วันเวลาปัจจุบัน 14 ส.ค. 2025, 05:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 127, 128, 129, 130, 131, 132, 133 ... 151  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ม.ค. 2019, 21:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เถียงว่า เมื่อวานฉันก็ได้เคาะเตียงของแม่ ใครจักอาจช่วยเหลือการงาน
ของคนเช่นนี้ได้ นางคิดว่า คราวนี้เราจักให้ลูกชายเขาใส่โทษ จึง
แกล้งบ้วนน้ำลาย สั่งน้ำมูกเรี่ยลาดไว้ในที่นั้นๆ เมื่อสามีถามว่า ใคร
ทำเรือนนี้ให้สกปรกไปหมด นางก็กล่าวว่า มารดาของท่านทำอย่างนี้
ฉันบอกว่าอย่าทำเลย ก็พาลทะเลาะ ฉันไม่อาจอยู่ร่วมเรือนกับหญิง

กาลกรรณีเช่นนี้ เรือนนี้ท่านจะให้มารดาของท่านอยู่ หรือจักให้ฉันอยู่.
อุบาสกผู้เลี้ยงมารดาได้ฟังคำของนางแล้ว กล่าวว่า น้องรักเธอยังสาวอยู่
อาจที่จะไปดำรงชีพอยู่ในที่ใดๆ ได้ ส่วนแม่ของฉันเป็นคนแก่ทุพพลภาพ
ฉันเท่านั้นเป็นที่พึ่งของแม่เธอจงออกจากบ้านไปสู่ตระกูลของตน. นาง

ได้ฟังคำของสามีแล้วมีความกลัว คิดว่า เราไม่อาจแยกสามีของเราจาก
มารดาได้ มารดาเป็นที่รักของเขาโดยส่วนเดียว ถ้าเราไปสู่เรือนแห่ง
ตระกูล เราจักต้องอยู่อย่างเป็นหม้าย ได้รับแต่ความทุกข์เท่านั้น เรา
จักปฏิบัติให้แม่ผัวโปรดปรานเหมือนแต่ก่อน. ตั้งแต่นั้นมา นางได้
ปฏิบัติแม่ผัวเหมือนดังก่อนทีเดียว.

อยู่มาวันหนึ่ง อุบาสกผู้เลี้ยงมารดานั้นไปสู่พระวิหารเชตวัน
เพื่อฟังพระธรรม ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้าง
หนึ่ง. พระบรมศาสดาตรัสถามว่า อุบาสกท่านไม่ประมาทในบุญกรรม
มิใช่หรือ ท่านบำเพ็ญมาตาปิตุปัฏฐานกิจมิใช่หรือ ? เขากราบทูลเรื่อง

ทั้งหมดแด่พระศาสดาว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มารดาของ
ข้าพระองค์นำหญิงในตระกูลคนหนึ่งมาเพื่อข้าพระองค์ โดยที่ข้าพระองค์
ไม่ชอบใจเลย นางนั้นได้ทำอนาจารต่างๆ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ถึงอย่างนี้นางก็ไม่อาจจะแยกข้าพระองค์จากมารดาได้ เดี๋ยวนี้นางได้
บำรุงเลี้ยงมารดาโดยเคารพ.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ม.ค. 2019, 21:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระศาสดาทรงสดับด้วยคำของอุบาสกนั้นแล้ว มีพระดำรัสว่า
อาวุโส เดี๋ยวนี้เธอไม่กระทำตามคำของหญิงนั้น แต่เมื่อก่อนเธอได้ขับไล่
มารดาของเธอตามคำของนาง แต่ได้อาศัยเราจึงได้นำมารดามาสู่เรือน
บำรุงเลี้ยงอีก อุบาสกทูลอาราธนาให้ตรัสเรื่องราว จึงได้ทรงนำเอาเรื่อง
ในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้:-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร-
พาราณสี กุลบุตรของตระกูลหนึ่ง เมื่อบิดาตายแล้ว เขาบูชามารดา
เหมือนเทวดา ปฏิบัติมารดาโดยทำนองดังกล่าวแล้ว เรื่องทั้งหมดมี
เนื้อความพิสดารตามทำนองที่กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล. จับความ

ตอนนี้ว่า ก็เมื่อหญิงนั้น กล่าวกะสามีว่า ฉันไม่อาจอยู่ร่วมกับหญิง
กาลกรรณีเช่นนี้ได้ เรือนนี้ท่านจะให้มารดาของท่านอยู่ หรือจะให้ฉัน
อยู่ กุลบุตรนั้น เชื่อถ้อยคำของหญิงนั้น คิดว่า เป็นความผิดของแม่
เราคนเดียวจึงกล่าวกะมารดาว่า แม่ แม่ก่อการทะเลาะขึ้นในเรือนนี้

เป็นนิตย์ แม่จงออกจากเรือนนี้ไปอยู่ในที่อื่นตามชอบใจเถิด. มารดา
พูดว่า ดีแล้ว ร้องไห้ออกจากบ้านไปอาศัยตระกูลที่เป็นเพื่อนกัน ตระกูล
หนึ่งทำงานรับจ้างเขาเลี้ยงชีพอยู่ด้วยความลำบาก. ในเมื่อนางทำการ
ทะเลาะกับแม่ผัวในเรือนจนแม่ผัวออกจากบ้านไปแล้ว นางก็ได้ตั้งครรภ์.

นางบอกกับสามีและเที่ยวพูดกับชาวบ้านว่า เมื่อหญิงกาลกรรณีนั้นอยู่
ในเรือน ฉันไม่ได้ตั้งครรภ์ เดี๋ยวนี้ฉันได้มีครรภ์แล้ว. ต่อมานาง
คลอดบุตรแล้วกล่าวกะสามีที่รักว่า เมื่อมารดาของท่านอยู่ในเรือนฉันไม่
ได้บุตร เดี๋ยวนี้ฉันได้แล้ว ท่านจงรู้ว่ามารดาของท่านเป็นกาลกรรณีด้วย
เหตุนี้เถิด. ฝ่ายหญิงผู้เป็นมารดาได้ข่าวว่า เขาว่ากันว่า หญิงสะใภ้ได้


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ม.ค. 2019, 21:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บุตรในเวลาที่เราถูกไล่ออกจากบ้าน นางจึงคิดว่าในโลกนี้ธรรมคงจัก
สูญไปแน่แล้ว ถ้าธรรมยังไม่สูญ ผู้ที่โบยตีมารดาแล้วขับไล่ออกจากบ้าน
ไม่ควรได้บุตร ไม่ควรเป็นอยู่อย่างสบาย เราจักถวายมตกภัตต์แก่ธรรม.
วันหนึ่ง นางถืองา แป้ง ข้าวสาร ถาดสำรับหนึ่ง และทัพพีไปป่าช้า
ผีดิบเอาศีรษะมนุษย์สามศีรษะมาทำเตา ก่อไฟขึ้นแล้วลงน้ำสระหัว
บ้วนปากเสร็จแล้วมาที่เตา สยายผมแล้วเริ่มซาวข้าวสาร.

ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นท้าวสักกเทวราช.
ธรรมดาพระโพธิสัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นผู้ไม่ประมาท. ขณะนั้นพระองค์
ตรวจดูหมู่สัตวโลก เห็นหญิงนั้นกำลังมีความทุกข์ ประสงค์จะถวาย
มตกภัตต์แก่ธรรม ด้วยเข้าใจว่าธรรมได้สูญเสียแล้ว จึงทรงดำริว่า

วันนี้เราจักแสดงกำลังของเรา ได้แปลงเพศเป็นพราหมณ์ทำเป็นเดิน
ทางไป ครั้นเห็นหญิงนั้น จึงแวะไปยืนใกล้นาง กล่าวว่านี่แน่ะแม่คุณ
ไม่มีธรรมดาที่ไหน ที่หุงหาอาหารกันในป่าช้าท่านจะเอาข้าวสุกคลุกงา
ที่ทำให้สุกในป่าช้านี้ไปทำอะไร ดังนี้ เมื่อจะเริ่มสนทนา จึงกล่าวคาถา
ที่ ๑ ว่า:-

ดูก่อนแม่กัจจานี ท่านสระผม นุ่งห่ม
ผ้าขาวสะอาด ยกถาดสำหรับนึ่ง ขึ้นบนเตา
ที่ทำด้วยศีรษะมนุษย์ ยีแป้ง ล้างงา ซาวข้าวสวย
ทำไม ข้าวสุกคลุกงา จะมีไว้เพื่อเหตุอะไร ?

พึงทราบวินิจฉัยในคาถานั้น ดังต่อไปนี้:- ท้าวสักกเทวราช
เรียกหญิงนั้น โดยโคตรว่า กัจจานี.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ม.ค. 2019, 21:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บทว่า กุมฺภิมธิสฺสยิตฺวา ความว่า ยกถาดสำหรับนึ่งนี้ขึ้นบน
เตาที่ทำด้วยศีรษะมนุษย์
บทว่า เหหิติ ความว่า ข้าวสุกคลุกงานี้จะมีไว้เพื่อเหตุอะไร
คือท่านจะบริโภคด้วยตนเองหรือยังมีเหตุอย่างอื่นแอบแฝงอยู่ ?
ลำดับนั้น หญิงนั้นเมื่อจะบอกความแก่ท้าวสักกะเทวราช ได้
กล่าวคาถาที่ ๒ ว่า:-

ดูก่อนพราหมณ์ ข้าวสุกคลุกงา ที่ทำ
ให้สุกดีนี้ มิใช่เพื่อบริโภคเอง ธรรมคือความ
อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ และธรรมคือสุจริต ๓
ประการ ได้สูญไปแล้ว วันนี้ข้าพเจ้าจักทำการ
บูชาธรรมนั้น ในกลางป่าช้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺโม ได้แก่ธรรมคือความอ่อนน้อม
ต่อผู้เจริญ. และธรรมคือสุจริต ๓ ประการ.
บทว่า ตสฺส ปหูนมชฺช ความว่า ข้าพเจ้าจักกระทำมตกภัตร
คือภัตรเพื่อผู้ตายนี้ แก่ธรรมนั้น.
ต่อจากนั้น ท้าวสักกเทวราช จึงได้ตรัสคาถาที่ ๓ ว่า:-

ดูก่อนแม่กัจจานี เธอจงตริตรองก่อน
แล้วจึงทำการงาน ใครบอกเธอว่า ธรรมสูญ
เสียแล้ว ธรรมอันประเสริฐ เปรียบด้วยท้าว
สหัสสเนตร มีอานุภาพหาที่เปรียบมิได้ ย่อม
ไม่ตายในกาลไหนๆ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนุวิจฺจ ความว่า ท่านจงตริตรอง
คือรู้ให้ชัดเจน.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ม.ค. 2019, 21:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บทว่า โก นุ ตเวตสํสิ ความว่า ใครหนอบอกความนี้แก่
ท่าน ?
ท้าวสักกเทวราช เมื่อจะทรงแสดงพระองค์เปรียบด้วยธรรมอัน
ประเสริฐ คือธรรมอันสูงสุด จึงตรัสอย่างนี้ว่า สหสฺสเนตฺโต
นางได้ฟังดังนั้นแล้ว จึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า:-

ข้าแต่ท่านผู้ประเสริฐ ในข้อที่ว่า ธรรม
สูญแล้วนี้ ข้าพเจ้านึกมั่นใจเอาเอง ในข้อที่ว่า
ธรรมไม่มีสูญนี้ ข้าพเจ้ายังสงสัย เพราะ
เดี๋ยวนี้ คนมีบาปย่อมมีความสุข.

เช่นหญิงสะใภ้ของข้าพเจ้าเป็นหญิงหมัน
นางทุบตีขับไล่ข้าพเจ้าแล้วคลอดบุตร เดี๋ยวนี้
นางได้เป็นใหญ่แห่งตระกูลทั้งหมด ข้าพเจ้า
ถูกทอดทิ้ง ไม่มีที่พึ่งอยู่คนเดียว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทฬฺหปฺปมาณํ ความว่า หญิงนั้น
กล่าวว่า ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ในขอทวาธรรมสูญแล้วนี้ ข้าพเจ้ามั่นใจ
แน่นอนอย่างปราศจากข้อสงสัย.
บทว่า เย เย ความว่า เมื่อหญิงนั้นจะแสดงเหตุในข้อที่ธรรม
นั้นเป็นของสูญแล้ว จึงกล่าวอย่างนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วธิตฺวาน ความว่า นางทุบตี ขับไล่.
บทว่า อปวิฏฺ€า ความว่า ข้าพเจ้าถูกทอดทิ้งไม่มีที่พึ่ง ต้อง
อยู่ผู้เดียว.
ต่อแต่นั้น ท้าวสักกะได้กล่าวคาถาที่ ๖ ว่า:-
เรายังเป็นอยู่ ยังไม่ตาย เรามาในที่นี้
เพื่อประโยชน์สำหรับท่านโดยเฉพาะ หญิง
สะใภ้คนใดทุบตีขับไล่ท่าน แล้วคลอดบุตร
เราจักทำหญิงสะใภ้คนนั้นพร้อมทั้งบุตร ให้
เป็นเถ้าธุลีเดี๋ยวนี้.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ม.ค. 2019, 21:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โว เป็นเพียงนิบาต.
นางได้ฟังดังนั้นแล้วคิดว่า เราพูดอะไรไป เราจักทำอาการที่
หลานของเราจะไม่ตาย แล้วกล่าวคาถาที่ ๗ ว่า:-

ข้าแต่เทวราช พระองค์ทรงพอพระทัย
เสด็จมาในที่นี้ เพื่อประโยชน์สำหรับหม่อมฉัน
โดยเฉพาะอย่างนี้ ขอให้หม่อมฉัน บุตร
ลูกสะใภ้ และหลานได้อยู่เรือนร่วมกันโดย
ความบันเทิงเถิด.
ลำดับนั้น ท้าวสักเทวราช จึงได้ตรัสคาถาที่ ๘ แก่นางว่า:-

ดูก่อนแม่กาติยานี เธอชอบใจเช่นนั้น
ก็ตาม เธอถึงจะถูกทุบตีขับไล่ ก็ไม่ละธรรม
คือความเมตตา ขอให้เธอพร้อมทั้งบุตร ลูก-
สะใภ้และหลาน จงอยู่ร่วมเรือนกัน โดยความ
บันเทิงเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หตาปิ สนฺตา ความว่า เธอ
แม้ถึงจะถูกทุบตี แม้ถึงจะถูกขับไล่ ก็ยังไม่ละธรรมคือความเมตตาใน
เด็กๆ เมื่อเป็นเช่นนั้น เธอปรารถนาอย่างใด ก็จงสมประสงค์อย่างนั้น
เราเลื่อมใสในคุณธรรมนี้ของเธอ.

ก็แหละท้าวสักกเทวราช ครั้นตรัสอย่างนี้แล้วก็ประดับตกแต่ง
พระองค์ ประทับยืนอยู่บนอากาศด้วยอานุภาพของพระองค์ แล้วตรัสว่า
ดูก่อนแม่กัจจานี เธออย่ากลัวเลย ทั้งลูก และลูกสะใภ้ของเธอจักมา
ด้วยอานุภาพของเราจักขอขมาโทษในระหว่างทาง แล้วจักพาท่านไป
ท่านจงเป็นผู้ไม่ประมาท ดังนี้แล้ว เสด็จไปสู่วิมานของพระองค์.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ม.ค. 2019, 21:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ด้วยอานุภาพของท้าวสักกเทวราช บันดาลให้ลูกสะใภ้ ระลึก
ถึงคุณของมารดา เขาพากันถามคนในบ้านว่า มารดาของเราไปไหน ?
ครั้นได้ทราบว่าเดินทางไปป่าช้า จึงพากันเดินทางไปป่าช้า พลาง
รำพรรณไปว่า แม่ แม่ พอเห็นมารดาก็หมอบลงที่เท้ากล่าวขอ

ขมาโทษว่า ดูก่อนแม่ ขอแม่ได้โปรดยกโทษให้แก่ลูกเถิด ขออย่าได้ถือ
โทษเลย. แม้มารดาก็รับหลานมาอุ้ม. ทั้งหมดต่างมีความปราโมทย์พากัน
กลับบ้านอยู่กันด้วยความสามัคคีแต่นั้นมา ด้วยประการฉะนี้.

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสอภิสัมพุทธคาถานี้ว่า:-
นางกาติยานี ได้อยู่ร่วมเรือนกับลูกสะใภ้
ด้วยความบันเทิง ทั้งบุตรและหลานต่างช่วย
กันบำรุงเลี้ยง ก็เพราะท้าวสักกเทวราชทรง
อนุเคราะห์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สา กาติยานี ความว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย นางกัจจานี เป็นกัจจายนโคตร.
บทว่า เทวานมินฺเทน อธิคฺคหีตา ความว่า คนเหล่านั้น
อันท้าวสักกเทวราชผู้เป็นจอมเทวัน ทรงอนุเคราะห์แล้ว จึงอยู่ร่วมกัน
ด้วยความสมัครสมานสามัคคีด้วยอานุภาพของท้าวเธอ.

พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาตรัสจบลงแล้ว
ทรงประกาศสัจธรรม แล้วทรงประชุมชาดก ในเวลาจบสัจธรรม
อุบาสกผู้เลี้ยงมารดานั้น ได้เป็นพระโสดาบัน ก็อุบาสกผู้เลี้ยงมารดาใน
ครั้งนั้น ได้มาเป็นอุบาสกผู้เลี้ยงมารดาในบัดนี้ แม้ภรรยาของเขาใน
ครั้งนั้น ได้มาเป็นภรรยาในบัดนี้ ท้าวสักกเทวราชได้มาเป็นเราตถาคต
ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถากัจจานิโคตตชาดกที่ ๑

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ม.ค. 2019, 21:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาอัฏฐสัททชาดกที่ ๒

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
เสียงแสดงความแร้นแค้น อันน่าสะดุ้งกลัวที่พระเจ้าโกศลได้ทรงสดับ
ในเวลาเที่ยงคืน จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า อิทํ ปุเร นินฺนมาหุ
ดังนี้. เนื้อเรื่องก็เช่นเดียวกับที่กล่าวมาแล้วในโลหกุมภิชาดก ใน
จตุกกนิบาตนั่นแหละ.

ส่วนในเรื่องนี้ เมื่อพระเจ้าโกศลทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้
เจริญ จะมีเหตุอะไรเกิดขึ้น เพราะเสียงที่ข้าพระองค์ได้สดับนี้ พระ-
บรมศาสดาจึงตรัสว่า มหาบพิตรขอพระองค์อย่าได้ทรงกลัวเลย จะไม่
มีอันตรายใดๆ แก่พระองค์ เพราะเหตุที่ได้ทรงสดับเสียงเหล่านั้น
มหาบพิตร พระองค์ได้ทรงสดับเสียงแสดงความแร้นแค้นอันน่าสะดุ้ง

กลัวเช่นนี้ แต่พระองค์เดียวก็หามิได้ แม้พระราชาองค์ก่อนๆ ก็ได้
สดับเสียงเช่นนี้ แล้วเชื่อคำของพวกพราหมณ์ ประสงค์จะบูชายัญด้วย
สัตว์อย่างละ ๔ ครั้นได้ฟังถ้อยคำของบัณฑิต จึงรับสั่งให้ปล่อยสัตว์ที่จับ
ไว้เพื่อจะฆ่าบูชายัญ แล้วให้ตีกลองเป่าประกาศห้ามฆ่าสัตว์ทั่วพระนคร
พระเจ้าโกศลทูลอาราธนาให้ตรัสเรื่องราว จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมา
สาธก ดังต่อไปนี้:-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระนคร
พาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ที่มีสมบัติแปดสิบโกฏิ
ครั้นเจริญวัย ได้ศึกษาศิลปวิทยาในเมืองตักกศิลา เมื่อมารดาบิดาตาย
ไปแล้ว จึงตรวจดูทรัพย์สมบัติ แล้วสละสมบัติทั้งหมดให้เป็นทาน ละ

กามารมณ์เข้าป่าหิมพานต์ บวชเป็นฤๅษี ทำฌานอภิญญาให้บังเกิดแล้ว
แต่ต้องการจะเสพรสเค็ม รสเปรี้ยว จึงไปยังถิ่นมนุษย์ ถึงเมืองพา-
ราณสีแล้ว พำนักอยู่ในพระราชอุทยาน. ในครั้งนั้น พระเจ้าพาราณสี
เสด็จประทับเหนือพระแท่นสิริไสยาสน์ ในเวลาเที่ยงคืน ได้ทรงสดับ
เสียง ๘ อย่างคือ:-


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ม.ค. 2019, 21:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
๑. นกยางตัวหนึ่ง ในพระราชอุทยาน ใกล้พระราชวังร้อง.
๒. เสียงร้องของนกยางยังไม่ทันขาดเสียง แม่กาซึ่งอาศัยอยู่ที่
เสาระเนียดโรงช้าง ร้อง.
๓. แมลงภู่ซึ่งอาศัยอยู่ที่ช่อฟ้าเรือนหลวง ร้อง.
๔. นกดุเหว่าที่เลี้ยงไว้ในเรือนหลวง ร้อง.
๕. เนื้อที่เลี้ยงไว้ในเรือนหลวง ร้อง.
๖. วานรที่เลี้ยงไว้ในเรือนหลวง ร้อง.
๗. กินนรที่เลี้ยงไว้ในเรือนหลวง ร้อง.
๘. เมื่อเสียงร้องของกินนรยังไม่ทันขาดเสียง พระปัจเจกพุทธ-
เจ้า ผู้ไปถึงพระราชอุทยาน ท้ายพระราชวัง เมื่อจะเปล่งอุทานครั้งหนึ่ง
ได้ทำเสียงขึ้น.

พระเจ้าพาราณสี ได้ทรงสดับเสียง ๘ อย่างเหล่านี้แล้ว ตก
พระทัย สะดุ้งกลัว ในวันรุ่งขึ้นจึงตรัสถามพวกพราหมณ์. พราหมณ์
ทั้งหลายพากันกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า อันตรายปรากฏแก่พระ-
องค์ พวกข้าพระองค์จักบูชายัญด้วยวิธีสัตว์อย่างละ ๔ เมื่อพระราชา
ทรงอนุญาตว่า ท่านทั้งหลายจงทำตามชอบใจ ต่างก็พากันร่าเริงยินดี
ออกจากราชสำนักไปเริ่มยัญญกรรม.

ครั้งนั้นมาณพ ผู้เป็นศิษย์ของหัวหน้าพราหมณ์ผู้ทำยัญญกรรม
เป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด กล่าวกะอาจารย์ว่า ข้าแต่อาจารย์ ยัญญกรรม
อย่างนี้ เป็นกรรมหยาบช้ากล้าแข็ง ไม่เป็นที่น่ายินดี ก่อความพินาศ
แก่สัตว์เป็นอันมาก ขอท่านอย่าได้ทำเลย. อาจารย์กล่าวว่า พ่อเอย

เจ้าช่างไม่รู้อะไรเสียเลย ถ้าจักไม่มีอะไรอย่างอื่นขึ้น พวกเราก็จักได้
กินปลาและเนื้อมากมายก่อน. มาณพกล่าวว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์ ขอ
ท่านอย่าได้ทำกรรมที่จะให้เกิดในนรก เพราะอาศัยท้องเลย. พวก
พราหมณ์ที่เหลือได้ฟังดังนั้นก็โกรธมาณพว่า มาณพเป็นอันตรายต่อลาภ

ของพวกเรา. เพราะกลัวพราหมณ์เหล่านั้น มาณพจึงกล่าวว่า ถ้าเช่น
นั้น พวกท่านจงทำอุบายกินปลาและเนื้อเถิด แล้วออกไปนอกพระนคร
พิจารณาดู สมณะผู้มีธรรม ซึ่งสามารถจะห้ามพระราชาได้ ไปพระ-


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ม.ค. 2019, 21:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ราชอุทยาน เห็นพระโพธิสัตว์ไหว้แล้วกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ท่านไม่มีความอนุเคราะห์ในสัตว์ทั้งหลายบ้างหรือ พระราชารับสั่ง
ให้ฆ่าสัตว์เป็นอันมากบูชายัญ การที่ท่านจะทำให้มหาชนพ้นจากเครื่อง
พันธนาการ จะไม่สมควรหรือ ?

พระโพธิสัตว์ ตอบว่า ถูกแล้ว มาณพ แต่เราอยู่ที่นี่ พระ-
ราชาก็ไม่รู้จักเรา เราก็ไม่รู้จักพระราชา.
มาณพถามว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็ท่านรู้ความสำเร็จผลแห่งเสียง
ที่พระราชาทรงสดับหรือ ?
เออ เรารู้

เมื่อรู้ เหตุไรจึงไม่กราบทูลพระราชา ?
ดูก่อนมาณพ เราผูกเขาสัตว์ไว้ที่หน้าผาก จะอาจบอกว่า เรารู้
ได้อย่างไร ถ้าพระราชาเสด็จมาที่นี้แล้วตรัสถามว่า เราก็จักกราบทูลให้
ทรงทราบ.

มาณพก็รีบไปราชสำนักโดยเร็ว เมื่อพระราชาตรัสถามว่า อะไร
กันเล่าพ่อคุณ ? ก็กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า มีดาบสองค์หนึ่ง รู้
ความสำเร็จผลแห่งเสียงที่พระองค์ได้ทรงสะดับ นั่งอยู่บนมงคลศิลา ใน
พระราชอุทยานของพระองค์ กล่าวว่า ถ้าพระราชาตรัสถามเรา เราจัก
กราบทูลให้ทรงทราบ พระองค์ควรเสด็จไปถามพระดาบสนั้น พระเจ้าข้า.

พระราชาเสด็จไปในที่นั้นโดยเร็ว ไหว้พระดาบสแล้ว อันพระ-
ดาบสทำปฏิสันถารแล้ว ประทับนั่งแล้วตรัสถามว่า ได้ยินว่า พระคุณเจ้า
รู้ความสำเร็จผลแห่งเสียง ที่ข้าพเจ้าได้ฟังจริงหรือ ?


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ม.ค. 2019, 21:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ถูกแล้ว มหาบพิตร.
ถ้าเช่นนั้น ขอพระคุณเจ้า ได้กรุณาชี้แจงความสำเร็จผลแห่ง
เสียงที่ข้าพเจ้าได้ฟังนั้น แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด.

มหาบพิตร จะไม่มีอันตรายไรๆ แก่พระองค์เลย เพราะได้ทรง
สดับเสียงเหล่านั้น ก็นกยางตัวหนึ่งมีอยู่ที่สวนเก่า นกยางนั้นเมื่อไม่
ได้เหยื่อ ถูกความหิวครอบงำ ได้ร้องขึ้นเป็นเสียงแรก พระดาบสกราบ
ทูลดังนี้แล้ว โดยที่กำหนดรู้กิริยาของนกยางด้วยญาณของตน จึงได้
กล่าวคาถาที่ ๑ ความว่า:-

สระมงคลโบกขรณีนี้ แต่ก่อนเป็นที่ลุ่ม
ลึก มีน้ำมาก มีปลามาก เป็นที่อยู่อาศัยของ
พญานกยาง เป็นที่อยู่แห่งบิดาของเรา บัดนี้
น้ำแห้ง วันนี้พวกเราจะพากันเลี้ยงชีพด้วยกบ
ถึงพวกเราจะถูกความหิวบีบคั้นถึงเพียงนี้ ก็
จะไม่ละที่อยู่.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิทํ พระดาบสกล่าวหมายถึงสระ-
โบกขรณีที่เป็นมงคลนั้น เมื่อก่อนมีน้ำไหลซึมไปตามสุมทุมพุ่มไม้ที่อยู่
ในน้ำ จึงมีน้ำมาก มีปลามาก แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นสระมีน้ำน้อย เพราะ
น้ำแห้งขอดเสียแล้ว.

บทว่า ตฺยชฺช เภเกน ความว่า วันนี้พวกเราเมื่อไม่ได้ปลา
เหล่านั้นเป็นอาหาร ก็จะพากันเลี้ยงชีพด้วยกบ.
บทว่า โอกํ ความว่า ถึงพวกเราจะถูกความหิวบีบคั้นถึงเพียงนี้
ก็จะไม่ยอมละทิ้งที่อยู่ไป.

พระดาบสกราบทูลต่อไปว่า ดูก่อนมหาบพิตร ด้วยเหตุดังทูล
มานี้ นกยางนั้น ถูกความหิวบีบคั้นจึงร้อง แม้ถ้าพระองค์ประสงค์จะ
เปลื้องนกยางนั้น ให้พ้นจากความหิว จงชำระสวนให้สะอาด แล้วไข
น้ำเข้าให้เต็มสระโบกขรณี. พระราชารับสั่งให้อำมาตย์คนหนึ่งกระทำ
ตามนั้น.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ม.ค. 2019, 22:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระดาบสกราบทูลต่อไปว่า ดูก่อนมหาราชเจ้า แม่กาตัวหนึ่ง
อยู่ที่เสาระเนียดโรงช้างของพระองค์ โศกเศร้าถึงลูกของตัว จึงได้ร้อง
เป็นเสียงที่สอง แม้เพราะเหตุนั้นภัยก็มิได้มีแก่พระองค์ ดังนี้แล้วกล่าว
คาถาที่ ๒ ความว่า:-

ใครจะทำลายนัยน์ตาข้างที่สองของนาย
พันธุระ ผู้มีอาวุธในมือให้แตกได้ ใครจักกระ
ทำลูกรักของเรา และตัวเราให้มีความสวัสดีได้.

ครั้นกล่าวดังนี้ ได้ทูลถามว่า ดูก่อนมหาบพิตร นายควาญช้าง
ที่โรงช้างของพระองค์ชื่อไร ?
ชื่อพันธุระขอรับ ท่านผู้เจริญ
มหาบพิตร เขาตาบอดข้างหนึ่งหรือ ?
พระราชา ถูกแล้ว ท่านผู้เจริญ

ดูก่อนมหาบพิตร แม่กาตัวหนึ่งทำรังอยู่ที่เสาระเนียดประตูโรง-
ช้าง ออกไข่ ฟักไข่แล้ว ลูกก็ออกจากฟองไข่ นายควาญช้างขี่ช้าง
เข้าออกจากโรงช้าง เอาขอตีแม่กาบ้าง ลูกกาบ้าง รื้อรังเสียบ้าง แม่
กาได้รับความลำบากเช่นนั้น จึงร้องขอให้นัยน์ตานายควาญช้างนั้นบอด

เสียทั้งสองข้าง. ถ้าพระองค์จะทรงมีพระทัยเมตตาแก่แม่กา โปรดเรียก
นายพันธุระนั้นมา จงห้ามอย่าให้เรื้อรังอีก. พระราชาให้หาตัวนาย-
พันธุระมา ทรงบริภาษแล้วไล่ออก แล้วทรงตั้งคนอื่นเป็นนายควาญ-
ช้างแทน.

พระดาบสกราบทูลต่อไปว่า ดูก่อนมหาบพิตร มีแมลงภู่ตัวหนึ่ง
อยู่ที่ช่อฟ้ามหาปราสาท กัดกระพี้กินหมดแล้ว ไม่อาจกัดแก่นกินได้
เมื่อไม่ได้อาหารก็ไม่อาจออกไป จึงคร่ำครวญเป็นเสียงที่สาม แม้เพราะ
เหตุนั้น ภัยก็มิได้มีแก่พระองค์ ดังนี้แล้ว โดยที่กำหนดรู้กิริยาของ
แมลงภู่นั้นด้วยญาณของตน จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ความว่า:-


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ม.ค. 2019, 22:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ดูก่อนมหาบพิตร คติของกระพี้ไม้นั้นมี
อยู่เพียงใด กระพี้ไม้ทั้งหมด แมลงภู่เจาะกิน
สิ้นแล้วเพียงนั้น แมลงภู่หมดอาหารแล้ว จึง
ไม่ยินดีในไม้แก่น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยาว ตสฺสา คตี อหุ ความว่า
กระพี้ไม้นั้น ได้ให้ความสำเร็จประโยชน์มาแล้วเพียงใด กระพี้ไม้นั้น
แมลงภู่ก็กัดกินเสียหมดสิ้นเพียงนั้น.

บทว่า น รมตี ความว่า พระดาบสทูลว่า ดูก่อนมหาบพิตร
แมลงภู่นั้น ออกจากที่นั้นแล้ว เมื่อไม่เห็นทางที่จะบินไปได้ จึงได้ร้อง
คร่ำครวญอยู่ ขอพระองค์จงให้คนนำแมลงภู่นั้น ออกจากช่อฟ้าเถิด.
พระราชารับสั่งให้บุรุษคนหนึ่ง นำแมลงภู่ออกได้ด้วยอุบาย.

พระดาบสกราบทูลต่อไปว่า ดูก่อนมหาบพิตร ในพระราชวัง
ของพระองค์ มีนกดุเหว่าที่เลี้ยงไว้ตัวหนึ่งมิใช่หรือ ?
พระราชาตรัสว่า มีอยู่ขอรับ.

พระดาบสกราบทูลว่า ดูก่อนมหาบพิตร นกดุเหว่านั้นคิดถึง
ไพรสณฑ์ที่ตนเคยอยู่ ดิ้นรนคิดว่า เมื่อไรหนอเราจึงจะพ้นกรงนี้ ไป
สู่ไพรสณฑ์ที่น่ารื่นรมย์ จึงได้ร้องขึ้นเป็นเสียงที่สี่ แม้เพราะเหตุนี้
ภัยก็มิได้มีแก่พระองค์ดังนี้ แล้วกล่าวคาถาที่ ๔ ความว่า:-

ไฉนหนอ เราจึงจะจากที่นี่ไปให้พ้น จาก
ราชนิเวศน์เสียได้ บันเทิงใจ ชมต้นไม้กิ่งไม้ที่
มีดอก ทำรังอาศัยอยู่ตามประสาของเรา.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุมสาขานิเกตินี ความว่า ทำรัง
อาศัยอยู่อย่างสบาย ที่ต้นไม้กิ่งไม้ที่มีดอกบานสะพรั่ง.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2019, 07:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ก็แหละครั้นกราบทูลอย่างนี้แล้ว ได้กราบทูลต่อไปว่า ดูก่อน
มหาบพิตร นกดุเหว่านั้นดิ้นรน ขอพระองค์จงปล่อยนกดุเหว่านั้นเถิด.
พระราชารับสั่งให้กระทำตามนั้น. พระดาบสกราบทูลต่อไปว่า ในพระ-
ราชวังของพระองค์มีเนื้อที่เลี้ยงไว้ตัวหนึ่งมิใช่หรือ ?

พระราชาตรัสว่า มีขอรับ.
พระดาบสกราบทูลว่า เนื้อนั้นเป็นนายฝูง คิดถึงนางเนื้อของตน
ดิ้นรนด้วยอำนาจกิเลส จึงได้ร้องขึ้นเป็นเสียงที่ห้า แม้เพราะเหตุนั้น
ภัยก็มิได้มีแก่พระองค์ดังนี้ แล้วกล่าวคาถาที่ ๕ ความว่า:-

ไฉนหนอ เราจึงจะไปจากที่นี้ ให้พ้น
พระราชนิเวศน์ไปเสียได้ เราจักนำหน้าฝูง ไป
ดื่มน้ำที่ดีเลิศได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อคฺโคทกานิ ความว่า เมื่อไรหนอ
แล เราจักนำหน้าฝูงไปดื่มน้ำที่ดีเลิศ ซึ่งเนื้ออื่นๆ ยังไม่เคยดื่มมาก่อน.

พระมหาสัตว์ผู้ดาบส ได้กราบทูลขอให้พระราชาทรงปล่อยเนื้อ
นั้นไป แล้วกราบทูลต่อไปว่า ดูก่อนมหาบพิตร ในพระราชวังของ
พระองค์มีลิงที่เลี้ยงไว้ตัวหนึ่งมิใช่หรือ ? เมื่อพระราชารับสั่งว่า มีขอรับ
พระดาบสได้กราบทูลว่า ลิงนั้นกำหนัดอยู่ด้วยกาม กับฝูงนางลิงในป่า

หิมวันตประเทศเที่ยวไป ถูกนายพรานชื่อภารตะนำมาที่นี่ บัดนี้ ดิ้น
รนอยากจะไปที่นั้น จึงได้ร้องขึ้นเป็นเสียงที่หก แม้เพราะเหตุนั้น ภัย
ก็มิได้มีแก่พระองค์ดังนี้แล้ว กล่าวคาถาที่ ๖ ความว่า:-

นายพรานภารตะ ชาวพาหิกรัฐนำเราผู้
มัวเมาด้วยกามทั้งหลาย ผู้กำหนัดหมกมุ่นอยู่
ในกามมาแล้ว ลิงนั้นกล่าวว่า ขอความเจริญ
จงมีแก่ท่าน ขอท่านจงปล่อยข้าพเจ้าเถิด.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2019, 07:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พาหิโก ได้แก่นายพรานภารตะ
ชาวพาหิกรัฐ.
บทว่า ภทฺทมตฺถุ เต วานรนั้นกล่าวความข้อนี้ว่า ขอความ
เจริญจงมีแก่ท่าน ขอท่านจงปล่อยข้าพเจ้าเถิด.

พระมหาสัตว์ขอให้พระราชาทรงปล่อยลิงนั้นแล้ว ทูลถามต่อไปว่า
ในพระราชวังของพระองค์ มีกินนรที่เลี้ยงไว้มิใช่หรือ ? เมื่อพระราชา
ตรัสว่า มี จึงกราบทูลว่า ดูก่อนมหาบพิตร กินนรนั้น คิดถึงคุณที่
นางกินรีทำไว้แก่ตน เร่าร้อนเพราะกิเลส จึงได้ร้องขึ้นเป็นเสียงที่เจ็ด
ด้วยว่าวันหนึ่งกินนรนั้น ขึ้นไปสู่ยอดเขาตุงคบรรพต กับนางกินรี

พากันเลือกเก็บดอกไม้ที่มีสีงาม กลิ่นหอม และมีรสอร่อยนานาชนิด
ประดับกายตน ไม่ได้กำหนดพระอาทิตย์ที่กำลังจะอัสดงคต เมื่อพระ-
อาทิตย์อัสดงคตแล้ว ความมืดได้มีแก่กินนรและกินรี ผู้กำลังลงจากยอด
เขา นางกินรีได้กล่าวกะกินนรว่า ที่รักมืดเหลือเกิน ท่านจงระวัง
ก้าวลงอย่าให้พลาด แล้วจับมือก้าวลงไป กินนรคิดถึงคำของนางกินรีนั้น

จึงได้ร้องขึ้น แม้เพราะเหตุนั้น ภัยก็มิได้มีแก่พระองค์ ดังนี้ เมื่อจะ
กระทำเรื่องราวนั้นให้ปรากฏ โดยที่กำหนดรู้ได้ด้วยญาณของตน จึง
กล่าวคาถาที่ ๗ ความว่า:-

เมื่อความมืดมิด ปรากฏเบื้องบนภูเขา
อันแข็งคม นางกินรีนั้น ได้กล่าวกะเราด้วย
ถ้อยคำอันไพเราะอ่อนหวาน ท่านอย่าจรดเท้า
ลงบนแผ่นหิน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนฺธการติมิสฺสาย ความว่า เมื่อ
ความมืดอันกระทำความบอด ปรากฏ.
บทว่า ตุงฺเค แปลว่า แหลมคม.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 127, 128, 129, 130, 131, 132, 133 ... 151  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร