วันเวลาปัจจุบัน 12 ส.ค. 2025, 01:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 117, 118, 119, 120, 121, 122, 123 ... 151  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 17:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
โองการแล้ว นำอัครมเหสีไปบ้านร่วมอภิรมย์กับพระนาง. บุตรปุโรหิต
และอัครมเหสีนั้น ต่างก็มีจิตรักใคร่กันพากันหนีไปทางประตูยอดนั่น
เอง โดยไม่ให้ใครรู้ ได้ไปที่แว่นแคว้นของพระราชาองค์อื่น. ใครๆ
ก็ไม่รู้ที่ที่คนทั้ง ๒ ไปแล้ว ไม่มีร่องรอย เป็นเสมือนทางที่เรือผ่านไป
แล้วฉะนั้น. ถึงพระราชาทรงให้ตีกลองป่าวประกาศไปในพระนคร

ค้นหาโดยประการต่างๆ ก็ไม่รู้ที่ที่เขาไป. ต่อมาพระองค์ทรงเกิดความ
เศร้าโศกเป็นกำลังเพราะอาศัยเขา. พระหทัยร้อน พระโลหิตไหลออก.
ได้มีพระพยาธิขนาดหนัก. หมอหลวงตั้งมากมาย ก็ไม่สามารถจะเยียว
ยาได้. พระโพธิสัตว์รู้ว่า พระราชานี้ไม่มีพระพยาธิอะไร แต่พระองค์

ไม่ทรงเห็นพระมเหสี จึงถูกพระโรคจิตกระทบ เราจักใช้อุบายแก้ไข
พระองค์ แล้วจึงเรียกอำมาตย์ผู้เป็นราชบัณฑิต ๒ คนคือ อายุรอำมาตย์
๑ ปุกกุสอำมาตย์ ๑ มาหาแล้วบอกว่า พระราชาไม่ทรงมีพระโรคอื่น
เว้นไว้แต่พระโรคจิต เพราะไม่ทรงเห็นพระราชเทวี พระราชาทรงมี

พระอุปการะแก่เรามาก เพราะฉะนั้น พวกเราจะใช้อุบายแก้ไขพระ-
องค์ คือจักให้คนแสดงการเล่นที่พระลานหลวงแล้วจะให้ผู้รู้วิธีกลืนดาบ
กลืนดาบให้พระราชาประทับยืนทอดพระเนตรการเล่นที่ช่องพระแกล.
พระราชาทรงทอดพระเนตรคนกลืนดาบแล้ว ก็จักตรัสถามปัญหาว่า ยัง
มีบ้างไหมสิ่งอื่นที่ทำได้ยากกว่านี้ ? สหายอายุระ เธอควรทูลแก้ปัญหา

นั้นว่า การพูดว่า เราจะให้ของชื่อนี้ เป็นสิ่งที่ทำได้ยากกว่านี้ สหาย
ปุกกุส ต่อนั้นไป พระองค์ก็จะตรัสถามเธอ เธอควรทูลแก้ถวายพระ-
องค์ว่า เมื่อคนพูดว่าจะให้แต่ไม่ให้ วาจานั้นไร้ผล คนบางเหล่าหา
เข้าถึงวาจาชนิดนั้นดำรงชีวิตอยู่ไม่ ไม่เคี้ยวกิน ไม่ดื่ม ซึ่งไม่ทำให้

เหมาะสมแก่ถ้อยคำนั้น ส่วนการให้ประโยชน์ตามที่ปฏิญญาไว้นั่นแหละ
การให้ของผู้นั้น ทำได้ยากกว่า การพูดว่าจะให้. ต่อจากนั้นไป ผมก็


* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 17:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
จักรู้เหตุอื่นที่จะต้องทำแก้ปัญหา ดังนี้แล้วได้ให้แสดงการเล่น. ลำดับ
นั้นบัณฑิตทั้ง ๓ เหล่านั้น พากันไปราชสำนัก กราบทูลว่า ขอเดชะ-
ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ที่พระลานหลวงการเล่น
กำลังแสดง เมื่อคนทั้งหลายดูการเล่นอยู่. แม้ทุกข์ก็ไม่เป็นทุกข์ ขอ

ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจงเสด็จเถิด ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายจะไปดู แล้ว
ได้นำพระราชาไปเปิดช่องพระแกลให้พระองค์ทอดพระเนตรการเล่น
คนจำนวนมากต่างพากันแสดงศิลปะที่ตนรู้ๆ. ชายคนหนึ่งกลืนดาบแก้ว

ที่มีคมคมกริบ ยาว ๓๓ นิ้ว. พระราชาทอดพระเนตรชายคนนั้นแล้ว
ทรงดำริว่า ชายคนนี้กลืนดาบอย่างนี้ เราจักถามบัณฑิตเหล่านี้ว่า มี
อยู่หรือไม่การเล่นอย่างอื่นที่ทำได้ยากกว่านี้ แล้วเมื่อตรัสถามอายุร-
บัณฑิต จึงตรัสคาถาที่ ๑ ว่า:-

ชายคนนี้กลืนดาบทสรรณกะ ที่มีคมอันคม
กริบ ดื่มเลือดผู้อื่นที่กระทบแล้ว ฟันแล้วใน
ท่ามกลางบริษัทยังมีไหม สิ่งที่ทำได้ยากกว่า
การกลืนดาบนี้ ท่านถูกเราถามแล้ว จงบอก
เหตุอย่างอื่นที่ทำได้ยากกว่าแก่เรา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทสณฺณกํ ความว่า เกิดขึ้นที่แคว้น
ทสัณณกะ. บทว่า สมฺปนฺนปายินํ ความว่า ที่ดื่มเลือดผู้อื่น ที่กระทบ
เข้าแล้ว. บทว่า ปริสายํ ความว่า ชายคนนี้กลืนดาบที่ท่ามกลางบริษัท
เพราะอยากได้ทรัพย์. บทว่า ยทฺํ ความว่า สิ่งอื่นใด คือเหตุอื่นใด
ที่ทำได้ยากกว่าการกลืนดาบนี้มีอยู่ ท่านถูกเราถามแล้ว จงบอกเหตุนั้น
แก่เรา.
ลำดับนั้นอายุรบัณฑิต เมื่อทูลบอกพระราชา จึงกล่าวคาถา
ที่ ๒ ว่า:-


* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 17:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ก็ผู้ใดพึงกล่าวว่า เราจะให้การกล่าวของ
เขานั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ยากกว่า การกลืนดาบที่
ดื่มโลหิตของผู้อื่นที่กระทบเข้าแล้ว ของชาย
คนนั้น เพราะความโลภ เหตุอย่างอื่นทุกอย่าง
เป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย ข้าแต่พระเจ้ามคธ ขอ
พระองค์โปรดทรงทราบอย่างนี้เถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วชฺชา ความว่า พึงกล่าว. บทว่า ตํ
ทุกฺกรตรํ ความว่า การพูดว่า เราจักให้นั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ยากกว่านั้น.
บทว่า สพฺพฺํ ความว่า เหตุอย่างอื่นแม้ทุกอย่างเว้นไว้แต่การพูด
ว่า เราจักให้ของชื่อนี้แก่ท่าน เป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย. อายุรบัณฑิตร้องเรียก
พระราชาโดยพระโคตรว่า พระเจ้ามคธ.

เมื่อพระราชาทรงสดับคำของอายุรบัณฑิตแล้ว ทรงพิจารณา
ถ้อยคำนั้นนั่นแหละว่า ได้ทราบว่า การพูดว่า เราจะให้สิ่งของชื่อนี้เป็น
สิ่งที่ทำได้ยากกว่าการกลืนดาบ และเราก็ได้พูดออกไปแล้วว่า เราจักให้
พระราชเทวีแก่บุตรของปุโรหิต เราทำกรรมที่ทำได้ยากแล้วหนอ ความ

เศร้าโศกในพระราชหฤทัยเบาบางไปแล้วหน่อยหนึ่ง พระองค์ทรงดำริว่า
แต่กรรมอย่างอื่นที่ทำได้ยากกว่าการพูดว่า เราจะให้ของสิ่งนี้แก่ผู้อื่นนั้น
ยังมีอยู่หรือไม่หนอ เมื่อทรงปราศรัยกับปุกกุสบัณฑิต จึงตรัสคาถา
ที่ ๓ ว่า:-

อายุรบัณฑิตผู้ฉลาดในธรรม กล่าวแก้
ข้อความแห่งปัญหาแล้ว. บัดนี้ เราจะขอถาม
ปุกกุสบัณฑิตว่า สิ่งที่ทำได้ยากกว่า การบอก
ว่าเราจะให้นั้นยังมีอยู่หรือ มีเหตุอย่างอื่นใด
ที่ทำได้ยาก ท่านผู้ถูกเราถามแล้ว จงบอกเหตุ
นั้นแก่เรา.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 17:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปฺหํ อตฺถํ มีคำอธิบายว่า กล่าว
แก้ข้อความแห่งปัญหาแล้ว. บทว่า ธมฺมสฺส โกวิโท ได้แก่ผู้ฉลาด
ในอรรถที่ส่องถึงข้อความของธรรมะนั้น. บทว่า ตโต ความว่า สิ่งที่
ทำได้ยากกว่าการพูดนั้นมีอยู่หรือ.

ลำดับนั้นปุกกุสบัณฑิต เมื่อจะทูลแก้ปัญหาถวายพระองค์ จึง
กล่าวคาถาที่ ๔ ว่า:-
คนทั้งหลายไม่รักษาคำที่พูดไว้ คำที่พูด
ที่เปล่งออกไปนั้นก็ไม่มีผล และผู้ใดให้ปฏิญ-
ญาไว้แล้ว ก็บั่นทอนความโลภได้ การบั่นทอน
ความโลภของผู้นั้นนั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ยากกว่า
การกลืนดาบและการให้ปฏิญญานั้น เหตุอย่าง
อื่นทุกอย่างเป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย ข้าแต่พระเจ้า
มคธ ขอพระองค์โปรดทรงทราบอย่างนี้เถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทตฺวา ความว่า ให้ปฏิญญาไว้ว่า
เราจะให้สิ่งของชื่อโน้น. บทว่า อวากยิรา มีคำอธิบายไว้ว่า บุคคลเมื่อ
ให้ข้อความที่ได้ปฏิญญาไว้แล้วนั้น บั่นทอนคือทำลายความโลภทิ้งใน
เพราะปฏิญญานั้น และพึงให้สิ่งของนั้น. บทว่า ตโต ความว่า การ
บั่นทอนคือการให้สิ่งของนั้นนั่นแหละ ทำได้ยากกว่าการกลืนดาบและ
การพูดว่าจะให้สิ่งของชื่อนั้นแก่ท่านนั้น.

แม้เมื่อพระราชาทรงสดับคำนั้นแล้ว ทรงปริวิตกอยู่ว่า เราพูด
ก่อนแล้วว่า เราจะให้พระเทวีแก่บุตรปุโรหิต ก็ได้ให้พระเทวี ทำให้
สมแก่การพูดแล้ว เราได้ทำกรรมที่ทำได้ยากแล้วหนอ ความเศร้าโศก
เบาบางลงกว่าเดิม. ลำดับนั้น พระองค์ได้มีพระปริวิตกว่า คนอื่นที่ชื่อ

ว่าเป็นผู้ฉลาดกว่าเสนกบัณฑิตไม่มี เราจักถามปัญหานี้กะเสนกบัณฑิต
นั่น. ลำดับนั้น พระองค์เมื่อตรัสถามปัญหา จึงตรัสคาถาที่ ๕ ว่า:-


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 17:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ปุกกุสบัณฑิตผู้ฉลาดในธรรม กล่าวแก้ข้อ
ความแห่งปัญหาแล้ว บัดนี้ เราจะถามเสนก
บัณฑิตว่า สิ่งที่ทำได้ยากกว่าการให้สิ่งของนั้น
ยังมีอยู่หรือ เหตุอย่างอื่นใดที่ทำได้ยากยังมี
อยู่ ท่านถูกเราถามแล้ว ขอจงบอกเหตุอื่นที่
ทำได้ยากกว่าแก่เรา.

เสนกบัณฑิต เมื่อจะทูลแก้ปัญหาถวายพระองค์ จึงกล่าวคาถา
ที่ ๖ ว่า:-
คนควรให้ทานจะน้อยหรือมากก็ไม่ว่า แต่
ผู้ใดครั้นให้แล้ว ไม่เดือดร้อนใจในภายหลัง
การไม่เดือดร้อนใจนั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ยากกว่า
การกลืนดาบกว่าการพูดว่าจะให้สิ่งของ และ
กว่าการให้สิ่งของที่รักนั้น. เหตุอย่างอื่นทั้ง
หมด เป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย ข้าแต่พระเจ้ามคธ
ขอพระองค์โปรดทรงทราบอย่างนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นานุตปฺเป ความว่า ผู้ใดครั้นให้
ของรัก ที่ตนรักใคร่ ที่ตนชอบใจอย่างยิ่งแก่ผู้อื่นแล้ว ไม่ปรารภถึงของ
รักนั้น เดือดร้อนใจภายหลัง คือไม่เศร้าโศกอย่างนี้ว่า เราให้ของสิ่งนี้
เพื่ออะไร การไม่เศร้าโศกนี้ เป็นสิ่งที่ทำได้ยากกว่า การกลืนดาบ กว่า

การพูดว่าเราจะให้สิ่งของชื่อนี้แก่ท่าน และกว่าการให้สิ่งของนั้น. พระ-
มหาสัตว์กราบทูลให้พระราชาทรงรับทราบด้วยประการอย่างนี้. เพราะ
ว่า ครั้นให้ทานแล้ว เจตนาในกาลต่อมาจะเป็นสิ่งที่ควรแก่ความเชื่อ
ได้ยาก ความที่อปรเจตนานั้นควรแก่ความเชื่อได้ยาก เป็นของทำได้ยาก
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงไว้แล้ว แม้ในเวสสันดร. สมจริงตามที่
ตรัสไว้ว่า:-


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 19:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระมหาสัตว์ทรงถือธนู แล้วทรงคาด
พระขรรค์ไว้เบื้องซ้าย ทรงนำพระราชโอรส
และพระราชธิดา ของพระองค์ออกไป เพราะ
ว่า คนฆ่าบุตรก็เป็นทุกข์ ข้อที่พระราชกุมาร
และพระราชธิดาทั้งหลาย เดือดร้อนมีทุกข์
เป็นรูป นี้ไม่ใช่ฐานะที่เป็นไปได้. และใครรู้
ธรรมของสัตบุรุษแล้ว แต่ให้ทานแล้วก็เดือด
ร้อนในภายหลัง.

ฝ่ายพระราชาแล ครั้นทรงสดับคำของพระโพธิสัตว์แล้ว ทรง
กำหนดว่า เราให้พระราชเทวีแก่บุตรปุโรหิต ด้วยดวงใจของตนนั่นเอง
แต่ไม่อาจจะทรงไว้ซึ่งดวงใจของตนได้ เศร้าใจ ลำบากใจอยู่ ข้อนี้ไม่
สมควรแก่เรา ถ้าหากพระราชเทวีนั้น พึงมีความเสน่หาในเราไซร้ เธอ

คงไม่ทอดทิ้งอิสริยยศนี้หนีไป. แต่เมื่อเธอไม่ทำความเสน่หาในเราหนี
ไปแล้ว เราจักมีประโยชน์อะไร. เมื่อพระองค์ทรงดำริถึงข้อนี้อยู่ ความ
เศร้าโศกทั้งหมดก็กลับหายไป เหมือนหยดน้ำที่กลิ้งตกไปจากใบบัว
ฉะนั้น. ในทันใดนั้นเองพระนาภิของพระองค์ก็หยุดนิ่ง พระองค์ทรง
ไร้พระโรคทรงพระเกษมสำราญ เมื่อจะทรงทำการสดุดีพระโพธิสัตว์
จึงตรัสพระคาถาสุดท้ายว่า:-

อายุรบัณฑิตแก้ปัญหาแล้ว และปุกกุส-
บัณฑิตก็แก้ปัญหาแล้ว ส่วนเสนกบัณฑิต
ครอบปัญหาหมดทุกข้อว่า คนให้ทานแล้ว ไม่
ควรเดือดร้อนใจภายหลัง อย่างที่เสนกบัณฑิต
พูด.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 20:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยถา ภาสติ ความว่า ธรรมดาว่า
ทานนั้น คนให้แล้วไม่ควรเดือดร้อนใจภายหลัง เหมือนที่เสนกบัณฑิต
พูดนั่นแหละ.

ก็พระราชาครั้นทรงทำการสดุดีแล้ว ทรงพอพระราชหฤทัยแล้ว
ได้พระราชทานทรัพย์เป็นอันมากแก่เสนกบัณฑิตนั้น.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา ทรงประกาศสัจ-
ธรรมทั้งหลายแล้ว ทรงประชุมชาดกไว้ ในที่สุดแห่งสัจธรรม ภิกษุผู้
กระสันจะสึกนั้น ตั้งอยู่แล้วในโสดาปัตติผล. พระราชมเหสีในครั้งนั้น
ได้แก่ภรรยาเก่าในบัดนี้ พระราชาได้แก่ภิกษุผู้กระสันจะสึก อายุร-
บัณฑิต ได้แก่พระโมคคัลลานเถระ ปุกกุสบัณฑิต ได้แก่พระสารีบุตร
เถระ ส่วนเสนกบัณฑิต ได้แก่เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาทสัณณกชาดกที่ ๖

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 20:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาเสนกชาดกที่ ๗

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
พระปัญญาบารมีของพระองค์ จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า วิพฺภนฺต-
จิตฺโต ดังนี้. เรื่องปัจจุบันจักมีแจ่มแจ้งในอุปมังคชาดก.

ในอดีตกาล พระราชาทรงพระนามว่า ชนก ครองราชสมบัติ
อยู่ในนครพาราณสี. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลพราหมณ์.
เหล่าญาติได้ขนานนามท่านว่า เสนกะ. ท่านเติบโต แล้วเรียนศิลปะ
ทุกอย่างที่เมืองตักกศิลา แล้วกลับมาเฝ้าพระราชาที่นครพาราณสี. พระ-
ราชาทรงสถาปนาท่านไว้ในตำแหน่งอำมาตย์ และทรงเพิ่มยศยิ่งใหญ่

ให้ท่าน. ท่านได้ถวายอรรถธรรมแก่พระราชาเนืองๆ. ท่านเป็นผู้สอน
ธรรมที่มีถ้อยคำไพเราะ ให้พระราชาทรงดำรงอยู่ในเบญจศีล แล้วให้
ทรงดำรงอยู่ในปฏิปทาที่ดีงามนี้ คือในทาน ในอุโบสถกรรม และใน
กุศลกรรมบถ ๑๐ ข้อ. สมัยนั้น ได้เป็นเสมือนเวลาที่พระพุทธเจ้า

เสด็จอุบัติขึ้นในสากลรัฐ. พระมหาสัตว์ไปที่ท่ามกลางแท่นที่อบอวล
ไปด้วยของหอม ในธรรมสภาที่เขาเตรียมไว้แล้ว ก็แสดงธรรมด้วย
พุทธลีลา. ธรรมกถาของท่านเป็นเช่นกับธรรมกถาของพระพุทธเจ้า
ทั้งหลายก็ปานกัน. ลำดับนั้น พราหมณ์ชราคนหนึ่งเที่ยวหาขอเงิน
ได้เงินพันกหาปณะ เก็บฝากไว้ที่ตระกูลพราหมณ์ตระกูลหนึ่ง แล้ว

คิดว่า เราจะเที่ยวขออีก ดังนี้ แล้วก็ไป. ในเวลาพราหมณ์นั้นไปแล้ว
ตระกูลนั้นใช้กหาปณะหมด. พราหมณ์นั้นกลับมา แล้วขอกหาปณะ
คืน. พราหมณ์ไม่อาจจะให้กหาปณะคืนได้ จึงได้ให้ธิดาของตนให้เป็น
นางบำเรอบาท คือเมียของพราหมณ์นั้น. พราหมณ์พานางไปอยู่กินกัน
ที่หมู่บ้านตำบลหนึ่ง ไม่ไกลจากนครพาราณสี. คราที่นั้น ภรรยา


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 20:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ของเขาผู้ไม่อิ่มในกาม เพราะยังสาว จึงประพฤติมิจฉาจาร คือเป็นชู้
กับพราหมณ์หนุ่มคนหนึ่ง. เพราะว่า ขึ้นชื่อว่าของที่ไม่รู้จักอิ่มมี
๑๖ อย่างคือ:-
๑. มหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้ำที่ไหลมาทุกทิศทุกทาง
๒. ไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ
๓. พระราชาไม่ทรงอิ่มด้วยราชสมบัติ.
๔. คนพาลไม่อิ่มด้วยบาป.
๕. หญิงไม่อิ่มด้วยของ ๓ อย่างเหล่านี้ คือ เมถุนธรรม ๑

เครื่องประดับ ๑ การคลอดบุตร ๑.
๖. พราหมณ์ไม่อิ่มด้วยมนต์.
๗. ผู้ได้ฌานไม่อิ่มด้วยวิหารสมาบัติ คือการเข้าฌาน.
๘. พระเสขบุคคลไม่อิ่มด้วยการหมดเปลืองในการให้ทาน.
๙. ผู้มักน้อยไม่อิ่มด้วยธุดงค์คุณ.
๑๐. ผู้เริ่มความเพียรแล้วไม่อิ่มด้วยการปรารภความเพียร.
๑๑. ผู้แสดงธรรม คือนักเทศน์ไม่อิ่มด้วยการสนทนาธรรม.
๑๒. ผู้กล้าหาญไม่อิ่มด้วยบริษัท.
๑๓. ผู้มีศรัทธาไม่อิ่มด้วยการอุปัฏฐากพระสงฆ์.
๑๔. ทายกไม่อิ่มด้วยการบริจาค.
๑๕. บัณฑิตไม่อิ่มด้วยการฟังธรรม.
๑๖. บริษัท ๔ ไม่อิ่มในการเฝ้าพระพุทธเจ้า.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 21:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ถึงนางพราหมณีนั้น ก็ไม่อิ่มด้วยเมถุนธรรม ต้องการจะสลัด
พราหมณ์นั้นให้ออกไป แล้วทำบาปกรรม วันหนึ่ง นอนกลุ้มใจอยู่
เมื่อพราหมณ์ถามว่า แม่มหาจำเริญ มีเรื่องอะไรหรือ ? จึงพูดว่า
พราหมณ์เจ้าขา ฉันไม่อาจจะทำงานในบ้านของท่าน คือทำไม่ไหว
ขอท่านจงไปนำเอาทาสหญิง ทาสชายมา.

พราหมณ์ แม่มหาจำเริญ ทรัพย์ของเราไม่มี ฉันจะให้
อะไรเขา แล้วจึงจะนำทาสหญิงทาสชายมาได้.
พราหมณี เที่ยวขอเสาะหาทรัพย์ แล้วนำมาสิ.
พราหมณ์ แม่มหาจำเริญ ถ้าอย่างนั้น เธอจงเตรียมสะเบียง
ให้ฉัน.

นางจึงเตรียมข้าวตูก้อนข้าวตูผง บรรจุเต็มไถ้หนังแล้ว ได้มอบ
ให้พราหมณ์ไป. ฝ่ายพราหมณ์เมื่อเที่ยวไปในหมู่บ้านนิคมและราชธานี
ทั้งหลาย ได้เงิน ๗๐๐ กหาปณะ เห็นว่า พอแล้ว เงินเท่านี้สำหรับเรา
เพื่อเป็นค่าทาสชายและทาสหญิง แล้วก็กลับมาบ้านของตน มาถึงที่
แห่งหนึ่ง เป็นสถานที่มีน้ำสะดวกสบาย จึงแก้ไถ้ออกกินข้าวตู แล้ว

ไม่ได้ผูกปากไถ้เลย ลงไปดื่มน้ำ. งูเห่าหม้อตัวหนึ่ง ได้กลิ่นข้าวตู จึง
เลื้อยเข้าขดตัวนอนกินข้าวตูอยู่. พราหมณ์มาแล้ว ไม่ได้มองดูภายใน
ไถ้ ผูกไถ้แล้วแบกขึ้นบ่าไป. เทวดาผู้เกิดบนต้นไม้ต้นหนึ่ง ในระหว่าง
ทางยืนอยู่ที่ค่าคบต้นไม้ พูดว่า ดูก่อนพราหมณ์ ถ้าท่านพักระหว่างทาง

ท่านจักตายเอง แต่ถ้าวันนี้ ท่านไปถึงบ้าน ภรรยาของท่านจักตาย
แล้วก็หายไป. เขามองดูอยู่ไม่เห็นเทวดา กลัวถูกภัย คือความตาย
คุกคาม จึงร้องไห้คร่ำครวญไปถึงประตูพระนครพาราณสี. ก็วันนั้น
เป็นวันอุโบสถ ๑๕ ค่ำ เป็นวันที่พระโพธิสัตว์นั่งแสดงธรรมบน

ธรรมาสน์ที่เขาตกแต่งแล้ว มหาชนพากันถือของหอมและดอกไม้เดิน
ไปฟังธรรมกถากันเป็นพวกๆ. พราหมณ์เห็นเขา จึงถามว่า ท่าน


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 21:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ทั้งหลายไปไหนกัน พ่อคุณ ? เมื่อเขาบอกว่า ดูก่อนพราหมณ์ วันนี้
เสนกบัณฑิตจะแสดงธรรมด้วยเสียงไพเราะตามพุทธลีลา ท่านไม่รู้
หรือ ? จึงคิดว่า ได้ทราบว่า ท่านผู้แสดงธรรม ธรรมกถึกเป็นบัณฑิต
ส่วนเราถูกมรณภัยคุกคาม ก็แหละผู้เป็นบัณฑิตอาจจะบรรเทาความโศก

ตั้งมากมายได้. แม้เราก็ควรไปฟังธรรม ณ ที่นั้น. เขาจึงไปที่นั้นกับ
มหาชนนั้น กลัวความตาย ได้ยืนร้องไห้อยู่ท้ายบริษัทที่มีพระราชา
นั่งห้อมล้อมพระมหาสัตว์อยู่แล้วไม่ไกลจากธรรมาสน์ ทั้งๆ ที่ไถ้
ข้าวตูยังพาดอยู่ที่ต้นคอ. พระมหาสัตว์แสดงธรรมเหมือนกับให้ข้าม

อากาศคงคาและเหมือนกับหลั่งฝนอมฤตลง. มหาชนเกิดความโสมนัส
ให้สาธุการได้ฟังธรรมกันแล้ว. ก็ธรรมดาบัณฑิตทั้งหลาย เป็นผู้มองดู
ทิศทาง ในขณะนั้น พระมหาสัตว์ลืมตาที่มีประสาทท ๕ ผ่องใสขึ้น
ดูบริษัทโดยรอบ เห็นพราหมณ์นั้น จึงคิดว่า บริษัทจำนวนเท่านี้

เกิดความโสมนัสให้สาธุการฟังธรรมกัน. แต่พราหมณ์คนนี้คนเดียว
ถึงความโทมนัสร้องไห้. พราหมณ์นั้นต้องมีความเศร้าโศกอยู่ในภายใน
ที่สามารถให้น้ำตาเกิดขึ้นแน่ๆ. เราจักพลิกใจพราหมณ์ผู้มืดมนต์ แสดง
ธรรมให้เขาไม่มีความโศกให้พอใจในเรื่องนี้ทีเดียว เหมือนสนิมทอง-

แดงหลุดออกไปเพราะขัดด้วยของเปรี้ยว และเหมือนหยดน้ำกลิ้งออก
ไปจากใบบัวฉะนั้น. ท่านได้เรียกพราหมณ์นั้นมาหา เมื่อเจรจากับ
พราหมณ์นั้นว่า ดูก่อนพราหมณ์ เราชื่อว่า เสนกบัณฑิต เราจักทำ
ให้ท่านไม่มีความเศร้าโศก ขอท่านจงวางใจ แล้วบอกมาเถิด จึงกล่าว
คาถาแรกว่า:-


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 21:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ท่านหัวเสีย มีอินทรีย์ คือนัยตาโรยแล้ว
น้ำตาไหลจากตาของท่านทั้ง ๒ ข้าง. ท่านสูญ
เสียอะไรไป ก็ท่านต้องการอะไร จึงมาที่นี้
เชิญเถิด เชิญบอกให้เราทราบเถิด

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กุปิตินฺทฺริโยสิ ความว่า พระ
มหาสัตว์พูดว่า ท่านมีอินทรีย์โรยแล้ว หมายถึงจักขุนทรีย์นั่นเอง
ศัพท์ว่า อิงฺฆ เป็นนิบาต ใช้ในความหมายตักเตือน. จริงอยู่ พระ-
มหาสัตว์ เมื่อจะตักเตือนพราหมณ์นั้น จึงกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อน

พราหมณ์ ธรรมดาสัตว์ทั้งหลายเศร้าโศกคร่ำครวญกัน เพราะเหตุ
๒ ประการ คือ เมื่อสูญเสียญาติที่รักบางคน ในบรรดาสัตว์และสังขาร
ทั้งหลายนั่นเอง หรือปรารถนาญาติที่รักบางคนนั่นเอง แต่ไม่ได้ดัง
ต้องการ. ในจำนวน ๒ อย่างนั้น ท่านสูญเสียอิฏฐผลข้อไหน ก็ท่าน
ปรารถนาอะไร จึงมาที่นี้ ? ขอจงบอกเรื่องนี้แก่เราโดยเร็วเถิด.

ลำดับนั้น พราหมณ์เมื่อจะบอกเหตุแห่งความโศกของตนแก่
พระมหาสัตว์ จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า:-
ยักษ์รุกขเทวดาบอกว่า วันนี้ เมื่อข้าพเจ้า
ไปถึงบ้านเมียของข้าพเจ้าจะตาย แต่ถ้าข้าพเจ้า
ไปไม่ถึงก็จะมีความตายเอง. ข้าพเจ้าหวาดหวั่น
เพราะทุกข์นั้น ข้าแต่ท่านเสนกะ ขอท่านจง
บอกเหตุนั้นแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วชโต ความว่า ไปถึงเรือน. บทว่า
อคจฺฉโต ความว่า เมื่อไปไม่ถึง. บทว่า ยกฺโข ความว่า พราหมณ์
กล่าวว่า รุกขเทวดาตนหนึ่ง ในระหว่างทาง กล่าวอย่างนี้. ได้ทราบว่า
เทวดานั้น ควรจะบอกว่า พราหมณ์ ในไถ้ของท่านมีงูเห่าหม้อ
แต่ไม่บอก เพื่อจะประกาศอานุภาพญาณของพระโพธิสัตว์. บทว่า
เอเตน ทุกฺเขน ความว่า ข้าพเจ้าหวาดหวั่น ดิ้นรน หวั่นไหว


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 21:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เพราะเหตุนั้น คือ เพราะทุกข์เกิดจากความตายของภรรยา เมื่อไปถึง
บ้าน และทุกข์ คือความตายของตน เมื่อไปไม่ถึงบ้าน. บทว่า เอตมตฺถํ
มีอธิบายว่า ขอท่านจงบอกข้าพเจ้าถึงเหตุนั้น คือเหตุที่เป็นเหตุให้
ภรรยาของข้าพเจ้ามีความตาย เมื่อข้าพเจ้าไปถึงบ้าน และที่เป็นเหตุ
ทำให้ตนมีความตาย เมื่อไปไม่ถึงบ้าน.

พระมหาสัตว์ได้ฟังคำของพราหมณ์ แล้วจึงแผ่ข่ายญาณไป
เหมือนเหวี่ยงแหลงในน่านน้ำทะเล คิดแล้วว่า เหตุแห่งการตายของ
สัตว์เหล่านี้มีมาก คือจมทะเลไปบ้าง ถูกปลาร้ายในทะเลนั้นคาบไปบ้าง
ตกลงไปในน้ำบ้าง ถูกจระเข้ในแม่น้ำนั้นคาบไปบ้าง ตกต้นไม้บ้าง ถูก
หนามแทงบ้าง ถูกประหารด้วยอาวุธนานาประการบ้าง กินยาพิษเข้า

ไปบ้าง ปีนขึ้นภูเขาแล้วตกลงไปในเหวบ้าง หรือถูกโรคนานาประการ
มีหนาวจัดเป็นต้น เบียดเบียนบ้าง ตายเหมือนกันทั้งนั้น. เมื่อเหตุแห่ง
การตายมีมากอย่างนี้. ด้วยเหตุอะไรหนอแล วันนี้พราหมณ์นั้น เมื่อ
อยู่ระหว่างทางจึงจักตายเอง แต่เมื่อไปถึงบ้านภรรยาของเขาจักตาย.

และเมื่อกำลังคิดอยู่ได้มองเห็นไถ้อยู่บนคอของพราหมณ์ ก็รู้ได้ด้วย
ญาณ คือความฉลาดในอุบายว่า ในไถ้นี้คงมีงูตัวหนึ่งเลื้อยเข้าไปอยู่
ข้างใน. ก็แหละเมื่อจะเลื้อยเข้าไป มันคงจะเลื้อยเข้าไปเพราะกลิ่น
ข้าวตู ในเมื่อพราหมณ์คนนี้กินข้าวตู ในเวลาอาหารเช้าไม่ได้ผูกปาก

ไถ้ไว้เลย แล้วไปดื่มน้ำ. พราหมณ์ดื่มน้ำ แล้วมาไม่ทราบว่างูเข้าไป
อยู่ในไถ้แล้ว คงจักผูกปากไถ้แล้วก็แบกเอาไป. พราหมณ์นี้นั้น เมื่อ
พักอยู่ระหว่างทาง ก็จักแก้ไถ้สอดมือเข้าไป ด้วยตั้งใจว่า เราจักกิน


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 21:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ข้าวตู ณ สถานที่พักในเวลาเย็น เมื่อเป็นเช่นนั้นงูก็จะกัดมือเขาให้ถึง
ความสิ้นชีวิต นี้คือเหตุแห่งการตายของพราหมณ์ผู้พักอยู่ระหว่างทาง.
แต่ถ้าพราหมณ์ไปถึงบ้านไซร้ ไถ้จักตกถึงมือของภรรยา นางก็จักแก้ไถ้
เอามือล้วง ด้วยตั้งใจว่า จักดูของอยู่ข้างใน. เมื่อเป็นเช่นนั้น งูก็จัก
กัดนางให้ถึงความสิ้นชีพ นี้คือเหตุแห่งการตายของภรรยาของเขาผู้ไป
ถึงเรือนในวันนี้. ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ได้มีความดำรินี้ว่า งูเห่าหม้อ

ตัวนี้กล้าหาญควรปลอดภัย เพราะว่างูตัวนี้ แม้จะกระทบสีข้างใหญ่ของ
พราหมณ์ ก็ไม่แสดงความหวั่นไหวหรือความดิ้นรนของตน. ถึงใน
ท่ามกลางบริษัทชนิดนี้ ก็ไม่แสดงความมีอยู่ของตน. เพราะฉะนั้น
งูเห่าหม้อตัวนี้ที่กล้าหาญ จึงควรปลอดภัย. แม้เหตุการณ์ดังที่ว่ามานี้

พระมหาสัตว์ก็ได้รู้ด้วยญาณ คือความเป็นผู้ฉลาดในอุบายนั่นเอง
เหมือนเห็นด้วยทิพพจักขุ. เมื่อเป็นเช่นนี้ พระมหาสัตว์กำหนดด้วยญาณ
คือความเป็นผู้ฉลาดในอุบายนั่นเอง เหมือนคนยืนดูงูที่กำลังเลื้อยเข้า
ไปในไถ้ ท่ามกลางบริษัทที่มีพระราชา เมื่อจะแก้ปัญหาของพราหมณ์
จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า:-

เราคิดค้นหาเหตุหลายอย่าง บรรดาเหตุ
เหล่านี้ เหตุที่เราจะบอกนั่นแหละเป็นของจริง
พราหมณ์ เราเข้าใจว่า งูเห่าหม้อตัวหนึ่ง
ได้เลื้อยเข้าไปอยู่ในไถ้ข้าวตูของท่านผู้ไม่รู้สึก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พหูนิ €านานิ ได้แก่เหตุหลาย
อย่าง. บทว่า วิจินฺตยิตฺวา ความว่า เป็นเสมือนบรรลุปฏิเวธ ด้วย
สามารถแห่งการคิดทะลุปรุโปร่ง. บทว่า ยเมตฺถ วกฺขามิ ความว่า
บรรดาเหตุเหล่านั้น เราจะบอกเหตุอันใดอย่างหนึ่งแก่ท่าน. ด้วยบทว่า
ตเทว สจฺจํ พระมหาสัตว์แสดงว่า เหตุนั้นนั่นแหละเป็นเรื่องแท้


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 21:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
คือจักเป็นเช่นกับเรื่องที่เห็นด้วยทิพพจักขุ. แล้วจึงบอก. บทว่า มฺามิ
ความว่า กำหนด. บทว่า สตฺตุภสฺตํ ได้แก่ ไถ้ข้าวตู. บทว่า อชานโต
ความว่า เราเข้าใจว่า เมื่อท่านไม่รู้อยู่นั่นแหละ งูเห่าหม้อตัวหนึ่ง
เข้าไปแล้ว.
ก็แหละพระมหาสัตว์ ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงถามว่า พราหมณ์
มีไหมข้าวตูในไถ้ของท่านนั้น ?
พ. มี ท่านบัณฑิต
ม. วันนี้ เวลาอาหารเช้า ท่านนั่งกินข้าวตูละสิ ?
พ. ใช่ ท่านบัณฑิต
ม. นั่ง ที่ไหนล่ะ ?
พ. ที่ควงไม้ ในป่า
ม. ท่านกินข้าวตูแล้ว เมื่อไปดื่มน้ำ ไม่ได้ผูกปากไถ้ล่ะสิ ?

พ. ไม่ได้ผูก ท่านบัณฑิต
ม. ท่านดื่มน้ำแล้วมา ไม่ได้ตรวจดูไถ้ผูกเลยสิ ?
พ. ไม่ได้ดู ผูกเลย ท่านบัณฑิต

ม. พราหมณ์ เราเข้าใจว่า ในเวลาท่านไปดื่มน้ำ งูเข้าไป
ในไถ้แล้ว เพราะได้กลิ่นข้าวตูของท่าน ผู้ไม่รู้ตัวเลย. ท่านได้มาที่นี้
อย่างนี้แล้ว เพราะฉะนั้น ให้ยกไถ้ลงวางไว้ท่ามกลางบริษัท แก้ปาก
ไถ้ออก แล้วเลี่ยงไปยืนอยู่ห่างพอควร ถือไม้ท่อนหนึ่งเคาะไถ้ก่อน

ต่อจากนั้น ก็จักเห็นงูเห่าหม้อ แผ่แม่เบี้ย เห่าฟ่อๆ เลื้อยออกมา
แล้วหายสงสัย ดังนี้ แล้วจึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า:-


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 117, 118, 119, 120, 121, 122, 123 ... 151  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร