วันเวลาปัจจุบัน 12 ส.ค. 2025, 15:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 119, 120, 121, 122, 123, 124, 125 ... 151  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2018, 19:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
จงพากันหนีไปในที่อื่นเถิด. ฝ่ายกระบี่หัวดื้อพาเอากระบี่ที่เป็นบริวารของ
ตนไปไม่หนีโดยคิดว่า ภายหลังเราจักรู้เองจึงจะไป. ส่วนพระโพธิสัตว์
พาเอาบริวารของตนเข้าป่าไป. อยู่มาวันหนึ่ง แพะตัวหนึ่งกินข้าวเปลือก
ที่นางทาสีคนหนึ่งผึ่งแดดไว้ ถูกตีด้วยดุ้นไฟมีไฟไหม้ที่ตัววิ่งหนีไปถูตัว

ที่ยอดกระท่อมหญ้าหลังหนึ่งชิดโรงช้าง. ไฟนั้นติดกระท่อมหญ้า. ลาม
จากกระท่อมหญ้าไปติดโรงช้าง. ลามจากโรงช้าง ก็ไหม้หลังช้าง. หมอ
รักษาช้าง ก็รักษาพยาบาลช้าง. ฝ่ายปุโรหิตกำลังพิจารณาหาอุบายจับ
วานรอยู่. ครั้นพระราชาตรัสสั่งถามท่านที่มาเฝ้าว่า อาจารย์ ช้างของ
เราเป็นแผลเปื่อยกันหลายเชือก หมอรักษาช้างไม่รู้จักการรักษา อาจารย์
รู้ยาอะไรบ้างหรือไม่?

ปุโรหิตทูลว่า ข้าแต่มหาราช ข้าพระองค์รู้
รา. อะไรล่ะ ?
ปุ. ข้าแต่มหาราช มันเหลวของวานร พระพุทธเจ้าข้า.
รา. เราจักได้ที่ไหน ?
ปุ. ที่พระราชอุทยานมีวานรมากมิใช่หรือ พระพุทธเจ้าข้า.
รา. ท่านทั้งหลาย จงฆ่าวานรที่พระราชอุทยาน นำเอามัน
เหลวมา.

คนแม่นธนูจึงพากันไปยิงวานรทั้ง ๕๐๐ ตัวให้ตายหมด. แต่
หัวหน้าวานรตัวเดียวหนีไปได้ ถึงถูกยิงด้วยลูกศร แต่ก็ไม่ล้มตาย ณ
ที่นั้นทีเดียว ไปถึงที่อยู่ของพระโพธิสัตว์แล้ว จึงล้มตาย. พวกวานร
บอกพระโพธิสัตว์ถึงการที่มันได้ถูกยิงว่า หัวหน้าวานรมาถึงที่อยู่ของ
พวกเราแล้วก็ตาย. พระโพธิสัตว์มานั่งที่ท่ามกลางฝูงวานรพูดว่า ธรรม-

ดาว่าพวกไม่เชื่อโอวาทของบัณฑิตทั้งหลาย อยู่ในที่อยู่ของคู่เวร จัก
พินาศอย่างนี้ แล้วได้กล่าวคาถาเหล่านี้ด้วยสามารถแห่งการตักเตือนฝูง
วานรว่า:-


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2018, 19:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ผู้จองเวรอยู่ ณ ที่ใด บัณฑิตไม่ควรอยู่
ณ ที่นั้น ในที่มีคนจองเวร อยู่คืนเดียวหรือ
๒ คืน ก็เป็นทุกข์. คนที่เป็นหัวหน้าใจเบา
เมื่อคนใจเบาคล้อยตาม เขาจะทำหน้าที่จองเวร
เพราะเหตุแห่งกระบี่ตัวเดียว เขาได้ทำความ
ย่อยยับให้กระบี่ทั้งฝูง. ก็คนพาลสำคัญตนว่า

เป็นบัณฑิต บริหารหมู่คณะลุอำนาจความคิด
ของตน คงนอนตายเหมือนวานรตัวนี้ฉะนั้น.
คนโง่แต่มีกำลังบริหารหมู่คณะก็ไม่ดี ไม่เป็น
ประโยชน์แก่เหล่าญาติ เหมือนนกต่อ ไม่เป็น
ประโยชน์แก่นกทั้งหลายฉะนั้น. ส่วนคน
ฉลาดมีกำลังบริหารหมู่คณะดี เป็นประโยชน์

แก่เหล่าญาติเหมือนท้าววาสวะเป็นประโยชน์
แก่ทวยเทพชาวไตรทศฉะนั้น. อนึ่ง ผู้ใดเห็น
ศีล ปัญญาและสุตะ มีในตน ผู้นั้นย่อม
ประพฤติประโยชน์แก่คนทั้ง ๒ ฝ่าย คือทั้ง
แก่ตนเองและผู้อื่น เพราะฉะนั้น ธีรชนควร
ชั่งใจดูตัวเองเหมือนชั่งใจดูศีล ปัญญาและ
สุตะฉะนั้นแล้ว จึงบริหารหมู่คณะบ้าง อยู่คน
เดียวเว้นการบริหารบ้าง.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2018, 19:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ลหุจิตฺตสฺส ความว่า พึงเป็นผู้มี
ใจเบา. มีคำอธิบายว่า คนใดคล้อยตาม คืออนุวัตรตามมิตรหรือญาติ
ผู้ใจเบา เมื่อคนนั้นคล้อยตาม เขาก็จะเป็นหัวหน้าใจเบา ทำหน้าที่
ของผู้จองเวร. บทว่า เอกสฺส กปิโน ความว่า สูเจ้าทั้งหลายจงดู
เถิด เพราะเหตุกระบี่ใจเบาคือเป็นอันธพาลตัวเดียว เขาได้ทำความย่อย-

ยับ คือความไม่เจริญ ได้แก่ความพินาศใหญ่หลวงนี้ให้แก่กระบี่สิ้นทั้ง
ฝูง. บทว่า ปณฺฑิตมานี มีเนื้อความว่า ผู้ใดรู้ตนเองเป็นคนโง่ แต่
สำคัญตนว่า เราเป็นผู้ฉลาด ไม่ทำตามโอวาทของท่านผู้ฉลาด ตกอยู่
ในอำนาจความคิดของตน ผู้นั้นจะลุอำนาจความคิดของตนแล้ว คงนอน

เหมือนกะบี่หัวดื้อตัวนี้แหละนอนตายอยู่. บทว่า น สาธุ ความว่า
ธรรมดาคนโง่ แต่มีกำลังพร้อมบริหารหมู่คณะ ย่อมไม่ดี คือไม่ปลอด-
ภัย เพราะเหตุไร เพราะเขาไม่มีประโยชน์สำหรับเหล่าญาติ คือนำ
ความพินาศมาให้อย่างเดียว. บทว่า สกุณานํว เจกโต ความว่า

อุปมาเสมือนหนึ่งว่า บรรดานกกระทาทั้งหลาย นกกระทาที่เป็นนกต่อ
ขันทั้งวัน ก็ไม่ทำให้นกชนิดอื่นตาย ทำให้พวกพ้องของตนเท่านั้น
แหละตาย ฉันใด คนโง่ก็ไม่มีประโยชน์แก่หมู่คณะเหล่านั้นเลย อธิ-
บายว่า ฉันนั้นเหมือนกัน. บทว่า หิโต ภวติ ความว่า ธีรชน เป็น

ผู้ทำประโยชน์เกื้อกูลแก่เหล่าญาตินั่นเอง ด้วยกายบ้าง ด้วยวาจาบ้าง.
บทว่า อุภินฺนมตฺถํ จรติ ความว่า คนในโลกนี้ ผู้ที่มองเห็นคุณ-
ธรรมเหล่านั้นมีศีลเป็นต้นในตนรู้ว่า อาจาระและศีลของเราก็มี ปัญญา
ก็มี การศึกษาเล่าเรียนก็มี ทราบตามความจริงแล้วบริหารหมู่คณะ
ชื่อว่าประพฤติประโยชน์ถ่ายเดียวแก่คนทั้ง ๒ ฝ่าย คือทั้งแก่ตนและผู้

อื่น ได้แก่เหล่าญาติผู้เที่ยวห้อมล้อมตน. บทว่า ตุเลยฺยมตฺตานํ ตัด
บทเป็น ตุเลยฺย อตฺตานํ คือชั่งใจดูตัวเองแล้ว. บทว่า ตุเลยฺย


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2018, 07:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ได้แก่ ตุเลตฺวา คือชั่งใจดูแล้ว. บทว่า สีลํ ปฺํ สุตํปิว ความว่า
เหมือนชั่งใจดูศีลเป็นต้นเหล่านั้น. มีคำอธิบายไว้ว่า เพราะเหตุที่ธีรชน
พิจารณาดูคุณธรรมทั้งหลาย มีศีลเป็นต้นในตนอยู่ ชื่อว่าประพฤติ
ประโยชน์แก่คนทั้ง ๒ ฝ่าย ฉะนั้น ธีรชนควรชั่งใจดูตนเอง เหมือน
บัณฑิตชั่งใจดูคุณธรรมมีศีลเป็นต้นเหล่านั้น คือ พิจารณาดูว่าเราดำรง

อยู่แล้วในศีล ในปัญญา ในสุตะหรือไม่ ? ทำความที่ตนดำรงอยู่ใน
คุณธรรมเหล่านั้นให้ประจักษ์แล้ว จึงบริหารหมู่คณะบ้าง อยู่คนเดียว
ใน ๔ อิริยาบถ เว้นการบริหาร คือเปลี่ยนแปลงบ้าง เพราะว่าผู้จะ
ให้บริษัทอุปัฏฐากบำรุงก็ดี ผู้ประพฤติวิเวกก็ดี ควรจะประกอบด้วย
คุณธรรม ๓ อย่างเหล่านี้ทีเดียว.

พระมหากษัตริย์เป็นถึงขุนกระบี่ คือพระยาวานร จึงบอกหน้าที่
เกี่ยวกับวินัยและการศึกษาเล่าเรียนได้.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดกไว้ว่า วานรหัวดื้อในครั้งนั้น ได้แก่พระเทวทัตในบัดนี้ ฝ่าย
บริวารของวานรหัวดื้อ ได้แก่บริวารของพระเทวทัต ส่วนขุนกระบี่ผู้
ฉลาดได้แก่เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถากปิชาดกที่ ๙

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2018, 07:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาพกพรหมชาดกที่ ๑๐

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
พกพรหมแล้ว จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า ทฺวาสตฺตติ ดังนี้.

ความพิสดารว่า ท่านพกพรหมเกิดความเห็นขึ้นอย่างนี้ว่า สิ่ง
นี้เที่ยง ยั่งยืน สืบเนื่องๆ กันไป ไม่มีการเคลื่อนธรรมดา สิ่งอื่น
นอกจากนี้ ที่ชื่อว่าพระนิพพานเป็นที่ออกไปของสัตวโลกไม่มี ได้ยินว่า
พระพรหมองค์นี้เกิดภายหลัง เมื่อก่อนบำเพ็ญฌานมาแล้ว จึงมาเกิด
ในชั้นเวหัปผลา. ท่านให้อายุประมาณ ๕๐๐ กัปป์สิ้นไปในชั้นเวหัปผลา

นั้นแล้ว จึงเกิดในชั้นสุภกิณหาสิ้นไป ๖๔ กัปป์แล้ว จุติจากชั้นนั้น
จึงไปเกิดในชั้นอาภัสรา มีอายุ ๘ กัปป์ ในชั้นอาภัสรานั้น ท่านได้
เกิดความเห็นขึ้นอย่างนี้ เพราะท่านระลึกถึงการจุติจากพรหมโลกชั้นสูง
ไม่ได้เลย ระลึกถึงการเกิดขึ้นในพรหมโลกชั้นนั้นก็ไม่ได้. เมื่อไม่เห็น

ทั้ง ๒ อย่าง ท่านจึงยึดถือความเห็นอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
ทราบความปริวิตกแห่งจิตของพกพรหมนั้น ด้วยเจโตปริยญาณแล้ว
จึงทรงหายพระองค์ไปจากพระเชตวันมหาวิหาร ปรากฏพระองค์บน
พรหมโลก อุปมาเหมือนหนึ่ง คนมีกำลังแข็งแรงเหยียดแขนออกไปแล้ว

คู้แขนที่เหยียดออกไปแล้วเข้ามาก็ปานกัน ครั้งนั้น พระพรหมเห็น
พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว จึงทูลว่า มาเถิดท่านสหาย ท่านมาดีแล้วท่าน
สหาย นานนักท่านสหาย ท่านจึงจะได้ทำปริยายนี้ คือการมาที่นี้


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2018, 07:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เพราะสถานที่นี้เป็นสถานที่เที่ยง เป็นสถานที่ยั่งยืน เป็นสถานที่สืบ
เนื่องกันไป เป็นสถานที่ไม่มีการเคลื่อนเป็นธรรมดา เป็นสถานที่มั่นคง
ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ ก็แต่ว่าสถานที่อื่นที่ชื่อว่า เป็น
ที่ออกไปจากทุกข์ ยิ่งกว่านี้ไม่มี. เมื่อพกพรหมทูลอย่างนี้แล้ว พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสคำนี้กะพกพรหมว่า พกพรหมผู้เจริญ ตกอยู่

ในอำนาจของอวิชชาแล้วหนอ พกพรหมผู้เจริญ ตกอยู่ในอำนาจของ
อวิชชาแล้วหนอ เพราะได้พูดถึงสิ่งที่ไม่เที่ยงนั่นแหละว่าเป็นของเที่ยง
และได้พูดถึงธรรมที่สงบอย่างอื่น ว่าเป็นธรรมเป็นที่ออกไปจากทุกข์
อันยิ่งยวดไม่มีธรรมอื่นที่เป็นธรรมเป็นที่ออกไปจากทุกข์ยิ่งกว่า พระ-

พรหมได้ฟังคำนั้นแล้วคิดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า นี่ จะอนุวัตรคล้อย
ตามเราด้วยประการอย่างนี้ว่า ท่านกล่าวอย่างนี้ถูกแล้ว แต่เกรงกลัวการ
อนุโยคย้อนของ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทำนองเดียวกับโจรผู้ด้อยกำลัง
ได้รับการตีเล็กน้อย ก็บอกเพื่อนฝูงทุกคนว่า ฉันคนเดียวหรือเป็นโจร ?

คนโน้นก็เป็นโจร คนโน้นก็เป็นโจร เมื่อจะบอกเพื่อนฝูงของตนแม้
คนอื่นๆ จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า:-
ข้าแต่พระโคดม พวกข้าพระองค์มี ๗๒
คน ล้วนได้ทำบุญมาแล้ว มีอำนาจแผ่ไป
ล่วงความเกิดและความแก่ไปได้ การเกิดเป็น
พรหมนี้ เป็นอันติมชาติ ชาติสุดท้าย จบ
ไตรเพทแล้ว คนจำนวนมากเอ่ยถึงพวกข้า
พระองค์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทฺวาสตฺตติ ความว่า ข้าแต่พระ-
โคดมไม่ใช่เพียงแต่ข้าพระองค์คนเดียวเท่านั้น โดยที่แท้แล้ว พวกข้า-
พระองค์ ๗๒ คน ในพรหมโลกนี้ เป็นผู้ล้วนได้ทำบุญมาแล้ว เป็นผู้แผ่
อำนาจไป โดยการแผ่อำนาจของตนไปเหนือคนเหล่าอื่น และได้ล่วงเลย
ความเกิดและความแก่ไปแล้ว การเกิดเป็นพรหมนี้ชื่อว่าถึงพระเวทแล้ว

เพราะพวกข้าพระองค์ถึงแล้วด้วยพระเวททั้งหลาย ข้าแต่พระโคดม
การเกิดเป็นพรหมนี้ เป็นการเกิดครั้งสุดท้าย คือการถึงส่วนหลังที่สุด
ได้แก่การเข้าถึงความเป็นผู้ประเสริฐที่สุด. บทว่า อสฺมาภิชปฺปนฺติ
ชนา อเนกา ความว่า คนอื่นมากมายพากันทำอัญชลี พวกข้าพระองค์

กล่าวคำมีอาทิว่า นี้แลคือพระพรหมพระมหาพรหมผู้เจริญ นมัสการคือ
ปรารภ ได้แก่กระหยิ่มอยู่ อธิบายว่า ปรารถนาอยู่ว่าอัศจรรย์หนอ!
เราทั้งหลายควรจะเป็นแบบนี้.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2018, 07:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระศาสดา ครั้นทรงสดับถ้อยคำของพกพรหมนั้นแล้ว จึงตรัส
คาถาที่ ๒ ว่า:-
ดูก่อนพรหม ความจริงอายุของท่านนี้
น้อยไม่มากเลย แต่ท่านสำคัญว่าอายุของท่าน
มาก จำนวนแสนนิรัพพุทะ ดูก่อนพรหม เรา
ตถาคตรู้อายุของท่าน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สตํ สหสฺสาน นิรพฺพุทานํ ความว่า
การนับกล่าวคือนิรัพพุทะ มีหลายแสน. อธิบายว่า สิบสิบปีเป็นร้อย
สิบร้อยเป็นพัน. ร้อยพันเป็นแสน. ร้อยแสนชื่อว่าโกฏิ. ร้อยแสน
โกฏิชื่อว่าปโกฏิ. ร้อยแสนปโกฏิชื่อว่าโกฏิปโกฏิ. ร้อยแสนโกฏิปโกฏิ
ชื่อว่า ๑ นหุต. ร้อยแสนนหุตชื่อว่า ๑ นินนหุต. นักคำนวณที่ฉลาด

สามารถนับได้เพียงเท่านี้ ขึ้นชื่อว่าการนับต่อจากนี้ไป เป็นวิสัยของพระ-
พุทธเจ้าทั้งหลาย. บรรดาการนับเหล่านั้น ร้อยแสนนินนหุต เป็น ๑
อัพพุทะ. ๒๐ อัพพุทะเป็น ๑ นิรัพพุทะ. ร้อยแสนนิรัพพุทะเหล่านั้น
ชื่อว่า ๑ อหหะ. จำนวนเท่านี้ปีเป็นอายุของพกพรหมที่เหลืออยู่ในภพ
นี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาอายุนั้นจึงได้ตรัสอย่างนี้.
พกพรหมได้สดับพระพุทธพจน์นั้นแล้ว จึงได้กล่าวคาถาที่ ๓ ว่า:-

ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ตรัส
ว่า เราตถาคตเป็นผู้เห็นไม่มีที่สิ้นสุด สัพพัญญู
ก้าวล่วงชาติชราและความโศกแล้ว ขอพระ-
องค์จงตรัสบอกการสมาทานพรต ศีลและ
วัตรจรณะของข้าพระองค์ แต่ก่อนว่าเป็นอย่าง
ไร ซึ่งข้าพระองค์ควรจะทราบ.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2018, 07:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภควา ความว่า ข้าแต่พระผู้มี
พระภาคเจ้า พระองค์เมื่อตรัสว่า เราตถาคตรู้อายุของท่าน ชื่อ ตรัสว่า
เราตถาคต เห็นไม่มีที่สิ้นสุด เป็นสัพพัญญู ก้าวล่วงชาติชราและความ
โศกได้แล้ว. บทว่า วตสีลวตฺตํ ได้แก่การสมาทานพรต ทั้งศีลและ

วัตร. มีคำอธิบายไว้ว่า ถ้าหากพระองค์ทรงเป็นสัพพัญญูพุทธะไซร้
เมื่อเป็นเช่นนั้น อะไรคือพรต ศีลและจรณะเก่าของข้าพระองค์ ขอ
พระองค์จงตรัสบอกแก่ข้าพระองค์ ซึ่งข้าพระองค์ควรรู้ตามความเป็น
จริง ที่พระองค์ตรัสบอก.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงนำเรื่องอดีตทั้งหลาย
มาตรัสบอกแก่พกพรหม จึงได้ตรัสคาถา ๔ คาถาว่า:-

ท่านได้ช่วยมนุษย์จำนวนมาก ผู้เดือดร้อน
ปางตาย ระหายน้ำจัด ให้ได้ดื่มน้ำอันใดไว้
เราตถาคตระลึกถึงพรต ศีลและจรณะเก่าของ
ท่านอันนั้นได้ เหมือนนอนหลับฝันไปแล้ว
ตื่นขึ้น ระลึกถึงความฝันได้ฉะนั้น. ท่านได้
ช่วยฝูงชนใด ที่ถูกโจรจับเป็นชะเลยนำมาให้
รอดพ้นได้ที่ริมฝั่งแม่น้ำเอณิ เราตถาคตระลึก

ถึงพรต ศีลและจรณะเก่าของท่านนั้นได้
เหมือนนอนหลับฝันไปแล้วตื่นขึ้น นึกถึงฝัน
ได้ ฉะนั้น. ท่านได้ทุ่มกำลังช่วยคนทั้งหลาย
ผู้ไปเรือในกระแสแม่น้ำคงคา ให้พ้นจากพญา-
นาคตัวร้ายกาจ อันใดเราตถาคตระลึกถึงพรต
ศีลและจรณะเก่าของท่านนั้นได้ เหมือนนอน
หลับแล้วตื่นขึ้น นึกถึงฝันได้ ฉะนั้น. อนึ่ง
เราตถาคตได้มีชื่อว่ากัปปะ เป็นอันเตวาสิก


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2018, 07:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ของท่าน ได้รู้แล้วว่า ท่านเป็นดาบสผู้มีปัญญา
ดี มีพรต อันใด เราตถาคตระลึกถึงพรต ศีล
และจรณะเก่าของท่านนั้นได้ เหมือนนอน
หลับแล้วตื่นขึ้น ระลึกถึงฝันได้ ฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปาเยสิ ความว่า ให้ดื่มแล้ว.
บทว่า “ฆมฺมนิ สปฺปเรเต ความว่า ผู้ปางตายเพราะความร้อน คือ
ลำบากเพราะความร้อนแผดเผ่าเหลือเกิน. บทว่า สุตฺตปฺปพุทฺโธว
ความว่าระลึกถึงพรตเป็นต้น ได้เหมือนนอนหลับไปในเวลาย่ำรุ่งฝัน
เห็นแล้วตื่นขึ้น ระลึกถึงความฝันนั้น ฉะนั้น.

ได้ยินว่า พกพรหมนั้นในกัปป์ๆ หนึ่ง เป็นดาบส อยู่ที่
ทะเลทรายกันดารน้ำ ได้นำน้ำดื่มมาให้คนจำนวนมาก ที่เดินทางกันดาร.
อยู่มาวันหนึ่ง พ่อค้าพวกหนึ่ง เดินทางไปถึงทะเลทรายที่กันดารน้ำ
ด้วยเกวียน ๕๐๐ เล่ม คนทั้งหลายไม่สามารถกำหนดทิศทางได้ เดิน
ทางไป ๗ วัน สิ้นฟืนสิ้นน้ำ หมดอาหาร ถูกความอยากครอบงำ คิดว่า

บัดนี้ พวกเราไม่มีชีวิตแล้ว พากันพักเกวียนเป็นวงรอบแล้ว ต่างก็
ปล่อยโคไปแล้วก็พากันนอนอยู่ใต้เกวียนของตน. ครั้งนั้น ดาบสรำลึก
ไปเห็นพ่อค้าเหล่านั้นแล้วคิดว่า เมื่อเราเห็นอยู่ขอคนทั้งหลายจงอย่า
พินาศเถิด จึงได้บันดาลให้กระแสน้ำคงคาเกิดขึ้น เฉพาะหน้าของพวก

พ่อค้าด้วยอานุภาพฤทธิ์ของตน. และได้เนรมิตไพรสณฑ์แห่งหนึ่งไว้ใน
ที่ไม่ไกล. พวกมนุษย์ได้ดื่มน้ำและอาบน้ำให้โคทั้งหลายอิ่มหนำสำราญ
แล้ว จึงพากันไปเกี่ยวหญ้า เก็บฟืนจากไพรสณฑ์ กำหนดทิศได้แล้ว
ข้ามทางกันดารไปได้โดยปลอดภัย. พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสคำว่า
ยํ ตฺวํ ฯเปฯ อนุสุสรามิ นั่นทรงหมายเอาดาบสนั้น.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2018, 07:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บทว่า เอณิกูลสฺมึ ความว่า ใกล้ฝั่งแม่น้ำชื่อว่าเอณิ. บทว่า
คยฺหก นียมานํ ความว่า ที่กำลังถูกจับเป็นชะเลยแล้วนำมา.

เล่ากันมาว่าดาบสนั้น ในกาลต่อมาได้อาศัยบ้านชายแดนตำบล
หนึ่งพักอยู่ที่ไพรสณฑ์แห่งหนึ่งใกล้ฝั่งแม่น้ำ. ครั้นวันหนึ่ง พวกโจร
ชาวเขาลงมาปล้นบ้านนั้น จับเอาคนจำนวนมากให้ขึ้นไปบนเขา วาง
คนสอดแนมไว้ที่ระหว่างทาง เข้าไปสู่ซอกเขาแล้วให้นั่งหุงต้มอาหาร

ดาบสได้ยินเสียงร้องครวญครางของสัตว์มีโคและกระบือเป็นต้น และ
ของคนทั้งหลายมีเด็กชายและเด็กหญิงเป็นต้นคิดว่า เมื่อเราเห็นอยู่ ขอ
เขาทั้งหลายจงอย่าพินาศเถิด แล้วจึงละอัตตภาพ เป็นพระราชาแวดล้อม
ด้วยเสนามีองค์ ๔ ได้ให้ตีกลองศึกไป ณ ที่นั้น. พวกคนสอดแนม

เห็นดาบสนั้นแล้วได้บอกแก่พวกโจร. พวกโจรคิดว่า ขึ้นชื่อว่าการ
ทะเลาะกับพระราชาไม่สมควรแล้ว จึงพากันทิ้งชะเลยไว้ไม่กินอาหาร
หนีไปแล้ว ดาบสนำคนเหล่านั้นให้กลับไปอยู่บ้านของตนหมดทุกคน
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสคำว่า ยํ เอณิกูลสฺมึ ฯเปฯ อนุสฺสรามิ
นั่นไว้ทรงหมายเอาดาบสนั้น.

บทว่า คหิตนาวํ ได้แก่เรือที่พ่วงขนานกัน. บทว่า ลุทฺเธน
ความว่า ผู้หยาบคาย. บทว่า มนุสฺสกปฺปา ความว่า เพราะต้องการ
ให้พวกมนุษย์พินาศ. บทว่า พลสา ความว่า ด้วยกำลัง. บทว่า
ปสยฺห ความว่า ข่มขู่.

ในกาลต่อมา ดาบสพักอยู่ที่ใกล้ฝั่งแม่น้ำคงคา ครั้งนั้นคนทั้ง
หลายพากันผูกเรือขนาน ๒-๓ ลำติดกัน แล้วสร้างมณฑปดอกไม้ไว้
ที่ยอดเรือขนาน นั่งกินนั่งดื่มอยู่ในเรือขนาน แล่นไปที่ฝั่งสมุทร พวก
เขาพากันเทสุราที่เหลือจากดื่ม ข้าวปลาเนื้อและหมากพลูเป็นต้น ที่

เหลือจากที่กินและเหลือจากที่ขบเคี้ยวแล้วลงแม่น้ำคงคานั่นเอง. พญา-
นาคชื่อว่าคังเคยยะโกรธว่า คนพวกนี้โยนของที่เหลือกินลงเบื้องบน
เรา หมายใจว่า เราจักรวบคนเหล่านั้นให้จมลงในแม่น้ำคงคาหมดทุกคน
แล้วเนรมิตอัตภาพใหญ่ประมาณเท่าเรือโกลนลำหนึ่ง แหวกน้ำขึ้นมา
แผ่พังพานลอยน้ำไปตรงหน้าคนเหล่านั้น. พวกเขาพอเห็นพญานาค


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2018, 07:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เท่านั้น ก็ถูกมรณภัยคุกคามส่งเสียงร้องลั่นขึ้นพร้อมกันทีเดียว. ดาบส
ได้ยินเสียงคร่ำครวญของพวกเขา ก็รู้ว่าพญานาคโกรธ คิดว่า เมื่อ
เราเห็นอยู่ขอคนทั้งหลายจงอย่าพินาศเถิด แล้วได้รีบเนรมิตอัตภาพ
เป็นเพศครุฑบินไปด้วยอานุภาพของตน โดยติดต่อกันโดยพลัน. พญา-

นาคเห็นครุฑนั้นแล้ว หวาดกลัวความตายจึงดำลงไปในน้ำ. พวก
มนุษย์ถึงความสวัสดีแล้วจึงได้ไปกัน พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสคำว่า
คงฺคาย โสตสฺมึ ฯเปฯ อนุสฺสรามิ นั่นทรงหมายเอาดาบสนั้น.

บทว่า ปตฺถจโร ได้แก่อันเตวาสิก. บทว่า สมฺพุทฺธิวนฺตํ วติ
โส อมฺํ ความว่า เรารู้จักท่านว่า เป็นดาบสผู้เพียบพร้อมด้วยปัญญา
ทั้งถึงพร้อมด้วยวัตร. ด้วยบทนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงไว้อย่าง
ไร ทรงแสดงไว้ว่า ดูก่อนท้าวมหาพรหม ในอดีตกาลในเวลาท่าน

เป็น เกสวดาบส เราตถาคต เป็นคนรับใช้ใกล้ชื่อว่า กัปปะ เมื่อ
ท่านถูกอำมาตย์ชื่อ นารทะ นำมาป่าหิมพานต์ จากเมืองพาราณสี ได้ให้
โรคสงบไป. ลำดับนั้น นารทะ อำมาตย์มาเยี่ยมท่านครั้งที่ ๒ เห็น
หายจากโรค จึงได้กล่าวคาถานี้ว่า:-

ท่านเกสีผู้มีโชค ไยเล่าจึงละทิ้งจอมคน
ผู้ให้ความต้องการทุกอย่างสำเร็จได้ มายินดีใน
อาศรมของท่านกัปปะ.
ท่านได้กล่าวคำนี่กะอำมาตย์ นารทะ นั่นนั้นว่า:-
ดูก่อนท่านนารทะ สิ่งที่ดีน่ารื่นรมย์ใจมี
อยู่ ต้นไม้ทั้งหลาย ที่รื่นเริงใจก็ยังมี ถ้อยคำ
ที่เป็นสุภาษิตของกัสสป ให้อาตมารื่นเริงใจได้.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2018, 07:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงถึงความที่โรคของท่าน เกสี
ดาบส นี้ เป็นสิ่งที่พระองค์ผู้ทรงเป็นอันเตวาสิกให้สงบได้ด้วยประการ
อย่างนี้แล้ว จึงได้ตรัสอย่างนี้. ก็อีกอย่างหนึ่ง เมื่อจะให้มหาพรหมทั้ง
หมด กำหนดรู้กรรมที่พรหมนั้น พกพรหม ทำไว้ในมนุษยโลกนั่นเอง
จึงตรัสคำนี้ไว้.

พกพรหม นั้น ระลึกถึงกรรมที่ตนได้ทำไว้ ตามพระดำรัสของ
พระศาสดาได้แล้ว เมื่อจะทำการสดุดีพระตถาคต จึงได้กล่าวคาถา
สุดท้ายไว้ว่า:-

พระองค์ทรงทราบอายุของข้าพระองค์นั่น
ได้แน่นอน แม้สิ่งอื่นพระองค์ก็ทรงทราบเพราะ
พระองค์ทรงเป็นพระพุทธเจ้าแท้จริง จริงอย่าง
นั้น พระรัศมีอันรุ่งโรจน์ของพระองค์นี้ จึง
ส่องพรหมโลกให้สว่างไสวอยู่.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตถา หิ พุทโธ ความว่า เพราะว่า
พระองค์ทรงเป็นพระพุทธเจ้าแท้จริง อันธรรมดาว่า พระพุทธเจ้า
ทั้งหลายจะไม่มีสิ่งที่ไม่ทรงรู้ ด้วยว่าท่านเท่านั้นชื่อว่าพุทธะเพราะตรัสรู้
ธรรมทุกอย่างนั่นเอง. บทว่า ตถา หิ ตายํ ความว่า ก็อีกอย่างหนึ่ง
เพราะทรงเป็นพระพุทธเจ้านั่นเอง พระรัศมีจากพระสรีระของพระ
องค์ที่รุ่งโรจน์. บทว่า โอภาสยํ ติฏฺ€ติ ความว่า พระรัศมีจากพระ
สรีระนี้ จึงส่องพรหมโลก แม้ทั้งหมดนี้ให้สว่างไสวอยู่.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2018, 08:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระศาสดา เมื่อทรงให้พกพรหมรู้พระพุทธคุณของพระองค์ไป
พลางทรงแสดงธรรมไปพลาง จึงทรงประกาศสัจธรรมทั้งหลาย ในที่สุด
แห่งสัจธรรมจิตของพระพรหมประมาณหมื่นองค์พ้นจากอาสวะทั้งหลาย
แล้ว เพราะไม่ยึดมั่น. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเป็นที่พึ่งของพระ-

พรหมทั้งหลายด้วยประการอย่างนี้ ได้เสด็จจากพรหมโลกมาพระเชตวัน
วิหาร แล้วทรงแสดงพระธรรมเทศนาแก่ภิกษุทั้งหลาย โดยทำนองที่
ได้ทรงแสดงแล้ว ในพรหมโลกนั้น แล้วทรงประชุมชาดกไว้ว่า เกสว-
ดาบสในครั้งนั้น ได้แก่พระพรหม ในบัดนี้ ส่วนกัปปมาณพได้แก่เรา
ตถาคตนั่นเอง ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาพกพรหมชาดกที่ ๑๐

รวมชาดกที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. กุกกุชาดก ๒. มโนชชาดก ๓. สุตนชาดก ๔. มาตุโปสก-
คิชฌชาดก ๕. ทัพพปุปผชาดก ๖. ทสัณณกชาดก ๗. เสนกชาดก
๘. อัฏฐิเสนชาดก ๙. กปิชาดก ๑๐. พกพรหมชาดก
จบ กุกกุวรรคที่ ๑

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2018, 08:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาคันธารวรรคที่ ๒
อรรถกถาคันธารชาดกที่ ๑


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
เภสัชชสันนิธิการสิกขาบท สิกขาบทว่าด้วยการทำการสะสมเภสัช แล้ว
จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า หิตฺวา คามสหสฺสานิ ดังนี้.

ก็เรื่องเกิดขึ้นแล้วที่กรุงราชคฤห์. ความพิสดารว่า เมื่อท่าน
ปิลินทวัจฉะไปพระราชวังเพื่อปล่อยคนตระกูลผู้รักษาอาราม แล้วสร้าง
ปราสาททองถวายพระราชาด้วยกำลังฤทธิ์ คนทั้งหลายเลื่อมใสพากัน
ส่งเภสัชทั้ง ๕ ไปถวายพระเถระ. ท่านแจกจ่ายเภสัชเหล่านั้นแด่บริษัท
แต่บริษัทของท่านมีมาก พวกเขาเก็บของที่ได้ๆ มาไว้เต็มกระถางบ้าง

หม้อบ้าง ถลกบาตรบ้าง. คนทั้งหลายเห็นเข้าพากันยกโทษว่า สมณะ
เหล่านี้มักมาก เป็นผู้รักษาคลังภายใน. พระศาสดาทรงสดับความเป็น
ไปนั้นแล้ว จึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ก็แลเภสัชที่เป็นของควรลิ้มของ
ภิกษุผู้เป็นไข้เหล่านั้นใดดังนี้เป็นต้น ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
บัณฑิตสมัยก่อน เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติ บวชเป็นนักบวชใน

ลัทธิภายนอก แม้รักษาเพียงศีล ๕ ก็ไม่เก็บก้อนเกลือไว้ เพื่อประโยชน์
ในวันรุ่งขึ้น ส่วนเธอทั้งหลายบวชในศาสนา ที่นำออกจากทุกข์เห็น
ปานนี้ เมื่อพากันทำการสะสมอาหารไว้ เพื่อประโยชน์แก่วันที่ ๒ วัน
ที่ ๓ ชื่อว่าทำสิ่งที่ไม่สมควร แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก
ดังต่อไปนี้:-


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2018, 08:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์ทรงเป็นโอรสของพระเจ้าคันธาระ
ในคันธารรัฐ เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ โดยพระราชบิดาทิวงคตแล้ว
ทรงครองราชย์โดยธรรม. แม้ในมัชฌิมประเทศ พระเจ้าวิเทหะก็ทรง
ครองราชย์ในวิเทหรัฐ. พระราชาทั้ง ๒ พระองค์นั้น ทรงเป็นพระ-
สหายที่ไม่เคยเห็นกัน แต่ก็ทรงมีความคุ้นเคยกันอย่างมั่นคง. คนสมัย
นั้นมีอายุยืนดำรงชีวิตอยู่ได้ถึง ๓ แสนปี. ดังนั้นในวันอุโบสถกลางเดือน

พระเจ้าคันธาระก็ทรงสมาทานศีลเป็นครั้งคราว แล้วเสด็จไปประทับบน
พระบวรบัลลังก์ภายในชั้นที่โอ่โถง ทรงตรวจดูโลกธาตุด้านทิศตะวันออก
ทางสีหปัญชรที่เปิดไว้ ตรัสถ้อยคำที่ประกอบด้วยธรรมแก่เหล่าอำมาตย์
ขณะนั้นพระราหูได้บดบังดวงจันทร์เต็มดวง เหมือนกระโดดโลดเต้นไป

ในท้องฟ้า. แสงจันทร์อันตรธานหายไป. อำมาตย์ทั้งหลายไม่เห็น
แสงพระจันทร์ จึงทูลพระราชาถึงภาวะที่ดวงจันทร์ถูกราหูยึดไว้
พระราชาทรงทอดพระเนตรพระจันทร์ ทรงพระดำริว่า พระจันทร์นี้
เศร้าหมองอับแสงไปเพราะสิ่งเศร้าหมองที่จรมา. แม้ข้าราชบริพารนี้ก็

เป็นเครื่องเศร้าหมองสำหรับเราเหมือนกัน แต่การที่เราจะเป็นผู้หมดสง่า
ราศรีเหมือนดวงจันทร์ที่ถูกราหูยึดไว้นั้น ไม่สมควรแก่เราเลย. เราจักละ
ราชสมบัติออกบวช เหมือนดวงพระจันทร์สัญจรไปในท้องฟ้าที่บริสุทธิ์
ฉะนั้น. จะมีประโยชน์อะไรด้วยผู้อื่นที่เราตักเตือนแล้ว เราจักเป็น

เสมือนผู้ไม่ข้องอยู่ด้วยตระกูลและหมู่คณะ ตักเตือนตัวเองเท่านั้นเที่ยวไป
นี้เป็นสิ่งที่เหมาะสำหรับเรา แล้วทรงมอบราชสมบัติให้แก่เหล่าอำมาตย์
ด้วยพระดำรัสว่า ท่านทั้งหลายจงพากันแต่งตั้งผู้ที่ท่านทั้งหลายต้อง


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 119, 120, 121, 122, 123, 124, 125 ... 151  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร