วันเวลาปัจจุบัน 03 ส.ค. 2025, 18:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 95, 96, 97, 98, 99, 100, 101 ... 151  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2018, 18:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
แกลบปรากฎโดยความเป็นแกลบแก่
หนูทั้งหลาย และข้าวสารก็ปรากฎโดยความ
เป็นข้าวสารแก่พวกมัน แม้ในที่มืด พวก
มันก็เว้นแกลบเสียกินแต่ข้าวสาร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิทิตํ ความว่า ในที่มืดแม้มีฝนดำ
แกลบก็แจ่มแจ้งปรากฎโดยความเป็นแกลบ ข้าวสารก็แจ่มแจ้งปรากฎ
โดยความเป็นข้าวสาร แก่หนูทั้งหลาย. แต่ในที่นี้ท่านกล่าวโดยเป็น
ลิงควิปลาส (ลิงค์เคลื่อนคลาดตามหลักไวยากรณ์) ว่า ถุสํ ตณฺฑุลํ
บทว่า ขาทเร ความว่า หนูทั้งหลายเว้นแกลบกินแต่ข้าวสารเท่านั้น.

ท่านกล่าวอธิบายต่อไปว่า ลำดับนั้น พระกุมารคิดว่า แม้ในที่มืด
แกลบก็ปรากฎโดยความเป็นแกลบ ข้าวสารปรากฎโดยความเป็นข้าว
สาร แก่หนูทั้งหลาย พวกมันเว้นแกลบกินแต่ข้าวสาร ฉันใด ความ
ที่เรานั่งกุมยาพิษร้ายก็ปรากฎ ฉันนั้นเหมือนกัน.

พระกุมารดำริว่า พระบิดารู้เราแล้ว จึงทรงกลัว ไม่อาจใส่
ยาพิษในภาชนะพระกระยาหาร ลุกขึ้นถวายบังคมพระราชาแล้วเสด็จ
ไป. พระกุมารจึงไปบอกเรื่องนั้นแก่พวกผู้ปฏิบัติบำรุงของพระองค์
แล้วตรัสถามว่า วันนี้ พระราชบิดารู้เราเสียก่อน บัดนี้ พวกเรา

จักปลงพระชนม์อย่างไร ? ตั้งแต่นั้น พวกผู้ปฏิบัติบำรุงเหล่านั้นจึง
หลบซ่อนอยู่ในพระราชอุทยานกระซิบหารือกัน ตกลงว่า มีอุบาย
อย่างหนึ่ง จึงกำหนดลงว่า ในเวลาเสด็จไปสู่ที่เฝ้าครั้งใหญ่ๆ ผูกสอด
พระแสงขรรค์ประสงค์ประทับยืนในระหว่างพวกอำมาตย์ พอรู้ว่า

พระราชาเผลอ จึงเอาพระแสงขรรค์ประหารให้สิ้นพระชนม์ ย่อม
ควร. พระกุมารรับว่าได้ แล้วผูกสอดพระแสงขรรค์แล้วเสด็จไป
คอยมองหาโอกาสที่จะประหารพระราชาอยู่รอบด้าน. ขณะนั้น พระ-
ราชาได้ตรัสคาถาที่ ๒ ว่า :-


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2018, 20:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
การปรึกษากันในป่าก็ดี การพูดกระซิบ
กันในบ้านก็ดี และการคิดหาโอกาสฆ่าเรา
ในบัดนี้ก็ดี เรารู้หมดแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อรญฺสฺมึ ได้แก่ ในพระราช-
อุทยาน. บทว่า นิกณฺณิกา ได้แก่ ปรึกษากันใกล้ๆ หู. บทว่า
ยฺเจตํ อิติ จินฺตี จ ได้แ ก่ การแสวงหาโอกาสฆ่าเราในบัดนี้นั้น
ก็ดี. ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า ดูก่อนพ่อกุมาร การที่ท่านกระซิบกระ-
ซาบปรึกษากันทั้งในอุทยานและในบ้าน และเหตุแห่งความคิดว่าเพื่อ
ต้องการฆ่าเราในบัดนี้นั้นก็ดี เรารู้หมดแล้ว.

พระกุมารคิดว่า พระบิดารู้ว่าเราเป็นศัตรู จึงหนีไปบอกแก่
พวกปฏิบัติบำรุงๆ ทำเวลาให้ผ่านพ้น ๗-๘ วัน จึงทูลว่า ข้าแต่
พระกุมาร พระบิดาย่อมไม่รู้ว่าพระองค์เป็นศัตรู พระองค์ได้สำคัญ
ไปอย่างนั้น เพราะการคิดคาดคะเนเอา พระองค์จงปลงพระชนม์

พระบิดานั้นเถิด. วันหนึ่ง พระกุมารนั้นถือพระแสงขรรค์แล้วได้ยืน
อยู่ที่ประตูห้อง ใกล้หัวบันได. ครั้งนั้น พระราชาประทับยืนอยู่ที่
หัวบันได ตรัสคาถาที่๓ :-

ได้ยินว่า ลิงตัวที่เป็นพ่อเอาฟันกัดผล
คือภาวะแห่งบุรุษของลูกที่เกิดตามสภาวะ
เสียแต่ยังเยาว์ทีเดียว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺเมน ได้แก่ ตามสภาวะ. บทว่า
ปุตฺตสฺส ปิตา ได้แก่ ลิงตัวที่เป็นพ่อของลูก คือลูกลิง. ท่าน
กล่าวคำอธิบายนี้ไว้ว่า ลิงที่เกิดในป่ารังเกียจการบริหารฝูงของตน
เอาฟันกัดผลของลูกลิงเฉพาะตัวที่เป็นหนุ่ม ทำปุริสภาวะให้พินาศไป
ฉันใดเราเพิกถอนผลเป็นต้นแม้ของท่าน ผู้ประสงค์ราชสมบัติเกินไป
จักทำปุริสภาวะให้พินาศไปฉันนั้น.


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
* ทานน้อยจึ่งค่อยได้ให้ทาน ทานนานๆย่อมยังทรัพย์ให้เกิดได้
ทานแบบเกินรายได้ ย่อมจะได้หนี้สินติดตัวมา ย่อมยังชาตาชีวิตให้ตกต่ำ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2018, 20:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระกุมารคิดว่า พระบิดาประสงค์จะให้จับเรา จึงตกพระทัย
กลัวเสด็จหนีไปบอกแก่พวกผู้ปฏิบัติบำรุงว่า พระบิดาทรงคุกคามเรา.
คนเหล่านั้น เมื่อล่วงเวลาไปประมาณกึ่งเดือน จึงทูลว่า ข้าแต่
พระกุมาร ถ้าพระราชาพึงทรงทราบเหตุการณ์นั้น จะไม่พึงอดกลั้น
อยู่ตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ พระองค์ตรัสโดยการคิดคาดคะเน

เอา พระองค์จงปลงพระชนม์พระราชานั้นเสียเถิด. วันหนึ่งพระกุมาร
นั้นถือพระขรรค์เสด็จเข้าไปยังพระที่สิริไสยาส ในปราสาทชั้นบน
แล้วนอนอยู่ในใต้บังลังก์ ด้วยหวังใจว่า จักประหารพระราชบิดา

เมื่อเสด็จมาถึงทันที. พระราชาเสวยพระกระยาหารเย็นแล้วส่งชน
บริวารกลับไป ทรงดำริว่าจักบรรทมจึงเสด็จเข้าห้องบรรทมอันประ-
กอบด้วยสิริ ประทับยืนที่ธรณีประตูแล้วตรัสคาถาที่ ๔ ว่า:-

การที่เจ้าดิ้นรนอยู่เหมือนแพะตาบอด
ในไร่ผักกาดก็ดี นอนอยู่ภายใต้นี้ก็ดี เรารู้หมดสิ้นแล้ว.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปริสปฺปสิ ได้แก่ ได้อยู่ทางโน้น
ทางนี้ เพราะกลัว. บทว่า สาสเป แปลว่า ในไร่ผักกาด. บทว่า
โยปายํ ตัดเป็น โยปิ อยํ. ท่านกล่าวคำอธิบายนี้ไว้ว่า เจ้าดิ้นรน

ไปทางโน้นทางนี้ เพราะความกลัว เหมือนแพะตาบอดที่เข้าไปยังดง
ผักกาด คือ ครั้งที่ ๑ เจ้าถือเอายาพิษมา ครั้งที่ ๒ ประสงค์จะประหาร
ด้วยพระขรรค์จึงมา ครั้งที่ ๓ ได้ถือพระขรรค์มายืนที่หัวบันได และ
บัดนี้ เจ้าคิดว่าจักประหารพระราชานั้น จึงมานอนอยู่ใต้ที่นอน

ทั้งหมดนั้น เรารู้อยู่บัดนี้จะไม่ละเจ้าไว้ จักจับเจ้าลงราชอาญา พระ-
ราชานั้นถึงจะไม่ทรงทราบอย่างนั้น แต่คาถานั้น ๆ ก็ส่องความนั้นๆ.

พระกุมารคิดว่า พระราชบิดาทรงทราบเราแล้ว บัดนี้ จัก
ทรงทำเราให้พินาศ จึงตกพระทัยกลัว จึงออกมาจากใต้พระที่บรรทม
ทิ้งพระขรรค์ ณ ที่ใกล้พระบาทพระราชานั่นเอง หมอบลงที่ใกล้
บาทมูลกราบทูลขอโทษว่า ขอเดชะๆ พระราชบิดาโปรดงดโทษแก่
หม่อมฉันเถิด. พระราชาทรงขู่พระกุมารนั้นว่า เจ้าคิดว่า ใครๆ


แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
* ทานน้อยจึ่งค่อยได้ให้ทาน ทานนานๆย่อมยังทรัพย์ให้เกิดได้
ทานแบบเกินรายได้ ย่อมจะได้หนี้สินติดตัวมา ย่อมยังชาตาชีวิตให้ตกต่ำ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2018, 20:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
จะไม่รู้การกระทำของเรา แล้วรับสั่งให้จองจำด้วยเครื่องจองจำคือโซ่
ตรวน แล้วให้ส่งเข้าเรือนจำตั้งการอารักขาไว้. ในกาลนั้น พระราชา
ทรงสำนึกได้ถึงคุณงามความดีของพระโพธิสัตว์. ต่อมา พระราชานั้น
เสด็จสวรรคต พวกอำมาตย์ราชเสวกกระทำการถวายพระเพลิงพระศพ
ของท้าวเธอแล้ว จึงนำพระกุมารออกจากเรือนจำ ให้ดำรงอยู่ใน
ราชสมบัติ

พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรง
ตรัสเหตุนี้ว่า ดูก่อนมหาบพิตร พระราชาในครั้งก่อนทรงรังเกียจเหตุ
ที่ควรรังเกียจอย่างนี้ แม้พระองค์จะทรงตรัสอย่างนี้ พระราชาก็มิได้
ทรงกำหนดไม่รู้สึกพระองค์ พระศาสดาทรงประชุมชาดกว่า
อาจารย์ทิศาปาโมกข์ในเมืองตักกศิลาในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต
ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาถุสชาดกที่ ๘

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2018, 20:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาพาเวรุรัฐชาดกที่ ๙

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
เถียรถีย์ทั้งหลายผู้เสื่อมลาภสักการะ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มี
คำเริ่มต้นว่า อทสฺสเนน โมรสฺส ดังนี้.

ได้ยินว่า พวกเดียรถีย์ทั้งหลาย เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จ
อุบัติ ได้เป็นผู้มีลาภ แต่เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้ว เป็นผู้
เสื่อมลาภสักการะ เป็นเสมือนหิ่งห้อยในเวลาพระอาทิตย์ขึ้น. ภิกษุ
ทั้งหลายปรารถเรื่องราวนั้นของเดียรถีย์เหล่านั้น จึงประชุมสนทนา

กันในโรงธรรมสภา. พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย
บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบ-
ทูลว่า เรื่องนี้ พระเจ้าข้า. จึงตรัสว่า มิใช่บัดนี้เท่านั้นน่ะภิกษุทั้งหลาย
แม้ในกาลก่อน พวกผู้ที่ไร้คุณได้เป็นผู้ถึงความเลิศด้วยลาภและยศ

ตราบเท่าที่ผู้มีคุณยังไม่อุบัติขึ้น เมื่อผู้มีคุณทั้งหลายอุบัติขึ้นแล้ว พวก
ผู้ที่ไร้คุณก็เป็นผู้เสื่อมลาภสักการะไป แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมา
สาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร-
พาราณสี พระโพธิสัตว์ได้บังเกิดในกำเนิดนกยูง อาศัยความเจริญ
เติบโต ถึงความเป็นผู้เลิศด้วยความงดงาม ท่องเที่ยวไปในป่า. ใน
กาลนั้น พ่อค้าพวกหนึ่งพากาสำหรับบอกทิศไปยังพาเวรุรัฐโดยทาง

เรือ. ได้ยินว่าในกาลนั้นเท่านั้น ขึ้นชื่อว่านกทั้งหลายย่อมไม่มีใน
พาเวรุรัฐ. พวกชาวแว่นแคว้นที่ผ่านไป ๆ เห็นกานั้นซึ่งจับอยู่ในกรง
จึงสรรเสริญกานั้นนั่นแหละว่า จงดูผิวพรรณนกตัวนี้ จะงอยปากอยู่
สุดปลายคอ นัยน์ตาเหมือนก้อนแก้วมณี แล้วกล่าวกะพ่อค้าเหล่านั้น

ว่า ข้าแต่เจ้านายทั้งหลาย ท่านจงให้นกตัวนี้แก่พวกเรา แม้พวกเรา
ก็มีความต้องการนกตัวนี้ ท่านทั้งหลายจักได้นกตัวอื่นในแว่นแคว้น
ของตน. พวกพ่อค้ากล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นท่านทั้งหลายจงถือเอาด้วย


* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
* ทานน้อยจึ่งค่อยได้ให้ทาน ทานนานๆย่อมยังทรัพย์ให้เกิดได้
ทานแบบเกินรายได้ ย่อมจะได้หนี้สินติดตัวมา ย่อมยังชาตาชีวิตให้ตกต่ำ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2018, 20:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ราคา. ชาวพาเวรุรัฐกล่าวว่า โปรดให้แก่พวกเราด้วยราคาห้ากหาปณะ
พวกพ่อค้าตอบว่า ให้ไม่ได้ เมื่อชาวพาเวรุรัฐประมูลราคาขึ้น โดย
ลำดับกล่าวว่า โปรดให้ด้วยราคาหนึ่งร้อย. พวกพ่อค้าจึงพูดว่า นกนี้
มีอุปการะแก่พวกเราเป็นอันมาก แต่จะขอเป็นไมตรีกับพวกท่าน จึง
ได้ถือเอาร้อยกหาปณะแล้วให้นกไป. ชาวพาเวรุรัฐเหล่านั้นนำนกนั้น

ไปใส่ไว้ในกรงทอง ปรนนิบัติด้วยปลา เนื้อ และผลไม้น้อยใหญ่มี
ประการต่าง ๆ. ในที่ที่นกอื่น ๆ ไม่มี กาผู้ประกอบด้วยอสัทธรรม ๑๐
ประการ ได้เป็นผู้ถึงความเลิศด้วยลาภสักการะ. อีกครั้งหนึ่ง พ่อค้า
เหล่านั้นจับพระยานกยูงได้ตัวหนึ่ง ให้สำเนียกโดยร้องด้วยเสียงดีด

นิ้วมือ และฟ้อนด้วยเสียงปรบมือ แล้วได้ไปยังพาเวรุรัฐ. พระยา
นกยูงนั้น เมื่อมหาชนประชุมกัน จึงยืนที่แอกเรือกางปีกออกแล้ว
เปล่งเสียงอันไพเราะฟ้อนอยู่ คนทั้งหลายเห็นดังนั้นเกิดความโสมนัส
พากันกล่าวว่า ข้าแต่เจ้านาย ท่านทั้งหลายจงให้พระยานกนี้ที่ถึง

ความเลิศด้วยความงาม ซึ่งฝึกมาดีแล้ว แก่พวกข้าพเจ้าเถิด. พวก
พ่อค้าตอบว่า ครั้งแรก พวกเรานำกามาท่านทั้งหลายก็เอากานั้นเสีย
คราวนี้ เรานำพระยานกยูงตัวหนึ่งมา ก็ขอนกยูงตัวนี้อีก ชื่อว่านก
ในแว่นแคว้นของท่านทั้งหลาย พวกเราไม่อาจจับเอามา. ชาวพา

เวรุรัฐกล่าวว่า เอาเถิดเจ้านาย ท่านทั้งหลายจักได้นกแม้ตัวอื่นในแคว้น
ของตน จงให้นกยูงตัวนี้แก่พวกเราเถิด แล้วประมูลราคาซื้อเอาไว้
ด้วยทรัพย์หนึ่งพัน. ทีนั้น ก็จัดให้นกยูงนั้นอยู่ในกรงอันวิจิตรตระ-
การ ด้วยรัตนะ ๗ ปรนนิบัติด้วยปลา เนื้อ ผลไม้น้อยใหญ่ และ

ข้าวตอกเคล้าน้ำผึ้งกับน้ำดื่มเจือด้วยน้ำตาลกรวดเป็นต้น พระยานก-
ยูงถึงความเลิศด้วยลาภและเลิศด้วยยศ. จำเดิมแต่กาลที่พระยานกยูง


* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
* ทานน้อยจึ่งค่อยได้ให้ทาน ทานนานๆย่อมยังทรัพย์ให้เกิดได้
ทานแบบเกินรายได้ ย่อมจะได้หนี้สินติดตัวมา ย่อมยังชาตาชีวิตให้ตกต่ำ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2018, 20:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
นั้นมาแล้ว ลาภและสักการะของกาก็เสื่อมถอยไป. ใคร ๆ ไม่ปรารถนา
แม้จะดูมัน. กาเมื่อไม่ได้ขาทนียโภชนียาหาร จึงร้อง กา กา บิน
ไปลงที่พื้นกองหยากเยื่อ.

พระศาสดาครั้นทรงสืบต่อเรื่องทั้งสองเรื่องแล้ว ทรงเป็นผู้
ตรัสรู้ยิ่งเอง ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า :-

เพราะยังไม่เห็นนกยูงซึ่งเป็นนกมีหงอน
มีเสียงไพเราะ ชนทั้งหลายในพาเวรุรัฐนั้น
จึงพากันบูชากา ด้วยเนื้อและผลไม้.
แต่เมื่อใด นกยูงผู้สมบูรณ์ไปด้วยเสียง
มายังพาเวรุรัฐ เมื่อนั้น ลาภและสักการะ
ของกาก็เสื่อมไป.

พระพุทธเจ้าผู้เป็นพระธรรมราชา ผู้ส่อง
แสงสว่างไสว ยังไม่เสด็จอุบัติขึ้น เพียงใด
ชนทั้งหลายก็พากันบูชาสมณพราหมณ์ เหล่า
อื่นอยู่เป็นอันมาก เพียงนั้น.

แต่เมื่อใด พระพุทธเจ้าผู้มีพระสุรเสียง
อันไพเราะ ได้ทรงแสดงธรรมแล้ว เมื่อนั้น
ลาภและสักการะของพวกเดียรถีย์ก็เสื่อมไป.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สิขิโน ได้แก่ ผู้ประกอบด้วย
หงอน. บทว่า มญฺชุภาณิโน แปลว่า ผู้มีเสียงเพราะ. บทว่า
อปูเชสุํ แปลว่า ได้บูชาแล้ว. บทว่า ผเลน จ ได้แก่ ผลไม้
น้อยใหญ่มีประการต่าง ๆ. บทว่า พาเวรุมาคโต แปลว่า มายัง
พาเวรุรัฐ. บาลีเป็น ปาเวรุํ ดังนี้ก็มี. บทว่า อหายถ ได้แก่

เสื่อมไปแล้ว. บทว่า ธมฺมราชา ความว่า ที่ชื่อว่าธรรมราชา เพราะ
ยังบริษัทให้ยินดีด้วยโลกุตตรธรรม ๙. บทว่า ปภงฺกโร ความว่า
ชื่อว่าผู้ส่องแสงสว่างไสว เพราะส่องแสงสว่างไปในสัตวโลก โอกาส
โลก และสังขารโลก. บทว่า สรสมฺปนฺโน ได้แก่ ผู้ประกอบด้วย
เสียงประดุจเสียงพรหม. บทว่า ธมฺมํ อเทสยิ ได้แก่ ทรงประกาศ
สัจจธรรมทั้ง ๔.

พระศาสดาครั้นตรัสพระคาถา ๔ คาถานี้ด้วยประการดังนี้แล้ว
จึงทรงประชุมชาดกว่า กาในครั้งนั้น ได้เป็นนิครนถ์นาฏบุตรในบัดนี้
ส่วนพระยานกยูงในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาพาเวรุรัฐชาดกที่ ๙

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2018, 06:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาวิสัยหชาดกที่ ๑๐

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร ทรงปรารภ
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
อทาสิ ทานานิ ดังนี้.

เรื่องปัจจุบันได้ให้พิสดารแล้วในขทิรังคารชาดก ในหนหลัง
ส่วนในชาดกนี้ พระศาสดาตรัสเรียกท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีมาแล้ว
ตรัสว่า คฤหบดี โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย ห้ามท้าวสักกเทวราช
ผู้ประทับยืนในอากาศห้ามอยู่ว่า ท่านอย่าให้ทาน ก็ยังได้ให้ทานอยู่

เหมือนเดิม อันท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีนั้น ทูลอาราธนาแล้ว
จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ใน
นครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นเศรษฐีนามว่า วิสัยหะ มีทรัพย์
สมบัติ ๘๐ โกฏิ ได้เป็นผู้ประกอบด้วยศีล ๕ มีอัธยาศัยในทางทาน
ยินดียิ่งในทาน. พระโพธิสัตว์นั้นให้สร้างโรงทานในที่ ๖ แห่ง คือ

ที่ประตูเมืองทั้ง ๔ ประตู ท่ามกลางพระนครและที่ประตูนิเวศน์
ของตน แล้วยังการให้ทานให้เป็นไปอยู่. บริจาคทรัพย์วันละหกแสน
ทุกวัน. พระโพธิสัตว์และยาจกทั้งหลาย ย่อมมีภัตตาหารเป็นเช่น
เดียวกัน. เมื่อพระโพธิสัตว์นั้นให้ทานกระทำชมพูทวีปทั้งสิ้นให้มี

งอนไถอันยกขึ้นแล้วคือไม่ต้องทำไร่ไถนา ภพของท้าวสักกะก็กัม-
ปนาทหวั่นไหวด้วยอานุภาพของการให้ทาน บัณฑุกัมพลศิลาอาศน์
ของท้าวเทวราชแสดงอาการร้อน. ท้าวสักกะทรงดำริว่า ใครหนอ
ประสงค์จะให้เราเคลื่อนจากที่ จึงทรงพิจารณาใคร่ครวญอยู่. ทรงเห็น

ท่านมหาเศรษฐี จึงทรงพระดำริว่า วิสัยหเศรษฐีนี้แผ่ไปกว้างขวาง
ยิ่งนัก ให้ทานกระทำชมพูทวีปทั้งสิ้นให้ไม่ต้องทำไร่ไถนา ชรอย
จักให้เราเคลื่อนจากที่แล้วเป็นท้าวสักกะเสียเองด้วยทานแม้นี้ เราจัก
ทำทรัพย์ของเขาให้ฉิบหายเสียกระทำเศรษฐีนั่นให้เป็นคนขัดสนจน
ให้ทานไม่ได้ จึงบันดาลทรัพย์ทั้งปวง แม้แต่ข้าวเปลือก น้ำมัน


* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
* ทานน้อยจึ่งค่อยได้ให้ทาน ทานนานๆย่อมยังทรัพย์ให้เกิดได้
ทานแบบเกินรายได้ ย่อมจะได้หนี้สินติดตัวมา ย่อมยังชาตาชีวิตให้ตกต่ำ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2018, 06:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
น้ำผึ้ง และน้ำอ้อยเป็นต้น จนชั้นที่สุดแม้ทาสและกรรมกรให้
อันตรธานหายไป. พวกคนผู้จัดทานมาบอกท่านเศรษฐีว่า ข้าแต่นาย
โรงทานขาดหายไป พวกข้าพเจ้าไม่เห็นอะไร ๆ ในที่ที่เก็บไว้. ท่าน
เศรษฐีกล่าวว่า พวกท่านจงนำทรัพย์สำหรับจับจ่ายไปจากที่นี้ อย่า
ตัดขาดทานเสียเลย แล้วเรียกภรรยามาพูดว่า นางผู้เจริญ เธอจงให้

ทานดำเนินไป. ภรรยานั้นค้นหาจนทั่วเรือนไม่พบแม้แต่กึ่งมาสก
จึงกล่าวว่า ข้าแต่นายดิฉันไม่เห็นอะไร ๆ อื่น ยกเว้นผ้าที่เราทั้งหลาย
นุ่งห่มอยู่ ว่างเปล่าไปทั่วทั้งเรือน. ท่านเศรษฐีให้เปิดประตูห้องเก็บ
รัตนะ ๗ ก็ไม่เห็นอะไร ๆ แม้ทาสและกรรมกรอื่น ๆ ก็ไม่ปรากฏ
ยกเว้นเศรษฐีกับภรรยา. มหาสัตว์เรียกภรรยามาอีกแล้วกล่าวว่า

นางผู้เจริญ เราไม่อาจตัดขาดการให้ทาน เธอจงค้นหาให้ทั่วนิเวศน์
พิจารณาดูของบางอย่าง. ขณะนั้น คนหาบหญ้าคนหนึ่ง ทิ้งเคียว
คาน และเชือกมัดหญ้าไว้ระหว่างประตูแล้วหนีไป. ภรรยาของ
เศรษฐีเห็นดังนั้น จึงได้นำมาให้โดยพูดว่า ข้าแต่นายเว้นสิ่งนี้ ดิฉัน

ไม่เห็นของอย่างอื่น. พระมหาสัตว์กล่าวว่า นางผู้เจริญ ธรรมดาหญ้า
เราไม่เคยเกี่ยวตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ แต่วันนี้ เราจักเกี่ยวหญ้า
นำมาขายแล้วให้ทานตามสมควร เพราะกลัวการให้ทานจะขาด จึง
ถือเอาเคียว คาน และเชือกออกจากพระนครไปยังที่มีหญ้าแล้ว

เกี่ยวหญ้าคิดว่า หญ้าฟ่อนหนึ่งจักเป็นของพวกเรา และจักให้ทาน
ด้วยหญ้าฟ่อนหนึ่ง จึงมัดหญ้าเป็น ๒ ฟ่อน คล้องที่คานถือเอาไป
ขายที่ประตูเมือง ได้มาสกมาแล้วได้ให้ส่วนหนึ่งแก่พวกยาจก แต่
พวกยาจกมีมากด้วยกัน เมื่อพวกเขาร้องขอว่า ให้ข้าพเจ้าบ้าง จึงได้

ให้ส่วนแม้นอกนี้ไปอีก วันนั้น จึงไม่มีอาหารพร้อมทั้งภรรยา ให้
เวลาล่วงผ่านไป. โดยทำนองนี้ ล่วงไป ๖ วัน. ครั้นวันที่ ๗ เมื่อ


* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
* ทานน้อยจึ่งค่อยได้ให้ทาน ทานนานๆย่อมยังทรัพย์ให้เกิดได้
ทานแบบเกินรายได้ ย่อมจะได้หนี้สินติดตัวมา ย่อมยังชาตาชีวิตให้ตกต่ำ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2018, 06:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เศรษฐีนั้นกำลังนำหญ้ามา เป็นผู้อดอาหารมา ๗ วัน ทั้งเป็น
สุขุมาลชาติ พอเมื่อแสงอาทิตย์กระทบหน้าผาก นัยน์ตาทั้งสองข้าง
ก็พร่าพราย. เศรษฐีนั้นไม่อาจดำรงสติไว้ได้ จึงล้มทับหญ้าลงไป.
ท้าวสักกะเสด็จเที่ยวตรวจดูกิริยาอาการของเศรษฐีนั้นอยู่. ทันใดนั้น
ท้าวเธอเสด็จมาประทับยืนในอากาศ ตรัสกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-

ดูก่อนวิสัยหะ แต่ก่อนท่านได้ให้ทาน
ก็เมื่อท่านให้อยู่อย่างนั้น ความเสื่อมได้มี
แก่ท่านแล้ว ต่อแต่นี้ไป ถ้าท่านจักไม่ให้
ทานไซร้ เมื่อท่านประหยัดไว้ โภคะทั้งหลาย
ก็คงดำรงอยู่ตามเดิม.

อธิบายคำที่เป็นคาถานั้นว่า ท่านวิสัยหะผู้เจริญ เมื่อก่อน
แต่กาลนี้ เมื่อทรัพย์ในเรือนของท่านยังมีอยู่ ท่านได้ให้ทานทำ
สกลชมพูทวีปทั้งสิ้นให้ยกงอนไถขึ้นแล้ว และเมื่อท่านนั้นให้ทานอยู่
อย่างนี้ ธรรมคือความเสื่อมได้แก่สภาวะคือความเสื่อมโภคะจึงได้มี
ขึ้น คือทรัพย์ทั้งมวลหมดสิ้นไป แม้ถ้าเบื้องหน้าแต่นี้ ท่านจะไม่

ให้ทานไซร้ คือจะไม่ให้อะไร ๆ แก่ใคร ๆ เมื่อท่านประหยัดไว้ คือ
ไม่ให้อยู่ โภคะทั้งหลายจะพึงดำรงอยู่เหมือนอย่างเดิม ท่านจง
ปฏิญญาว่า ตั้งแต่นี้ไปจักไม่ให้ทาน เราจักให้โภคะทั้งหลายแก่ท่าน.

พระมหาสัตว์ได้ฟังดำรัสของท้าวสักกะนั้นแล้วจึงถามว่า ท่าน
เป็นใคร. ท้าวสักกะตรัสว่าเราเป็นท้าวสักกะ. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า
ธรรมดาท้าวสักกะ พระองค์เองให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ
บำเพ็ญวัตรบท ๗ ประการ จึงถึงความเป็นท้าวสักกะ แต่พระองค์

ทรงห้ามการให้ทานอันเป็นเหตุแห่งความเป็นใหญ่ของพระองค์ ทรง
ทำวัตรจรรยาอันมิใช่ของอารยชน แล้วได้กล่าวคาถา ๓ คาถาว่า :-


* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
* ทานน้อยจึ่งค่อยได้ให้ทาน ทานนานๆย่อมยังทรัพย์ให้เกิดได้
ทานแบบเกินรายได้ ย่อมจะได้หนี้สินติดตัวมา ย่อมยังชาตาชีวิตให้ตกต่ำ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2018, 06:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ข้าแต่ท้าวสหัสสเนตร พระอริยะ
ทั้งหลายกล่าวถึงบาปกรรมว่า อันอารยชน
ถึงจะเป็นคนอยากจนเข็ญใจก็ไม่ควรทำ ข้า-
แต่พระองค์ผู้เป็นจอมเทพ ข้าพระบาทจะพึง
เลิกละศรัทธา เพราะการบริโภคทรัพย์อันใด
เป็นเหตุ ทรัพย์อันนั้นอย่าได้มีเลย.

รถคันหนึ่งแล่นไปทางใด รถคันอื่น
ก็แล่นไปทางนั้น ข้าแต่ท้าววาสวะ วัตรที่
ข้าพระบาทบำเพ็ญมาแล้วแต่ครั้งก่อน ขอจง
เป็นไปเหมือนอย่างนั้นเถิด.

ถ้ายังมียังเป็นอยู่ ข้าพระบาทก็จะให้
เมื่อไม่มีไม่เป็น จะให้ได้อย่างไร แม้ถึงจะ
มีสภาพเป็นอย่างนี้แล้วก็ตาม ก็จะต้อง
ให้ เพราะข้าพระบาทจะลืมการให้ทานเสีย
มิได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนริยํ ได้แก่ บาปกรรมอัน
ลามก. บทว่า อริเยน ได้แก่ อริยชนผู้มีอาจาระอันบริสุทธิ์. บทว่า
สุทุคฺคเตนาปิ ได้แก่ ถึงจะขัดสนแร้นแค้น. บทว่า อกิจจมาหุ
ความว่า พระอริยะทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นกล่าวไว้. อธิบายว่า

ก็พระองค์ตรัสบอกทางอันไม่ประเสริฐกะข้าพระบาท. ศัพท์ว่า โว
เป็นเพียงนิบาต. ด้วยบทว่า ยํ โภคเหตุํ นี้ ท่านแสดงความว่า
เราละคือละทิ้งศรัทธาในการให้ทาน เพราะการบริโภคทรัพย์ใดเป็น
เหตุ ทรัพย์นั้นนั่นแหละอย่าได้มี คือ เราไม่ต้องการทรัพย์นั้น.

บทว่า รโถ ได้แก่ รถอย่างใดอย่างหนึ่ง. ท่านอธิบายว่า รถคันหนึ่ง
แล่นไปโดยทางใด แม้รถคันอื่นก็แล่นไปโดยทางนั้น ด้วยเข้าใจว่า
นี้เป็นทางเดินของรถ. บทว่า โปราณํ นิหตํ วตฺตํ ความว่า


* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
* ทานน้อยจึ่งค่อยได้ให้ทาน ทานนานๆย่อมยังทรัพย์ให้เกิดได้
ทานแบบเกินรายได้ ย่อมจะได้หนี้สินติดตัวมา ย่อมยังชาตาชีวิตให้ตกต่ำ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2018, 07:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
วัตรที่เราเคยบำเพ็ญมาในครั้งก่อนนั่นแหละ เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่
จงดำเนินไปเถิด คืออย่าหยุดอยู่เลย. บทว่า เอวํ ภูตาปี ความว่า
เราแม้จะเป็นคนหาบหญ้าอย่างนี้ ก็จักให้ทานตราบเท่าที่มีชีวิตอยู่.
เพราะเหตุไร ? เพราะเราจะไม่ละลืมการให้ทาน. ท่านแสดงความว่า
เพราะผู้ไม่ให้ ย่อมชื่อว่าละลืม คือไม่ระลึกถึง ไม่กำหนดถึงการให้
ทาน ส่วนเราเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ย่อมไม่ปรารถนาจะลืมการให้ทาน
เพราะฉะนั้น เราจักให้ทานเหมือนอย่างเดิม.

ท้าวสักกะเมื่อไม่อาจทรงห้ามวิสัยหะเศรษฐีนั้น จึงตรัสถามว่า
ท่านให้ทานเพื่อประโยชน์อะไร ? วิสัยหะเศรษฐีทูลว่า ข้าพระบาทมิได้
ปรารถนาความเป็นท้าวสักกะ หรือความเป็นพระพรหม แต่ปรารถนา
พระสัพพัญญุตญาณ จึงให้ทาน. ท้าวสักกะได้ทรงสดับคำของวิสัยหะ

นั้นแล้วดีพระทัยจึงเอาพระหัตถ์ลูบหลัง. เมื่อพระโพธิสัตว์พอถูก
ท้าวสักกะทรงลูบหลังในขณะนั้นนั่นเองสรีระทั้งสิ้นก็เต็มบริบูรณ์
และด้วยอานุภาพของท้าวสักกะ กำหนดเขตแห่งทรัพย์สมบัติทั้งหมด
ของพระโพธิสัตว์นั้นก็กลับเป็นไปตามปกติอย่างเดิม. ท้าวสักกะ

ตรัสว่าท่านมหาเศรษฐี จำเดิมแต่นี้ไป ท่านจงสละทรัพย์ ๑๒ แสน
ให้ทานทุกวันเถิด แล้วประทานทรัพย์หาประมาณมิได้ไว้ในเรือนของ
พระโพธิสัตว์นั้น ทรงส่งพระโพธิสัตว์แล้ว เสด็จไปเทวสถานของ
พระองค์.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดกว่า ภรรยาของเศรษฐีในครั้งนั้น ได้เป็นมารดาพระราหุล ส่วน
วิสัยหเศรษฐี ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาวิสัยหชาดกที่ ๑๐

รวมชาดกที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. โกกาลิกชาดก ๒. รถลัฏฐิชาดก ๓. โคธชาดก
๔. ราโชวาทชาดก ๕. ชัมพุกชาดก ๖. พรหาฉัตตชาดก
๗. ปีฐชาดก ๘. ถุสชาดก ๙. พาเวรุชาดก ๑๐. วัสิยหชาดก
จบ โกกิลวรรคที่ ๔
อรรถกถาจุลลกุณาลวรรคที่ ๕.
กุณฑลิกชาดกที่ ๑
เรื่องพิสดารของชาดกนี้ ซึ่งมีคำเริ่มต้นว่า นิรามํ อารามกรสฺสุ
ดังนี้ จักมีแจ้งในกุณาลชาดกแล.
จบ กุณฑลิกชาดกที่ ๑

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2018, 07:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาวานรชาดกที่ ๒

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหาร ทรงปรารภ
พระเทวทัตตะเกียกตะกายเพื่อจะฆ่าพระองค์ จึงตรัสพระธรรมเทศนา
นี้ มีคำเริ่มต้นว่า อสกฺขึ วต อตฺตานํ ดังนี้. เรื่องปัจจุบันได้
ให้พิสดารไว้แล้วทีเดียว.

ส่วนเรื่องในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติ
ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดกระบี่ ในหิมวันต-
ประเทศ เจริญวัยแล้วอยู่ ณ ที่ฝั่งแม่น้ำคงคา. ครั้งนั้น นางจระเข้
ตัวหนึ่งในแม่น้ำคงคา เกิดแพ้ท้อง อยากกินเนื้อหัวใจของพระ-
โพธิสัตว์ จึงบอกแก่จระเข้สามี. จระเข้สามีนั้นคิดว่า เราจักให้กระบี่

นั้นดำลงในน้ำแล้วฆ่าเสีย ให้เนื้อหัวใจแก่นางจระเข้ผู้ภรรยา จึงกล่าว
กะพระมหาสัตว์ว่า มาเถิดเพื่อน พวกเราจะไปกินผลมะม่วงที่ระหว่าง
เกาะด้วยกัน. พระมหาสัตว์กล่าวว่า เราจักไปได้อย่างไร. จระเข้
กล่าวว่า เราจักให้ท่านนั่งบนหลังเรานำไป. พระมหาสัตว์นั้นไม่รู้
ความคิดของจระเข้นั้น จึงโดดไปนั่งบนหลัง. จระเข้ไปได้หน่อยหนึ่ง

จึงเริ่มจะดำน้ำ ลำดับนั้น วานรจึงกล่าวกะจระเข้นั้นว่า ท่านผู้เจริญ
ท่านจะให้เราดำลงในน้ำทำไม. จระเข้กล่าวว่าเราจักฆ่าท่านแล้วให้เนื้อ
หัวใจแก่ภรรยาของเรา. วานรกล่าวว่า ช้าก่อน ท่านเข้าใจว่าเนื้อ
หัวใจของเราอยู่ที่อกหรือ. จระเข้กล่าวว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น เนื้อหัวใจ
ของท่านตั้งอยู่ที่ไหน. วานรกล่าวว่า ท่านไม่เห็นเนื้อหัวใจนั่น ซึ่ง

ห้อยอยู่ที่ต้นมะเดื่อหรือ. จระเข้กล่าวว่า เห็นแต่ท่านจักให้เราหรือ.
วานรกล่าวว่า เออจักให้. เพราะความโง่เขลา จระเข้จึงพาวานรนั้น
ไปยังโคนต้นมะเดื่อ ที่ริมแม่น้ำ. พระโพธิสัตว์จึงโดดจากหลังของ
จระเข้นั้นไปนั่งบนต้นมะเดื่อ แล้วได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า:-


* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
* ทานน้อยจึ่งค่อยได้ให้ทาน ทานนานๆย่อมยังทรัพย์ให้เกิดได้
ทานแบบเกินรายได้ ย่อมจะได้หนี้สินติดตัวมา ย่อมยังชาตาชีวิตให้ตกต่ำ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2018, 07:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ดูก่อนจระเข้เราสามารถยกตนขึ้นจาก
น้ำสู่บกได้ บัดนี้ เราจักไม่ตกอยู่ในอำนาจ
ของท่านอีกต่อไป.
เราไม่ต้องการด้วยผลมะม่วง ผลหว้า
และผลขนุนทั้งหลายที่จะต้องข้ามแม่น้ำไป
บริโภค ผลมะเดื่อของเราดีกว่า.

ผู้ใดไม่รู้เท่าทันเหตุการณ์อันเกิดขึ้น
โดยฉับพลัน ผู้นั้นจะต้องตกอยู่ในอำนาจ
ของศัตรู และต้องเดือดร้อนในภายหลัง.
ส่วนผู้ใดรู้เท่าทันเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
โดยฉับพลัน ผู้นั้นย่อมพ้นจากวงล้อมของ
ศัตรูและไม่ต้องเดือดร้อนภายหลัง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสกฺขึ วต ความว่า ได้เป็น
ผู้สามารถหนอ. บทว่า อุฏฺ€าตุํ ได้แก่ เพื่อยกขึ้น. วานรเรียกจระเข้
ว่า วาริชะ. บทว่า ยานิ ปารํ สมุทฺทสฺส ความว่า วานรเมื่อจะ
เรียกแม่น้ำคงคาโดยชื่อว่าสมุทร จึงกล่าวว่า พอกันทีด้วยผลไม้ที่เรา
จะต้องข้ามฝั่งแม่น้ำไปกิน. บทว่า ปจฺฉา จ อนุตปฺปติ ความว่า

บุคคลผู้ไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน ย่อมไปสู่อำนาจของศัตรู และ
ย่อมต้องเดือดร้อนภายหลัง.
วานรนั้นกล่าวเหตุอันเป็นเครื่องให้สำเร็จกิจฝ่ายโลกิยะ ด้วย
คาถาทั้ง ๔ ด้วยประการฉะนี้แล้ว ก็ไปสู่ชัฏป่าทีเดียว.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรง
ประชุมชาดกว่า จระเข้ในครั้งนั้น ได้เป็นพระเทวทัต ส่วนวานร
ในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาวานรชาดกที่ ๒

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2018, 07:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถากุนตินีชาดกที่ ๓

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
นางนกกะเรียนซึ่งอยู่อาศัยในพระราชวังของพระเจ้าโกศล จึงตรัส
พระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อวสิมฺหา ตวาคาเร ดังนี้.

ได้ยินว่า นางนกกะเรียนนั้นเป็นผู้จำทูลพระราชสาสน์ของ
พระราชา นางนกนั้นมีลูกนกอยู่ ๒ ตัว. พระราชาทรงให้นางนกนั้น
ถือพระราชหัตถเลขาไปส่งแก่พระราชาองค์หนึ่ง. ในเวลาที่นางนกนั้น
ไปแล้ว พวกทารกในราชสกุลพากัน เอามือบีบลูกนกเหล่านั้นจน
ตายไป. นางนกนั้นกลับมาแล้วเห็นลูกนกเหล่านั้นตายแล้วจึงถามว่า

ใครฆ่าลูกฉันตาย ? เขาบอกว่า เด็กคนโน้นและเด็กคนโน้นฆ่า. ก็
ในเวลานั้น ในราชสกุล มีเสือโคร่งที่เลี้ยงไว้ตัวหนึ่งดุร้ายหยาบช้า
มันอยู่ได้โดยการล่ามไว้. ทีนั้นพวกเด็กเหล่านั้น ได้ไปเพื่อจะดูเสือ
โคร่งนั้น. นางนกแม้นั้นก็ได้ไปกับเด็กเหล่านั้น คิดว่า เราจักกระทำ
เด็กเหล่านี้เหมือนมันฆ่าลูกของเรา จึงพาเด็กเหล่านั้นไปทำให้ล้มลง

ใกล้เท้าเสือโคร่ง. เสือโคร่งเคี้ยวกินกร้วมๆ. นางนกนั้นคิดว่า บัดนี้
มโนรถของเราบริบูรณ์แล้ว จึงบินไปยังหิมวันตประเทศทันที. ภิกษุ
ทั้งหลายได้สดับเหตุนั้นแล้วจึงนั่งสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า อาวุโส
ทั้งหลาย ได้ยินว่า นางนกกะเรียนในราชสกุล กระตุ้นพวกเด็ก
ที่ฆ่าลูกของตนให้ล้มลงที่ใกล้เท้าเสือโคร่ง แล้วบินไปยังหิมวันตประ-

เทศเลยทีเดียว. พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย
บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูล
ว่า เรื่องนี้ พระเจ้าข้า. จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่บัดนี้
เท่านั้น แม้ในกาลก่อนนางนกกะเรียนนี้ก็กระตุ้นพวกเด็กผู้ฆ่าลูก
ของตนให้ล้ม แล้วไปสู่หิมวันตประเทศเหมือนกัน แล้วทรงนำเอา
เรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้.


* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
* ทานน้อยจึ่งค่อยได้ให้ทาน ทานนานๆย่อมยังทรัพย์ให้เกิดได้
ทานแบบเกินรายได้ ย่อมจะได้หนี้สินติดตัวมา ย่อมยังชาตาชีวิตให้ตกต่ำ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 95, 96, 97, 98, 99, 100, 101 ... 151  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร