วันเวลาปัจจุบัน 05 ส.ค. 2025, 20:21  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 96, 97, 98, 99, 100, 101, 102 ... 151  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2018, 07:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ในอดีตกาล เมื่อพระโพธิสัตว์ครองราชสมบัติในนครพาราณ-
สี โดยธรรมโดยสม่ำเสมอ. ในพระราชนิเวศน์ มีนางนกกะเรียน
ตัวหนึ่ง เป็นผู้จำทูลพระราชสาสน์. ข้อความทั้งหมดเช่นกับที่กล่าว
มาแล้วข้างต้นนั่นเอง. ส่วนความแผกกันมีดังต่อไปนี้ :- นางนก

กะเรียนนั้นให้เสือโคร่งฆ่าเด็กทั้งหลายแล้วคิดว่า บัดนี้ เราไม่อาจอยู่
ในที่นี้เราจักต้องไป แต่เมื่อจะไป ยังไม่กราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ
ก่อนจักไม่ไป นางนกกะเรียนนั้นจึงเข้าไปเฝ้าพระราชาแล้วยืนอยู่ ณ
ส่วนสุดข้างหนึ่ง กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นนาย พวกเด็กฆ่า
ลูก ๆ ของข้าพระองค์ เพราะความพลั้งเผลอของพระองค์ ข้าพระองค์

เป็นผู้ตกอยู่ในอำนาจของความโกรธ จึงฆ่าเด็กพวกนั้นตอบแทน
บัดนี้ ข้าพระองค์ไม่อาจอยู่ในที่นี้ แล้วกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า:-
ข้าพระองค์ได้อาศัยอยู่ในพระราชนิเวศน์
ของพระองค์ พระองค์ทรงอุปถัมภ์บำรุงเป็น
อย่างดีมิได้ขาด มาบัดนี้ พระองค์ทีเดียวได้
ก่อเหตุขึ้น ข้าแต่พระราชา ผิฉะนั้น ข้า-
พระองค์จะขอทูลลาไปป่าหิมพานต์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตฺวเมวทานิมกริ ความว่า พระ-
องค์นั่นแหละให้ข้าพระองค์ถือพระราชหัตถเลขาไปส่ง ไม่ทรงปกป้อง
บุตรทั้งหลายของข้าพระองค์ เพราะความประมาทของพระองค์ ชื่อว่า
ทรงก่อเหตุให้ข้าพระองค์ไปนี้ ณ บัดนี้. ศัพท์ว่า หนฺท เป็นนิบาต

ใช้ในอรรถแห่งอุปสรรค. นางนกกะเรียนเรียกพระโพธิสัตว์ว่า ราชา.
บทว่า วชามหํ ความว่า ข้าพระองค์จะไปยังหิมวันตประเทศ.


* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
* ทานน้อยจึ่งค่อยได้ให้ทาน ทานนานๆย่อมยังทรัพย์ให้เกิดได้
ทานแบบเกินรายได้ ย่อมจะได้หนี้สินติดตัวมา ย่อมยังชาตาชีวิตให้ตกต่ำ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2018, 07:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระราชาทรงสดับดังนั้น จึงตรัสคาถาที่ ๒ ว่า:-
ผู้ใดแล เมื่อคนอื่นทำกรรมอันชั่วร้าย
ให้แก่ตนแล้ว และตนก็ได้ทำตอบแทนแล้ว
ย่อมรู้สึกได้ว่า เราได้ทำตอบแก่เขาแล้ว
เวรของผู้นั้นย่อมสงบไปด้วยอาการเพียงเท่านี้
ดูก่อนนางนกกะเรียน ท่านจงอยู่เถิด อย่า
ไปเลย.

คำที่เป็นคาถานั้นมีใจความว่า บุคคลใด เมื่อคนอื่นกระทำ
กรรมอันชั่วร้าย คือกระทำกรรมอันทารุณ มีฆ่าบุตรเป็นต้นของตน
เมื่อตนกลับทำตอบซึ่งกรรมอันชั่วร้ายตอบต่อบุคคลนั้นได้ ย่อมรู้สึกว่า
เราทำตอบเขาได้แล้ว. เวรนั้นย่อมสงบไปด้วยอาการอย่างนี้ คือ เวร
นั้นย่อมสงบคือเข้าไปสงบด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้ เพราะเหตุนั้น
นางนกกะเรียนเอ๋ย เจ้าอยู่เถิดอย่าไปเลย.

นางนกกะเรียนได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า:-
มิตรภาพของผู้ที่ถูกทำร้ายกับผู้ที่ทำร้าย
ย่อมเชื่อมกันอีกไม่ได้ ใจของข้าพระองค์ไม่
ยอมอนุญาตให้อยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ
เพราะเหตุนั้น ข้าพระองค์จึงขอทูลลาไปให้
ได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น กตสฺส จ กตฺตา จ ความว่า
ขึ้นชื่อว่ามิตรภาพของคน ๒ จำพวกนี้ คือ คนผู้ถูกกระทำ ถูกข่มเหง
ถูกเบียดเบียน และคนผู้ทำให้แปรปรวนไปโดยความแตกแยกในบัดนี้
ย่อมเชื่อมกันไม่ได้ คือต่อกันไม่ได้อีก. บทว่า หทยํ นานุชานาติ

ความว่า เพราะเหตุนั้น ใจของข้าพระองค์จึงไม่อนุญาตการอยู่ในที่นี้.
บทว่า คจฺฉญฺเว รเถสภ ความว่า ข้าแต่มหาราช เพราะฉะนั้น
ข้าพระองค์จักขอไปอย่างเดียว.


* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
* ทานน้อยจึ่งค่อยได้ให้ทาน ทานนานๆย่อมยังทรัพย์ให้เกิดได้
ทานแบบเกินรายได้ ย่อมจะได้หนี้สินติดตัวมา ย่อมยังชาตาชีวิตให้ตกต่ำ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2018, 07:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระราชาทรงสดับดังนั้น จึงตรัสคาถาที่ ๔ ว่า:-
มิตรภาพของผู้ที่ถูกทำร้ายกับผู้ที่ทำร้าย
ย่อมเชื่อมกันได้อีกเฉพาะพวกบัณฑิตด้วย
กัน แต่สำหรับพวกคนพาลย่อมเชื่อมกันไม่
ได้อีก ดูก่อนนางนกกะเรียน เจ้าจงอยู่เถิด
อย่าไปเลย.

คำที่เป็นคาถานั้นมีใจความว่า ไมตรีของบุคคลผู้ถูกกระทำ
และบุคคลผู้กระทำ ย่อมเชื่อมกันได้อีก แต่ไมตรีนั้นย่อมเชื่อมกันได้
สำหรับพวกนักปราชญ์ ส่วนสำหรับพวกคนพาลย่อมเชื่อมกันไม่ได้
เพราะว่า ไมตรีของนักปราชญ์ทั้งหลาย แม้จะแตกไปแล้วก็กลับเชื่อม

ต่อได้ ส่วนไมตรีของพวกคนพาล แตกกันคราวเดียว ย่อมเป็นอัน
แตกไปเลย เพราะฉะนั้น นางนกกะเรียนเอ๋ย เจ้าจงอยู่เถิดอย่าไปเลย.

แม้เมื่อตรัสห้ามอยู่อย่างนั้น นางนกก็ยังทูลว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เป็นนาย ข้าพระองค์ไม่อาจอยู่พระเจ้าข้า จึงถวายบังคมพระราชา
แล้วบินไปยังหิมวันตประเทศทีเดียว.

พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึง
ทรงประชุมชาดกว่า ในกาลนั้นนางนกกะเรียนนั่นแหละ ได้มาเป็น
นางนกกะเรียนในบัดนี้ ส่วนพระเจ้าพาราณสีในครั้งนั้น ได้มาเป็น
เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถากุนตินีชาดกที่๓

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2018, 07:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
พระเถระผู้เฝ้ามะม่วงรูปหนึ่ง จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
โย นีลิยํ มณฺฑยติ ดังนี้.

ได้ยินว่า พระเถระนั้นบวชเมื่อภายแก่ สร้างบรรณศาลาอยู่
ในสวนมะม่วงท้ายพระเชตวัน ดูแลรักษามะม่วง เคี้ยวกินมะม่วงสุก
ที่หล่นอยู่. ย่อมให้เฉพาะคนที่เกี่ยวข้องกับตน. เมื่อพระเถระนั้น
เข้าไปภิกขาจาร คนลักมะม่วง ทำผลมะม่วงให้หล่นแล้วกินและถือ

เอาไป. ขณะนั้น ธิดาของเศรษฐี ๔ คน อาบน้ำในแม่น้ำอจิรวดี
แล้วเที่ยวไป จึงเข้าไปยังสวนมะม่วงนั้น. พระแก่มาเห็นธิดาเศรษฐี
เหล่านั้นจึงกล่าวว่า พวกเจ้ากินมะม่วงของเรา. ธิดาเศรษฐีเหล่านั้น
กล่าวว่า ท่านผู้เจริญ พวกดิฉันเพิ่งมา ไม่ได้กินมะม่วงของท่าน.
พระแก่กล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าจงสบถ. ธิดาเศรษฐีเหล่านั้น

รับคำว่าจะกระทำสบถ เจ้าข้า แล้วพากันกระทำสบถ. พระแก่ให้
ธิดาเศรษฐีเหล่านั้นทำสบถให้ได้อาย แล้วจึงปล่อยตัวไป. ภิกษุ
ทั้งหลายได้ฟังการกระทำนั้นของพระแก่รูปนั้น จึงสนทนากันใน
โรงธรรมสภาว่า อาวุโสทั้งหลาย ได้ยินว่าพระแก่รูปโน้น ให้ธิดา

เศรษฐีผู้เข้าไปยังสวนมะม่วงอันเป็นที่อยู่ของตนกระทำสบถ ทำให้ได้
อายแล้วปล่อยไป. พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย
บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันเรื่องอะไร ? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูล
ให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย มิใช่ชาตินี้เท่านั้น

แม้ชาติก่อน พระแก่นี้ได้เป็นผู้เฝ้ามะม่วง ยังธิดาเศรษฐีเหล่านี้ให้
ทำการสบถ ทำให้ได้อายแล้วปล่อยไป แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีต
มาสาธก ดังต่อไปนี้:-


* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* งด เว้น ละเลิก สิ่งที่ไม่เป็นสาระในชีวิตแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีที่เจริญยิ่งๆขึ้นไป
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
* ทานน้อยจึ่งค่อยได้ให้ทาน ทานนานๆย่อมยังทรัพย์ให้เกิดได้
ทานแบบเกินรายได้ ย่อมจะได้หนี้สินติดตัวมา ย่อมยังชาตาชีวิตให้ตกต่ำ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2018, 07:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร-
พาราณสี พระโพธิสัตว์ทรงครองความเป็นท้าวสักกเทวราช. ใน
กาลนั้น ชฎิลโกงผู้หนึ่งเข้าไปอาศัยนครพาราณสี สร้างบรรณศาลา
ในสวนมะม่วง ณ ที่ใกล้ฝั่งแม่น้ำ รักษามะม่วงอยู่ กินผลมะม่วงสุก
ที่หล่น ให้เฉพาะแก่คนที่เกี่ยวข้องกัน เลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพ

มีประการต่าง ๆ อยู่. ในกาลนั้น ท้าวสักกเทวราชทรงดำริว่า ใคร-
หนอบำรุงบิดามารดา ใครหนอประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้เจริญที่สุดใน
สกุล ใครให้ทานรักษาศีล กระทำอุโบสถกรรม ใครบวชแล้ว
ขวนขวายในสมณธรรมอยู่ ใครประพฤติอนาจาร จึงทรงตรวจดู

ชาวโลก ทรงเห็นชฎิลโกงผู้เฝ้ามะม่วงผู้นี้ไม่มีอาจาระ จึงทรงดำริว่า
ชฎิลโกงผู้นี้ละทิ้งสมณธรรมของตนมีบริกรรมกสิณเป็นต้น รักษา
สวนมะม่วงอยู่ เราจักทำเขาให้สังเวชสลดใจ จึงในเวลาที่ชฎิลโกงนั้น
เข้าไปภิกขาจารยังบ้านจึงบันดาลมะม่วงทั้งหลายให้ล้มลงด้วยอานุภาพ

ของพระองค์ ทรงทำให้เสมือนหนึ่งถูกพวกโจรปล้น. ในคราวนั้น
ธิดาเศรษฐี ๔ คน จากนครพาราณสี เข้าไปยังสวนมะม่วงนั้น.
ชฎิลโกงเห็นธิดาเศรษฐีเหล่านั้นจึงอ้างเอาว่า พวกท่านบริโภคมะม่วง
ของเรา. ธิดาเศรษฐีเหล่านั้นกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ พวกฉันเพิ่งมา
เดี๋ยวนี้เอง พวกดิฉันไม่ได้กินมะม่วงของท่าน. ชฎิลโกงพูดว่า

ถ้าอย่างนั้น พวกท่านจงสบถ. ธิดาเศรษฐีเหล่านั้นถามว่า ก็พวก
ดิฉันสบถแล้วจักไปได้กระมัง ? ชฎิลโกงกล่าวว่า เออ สบถแล้ว
จักได้ไป. ธิดาเศรษฐีเหล่านั้นพากันรับคำว่า ดีแล้ว ท่านผู้เจริญ
เมื่อธิดาเศรษฐีคนใหญ่จะสบถ จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า:-


* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* งด เว้น ละเลิก สิ่งที่ไม่เป็นสาระในชีวิตแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีที่เจริญยิ่งๆขึ้นไป
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
* ทานน้อยจึ่งค่อยได้ให้ทาน ทานนานๆย่อมยังทรัพย์ให้เกิดได้
ทานแบบเกินรายได้ ย่อมจะได้หนี้สินติดตัวมา ย่อมยังชาตาชีวิตให้ตกต่ำ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2018, 13:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
หญิงใดลักมะม่วงของท่าน หญิงนั้น
จงตกอยู่ในอำนาจของชายผู้ย้อมผมให้ดำ
และผู้เดือดร้อนเพราะ ต้องถอนผมหงอก
ด้วยแหนบ.

คำที่เป็นคาถานั้นมีใจความว่า ชายใดแต่งให้ผมดำซึ่งเอาผลไม้
สีเขียวเป็นต้นมาประกอบทำ เพื่อต้องการจะทำผมหงอกให้มีสีดำ และ
ผู้ถอนผมหงอกซึ่งแซมอยู่กับผมดำ ชื่อว่าเดือดร้อน คือลำบากเพราะ
แหนบ หญิงผู้ลักมะม่วงของท่านจงตกอยู่ในอำนาจของชายแก่เห็น
ปานนั้น คือจงได้ผัวเห็นปานนั้น.

ดาบสกล่าวว่า เจ้าจงยืนอยู่ในส่วนข้างหนึ่ง แล้วให้ธิดาเศรษฐี
คนที่สองกระทำการสบถ. ธิดาเศรษฐีคนที่สองนั้น เมื่อจะสบถ
จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า:-

หญิงใดลักมะม่วงของท่าน หญิงนั้น
ถึงจะมีอายุตั้ง ๒๐ ปี ๒๕ ปี หรือไม่ถึง
๓๐ ปี โดยกำเนิด แม้เป็นผู้มีวัยแก่เช่น
นั้นก็อย่าได้ผัวเลย.

คำที่เป็นคาถานั้นมีใจความว่า ธรรมดานารีทั้งหลาย ย่อม
เป็นที่รักของพวกบุรุษ ในคราวมีอายุประมาณ ๑๕-๑๖ ปี แต่
หญิงผู้ลักมะม่วงของท่าน อย่าได้สามีในคราวเป็นสาวเห็นปานนั้น
พอถึงอายุ ๒๐ ปี หรือ ๒๕ ปี หรือชื่อว่าหย่อน ๓๐ ปี เพราะ
หย่อนหนึ่งปี สองปีโดยชาติกำเนิด แม้จะเป็นผู้เช่นนั้น คือเป็น
ผู้มีวัยแก่แล้ว ก็อย่าได้สามี.

เมื่อธิดาเศรษฐีคนที่สองแม้นั้นสบถแล้ว ยืนอยู่ ณ ส่วนข้าง
หนึ่ง ธิดาเศรษฐีคนที่สาม จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :-


* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* งด เว้น ละเลิก สิ่งที่ไม่เป็นสาระในชีวิตแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีที่เจริญยิ่งๆขึ้นไป
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
* ทานน้อยจึ่งค่อยได้ให้ทาน ทานนานๆย่อมยังทรัพย์ให้เกิดได้
ทานแบบเกินรายได้ ย่อมจะได้หนี้สินติดตัวมา ย่อมยังชาตาชีวิตให้ตกต่ำ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2018, 13:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
หญิงใดลักมะม่วงของท่าน หญิงนั้น
ถึงจะกระเสือกกระสนเที่ยวหาผัว เดินทาง
ไกลแสนไกลลำพังผู้เดียว ถึงจะได้นัดแนะ
กันไว้แล้ว ขออย่าได้พบได้เห็นผัวเลย.

คำที่เป็นคาถานั้นมีใจความว่า หญิงใดลักมะม่วงของท่าน หญิง
นั้นเมื่อปรารถนาผัว ชื่อว่าเป็นผู้กระเสือกกระสน เพราะรนไปใน.
สำนักของผัวนั้น ลำพังผู้เดียว คือไม่มีเพื่อน เดินทางไกลแสนไกล
ประมาณ ๑ คาวุต ๒ คาวุต และแม้ครั้นไปถึงแล้วทำการนัดหมาย
กันว่า ท่านพึงมายังที่ชื่อโน้น ก็อย่าได้พบเห็นผัวนั้นเลย.

เมื่อธิดาเศรษฐีคนที่สามแม้นั้นสบถแล้วยืน ณ ส่วนข้างหนึ่ง
ธิดาเศรษฐีคนที่สี่ จึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า:-

หญิงใดลักมะม่วงของท่าน หญิงนั้น
ถึงจะมีที่อยู่สะอาด ตกแต่งร่างกาย ทัดทรง
ดอกไม้ลูบไล้ด้วยกระแจะจันทน์ ก็จงนอน
อยู่บนที่นอนแต่เพียงคนเดียวเถิด.
คาถานั้น มีเนื้อความง่ายทั้งนั้น.

ดาบสโกงกล่าวว่า ท่านทั้งหลายทำการสบถแข็งแรงมาก คน
เหล่าอื่นคงจักกินมะม่วงของเรา บัดนี้พวกท่านไปได้ แล้วส่งธิดา
เศรษฐีเหล่านั้นไป. ท้าวสักกะจึงทรงแสดงรูปารมณ์อันน่ากลัว ทำ
ดาบสโกงให้หนีไปจากที่นั้น.

พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรง
ประชุมชาดกว่า ชฎิลโกงในครั้งนั้น ได้เป็นพระแก่เฝ้ามะม่วงรูปนี้
ธิดาเศรษฐี ๔ คนในครั้งนั้น ได้เป็นธิดาเศรษฐีเหล่านี้แหละ ส่วน
ท้าวสักกเทวราชในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล
จบ อรรถกถาอัมพชาดกที่ ๔

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2018, 13:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาคชกุมภชาดกที่ ๕

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ภิกษุเกียจคร้านรูปหนึ่ง จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
วนํ ยทคฺคิ ทหติ ดังนี้.

ได้ยินว่าภิกษุนั้นเป็นกุลบุตรชาวเมืองสาวัตถี แม้บวชถวายตน
ในพระศาสนา ก็ได้เป็นผู้เกียจคร้านเหินห่างจากอุทเทสการเรียน
พระบาลี การสอบถาม การโยนิโสมนสิการกัมมัฏฐาน และวัตรปฏิบัติ
กิจวัตรเป็นต้น เป็นผู้ถูกนิวรณ์ครอบงำ เป็นอยู่อย่างนั้นทุกอิริยาบถ

มีการนั่งและการยืนเป็นต้น. ภิกษุทั้งหลายสนทนากันปรารภถึงความ
เกียจคร้านนั้นของเธอ ในโรงธรรมสภาว่า อาวุโสทั้งหลาย ภิกษุชื่อ
โน้น บวชในพระศาสนาอันเป็นนิยยานิกะเครื่องนำออกจากทุกข์เห็น
ปานนี้ ยังเป็นผู้ขี้เกียจขี้คร้าน ถูกนิวรณ์ครอบงำอยู่ พระศาสดา

เสด็จมาตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันเรื่อง
อะไร ? เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบว่า เรื่องชื่อนี้พระเจ้าข้า
จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน
ภิกษุนี้ก็เป็นผู้เกียจคร้านเหมือนกัน แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีต
มาสาธกดังต่อไปนี้:-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร
พาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นอำมาตย์แก้วของพระเจ้าพาราณสีนั้น.
พระเจ้าพาราณสีได้เป็นผู้มีพระอัธยาศัยเกียจคร้าน พระโพธิสัตว์คิดว่า
เราจักให้พระราชาทรงรู้สึกพระองค์ จึงเที่ยวเสาะหาข้อเปรียบเทียบ

อย่างหนึ่ง.อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาเสด็จไปพระราชอุทยาน อันหมู่
อำมาตย์ห้อมล้อมเสด็จเที่ยวไปในพระราชอุทยานนั้น ทอดพระเนตร
เห็นตัวกระพองช้างตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นสัตว์เกียจคร้านเฉื่อยช้า. เขาว่า
สัตว์จำพวกนั้นเป็นสัตว์เฉื่อยช้า แม้จะเดินไปตลอดทั้งวัน ก็ไปได้

ประมาณนิ้วหนึ่งหรือสองนิ้ว. พระราชาทรงเห็นดังนั้น จึงตรัสถาม
พระโพธิสัตว์ว่า สัตว์นั้นชื่ออะไร ? พระมหาสัตว์กราบทูลว่า ข้าแต่


* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* งด เว้น ละเลิก สิ่งที่ไม่เป็นสาระในชีวิตแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีที่เจริญยิ่งๆขึ้นไป
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
* ทานน้อยจึ่งค่อยได้ให้ทาน ทานนานๆย่อมยังทรัพย์ให้เกิดได้
ทานแบบเกินรายได้ ย่อมจะได้หนี้สินติดตัวมา ย่อมยังชาตาชีวิตให้ตกต่ำ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2018, 13:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
มหาราชเจ้า สัตว์นั้นชื่อคชกุมภะตัวกระพองช้าง แล้วกราบทูลว่า ก็
สัตว์เห็นปานนี้เฉื่อยช้าแม้จะเดินไปตลอดทั้งวัน ก็ไปได้เพียงนิ้วหนึ่ง
หรือสองนิ้วเท่านั้น เมื่อจะเจรจากับตัวกระพองช้างนั้น จึงกล่าวว่า
ดูก่อนคชกุมภะผู้เจริญพวกท่านเดินช้า เมื่อไฟป่าเกิดขึ้นในป่านี้ พวก
ท่านจะกระทำอย่างไร แล้วกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-

ดูก่อนเจ้าตัวโยก ไฟไหม้ป่าคราวใด
คราวนั้น เจ้าจะทำอย่างไร เจ้าเป็นสัตว์มี
ความบากบั่นอ่อนแออย่างนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยทคฺคิ ตัดเป็น ยทา อคคิ. บทว่า
ปาวโก กณฺหวตฺตนิ เป็นชื่อของไฟ. พระโพธิสัตว์เรียกตัวคชกุมภะ
นั้นว่า ปจลกะ ตัวโยก. เพราะตัวคชกุมภะนั้นเดินโยกตัว หรือ
โยกตัวอยู่เป็นนิตย์ เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า ปจลกะ. บทว่า
ทนฺธปรกฺกโม แปลว่า มีความเพียรอ่อน.

ตัวคชกุมภะได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
โพรงไม้และช่องแผ่นดิน ( ระแหง ) มี
อยู่เป็นอันมาก ถ้าพวกข้าพเจ้าไปไม่ถึงโพรง
ไม้หรือช่องแผ่นดินเหล่านั้น พวกข้าพเจ้าก็
ต้องตาย.

คำที่เป็นคาถานั้นมีใจความว่า ข้าแต่ท่านบัณฑิต ชื่อว่าการไป
ที่ยิ่งกว่านี้ของพวกข้าพเจ้าไม่มี ก็ในป่านี้มีโพรงไม้และช่องแผ่นดิน
อยู่เป็นอันมาก ถ้าพวกข้าพเจ้าไปไม่ทันถึงโพรงไม้หรือช่องแผ่นดิน
เหล่านั้น พวกข้าพเจ้าก็ต้องตาย คือว่า ความตายเท่านั้นจะมีแก่พวก
ข้าพเจ้า.


* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* งด เว้น ละเลิก สิ่งที่ไม่เป็นสาระในชีวิตแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีที่เจริญยิ่งๆขึ้นไป
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
* ทานน้อยจึ่งค่อยได้ให้ทาน ทานนานๆย่อมยังทรัพย์ให้เกิดได้
ทานแบบเกินรายได้ ย่อมจะได้หนี้สินติดตัวมา ย่อมยังชาตาชีวิตให้ตกต่ำ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2018, 13:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถา ๒ คาถานอกนี้ว่า :-
ในเวลาที่จะต้องทำช้าๆ ผู้ใดรีบด่วน
ทำเสียเร็ว ในเวลาที่จะต้องรีบด่วนทำ กลับ
ทำช้าไป ผู้นั้นย่อมตัดรอนประโยชน์ของตน
เอง เหมือนคนเหยียบใบตาลแห้งให้แหลก
ละเอียดไปฉะนั้น.

ในเวลาที่จะต้องทำช้าๆ ผู้ใดทำช้า และ
ในเวลาที่จะต้องรีบด่วนทำ ก็รีบด่วนทำ
ประโยชน์ของผู้นั้นย่อมบริบูรณ์ เหมือนดวง
จันทร์กำจัดมืดเต็มดวงอยู่ฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทนฺธกาเล ความว่า ในเวลาที่
จะต้องค่อยๆ ทำการงานนั้นๆ ก็รีบด่วนทำการงานนั้นๆ โดยเร็ว.
บทว่า สุกฺขปณฺณํว ความว่า ผู้นั้นย่อมหักรานประโยชน์ของตน
เหมือนบุรุษมีกำลัง เหยียบใบตาลแห้งเพราะลมและแดดให้ยับเยิน

คือทำให้แหลกละเอียดลงในที่นั้นเท่านั้น. บทว่า ทนฺเธติ ความว่า
ย่อมชักช้า คือ การงานที่จะต้องทำช้าๆ ก็กระทำให้ช้าไว้. บทว่า
ตารยิ ความว่า และการงานที่จะต้องรีบด่วนกระทำ ก็ด่วนกระทำ
เสีย. บทว่า สสีว รตฺตึ วิภชํ นี้ ท่านอธิบายว่า ประโยชน์

ของบุรุษนั้นย่อมเต็มบริบูรณ์เหมือนดวงจันทร์ ทำราตรีข้างแรมให้
โชติช่วง ชื่อว่ากำจัดราตรีข้างแรมเต็มดวงอยู่ทุกวันๆ ฉะนั้น.
พระราชาได้ทรงสดับคำของพระโพธิสัตว์แล้ว ตั้งแต่นั้น ก็มิ
ได้ทรงเกียจคร้าน.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประ-
ชุมชาดกว่า ตัวคชกุมภะในครั้งนั้น ได้เป็นภิกษุเกียจคร้านในบัดนี้
ส่วนอำมาตย์ผู้เป็นบัณฑิตในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาคชกุมภชาดกที่ ๕

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2018, 14:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
โภชนะแห่งผู้คุ้นเคยกัน จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
มนุสฺสินฺทํ ชหิตฺวาน ดังนี้.

ได้ยินว่า ในเรือนของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี มีภัตตาหาร
ไว้ถวายภิกษุ ๕๐๐ รูปเป็นประจำ เรือนของท่านเศรษฐีจึงเป็นเสมือน
บ่อน้ำของภิกษุสงฆ์อยู่เป็นนิตยกาล เรืองรองด้วยผ้ากาสาวพัสตร์
คลาคล่ำด้วยหมู่ฤาษีผู้แสวงบุญ. อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาทรงกระทำ

ประทักษิณพระนคร ทอดพระเนตรเห็นภิกษุสงฆ์ในนิเวศน์ของ
เศรษฐี ทรงดำริว่า แม้เราก็จักถวายภิกษาหารเป็นประจำแก่ภิกษุ ๕๐๐
รูป จึงเสด็จไปวิหาร ทรงนมัสการพระศาสดา แล้วทรงเริ่มตั้ง
ภิกษาหารแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูปเป็นประจำ นับแต่นั้นมา ก็ทรงถวาย

ภิกษาหารในพระราชนิเวศน์เป็นประจำ. โภชนะแห่งข้าวสาลีมีกลิ่น
หอมซึ่งเก็บไว้ถึง ๓ ปี เป็นของประณีต. ผู้ถวายด้วยมือของตน ด้วย
ความคุ้นเคยก็ดี ด้วยความสิเนหาก็ดี มิได้มี. พวกข้าหลวงย่อมจัดให้
ถวาย. ภิกษุทั้งหลายไม่ปรารถนาที่จะนั่งฉัน. รับเอาภัตตาหารมีรส

เลิศต่างๆ แล้ว ไปยังตระกูลอุปัฏฐากของตนๆ ให้ภัตตาหารแก่พวก
อุปัฏฐากเหล่านั้นแล้ว พากันฉันภัตตาหารที่อุปัฏฐากเหล่านั้นถวาย
ไม่ว่าจะเศร้าหมองหรือประณีต. อยู่มาวันหนึ่ง เขานำผลาผลเป็นอัน
มากมาถวายพระราชา. ท้าวเธอรับสั่งว่า พวกท่านจงถวายแด่ภิกษุสงฆ์

คนทั้งหลายจึงพากันไปยังโรงภัตตาหาร ไม่เห็นภิกษุสักรูปเดียว จึง
กราบทูลแก่พระราชาว่า แม้ภิกษุรูปเดียวก็ไม่มี พระเจ้าข้า. พระ


* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* งด เว้น ละเลิก สิ่งที่ไม่เป็นสาระในชีวิตแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีที่เจริญยิ่งๆขึ้นไป
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
* ทานน้อยจึ่งค่อยได้ให้ทาน ทานนานๆย่อมยังทรัพย์ให้เกิดได้
ทานแบบเกินรายได้ ย่อมจะได้หนี้สินติดตัวมา ย่อมยังชาตาชีวิตให้ตกต่ำ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2018, 14:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ราชาตรัสว่า ยังไม่ถึงเวลากระมัง. คนทั้งหลายกราบทูลว่า ถึงเวลา
แล้ว พระเจ้าข้า แต่ภิกษุทั้งหลายรับภัตตาหารในวังของพระองค์แล้ว
ไปในเรือนแห่งอุปัฏฐากผู้คุ้นเคยของตนๆ ให้ภัตตาหารนั้นแก่อุปัฏ-
ฐากเหล่านั้น แล้วฉันภัตตาหารที่อุปัฏฐากเหล่านั้นถวาย จะเศร้า-
หมองหรือประณีตก็ตาม. พระราชาทรงดำริว่า ภัตตาหารของเรา

ประณีต เพราะเหตุไรหนอ ภิกษุทั้งหลายจึงไม่ฉันภัตตาหารนั้น พา
กันฉันภัตตาหารอื่น เราจักทูลถามพระศาสดา จึงเสด็จไปพระวิหาร
ทรงนมัสการ แล้วจึงทูลถาม. พระศาสดาตรัสว่า มหาบพิตรธรรมดา
การบริโภคโภชนะมีความคุ้นเคยกันสำคัญยิ่ง เพราะในพระราชวัง
ของพระองค์ไม่มีผู้เข้าไปตั้งความคุ้นเคย แล้วให้ด้วยความสนิทสนม

ภิกษุทั้งหลายจึงรับภัตตาหารแล้วฉันในที่แห่งคนผู้มีความคุ้นเคยแก่
ตน มหาบพิตร ชื่อว่ารสอื่นเช่นกับความคุ้นเคย ย่อมไม่มี แม้ของ
อร่อย ๔ อย่างที่คนผู้ไม่คุ้นเคยให้ ย่อมไม่ถึงค่าสักว่าเปรียงที่คนผู้
คุ้นเคยให้ แม้โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย ครั้นเมื่อโรคเกิดขึ้น เมื่อ

พระราชาแม้ทรงพาหมอทั้ง ๕ ตระกูลไปให้กระทำยา เมื่อโรค
ไม่สงบ ได้ไปยังสำนักของคนผู้คุ้นเคยกัน บริโภคยาคูอันทำด้วยข้าว
ฟ่างและลูกเดือยซึ่งไม่เค็ม และผักซึ่งลาดด้วยสักแต่ว่าน้ำเปล่า ไม่มี
รสเค็ม ก็หายโรคอันพระราชานั้นทูลอาราธนาแล้ว จึงทรงนำเอา
เรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-


* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* งด เว้น ละเลิก สิ่งที่ไม่เป็นสาระในชีวิตแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีที่เจริญยิ่งๆขึ้นไป
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
* ทานน้อยจึ่งค่อยได้ให้ทาน ทานนานๆย่อมยังทรัพย์ให้เกิดได้
ทานแบบเกินรายได้ ย่อมจะได้หนี้สินติดตัวมา ย่อมยังชาตาชีวิตให้ตกต่ำ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2018, 14:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร-
พาราณสี พระโพธิสัตว์ได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ณ กาสิกรัฐ
บิดามารดาตั้งชื่อกุมารนั้นว่า กัปปกุมาร. กัปปกุมารนั้นเจริญวัยแล้ว
เรียนศิลปะทุกอย่างในเมืองตักกศิลา ภายหลังต่อมา ได้บวชเป็นฤาษี.
ครั้งนั้น เกสวดาบสห้อมล้อมด้วยดาบส ๕๐๐ รูป เป็นครูของคณะ

อยู่ในหิมวันตประเทศ. พระโพธิสัตว์ได้ไปยังสำนักของเกสวดาบสนั้น
อยู่เป็นอันเตวาสิกผู้ใหญ่แห่งอันเตวาสิก ๕๐๐ รูป. แท้จริง อัธยาศัย
ใจคอของพระโพธิสัตว์นั้น ได้มีความสนิทสนมต่อเกสวดาบส. ดาบส
เหล่านั้นได้เป็นผู้คุ้นเคยกันและกันยิ่งนัก จำเนียรกาลนานมา เกสว-
ดาบสได้พาดาบสเหล่านั้นไปยังถิ่นมนุษย์ เพื่อต้องการเสพรสเค็มและ

รสเปรี้ยว ถึงนครพาราณสีแล้วอยู่ในพระราชอุทยาน วันรุ่งขึ้น
เข้าไปสู่พระนครเพื่อภิกขาจาร ได้ไปถึงประตูพระราชวัง. พระราชา
ทรงเห็นหมู่ฤาษีจึงให้ไปนิมนต์มาแล้วให้ฉันในภายในพระราชนิเวศน์
ทรงถือเอาปฏิญญาแล้ว ให้พักอยู่ในพระราชอุทยาน. ครั้นเมื่อล่วง

กาลฤดูฝนแล้ว เกสวดาบสได้ทูลอำลาพระราชา. พระราชาตรัสว่า
ท่านผู้เจริญ ท่านทั้งหลายเป็นผู้แก่เฒ่า จงอาศัยข้าพเจ้าอยู่ก่อน ส่ง
แต่ดาบสหนุ่มๆ ไปยังหิมวันตประเทศเถิด. เกสวดาบสรับว่าดีละ
แล้วส่งดาบสเหล่านั้นพร้อมกับอันเตวาสิกผู้ใหญ่ไปยังหิมวันตประเทศ
ตนเองผู้เดียวยับยั้งอยู่.

ฝ่ายกัปปดาบสก็ไปยังหิมวันตประเทศอยู่กับดาบสทั้งหลาย.
เกสวดาบสเมื่ออยู่เหินห่างกัปปดาบสก็รำคาญใจ เป็นผู้ใคร่จะเห็น
กัปปดาบสนั้นไม่เป็นอันได้หลับนอน. เมื่อเกวสดาบสนั้นนอนไม่หลับ
อาหารก็ไม่ย่อยไปด้วยดี โรคลงโลหิตก็ได้เกิดมีขึ้น ทุกขเวทนาเป็น
ไปอย่างแรงกล้า. พระราชาทรงพาแพทย์ ๕ สกุลมาปรนนิบัติ


* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* งด เว้น ละเลิก สิ่งที่ไม่เป็นสาระในชีวิตแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีที่เจริญยิ่งๆขึ้นไป
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
* ทานน้อยจึ่งค่อยได้ให้ทาน ทานนานๆย่อมยังทรัพย์ให้เกิดได้
ทานแบบเกินรายได้ ย่อมจะได้หนี้สินติดตัวมา ย่อมยังชาตาชีวิตให้ตกต่ำ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2018, 14:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระดาบส. โรคก็ไม่สงบ. เกสวดาบสทูลพระราชาว่า มหาบพิตร
พระองค์ปรารถนาให้อาตมภาพตาย หรือปรารถนาให้หายโรค.
พระราชาตรัสว่า ปรารถนาให้หายโรคชิท่านผู้เจริญ. เกสวดาบสทูลว่า
ถ้าอย่างนั้น พระองค์จึงส่งอาตมภาพไปยังหิมวันตประเทศ. พระราชา
ตรัสว่า ดีละ ท่านผู้เจริญ แล้วทรงส่งนารทอำมาตย์ไปด้วยพระดำรัส

ว่า ท่านจงพาท่านผู้เจริญไปหิมวันตประเทศพร้อมกับพวกพรานป่า-
นารทอำมาตย์นำเกสวดาบสนั้นไปหิมวันตประเทศแล้วกลับมา. ฝ่าย
เกสวดาบส เมื่อพอได้เห็นกัปปดาบสเท่านั้น โรคทางใจก็สงบ ความ
กระสันรำคาญใจก็ระงับไป. ลำดับนั้น กัปปดาบสได้ให้ยาคูที่หุงด้วย

ข้าวฟ่างและลูกเดือยพร้อมกับผักที่ลาดรดด้วยน้ำเปล่าซึ่งไม่เค็มไม่ได้
อบแก่เกสวดาบสนั้น โรคลงโลหิตของเกสวดาบสนั้นก็สงบระงับลงใน
ขณะนั้นเอง. พระราชาทรงส่งนารทอำมาตย์นั้นไปอีก ด้วยรับสั่งว่า
เธอจงไปฟังข่าวคราวของเกสวดาบสดูทีเถิด. นารทอำมาตย์นั้นไปแล้ว

ได้เห็นเกสวดาบสนั้นหายโรคแล้ว จึงกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ พระเจ้า
พาราณสีทรงพาแพทย์ ๕ ตระกูลมาปรนนิบัติ ไม่อาจทำท่านให้หาย
โรค กัปปดาบสปรนนิบัติท่านอย่างไร ? แล้วกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-

เป็นอย่างไรหนอ เกสวดาบสผู้มีโชค
จึงละพระเจ้าพาราณสีผู้เป็นจอมมนุษย์ ผู้ทำ
ความประสงค์ทั้งปวงให้สำเร็จได้ มายินดีอยู่
ในอาศรมของกัปปดาบส.


* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* งด เว้น ละเลิก สิ่งที่ไม่เป็นสาระในชีวิตแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีที่เจริญยิ่งๆขึ้นไป
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
* ทานน้อยจึ่งค่อยได้ให้ทาน ทานนานๆย่อมยังทรัพย์ให้เกิดได้
ทานแบบเกินรายได้ ย่อมจะได้หนี้สินติดตัวมา ย่อมยังชาตาชีวิตให้ตกต่ำ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2018, 14:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

จะเป็นนักอ่านที่ดี เป็นนักอ่านที่เก่งได้ก็ล้วนแล้วเริ่มจาก ๐ กัน
ทั้งนั้น เรามาเริ่มสะสมกำลังในการอ่านกัน อ่านทุกวัน เริ่มจากหน้า
๒ หน้า แล้วค่อยๆทำไปอย่างสม่ำเสมอแล้วก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่นาน
นักแลท่านก็จะเป็นนักอ่านหนังสือ อ่านได้ดี อ่านได้เร็ว อ่านได้นาน
อ่านไว อ่านแล้วเข้าใจได้ง่ายขึ้นเองครับ

ผมเองก็เคยเป็นคนที่ไม่เอาไหนในการอ่านหนังสือมาก่อน
แต่เดียวนี้ที่นำมาโพสนั้นผมอ่านมาเรียนร้อยแล้วครับ ทุกวันนี้
เองก็ยังอ่านอยู่ เช่นกัน
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 96, 97, 98, 99, 100, 101, 102 ... 151  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร