วันเวลาปัจจุบัน 10 ส.ค. 2025, 14:03  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 116, 117, 118, 119, 120, 121, 122 ... 151  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 13:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
โพ. ข้าแต่สมมติเทพ ยักษ์นั้น จะได้กินเฉพาะคนที่ยืนอยู่ภายใต้
ร่มไม้ของตน ข้าพระพุทธเจ้าจะไม่ยืนอยู่ภายใต้ร่มไม้ แต่จักยืนอยู่
ภายใต้ร่มฉัตร.
รา. ควรจะได้อะไรอย่างอื่นอีก ?
โพ. ข้าแต่สมมติเทพ พระขรรค์ของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท.
รา. จักมีประโยชน์อะไรด้วยพระขรรค์นี้ ?

โพ. ข้าแต่สมมติเทพ ยักษ์ทั้งหลายกลัวพระขรรค์ แม้มนุษย์
ทั้งหลาย ก็กลัวพระขรรค์เหมือนกัน.
รา. ควรจะได้อะไรอย่างอื่นอีก ?
โพ. ข้าแต่สมมติเทพ เครื่องต้นเต็มพระสุวรรณภาชน์ของ
พระองค์.
รา. เพราะเหตุไร พ่อคุณ.

โพ. ข้าแต่สมมติเทพ เพราะว่า ธรรมดาการนำโภชนาหาร
ที่เลวๆ บรรจุถาดดิน คือกระเบื้องไป ไม่สมควรแก่ชายชาติบัณฑิต
ผู้เช่นกับข้าพระพุทธเจ้า.

พระราชาตรัสสั่งว่า ดีแล้ว พ่อคุณ ทรงประทานทุกอย่าง แล้ว
ทรงมอบให้คนรับใช้พระโพธิสัตว์ไป. พระโพธิสัตว์ทูลว่า ข้าแต่สมมติ-
เทพ ขอพระองค์อย่าทรงกลัว วันนี้ข้าพระพุทธเจ้าจักทรมานยักษ์
ทำความสวัสดีแต่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท แล้วจึงจะมา. ถวายบังคม

พระราชา แล้วให้คนถือเครื่องอุปกรณ์ไป ณ ที่นั้น ให้คนทั้งหลาย
ยืนอยู่ไม่ไกลต้นไม้ สวมฉลองพระบาททองคำขัดพระขรรค์ กั้น
เศวตรฉัตรบนศีรษะ ถือภัตตาหารบรรจุถาดทองคำไปยังสำนักของยักษ์.
ยักษ์มองดูทาง เห็นพระโพธิสัตว์นั้น แล้วจึงคิดว่า ชายคนนี้ไม่มา

โดยทำนองการมาในวันอื่นๆ จักมีเหตุอะไรหนอ ? พระโพธิสัตว์ไป
ใกล้ต้นไม้ เอาปลายดาบผลักถาดภัตตาหารเข้าไปภายในร่มไม้ ตนเอง
ยืนอยู่สุดร่มไม้นั่นเอง กล่าวคาถาที่ ๑ ว่า:-


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 13:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ดูก่อนมฆเทพ ผู้สิงสถิตอยู่ ณ ต้นไทรนี้
พระราชาทรงส่งภัตตาหารเจือด้วยเนื้อสะอาด
มาให้ท่าน ขอท่านจงออกมารับประทานเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาเหสิ ความว่า ทรงส่งมา.
บทว่า มฆเทวสฺมึ อธิวตฺเถ ความว่า ต้นไทร เขาเรียกว่า มฆเทพ
พระโพธิสัตว์เรียกเทวดาว่า ท่านผู้สิงอยู่ในต้นไทรนั้น.

ยักษ์ได้ฟังคำนั้นแล้ว คิดว่า เราจักลวงชายคนนี้ให้เข้ามา
ภายในร่มไม้ แล้วจึงจะกิน ดังนี้แล้ว ได้กล่าวคาถาที่ ๒ ว่า:-
มาเถิดมาณพ จงถือเอาภัตตาหารผสม-
ด้วยกับข้าว ลงมาเถิดมาณพ ท่านจงกินเถิด
เราทั้ง ๒ จักกินด้วยกัน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภิกฺขํ ได้แก่ ภัตตาหารประจำ.
บทว่า สูปิตํ ความว่า ถึงพร้อมด้วยกับข้าว.
ต่อจากนั้น พระโพธิสัตว์ได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า:-
ดูก่อนยักษ์ ท่านจักละทิ้งประโยชน์มาก
มาย เพราะเหตุเล็กน้อย คนทั้งหลาย
ผู้ระแวงความตาย จักไม่นำภิกษาหาร มาให้
ท่าน ดูก่อนยักษ์ ภัตตาหารที่เรานำมานี้ เป็น
ของดี เป็นภัตตาหารประจำของท่าน เป็น
ของสะอาด ประณีต ประกอบด้วยรสอร่อย
ถ้าเมื่อท่านกินแล้วไซร้ คนที่จะนำภัตตาหาร
มาให้ท่าน จะหาได้ยากในที่นี้.


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 13:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ถูลฺลมตฺถํ ความว่า พระโพธิสัตว์
แสดงว่า ท่านจักละประโยชน์มากมาย เพราะเหตุประมาณเล็กน้อย.
บทว่า นาหริสฺสนฺติ ความว่า จำเดิมแต่นี้ไป คนทั้งหลายผู้ระแวง
ความตาย จักไม่นำภัตตาหารมาให้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านก็จักเป็นผู้
ไม่มีอาหาร มีกำลังน้อยเหมือนต้นไม้ ที่มีกิ่งเหี่ยวแห้งแล้ว ดังนี้. บทว่า

ลทฺธายํ ความว่า เป็นของดี คือเป็นของที่มาดี มีอธิบายว่า สหาย
ยักษ์ วันนี้เรานำภิกษาหารมา ภิกษาหารที่เรานำมานี้ เป็นภิกษาหาร
ประจำของท่าน เป็นของสะอาด ประณีต ประกอบด้วยรสที่ยอดเยี่ยม
เป็นสิ่งที่มาดี คือจักมาหาท่านทุกวัน. บทว่า อาหริโย ได้แก่

เป็นผู้นำมา มีอธิบายว่า ถ้าหากท่านจะกินเรา ผู้ถือภิกษาหารนี้มาให้
ไซร้ ภายหลังเมื่อเราถูกกินอย่างนี้ แล้วคนอื่นผู้จะนำภิกษาหารมาให้
ท่าน จักหาได้ยากมากในที่นี้. เพราะเหตุไร ? เพราะคนอื่นที่เป็นคน
ฉลาดเช่นกับเรา ในเมืองพาราณสีไม่มี. แต่เมื่อเราถูกกินแล้ว คน

ทั้งหลายก็จะพูดว่า ยักษ์กินคนชื่อสุตนะ มันไม่ละอายใจต่อใครคนอื่น
เลย. ท่านก็จักไม่ได้คนนำภัตตาหารมาให้. เมื่อเป็นเช่นนั้น เริ่มต้น
แต่นี้ไป โภชนาหารจักเป็นสิ่งที่หาได้ยากสำหรับท่าน. ฝ่ายท่านก็จัก
จับพระราชาของเราไม่ได้. เพราะเหตุไร ? เพราะการยืนอยู่นอกต้นไม้

แต่ถ้าท่านรับประทานภัตตาหารนี้ แล้วจักส่งเราไปไซร้ เราก็จักทูล
พระราชาให้ทรงส่งภัตตาหารประจำแก่ท่าน. เราแม้ตนเองก็จักไม่ให้
ท่านกิน. เพราะว่า เราจักไม่ยืนอยู่ในสำนักของท่าน จักยืนบนฉลอง


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 13:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระบาท ทั้งจักไม่ยืนใต้ร่มไม้ของท่าน. เราจักยืนใต้ร่มฉัตรของตน
เท่านั้น. แต่ถ้าท่านจักต่อสู้กับเรา เราก็จักใช้พระขรรค์นี้ ฟันท่าน
ออกเป็น ๒ ท่อน เพราะวันนี้ เราเป็นผู้เตรียมตัวแล้ว จึงมาเพื่อ
ประโยชน์นี้เท่านั้น. ได้ทราบว่า พระมหาสัตว์ขู่ยักษ์นั้นอย่างนี้.

ยักษ์สังเกตเห็นว่า มาณพพูดถูกแบบ มีจิตเลื่อมใส ได้กล่าว
คาถา ๒ คาถา ว่า:-

ดูก่อนสุตนะ ประโยชน์ตามที่ท่านพูดถึง
ย่อมเจริญแก่เราทีเดียว เราอนุญาตแล้ว ท่าน
จงไปหามารดาโดยสวัสดีเถิด ดูก่อนมาณพ
ท่านจงเอาพระขรรค์, ฉัตรและฉลองพระบาท
ไปเถิด มารดาของท่านก็จงเห็นท่าน และท่าน
ก็จงเห็นมารดา โดยสวัสดีเถิด.

พึงทราบวินิจฉัยในคาถานั้น. ยักษ์เรียกพระโพธิสัตว์ว่า สุตนะ.
บทว่า ยถา ภาสสิ ความว่า ประโยชน์ของเรานั่นเอง ตามที่ท่าน
พูดถึง ย่อมเจริญแก่เราทีเดียว.

พระโพธิสัตว์ได้ยินคำของยักษ์นั้น แล้วปลื้มใจว่า งานของเรา
สำเร็จแล้ว ยักษ์เราทรมานได้แล้ว เราได้ทรัพย์จำนวนมาก ทั้งได้
ปฏิบัติตามพระราชดำรัสแล้ว เมื่อจะทำการอนุโมทนา จึงได้กล่าวคาถา
สุดท้าย ว่า:-

ดูก่อนยักษ์ ขอท่านจงเป็นผู้มีความสุข
พร้อมกับญาติทั้งหมดเหมือนกัน. เราได้ทั้ง
ทรัพย์ ทั้งได้ปฏิบัติตามพระราชดำรัส.
ก็แหละพระโพธิสัตว์ ครั้นกล่าวคาถาแล้ว ก็เรียกยักษ์มา แล้ว
บอกอานิสงส์ศีลและโทษทุศีลว่า ดูก่อนสหาย เมื่อก่อนท่านทำอกุศล
กรรมไว้ จึงเกิดเป็นคนกักขละหยาบคาย มีเนื้อเลือดผู้อื่นเป็นภักษา-
หาร ต่อแต่นี้ไป ท่านอย่าได้ทำอกุศลกรรม มีปาณาติบาตเป็นต้น


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 13:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
แล้วให้ยักษ์ตั้งอยู่ในศีล ๕ กล่าวว่า ท่านจะมีประโยชน์อะไรด้วยการ
อยู่ในป่า มาเถิด เราจะให้ท่านนั่งที่ประตูพระนคร แล้วทำให้มีลาภ
มีภัตตาหารที่เลิศเป็นต้น ออกไปกับยักษ์ ให้ยักษ์นั่นแหละถือพระขรรค์
เป็นต้น ได้ไปเมืองพาราณสี. อำมาตย์ทั้งหลายพากันกราบทูลพระราชา

ว่า สุตนมาณพพายักษ์มา. พระราชามีหมู่อำมาตย์ห้อมล้อม ทำการ
ต้อนรับพระโพธิสัตว์ ให้ยักษ์นั่งที่ประตูนคร ทำให้เขามีลาภ มีภัตตาหาร
ที่เลิศเป็นต้น แล้วเสด็จเข้าพระนคร ทรงให้ตีกลองเที่ยวประกาศ
ให้ชาวพระนครประชุมกัน ตรัสบอกคุณงามความดีของพระโพธิสัตว์

แล้วโปรดเกล้าฯ พระราชทานตำแหน่งเสนาบดีแก่พระโพธิสัตว์ และ
พระองค์เองก็ทรงดำรงอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์ ทรงทำบุญทั้งหลาย
มีทานเป็นต้น แล้วได้ทรงมีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า

พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาทรงประกาศ
สัจธรรมทั้งหลาย แล้วทรงประชุมชาดกไว้ ในที่สุดแห่งสัจธรรม
พระภิกษุผู้เลี้ยงมารดาได้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล. ยักษ์ในครั้งนั้น ได้แก่
พระองคุลิมาลในบัดนี้ พระราชา ได้แก่ พระอานนท์ ส่วนมาณพ
ได้แก่ เราตถาคตฉะนี้แล
จบ อรรถกถาสุตนชาดกที่ ๓

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 14:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาคิชฌชาดกที่ ๔

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ภิกษุผู้เลี้ยงมารดา จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า เต กถํ นุ กริสฺสนฺติ
ดังนี้. เรื่องจักมีชัดแจ้งในสามชาดก.

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร-
พาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดในกำเนิดแร้ง เติบโตแล้วให้พ่อแม่ผู้แก่เฒ่า
ตาเสื่อมคุณภาพแล้ว สถิตอยู่ที่ถ้ำเขาคิชฌกูฏ นำเนื้อโคเป็นต้นมาเลี้ยง.
เวลานั้นในเมืองพาราณสี นายพรานคนหนึ่งดักบ่วงแร้งโดยไม่กำหนด
เวลาไปดูไว้ที่ป่าช้า อยู่มาวันหนึ่งพระโพธิสัตว์ เมื่อแสวงหาเนื้อโค

ได้เข้าไปป่าช้า เขาติดบ่วงไม่ได้คิดถึงตน ระลึกถึงแต่พ่อแม่ผู้แก่เฒ่าแล้ว
บ่นไปว่า พ่อแม่ของเราจักอยู่ไปได้อย่างไรหนอ ? ไม่รู้ว่าเราติดบ่วงเลย
หมดที่พึ่งขาดอาหารปัจจัย เห็นจักผอมตายที่ถ้ำในภูเขานั่นเอง ดังนี้
กล่าวคาถาที่ ๑ ไปพลางว่า:-

ท่านเหล่านั้น พ่อแม่ของเราแก่เฒ่าแล้ว
อาศัยอยู่ที่ซอกเขา จักทำอย่างไรหนอ เราก็
ติดบ่วงตกอยู่ในอำนาจของนายพรานนิลิยะ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิลิยสฺส ได้แก่บุตรของนายพราน
ที่มีชื่ออย่างนี้ บุตรของนายพรานได้ยินคำโอดครวญของแร้งนั้นแล้ว
จึงกล่าวว่า:-

แร้ง เจ้าโอดครวญทำไม การโอด
ครวญของเจ้าจะมีประโยชน์อะไรเล่า ข้าไม่
เคยได้ยินหรือไม่เคยเห็นนกพูดภาษาคนได้เลย
ว่า เราเลี้ยงพ่อแม่ผู้แก่เฒ่าแล้ว อาศัยอยู่ที่
ซอกเขา ท่านจักทำอย่างไรหนอ ? เมื่อเราตก
อยู่ในอำนาจของท่านแล้ว ชาวโลกพูดกันว่า
แร้งมองเห็นซากศพไกลถึงร้อยโยชน์ เหตุไฉน
เจ้าแม้เข้าไปใกล้ตาข่ายและบ่วงแล้วจึงไม่รู้


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 14:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
จัก เมื่อใดความเสื่อมจะมี และสัตว์จะมี
ความสิ้นชีวิต เมื่อนั้นเขาแม้จะเข้าไปใกล้
ตาข่ายและบ่วงแล้วก็ไม่รู้จัก เจ้าจงไปเลี้ยง
พ่อแม่ผู้แก่เฒ่า แล้วอาศัยอยู่ในซอกเขาเถิด
ข้าอนุญาตเจ้าแล้ว เจ้าจงไปพบญาติทั้งหลาย
โดยสวัสดี ดูก่อนนายพราน เจ้าจงบรรเทิงใจ
พร้อมด้วยญาติทั้งมวลเหมือนกันเถิด เราก็จัก
เลี้ยงพ่อแม่ผู้แก่เฒ่า แล้วอาศัยอยู่ที่ซอกเขา.

คาถาเหล่านี้คือ คาถาที่ ๒ นายพรานกล่าว คาถาที่ ๓ แร้ง
กล่าวแล้วตามลำดับ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยนฺนุ ความว่า ชาวโลกกล่าวคำ
นี้ใดไว้นะ. บทว่า คิชฺโฌ โยชนสตํ กุณปานิ อุเปกฺขติ ความว่า
แร้งมองเห็นซากศพที่วางอยู่เกินร้อยโยชน์ ถ้าหากชาวโลกกล่าวถ้อยคำ
นั้นไซร้ เมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุไฉนแร้งแม้เข้าไปใกล้ข่ายและบ่วงจึงไม่

รู้จัก คือ แม้มาถึงที่แล้วก็ไม่รู้จัก. บทว่า ปราภโว ได้แก่ ความพินาศ.
บทว่า ภรสฺสุ ความว่า นายพรานนั้น ครั้นได้ฟังธรรมกถาของพระ-
โพธิสัตว์นี้แล้วคิดว่า พระยาแร้งผู้ฉลาด เมื่อโอดครวญก็ไม่โอดครวญ
เพื่อตน แต่โอดครวญเพื่อพ่อแม่ พระยาแร้งนี้ไม่ควรตาย แล้วได้
กล่าวยินดีต่อพระโพธิสัตว์นั้น ก็แหละครั้นกล่าวแล้วก็แก้บ่วงออกด้วย
จิตใจรักใคร่อ่อนโยน.

ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์พ้นจากมรณทุกข์มีความสุขใจแล้ว เมื่อ
จะทำอนุโมทนาแก่นายพรานนั้น จึงกล่าวคาถาสุดท้ายแล้ว ได้คาบเอา
เนื้อเต็มปากไปให้พ่อแม่.

พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา ประกาศสัจธรรม
ทั้งหลาย แล้วทรงประชุมชาดกไว้ ในที่สุดแห่งสัจธรรม ภิกษุผู้เลี้ยง
มารดาได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล บุตรนายพรานในครั้งนั้น ได้แก่
พระฉันนเถระ ในบัดนี้ พ่อแม่ได้แก่ราชตระกูลใหญ่ ส่วนพระยาแร้ง
ได้แก่เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาคิชฌชาดกที่ ๔

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 14:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาทัพพปุปผชาดกที่ ๕

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
พระอุปนันทศากยบุตร แล้วจึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า อนุตีรจารี
ภทฺทนฺเต ดังนี้.

ดังจะกล่าวโดยย่อ ท่านบวชในพระศาสนาแล้ว ละคุณธรรมมี
ความปรารถนาน้อยเป็นต้น ได้เป็นผู้มีความทยานอยากมาก. ในวันเข้า
พรรษาท่านยึดครองวัดไว้ ๒,๓ วัด คือวางร่มหรือรองเท้าไว้วัดหนึ่ง ไม้-
เท้าคนแก่หรือหม้อน้ำไว้อีกวัดหนึ่ง ตนเองก็อยู่วัดหนึ่ง. ท่านจำพรรษาที่
วัดในชนบทวัดหนึ่ง สอนปฏิปทาอันเป็นวงศ์ของพระอริยเจ้า ที่แสดง

ถึงความสันโดษในปัจจัย แก่ภิกษุทั้งหลายแจ่มชัดเหมือนยกพระจันทร์
ขึ้นในอากาศก็ปานกันว่า ธรรมดาภิกษุควรเป็นผู้มักน้อย. ภิกษุทั้งหลาย
ได้ฟังคำนั้นแล้ว พากันทิ้งบาตรและจีวรที่น่าชอบใจ รับเอาบาตรดิน-
เหนียวและผ้าบังสุกุล. ท่านให้ภิกษุทั้งหลาย วางของเหล่านั้นไว้ ณ ที่

อยู่ท่าน ออกพรรษาปวารณาแล้ว บรรทุกเต็มเกวียนไปพระเชตวัน-
มหาวิหาร ถูกเถาวัลย์เกี่ยวเท้า ที่ด้านหลังวัดป่าแห่งหนึ่งในระหว่างทาง
เข้าใจว่า จักต้องมีของอะไรที่เราควรได้ในวัดนี้แน่นอน แล้วจึงแวะวัด
นั้น. ในวัดนั้นภิกษุแก่ คือหลวงตา จำพรรษาอยู่ ๒ รูป. ท่านได้

ผ้าสาฎกเนื้อหยาบ ๒ ผืนและผ้ากัมพล เนื้อละเอียดผืนหนึ่ง ไม่อาจจะ
แบ่งกันได้ เห็นท่านมาดีใจว่า พระเถระจักแบ่งให้พวกเราได้แน่ จึง
พากันเรียนท่านว่า ใต้เท้าขอรับ พวกกระผมไม่สามารถแบ่งผ้าจำนำ
พรรษานี้ได้ พวกกระผมจะมีการวิวาทกัน เพราะผ้าจำนำพรรษานี้ ขอใต้

เท้า จงแบ่งผ้านี้ให้แก่พวกกระผม. ท่านรับปากว่า ดีแล้ว ผมจักแบ่งให้
แล้วได้แบ่งผ้าสาฎกเนื้อหยาบให้ภิกษุ ๒ รูป บอกว่า ผืนนี้คือผ้ากัมพล


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 14:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ตกแก่ผมผู้เป็นพระวินัยธร แล้วก็หยิบเอาผ้ากัมพล หลีกไป. พระเถระ
แม้เหล่านั้น ยังมีความอาลัยในผ้ากัมพล จึงพากันไปเชตวันมหาวิหาร
พร้อมกับท่านอุปนันทะนั้นนั่นแหละ ได้บอกเนื้อความนั้นแก่ภิกษุทั้ง-
หลายผู้เป็นพระวินัยธร แล้วกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญมีหรือไม่หนอ
การที่พระวินัยธรทั้งหลาย กินของที่ริบมาได้อย่างนี้. ภิกษุทั้งหลายเห็น

กองบาตรและจีวร ที่พระอุปนันทะนำมาแล้ว พูดว่า ท่านผู้มีอายุ ท่านมี
บุญมากหรือ ? ท่านจึงได้บาตรและจีวรมาก. ท่านบอกทุกอย่างว่า ท่าน
ผู้มีอายุผมจักมีบุญแต่ที่ไหน ? บาตรและจีวรนี้ผมได้มาด้วยอุบายนี้. ภิกษุ
ทั้งหลายพากันตั้งเรื่องขึ้นในธรรมสภาว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ท่านอุป-

นันทะ ศากยบุตรมีตัณหามาก มีความโลภมาก. พระศาสดาเสด็จมาถึง
แล้วตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เธอทั้งหลายนั่งสนทนากัน
ด้วยเรื่องอะไร ? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ด้วยเรื่องชื่อนี้ ตรัสว่า
ภิกษุทั้งหลาย พระอุปนันทะ ไม่ทำสิ่งที่เหมาะสมแก่ปฏิปทา ธรรมดา
ว่าภิกษุ เมื่อจะบอกปฏิปทาแก่ผู้อื่น ควรจะทำให้เหมาะสมแก่ตนก่อน

แล้วจึงให้โอวาทผู้อื่นในภายหลัง ครั้นทรงแสดงธรรม ด้วยคาถาใน
ธรรมบทนี้ว่า:-
คนควรตั้งตนเองไว้ในที่เหมาะสมก่อน
ภายหลังจึงพร่ำสอนผู้อื่น ผู้ฉลาดไม่ควรจะ
มัวหมอง.

แล้วตรัสว่า พระอุปนันทะ ไม่ใช่มีความโลภมากแต่ในบัดนี้
เท่านั้น แม้เมื่อแต่ก่อนเธอก็มีความโลภมากเหมือนกัน และก็ไม่ใช่แต่
ในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อน เธอก็ริบสิ่งของของภิกษุเหล่านี้เหมือนกัน
แล้วได้ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้.


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 17:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต ครองราชสมบัติอยู่ในนคร
พาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นรุกขเทวดาที่ฝั่งแม่น้ำ. ครั้งนั้นสุนัข
จิ้งจอกตัวหนึ่ง ชื่อมายาวี คือเจ้าเล่ห์ พาเมียไปอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง
ใกล้ฝั่งแม่น้ำ. อยู่มาวันหนึ่ง สุนัขจิ้งจอกตัวเมียพูดกับตัวผู้ว่า พี่ฉัน

เกิดแพ้ท้องแล้วฉันอยากกินเนื้อที่ยังมีเลือดสดๆ อยู่. สุนัขจิ้งจอกตัวผู้
บอกว่า น้องอย่าท้อใจ พี่จักนำมาให้น้องให้ได้ จึงเดินไปริมฝั่งน้ำ
ถูกเถาวัลย์คล้องขา จึงได้เดินไปตามฝั่งนั้นเอง. ขณะนั้น นาก ๒ ตัว
คือตัวหนึ่งเที่ยวหากินน้ำลึกเป็นปกติ ส่วนตัวหนึ่งเที่ยวหากินตามฝั่งเป็น

ปกติ กำลังเสาะแสวงหาปลา ได้หยุดยืนอยู่ที่ตลิ่ง. บรรดานาก ๒
ตัวนั้น ตัวเที่ยวหากินน้ำลึก เห็นปลาตะเพียนแดงตัวใหญ่ จึงดำน้ำไป
โดยเร็วคาบหางปลาไว้ได้. แต่ปลาแรงมากฉุดนากไป. นากตัวที่เที่ยว
หากินน้ำลึกจึงเจรจาตกลงกับนากอีกตัวหนึ่งว่า ปลาตัวใหญ่จักพอกิน

สำหรับเราทั้ง ๒ มาเถอะ จงเป็นสหายผู้ร่วมงานของเรา แล้วกล่าว
คาถาที่ ๑ ว่า:-

ดูก่อนสหายนาก ผู้เที่ยวหากินตามฝั่ง ขอ
ท่านจงมีความเจริญ จงตามฉันมาเถิด ฉันคาบ
ปลาตัวใหญ่ไว้ แล้วมันลากฉันไปด้วยกำลัง
เร็ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สหายมนุธาว มํ ความว่า สหาย
จงตามฉันมา. ม อักษรท่านกล่าวไว้ด้วยอำนาจสนธิ. มีคำอธิบายว่า
ขอสหายจงตามฉันมาคาบท่อนหางไว้ เหมือนฉันไม่ท้อถอยเพราะ
การจับปลาตัวนี้ ฉะนั้น.


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 17:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
นากอีกตัวหนึ่ง ได้ยินคำนั้นแล้ว จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า:-
ดูก่อนนากผู้เที่ยวหากินในน้ำลึก ขอท่าน
จงมีความเจริญ ท่านจงคาบไว้ให้มั่น ด้วย
กำลัง เราจักยกปลานั้นขึ้นเหมือนครุฑยกนาค
ขึ้น ฉะนั้น

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ถามสา ความว่า ด้วยกำลัง. บทว่า
อุทฺธริสฺสามิ ความว่า จักนำออกไป. บทว่า สุปณฺโณ อุรคมฺมิว
ความว่า เหมือนครุฑยกงูขึ้น ฉะนั้น.

ลำดับนั้น นากทั้ง ๒ ตัวนั้น ร่วมกันนำปลาตะเพียนแดงออก
มาได้ วางให้ตายอยู่บนบกเกิดการทะเลาะกันว่า แบ่งสิแกแบ่งสิ แล้ว
ไม่อาจแบ่งกันได้ จึงหยุดนั่งกันอยู่. ขณะนั้น สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งเข้า
มาถึงที่นั้น. นากเหล่านั้นเห็นแล้ว ทั้ง ๒ ตัว จึงพากันต้อนรับแล้ว

พูดว่า สหายทรรพบุบผา ปลาตัวนี้ พวกเราจับได้ร่วมกัน เมื่อพวก
เราไม่สามารถจะแบ่งกันได้ จึงเกิดขัดแย้งกันขึ้น ขอเชิญท่านแบ่งปลา
ให้พวกเราเท่าๆ กันเถิด แล้วได้กล่าวคาถาที่ ๓ ว่า:-

สหายทรรพบุบผา พวกเราเกิดทะเลาะ
กันขึ้น ขอท่านจงฟังเรา ดูก่อนสหาย ขอจง
ระงับความบาดหมางกัน ขอให้ข้อพิพาทจง
สงบลง.

พึงทราบวินิจฉัยในคาถานั้น นากเรียกสุนัขจิ้งจอกว่า ทรรพบุบผา
เพราะมันมีสีเหมือนดอกหญ้าคา. บทว่า เมธคํ ได้แก่การทะเลาะกัน.
สุนัขจิ้งจอกได้ยินถ้อยคำของนากเหล่านั้นแล้ว เมื่อจะแสดงถึง
ปรีชาสามารถของตน จึงกล่าวคาถานี้ว่า:-


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 17:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เราเป็นผู้พิพากษามาก่อน ได้พิจารณา
คดีมาแล้วมากมายสหาย เราจะระงับความ
บาดหมางกัน ข้อพิพาทจงสงบลง.
สุนัขจิ้งจอกครั้นกล่าวคาถานี้แล้ว เมื่อจะแบ่งปลา จึงกล่าวคาถา
นี้ว่า:-

สหายผู้เที่ยวหากินตามฝั่ง ท่อนหาง
จักเป็นของเจ้า แต่ท่อนหัวจักเป็นของผู้เที่ยว
หากินในน้ำลึก ส่วนอีกท่อนกลางนี้ จักเป็น
ของผู้ตัดสิน.

บรรดาคาถาทั้ง ๒ นั้น คาถาที่ ๑ มีเนื้อความดังนี้. เราเคย
เป็นผู้พิพากษาของพระราชาทั้งหลายมาก่อน เรานั้นนั่งในศาลพิจารณา
คดีมามากทีเดียว คือคดีมากมาย ของพราหมณ์และคหบดีทั้งหลายเหล่า
นั้นๆ เราพิจารณา คือวินิจฉัยมาแล้ว เรานั้นจักไม่อาจพิจารณาคดี

ของสัตว์ ๔ เท้าทั้งหลาย ผู้มีชาติเสมอกัน เช่นท่านทั้งหลายได้อย่างไร
เราจะระงับความร้าวราญของท่านทั้งหลาย สหาย ความวิวาทบาด
หมางกัน จงสงบคือระงับไป เพราะอาศัยเรา. ก็แหละ ครั้นกล่าว
อย่างนี้แล้ว มันก็แบ่งปลาเป็น ๓ ส่วนแล้วบอกว่า ดูก่อนนากตัวเที่ยว

หากินตามฝั่ง เจ้าจงคาบเอาท่อนหาง ท่อนหัวจงเป็นของตัวเที่ยวหากิน
ในน้ำลึก. บทว่า อจฺจายํ มชฺฌิโม ขณฺโฑ ความว่า อีกส่วนท่อน
กลางนี้. อีกอย่างหนึ่งบทว่า อจฺจ ความว่า เลยไป คือท่อนที่อยู่เลย
ส่วนทั้ง ๒ นี้ไป ได้แก่ท่อนกลางนี้ จักเป็นของผู้พิพากษา คือนายผู้
วินิจฉัยคดี.

สุนัขจิ้งจอกครั้นแบ่งปลาอย่างนี้แล้ว ก็บอกว่า เจ้าทั้งหลายอย่า
ทะเลาะกันแล้วพากันกินท่อนหางและท่อนหัวเถิด แล้วก็เอาปากคาบเอา
ท่อนกลางหนีไปทั้งๆ ที่นาก ๒ ตัวนั้นเห็นอยู่นั่นแหละ. นาก ๒ ตัวนั้น
นั่งหน้าเสียเหมือนแพ้ตั้งพันครั้ง แล้วได้กล่าวคาถาที่ ๖ ว่า:-


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 17:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ถ้าเราไม่วิวาทกันไซร้ ท่อนกลางก็จัก
เป็นอาหารไปได้นานวัน แต่เพราะวิวาทกัน
สุนัขจิ้งจอกจึงนำเอาปลาตะเพียนแดงที่ไม่ใช่
หัวไม่ใช่หางไป คือท่อนกลาง.

ฝ่ายสุนัขจิ้งจอกดีใจว่า วันนี้เราจักให้เมียกินปลาตะเพียนแดง
แล้วได้มาที่สำนักของเมียนั้น. นางเมียเห็นผัวกำลังมาดีใจเป็นอย่างยิ่ง
จึงได้กล่าวคาถานี้ว่า:-

วันนี้ฉันเห็นผัวมีอาหารเต็มปาก จึงชื่น
ใจเหมือนกษัตริย์ได้ราชสมบัติเป็นพระราชา
แล้ว พึงทรงชื่นพระทัย ก็ปานกัน.
ครั้นกล่าวคาถานี้แล้ว เมื่อถามถึงอุบายที่ได้อาหารมา จึงกล่าว
คาถานี้ว่า:-

พี่เป็นสัตว์เกิดบนบก ไฉนหนอ จึงจับ
ปลาในน้ำได้ ดูก่อนพี่ร่วมชีวิต พี่ถูกฉันถาม
แล้ว ขอจงบอกฉันว่า พี่ได้มาอย่างไร ?
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กถนฺนุ ความว่า เมื่อสุนัขจิ้งจอก
ผัวบอกว่า จงกินเถิดน้อง แล้ววางชิ้นปลาไว้ข้างหน้า สุนัขจิ้งจอก
ตัวเป็นเมีย จึงถามว่า พี่เป็นสัตว์เกิดบนบก แต่จับปลาในน้ำมาได้
อย่างไร ?

สุนัขจิ้งจอกตัวเป็นผัว เมื่อจะบอกอุบายที่ได้ปลานั้นมา จึงกล่าว
คาถาติดต่อกันไปว่า:-
คนทั้งหลายผ่ายผอม เพราะวิวาทกัน มี
ความสิ้นทรัพย์ ก็เพราะวิวาทกัน นาก ๒ ตัว
พลาดปลาชิ้นนี้ เพราะทะเลาะกัน แม่งามงอน
เจ้าจงกินปลาตะเพียนแดงเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิวาเทน กิสา โหนฺติ ความว่า
น้องนางผู้เจริญเอ๋ย สัตว์เหล่านี้ เมื่อทำการวิวาทกัน อาศัยการวิวาท
จึงผ่ายผอม คือมีเนื้อและโลหิตน้อย. บทว่า วิวาเทน ธนกฺขยา
ความว่า ถึงความสิ้นทรัพย์ทั้งหลาย มีเงินและทองเป็นต้น ก็มี เพราะ
การวิวาทกันนั่นเอง. เมื่อคนทั้ง ๒ วิวาทกัน คนหนึ่งแพ้ เพราะแพ้

จึงถึงความสิ้นทรัพย์ เพราะให้ส่วนแห่งความชนะแก่ผู้พิพากษา. บทว่า
ชินา อุทฺทา ความว่า นาก ๒ ตัวพลาดปลาชิ้นนี้ไป เพราะวิวาทกัน
นั่นเอง เพราะฉะนั้น เธออย่าถามถึงเหตุแห่งปลาชิ้นนี้ที่เรานำมาแล้ว
ดูก่อนน้อง เธอจงกินปลาตะเพียนแดงชิ้นนี้อย่างเดียว.


* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 17:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
คาถานอกนี้ เป็นคาถาของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ตรัสรู้ยิ่งแล้ว
ว่า ดังนี้:-
ในหมู่มนุษย์ ข้อพิพาทกันเกิดขึ้น ณ ที่ใด
พวกเขาจะวิ่งหาผู้พิพากษา เพราะผู้พิพากษา
เป็นผู้แนะนำพวกเขา ฝ่ายพวกเขาก็จะเสีย
ทรัพย์ ณ ที่นั้น เหมือนนาก ๒ ตัวนั้นเอง แต่
คลังหลวงเจริญขึ้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอวเมว ความว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย นาก ๒ ตัวนั้น พลาดไปแล้วฉันใด ถึงในหมู่มนุษย์ก็เช่นนั้น
เหมือนกัน ณ ที่ใด เกิดการวิวาทกันขึ้น ณ ที่นั้น คนทั้งหลายจะวิ่งหา
ผู้พิพากษา คือเข้าไปหาเจ้านายผู้ตัดสิน. เพราะเหตุไร ? เพราะว่า ท่าน

เป็นผู้แนะนำพวกเขา อธิบายว่า เป็นผู้จะให้ข้อพิพาทของพวกเขา ที่
ทะเลาะกันสงบลงได้. บทว่า ธนาปิ ตตฺถ ความว่า พวกเขาผู้วิวาท
กันจะเสื่อมแม้จากทรัพย์ ณ ที่นั้น อธิบายว่า จะเสื่อมจากของที่มีอยู่
ของตน แต่คลังหลวงจะเจริญขึ้น เพราะสินไหม และเพราะรับส่วน
แบ่งจากชัยชนะ

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดกไว้ว่า สุนัขจิ้งจอกในครั้งนั้น ได้แก่พระอุปนันทะในบัดนี้ นาก
๒ ตัว ได้แก่ภิกษุแก่ ๒ รูป ส่วนรุกขเทวา ผู้ทำเหตุนั้นให้เห็นประจักษ์
ได้แก่เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาทัพพปุปผชาดกที่ ๕

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 17:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาทสัณณกชาดกที่ ๖

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
การยั่วยวนของภรรยาเก่า จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า ทสณฺณกํ
ติขิณธารํ ดังนี้.

ดังจะกล่าวโดยย่อ พระศาสดาตรัสถามภิกษุนั้นว่า ได้ทราบว่า
เธอกระสันอยากสึกจริงหรือ ? เมื่อเธอกราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า ตรัส
ถามต่อว่า ใครยั่วให้กระสัน ? เมื่อเธอทูลว่า ภรรยาเก่าพระเจ้าข้า
จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ หญิงนี้ทำอนัตถะให้เธอ ไม่เฉพาะในบัดนี้ แม้
ในชาติก่อน เธออาศัยหญิงนี้กำลังจะตายเพราะโรคเจตสิก ได้อาศัย
บัณฑิตจึงได้ชีวิตไว้ แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้:-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร
พาราณสี พระโพธิสัตว์กำเนิดในตระกูลพราหมณ์. ญาติทั้งหลายได้ตั้ง
ชื่อเขาว่า เสนกกุมาร. เขาเติบโตแล้วได้เรียนศิลปะทุกชนิด ในเมือง
ตักกศิลาจบแล้วก็กลับเมืองพาราณสี ได้เป็นอำมาตย์ ผู้ถวายอรรถธรรม
พระเจ้ามัทวะ. ท่านถูกคนทั้งหลายเรียกว่า เสนกบัณฑิต รุ่งโรจน์ทั่ว

ทั้งนคร เหมือนดวงจันทร์และดวงอาทิตย์. ครั้งนั้น บุตรของราชปุโรหิต
มาเฝ้าในหลวง เห็นอัครมเหสีของพระราชา ผู้ทรงพระรูปโฉมสูงส่ง
ทรงประดับเครื่องทรงครบถ้วน มีจิตปฏิพัทธ์ไปบ้านแล้วนอนอดอาหาร
ถูกเพื่อนฝูงถามจึงบอกเนื้อความนั้น. พระราชาตรัสถามว่า ไม่เห็นบุตร

ของปุโรหิต ไปไหนเล่า ? ได้ทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงตรัสสั่ง
ให้เขาเข้าเฝ้า แล้วตรัสว่า ฉันจะมอบให้ท่าน ๗ วัน จะเอาพระอัครมเหสี
นี้ไปไว้ที่บ้าน ๗ วัน ในวันที่ ๘ จึงนำมาส่ง. เขารับพระบรมราช


* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 116, 117, 118, 119, 120, 121, 122 ... 151  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร