงจัดแจงบริขารทานทุกอย่าง แต่งตั้งเตียงตั่งที่วิจิตรด้วย

แก้ว ๗ ประการ ทรงวางเครื่องสมณบริโภคทั้งปวงมีไตรจีวรเป็นต้น
ในสำนักของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง ๗ พระองค์ ถวายนมัสการตรัสว่า
ข้าพเจ้าขอถวายบริขารเหล่านี้ทั้งหมดแด่พระคุณเจ้าทั้งหลาย เมื่อพระ-
ปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นฉันเสร็จแล้ว พระราชาและพระเทวีทั้ง ๒ พระ-
องค์ประทับยืนนมัสการอยู่.

ลำดับนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้เป็นใหญ่ในหมู่เมื่อจะอนุโมทนา
แด่พระราชาและพระเทวี จึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า:-
เมื่อเรือนถูกไฟไหม้ บุคคลผู้เป็นเจ้าของ
ขนเอาสิ่งของอันใดออกได้ สิ่งของอันนั้น
ย่อมเป็นประโยชน์แก่เจ้าของนั้น แต่ของที่
ถูกไฟไหม้ย่อมไม่เป็นประโยชน์แก่เขา.

โลกถูกชราและมรณะเผาแล้วอย่างนี้
บุคคลพึงนำออกเสียด้วยการให้ทาน ทานที่ให้
แล้วจะน้อยก็ตาม มากก็ตาม ชื่อว่าเป็นอัน
นำออกดีแล้ว.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 131, 132, 133, 134, 135, 136, 137 ... 151  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร