วันเวลาปัจจุบัน 04 ส.ค. 2025, 01:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 93, 94, 95, 96, 97, 98, 99 ... 151  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2018, 10:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาโกกาลิก*ชาดกที่ ๑

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
พระโกกาลิกะ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า โย เว
กาเล อสมฺปตฺเต ดังนี้. เรื่องปัจจุบันได้ให้พิสดารแล้วในตักการิย-
ชาดก. ส่วนเรื่องในอดีตมีดังต่อไปนี้:-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร
พาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นอำมาตย์แก้วของพระเจ้าพาราณสีนั้น.
พระราชานั้นได้เป็นผู้มีพระดำรัสมาก พระโพธิสัตว์คิดว่า จักห้ามการ
ตรัสมากของพระราชานั้น จึงเที่ยวคิดหาอุบายอย่างหนึ่ง. ครั้นวันหนึ่ง

พระราชาเสด็จไปพระราชอุทยาน แล้วประทับนั่งบนแผ่นศิลาอันเป็น
มงคล. เบื้องบนแผ่นศิลานั้น มีมะม่วงอยู่ต้นหนึ่ง นางนกดุเหว่า
วางฟองไข่ของตนไว้ในรังการังหนึ่ง ณ ต้นมะม่วงนั้น แล้วได้ไปเสีย.
นางกาก็ประคบประหงมฟองไข่นกดุเหว่านั้น. จำเนียรกาลล่วงมา ลูก-

นกดุเหว่าก็ออกจากฟองไข่นั้น. นางกาสำคัญว่าบุตรของเราจึงนำอาหาร
มาด้วยจงอยปาก ปรนนิบัติลูกนกดุเหว่านั้น. ลูกนกดุเหว่านั้นขนปีก
ยังไม่งอกก็ส่งเสียงร้องเป็นเสียงดุเหว่า ในกาลอันไม่ควรร้องเลย.
นางกาคิดว่า ลูกนกนี้มันร้องเป็นเสียงอื่นในบัดนี้ก่อน เมื่อโตขึ้นจัก

ทำอย่างไร จึงตีด้วยจะงอยปากให้ตายตกไปจากรัง. ลูกนกดุเหว่านั้น
__________________________
*ม. โคลิลฯ


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2018, 10:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ตกลงใกล้พระบาทของพระราชา. พระราชารับสั่งถามพระโพธิสัตว์ว่า
สหาย นี่อะไรกัน. พระโพธิสัตว์คิดว่า เราแสวงหาเรื่องเปรียบเทียบ
เพื่อจะห้ามพระราชา บัดนี้ เราได้เรื่องเปรียบเทียบนี้แล้ว จึงกราบทูล
ว่า ข้าแต่มหาราช ขึ้นชื่อว่าคนปากกล้า พูดมากในกาลไม่ควรพูด
ย่อมได้ทุกข์เห็นปานนี้ ข้าแต่มหาราช ลูกนกดุเหว่านี้เจริญเติบโตได้

เพราะนางกา ปีกยังไม่ทันแข็งก็ร้องเป็นเสียงดุเหว่าในเวลาไม่ควรร้อง
ทีนั้น นางการู้ลูกนกดุเหว่านั้นว่า นี้ไม่ใช่ลูกของเรา จึงตีด้วยจงอย
ปากให้ตกลงมา จะเป็นมนุษย์หรือสัตว์เดียรัจฉานก็ตาม พูดมากใน
กาลไม่ควรพูด ย่อมได้ทุกข์เห็นปานนี้ แล้วได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-

เมื่อยังไม่ถึงเวลาที่จะพูด ผู้ใดพูดเกิน
เวลาไป ผู้นั้นย่อมถูกทำร้าย ดุจลูกนก
ดุเหว่าฉะนั้น.
มีดที่ลับคมกริบ ดุจยาพิษที่ร้ายแรง
หาทำให้ตกไปทันทีทันใด เหมือนวาจาทุพ-
ภาษิตไม่.

เพราะฉะนั้น บัณฑิตควรรักษาวาจาไว้
ทั้งในกาลที่ควรพูดและไม่ควร ไม่ควรพูดให้
เกินเวลา แม้ในคนผู้เสมอกับตน.
ผู้ใดมีความคิดเห็นเป็นเบื้องหน้า มี
ปัญญาเครื่องพิจารณาเห็นประจักษ์ พูดพอ
เหมาะในกาลที่ควรพูด ผู้นั้นย่อมจับศัตรูได้
ทั้งหมด ดุจครุฑจับนาคได้ฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กาเล อสมฺปตฺเต ได้แก่ เมื่อ
กาลที่จะพูดของตน ยังไม่ถึง.บทว่า อติเวลํ ความว่า ย่อมพูดเกิน
ประมาณ ทำให้ล่วงเลยเวลา. บทว่า หลาหลมฺมิว ตัดเป็น หลาหลํ
อิว แปลว่า เหมือนยาพิษอันร้ายแรง. บทว่า นิกฺกเฒ ได้แก่


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2018, 10:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ในขณะนั้นเอง คือในกาลอันยังไม่ถึง. บทว่า ตสฺมา ได้แก่ เพราะ
เหตุที่คำทุพภาษิตเท่านั้น ย่อมทำให้ตกไปเร็วพลัน แม้กว่าศาตราที่
ลับคมกริบ และยาพิษอันร้ายแรง. บทว่า กาเล อกาเล จ ความว่า
บัณฑิตพึงรักษาวาจาทั้งในกาลและมิใช่กาลที่ควรกล่าว ไม่ควรกล่าว

เกินเวลาแม้กะบุคคลผู้เสมอกับตน คือแม้กะบุคคลผู้มีการกระทำไม่
ต่างกัน. บทว่า มติปุพฺโพ ได้แก่ ชื่อว่ามีความคิดเป็นเบื้องหน้า
เพราะกระทำความคิดให้เป็นปุเรจาริกอยู่ข้างหน้าแล้วจึงกล่าว. บทว่า
วิจกฺขโณ ความว่า บุคคลผู้พิจารณาด้วยญาณแล้วได้ประโยชน์ ชื่อว่า

ผู้มีปัญญาเห็นประจักษ์. บทว่า อุรคมิว ตัดเป็น อุรคํ อิว แปลว่า
เหมือนสัตว์ผู้ไปด้วยอก (งู). ท่านกล่าวอธิบายไว้ดังนี้ว่า ครุฑทำ
ทะเลให้ปั่นป่วนแล้วยึด คือจับงูตัวมีขนาดใหญ่ ก็แลครั้นจับได้แล้ว
ทันใดนั้นเอง ก็ยกหิ้วงูนั้นขึ้นสู่ต้นงิ้ว กินเนื้ออยู่ ฉันใด บุคคลผู้
มีความคิดเกิดขึ้นก่อนเป็นเบื้องหน้า มีปัญญาเป็นเครื่องเห็นประจักษ์

กล่าวพอประมาณในกาลที่ควรกล่าว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมยึดคือ
จับพวกอมิตรทั้งหมดได้ คือทำให้อยู่ในอำนาจของตนได้.

พระราชาทรงสดับธรรมเทศนาของพระโพธิสัตว์แล้ว ตั้งแต่
นั้นมา ก็ได้มีพระดำรัสพอประมาณ. และทรงปูนบำเหน็จยศพระ-
ราชทานแก่พระโพธิสัตว์นั้นให้ใหญ่โตกว่าเดิม.

พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประ-
ชุมชาดกว่า. ลูกนกดุเหว่าในกาลนั้น ได้เป็นพระโกกาลิกะ ส่วน
อำมาตย์ผู้เป็นบัณฑิตในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาโกกาลิกชาดกที่ ๑

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2018, 10:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถารถลัฏฐิชาดกที่ ๒

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ปุโรหิตของพระเจ้าโกศล จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
อปิ หนฺตฺวา หโต พฺรูติ ดังนี้

ได้ยินว่า ปุโรหิตนั้นไปบ้านส่วยของตนด้วยรถ ขับรถไปในทาง
แคบ พบหมู่เกวียนพวกหนึ่ง จึงกล่าวว่า พวกท่านจงหลีกเกวียนของ
พวกท่าน ดังนี้แล้วก็จะไป เมื่อเขายังไม่ทันจะหลีกเกวียนก็โกรธ จึง
เอาด้ามปฏักประหารที่แอกรถของนายเกวียนในเกวียนเล่มแรก. ด้าม

ปฏักนั้นกระทบแอกรถก็กระดอนกลับมาพาดหน้าผากของปุโรหิตนั้น
เข้า ทันทีนั้นที่หน้าผากก็มีปมปูดขึ้น. ปุโรหิตนั้นจึงกลับไปกราบทูล
แก่พระราชาว่า ถูกพวกนายเกวียนตี พระราชาจึงทรงสั่งพวกตุลาการ
ให้วินิจฉัย พวกตุลาการจึงให้เรียกพวกนายเกวียนมาแล้ววินิจฉัยอยู่
ได้เห็นแต่โทษผิดของปุโรหิตนั้นเท่านั้น. อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย

นั่งสนทนากันในธรรมสภาว่า อาวุโสทั้งหลายได้ยินว่า ปุโรหิต
ของพระราชาเป็นความหาว่า พวกเกวียนตีตน แต่ตนเองกลับเป็น
ฝ่ายผิด. พระศาสดาเสด็จมาแล้ว ตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้

พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า
ด้วยเรื่องชื่อนี้พระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่บัดนี้
เท่านั้น แม้ในกาลก่อน ปุโรหิตนี้ก็กระทำกรรมเห็นปานนี้เหมือนกัน
แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2018, 10:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนคร
พาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นอำมาตย์ผู้วินิจฉัยของพระเจ้าพาราณสี
นั้นเอง. ข้อความทั้งหมดที่ว่า ครั้งนั้น ปุโรหิตของพระราชา ไปยัง
บ้านส่วยของตนด้วยรถดังนี้เป็นต้น เป็นเช่นกับข้อความอันมีแล้ว
ในเบื้องต้นนั่นแหละ. แต่ในชาดกนี้ เมื่อปุโรหิตนั้นกราบทูลพระราชา

แล้ว พระราชาประทับนั่ง ณ โรงวินิจฉัยด้วยพระองค์เอง รับสั่ง
ให้เรียกพวกนายเกวียนมา มิได้ทรงชำระการกระทำให้ชัดเจน ตรัสว่า
พวกเจ้าตีปุโรหิตของเรา ทำให้หน้าผากโปขึ้น แล้วตรัสว่า ท่านทั้ง
หลายจงปรับพวกเกวียนเหล่านั้นทั้งหมดคนละพัน. ลำดับนั้น พระ-
โพธิสัตว์กราบทูลพระราชานั้นว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์ยังมิได้

ทรงชำระการกระทำให้ชัดแจ้งเลย ทรงให้ปรับพวกเกวียนเหล่านั้น
ทั้งหมดคนละพัน ด้วยว่าคนบางจำพวก แม้ประหารตนด้วยตนเอง
ก็กล่าวหาว่า ถูกคนอื่นประหาร เพราะฉะนั้น การไม่วินิจฉัยแล้ว
สั่งการ ไม่ควร ธรรมดาพระราชาผู้ครองราชสมบัติใคร่ครวญแล้วสั่ง
การจึงจะควร แล้วได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-

ข้าแต่พระราชา บุคคลทำร้ายตนเอง
กลับกล่าวหาว่า คนอื่นทำร้าย ดังนี้ก็มี โกง
เขาแล้ว กลับกล่าวหาว่า เขาโกงดังนี้ก็มี ไม่
ควรเชื่อคำของโจทก์ฝ่ายเดียว.

เพราะฉะนั้น บุคคลผู้เป็นเชื้อชาติ
บัณฑิต ควรฟังคำแม้ของฝ่ายจำเลยด้วย เมื่อ
ฟังคำของโจทก์และจำเลย คู่ความทั้งสอง
ฝ่ายแล้ว พึงปฏิบัติตามธรรม.

คฤหัสถ์ผู้ยังบริโภคกาม เกียจคร้านไม่ดี
บรรพชิตผู้ไม่สำรวม ไม่ดี พระราชาไม่ทรง
ใคร่ครวญก่อนแล้วทำไป ไม่ดี บัณฑิตมี
ความโกรธเป็นเจ้าเรือน ก็ไม่ดี.


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2018, 10:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นเจ้าแห่งทิศ กษัตริย์
ทรงใคร่ครวญก่อนแล้วจึงควรกระทำ ไม่ทรง
ใคร่ครวญก่อน ไม่ควรกระทำ อิสริยยศและ
เกียรติศัพท์ ย่อมเจริญแก่กษัตริย์ผู้ทรงใคร่
ครวญแล้วกระทำ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปิ หนฺตฺวา ความว่า เออก็ คน
บางพวกทำร้ายตนด้วยตนเอง ยังพูดคือกล่าวหาว่า ถูกคนอื่นทำร้าย.
บทว่า เชตฺวา ชิโต ความว่า ก็หรือว่า ตนเองโกงคนอื่นแล้วกล่าว
หาว่าเราถูกโกง. บทว่า เอตทตฺถุ ความว่า ข้าแต่มหาราช บุคคล

ไม่ควรเชื่อคำของโจทก์ผู้ไปยังราชสกุลแล้วกล่าวหาก่อน ชื่อว่าผู้ฟ้อง
ร้องก่อนโดยแท้ คือไม่พึงเชื่อคำของโจทก์โดยส่วนเดียว. บทว่า
ตสฺมา ความว่า เพราะเหตุที่ไม่ควรเชื่อคำของผู้ที่มาพูดก่อนโดยส่วน
เดียว. บทว่า ยถา ธมฺโม ความว่า สภาวะ ( หลักการ ) วินิจฉัย

ตั้งไว้อย่างใด พึงกระทำอย่างนั้น. บทว่า อสญฺโต ได้แก่ ผู้ไม่
สำรวมกายเป็นต้น คือ เป็นผู้ทุศีล. บทว่า ตํ น สาธุ ความว่า
ความโกรธกล่าวคือความขุ่นเคืองอันมั่นคง โดยการยึดถือไว้ตลอด
ระยะกาลนานของบัณฑิต คือบุคคลผู้มีความรู้นั้น ไม่ดี. บทว่า

นานิสมฺม ได้แก่ ไม่ทรงใคร่ครวญแล้ว ไม่ควรกระทำ. บทว่า
ทิสมฺปติ ความว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ผู้เป็นใหญ่แห่งทิศทั้งหลาย.
บทว่า ยโส กิตฺติ จ ความว่า บริวาร คือความเป็นใหญ่ และ
เกียรติศัพท์ย่อมเจริญ.

พระราชาได้สดับคำของพระโพธิสัตว์แล้ว ทรงวินิจฉัยตัดสิน
โดยธรรม. เมื่อทรงวินิจฉัยโดยธรรม โทษผิดจึงมีแก่พราหมณ์เท่านั้น
แล.

พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรง
ประชุมชาดกว่า พราหมณ์ในครั้งนั้น ได้เป็นพราหมณ์นี่แหละในบัดนี้
ส่วนอำมาตย์ผู้เป็นบัณฑิต ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถารถลัฏฐิชาดกที่ ๒


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2018, 10:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาโคธชาดกที่ ๓

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
กฎุมพีผู้หนึ่ง จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ตเทว เม
ตฺวํ ดังนี้.

เรื่องปัจจุบัน ได้ให้พิสดารแล้วในหนหลังนั่นแหละ แต่ใน
ชาดกนี้ เมื่อสามีภรรยาทั้งสองนั้น ชำระสะสางหนี้สินเสร็จแล้ว
กลับมา ในระหว่างทาง พรานได้ให้เหี้ยย่างตัวหนึ่ง โดยพูดว่า ท่าน
ทั้งสองจงกิน. บุรุษผู้เป็นสามีนั้นสั่งภรรยาไปหาน้ำดื่ม แล้วกินเหี้ย
หมด ในเวลาภรรยานั้นกลับมาจึงกล่าวว่า นางผู้เจริญ เหี้ยหนีไป

เสียแล้ว. ภรรยากล่าวว่า ดีละนาย เมื่อเหี้ยย่างมันหนีไป ดิฉันจะ
อาจทำอะไร. ภรรยานั้นดื่มน้ำในพระเชตวันแล้วนั่งรวมกันในสำนัก
ของพระศาสดา ผู้อันพระศาสดาตรัสถามว่า อุบาสิกา สามีของท่าน
นี้ยังปรารถนาประโยชน์เกื้อกูล มีความรักดี อุปการะช่วยเหลือแก่ท่าน

ดีอยู่หรือ จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ยังมีความ
ปรารถนาประโยชน์เกื้อกูล มีความรักแก่สามีนี้ดีอยู่ แต่สามีนี้ไม่มี
ความรักในข้าพระองค์เลย. พระศาสดาตรัสว่า ช่างเขาเถอะ อย่า
คิดเลย สามีนี้ย่อมกระทำชื่ออย่างนี้ ก็เมื่อใด เขาระลึกคุณของท่าน

ได้ เมื่อนั้น เขาจะให้ความเป็นใหญ่ทั้งหมด เฉพาะท่านเท่านั้น อัน
สามีภรรยาทั้งสองนั้นทูลอาราธนาแล้ว จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมา
สาธก ดังต่อไปนี้ :-

แม้เรื่องในอดีต ก็เป็นเช่นกับที่กล่าวไว้แล้วในหนหลังนั้น
เหมือนกัน. แต่ในชาดกนี้ เมื่อพระราชบุตรและชายานั้นเสด็จกลับ
ในระหว่างทาง นายพรานทั้งหลายเห็นความอิดโรยของคนทั้งสอง
จึงได้ให้เหี้ยย่างตัวหนึ่ง บอกว่า ท่านทั้งสองคนจงกินเสียเถิด. พระ-

ราชธิดาเอาเถาวัลย์พันเหี้ยนั้นแล้วถือเดินทางไป. เธอทั้งสองนั้นพบ
สระน้ำแห่งหนึ่ง จึงแวะลงจากทาง นั่งที่โคนต้นอัสสัตถะ. พระ-


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2018, 11:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ราชบุตรตรัสว่า นางผู้เจริญ เธอจงไปนำน้ำจากสระมาด้วยใบบัว เรา
จักได้กินเนื้อกัน. พระราชธิดานั้นแขวนเหี้ยไว้ที่กิ่งไม้แล้วไปเพื่อนำ
น้ำมา ฝ่ายพระราชบุตรเสวยเหี้ยหมดแล้ว ทรงนั่งเบือนพระพักตร
จับปลายหางเหี้ยอยู่. พระราชบุตรนั้น ในเวลาพระราชธิดาถือน้ำดื่ม

เสด็จมา จึงตรัสว่า นางผู้เจริญ เหี้ยลงจากกิ่งไม้เข้าไปยังจอมปลวก
เราวิ่งไล่จับปลายหางไว้ได้ ตัวมันขาดเข้าปล่องไป เหลือแต่ที่จับได้
เฉพาะในมือเท่านั้น. พระราชธิดาทูลว่า ช่างเถอะพระองค์ เมื่อเหี้ย
ย่างมันหนีไปได้ เราจักทำอะไรได้ มาเถิดพวกเราไปกันเถอะ. เธอ

ทั้งสองนั้นดื่มน้ำแล้วไปถึงพระนครพาราณสี พระราชบุตรได้ราชสม-
บัติแล้วทรงตั้งพระราชธิดานั้นไว้ เพียงในตำแหน่งอัครมเหสี ส่วน
สักการะและสัมมานะ ไม่มีแก่พระนาง. พระโพธิสัตว์ประสงค์จะให้
พระราชากระทำสักการะแก่พระนาง จึงยืนอยู่ในสำนักของพระราชา

แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า ข้าพระองค์ไม่ได้อะไรๆ จากสำนัก
ของพระองค์มิใช่หรือ ทำไมไม่ทรงเหลียวแลข้าพระองค์เลย. พระ-
เทวีตรัสว่า ดูก่อนพ่อ เราเองก็ไม่ได้อะไรจากสำนักของพระราชา
เราจักให้อะไรท่านเล่า จนบัดนี้ แม้พระราชาก็จักประทานอะไรแก่ฉัน

ในเวลาเสด็จมาจากป่า ท้าวเธอเสวยเหี้ยย่างแต่พระองค์เดียว. พระ-
โพธิสัตว์กราบทูลว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า พระองค์ผู้ประเสริฐจักไม่ทรง
กระทำเช่นนี้แน่ พระองค์โปรดอย่าได้ตรัสอย่างนี้เลย. ลำดับนั้น
พระเทวีจึงตรัสกะพระโพธิสัตว์นั้นว่า ดูก่อนพ่อ เรื่องนั้นไม่ปรากฎ
แก่ท่าน ปรากฏเฉพาะแก่พระราชาและฉันเท่านั้น แล้วตรัสคาถาที่
๑ ว่า :-


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2018, 11:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
หม่อมฉันทราบว่า พระองค์ผู้ประเสริฐ
จะไม่ทรงใยดีต่อหม่อมฉัน แต่ครั้งเมื่อพระ-
องค์ทรงภูษาเปลือกไม้ เหน็บพระแสงขรรค์
ทรงผูกสอดเครื่องรบประทับอยู่ท่ามกลางป่า
เหี้ยย่างได้หนีไปจากกิ่งไม้อัสสัตถะแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตเทว ความว่า ในกาลนั้น
นั่นแหละ หม่อมฉันทราบพระองค์ได้อย่างนี้ว่า พระราชานี้ไม่ประ-
ทานอะไรแก่หม่อมฉัน แต่คนอื่นๆ ย่อมไม่รู้สภาวะของพระองค์.
บทว่า ขคฺคพนฺธสฺส ได้แก่ ผู้ทรงเหน็บพระขรรค์. บทว่า ติรี-
ฏิโน ความว่า ในเวลาพระองค์ทรงฉลองพระภูษาเปลือกไม้เสด็จมา
ตามทาง. บทว่า ปกฺกา ความว่า เหี้ยย่างด้วยถ่านไฟหนีไปแล้ว.

พระเทวีตรัสโทษที่พระราชาทรงกระทำไว้ ให้ปรากฎในท่าม
กลางบริษัท ด้วยประการอย่างนี้. พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นจึงกราบ-
ทูลว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า เพราะกระทำความไม่ผาสุขให้แก่ทั้งสอง
พระองค์ จำเดิมแต่เวลาไม่เป็นที่โปรดปรานของพระราชาผู้ประเสริฐ
พระองค์จะประทับอยู่ในที่นี้เพราะอะไร แล้วได้กล่าวคาถา ๒ คาถา
นี้ว่า :-

พึงอ่อนน้อมต่อผู้อ่อนน้อม พึงคบผู้ที่
เขาพอใจจะคบด้วย พึงทำกิจแก่ผู้ที่ช่วยทำ
กิจ ไม่พึงทำความเจริญแก่ผู้ที่ใคร่ความเสื่อม
อนึ่ง ไม่พึงคบกับผู้ที่ไม่พอใจจะคบด้วย.

พึงละทิ้งผู้ที่เขาทิ้งเรา ไม่พึงทำความ
สิเนหาในผู้เลิกลากัน ไม่พึงสมาคมกับผู้มี
จิตคิดออกห่าง นกรู้ว่าต้นไม้มีผลหมดแล้ว
ย่อมบินไปสู่ต้นอื่นที่เต็มไปด้วยผล ฉันใด
คนก็ฉันนั้น รู้ว่าเขาหมดความอาลัยแล้ว
ก็ควรจะเลือกหาคนอื่นที่เขาสมัครรักใคร่
เพราะว่าโลกกว้างใหญ่พอ.


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2018, 11:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นเม นมนฺตสฺส ความว่า ผู้
ใดนอบน้อมตนด้วยจิตใจอันอ่อนโยน พึงนอบน้อมตอบผู้นั้นเท่านั้น.
บทว่า กิจฺจานุกุพฺพสฺส ได้แก่ ผู้ช่วยทำกิจอันเกิดขึ้นแก่ตนเท่านั้น.
บทว่า นานตฺถกามสฺส ได้แก่ ผู้ไม่ต้องการความเจริญ. บทว่า

วนถํ น กยิรา ความว่า ไม่พึงกระทำความสิเนหาด้วยอำนาจความ
อยากในคนผู้ละทิ้งนั้น. บทว่า อเปตจิตฺเตน ได้แก่ ผู้มีจิตเหินห่าง
คือ ผู้มีจิตหน่ายแหนง. บทว่า น สมฺภเชยฺย ได้แก่ ไม่พึงสมาคม.
บทว่า อญฺํ สเมกฺเขยฺย ได้แก่ พึงเลือกดูคนอื่น. อธิบายว่า

นกรู้ว่าต้นไม้ไร้ผล ย่อมไปยังต้นอื่นซึ่งมีผลดก ฉันใด คนก็ฉันนั้น
รู้ว่าชายเขาสิ้นความรักใคร่แล้ว พึงเข้าไปหาคนอื่นที่เขารักด้วยดี.

พระราชา เมื่อพระโพธิสัตว์กล่าวอยู่นั้นแล ระลึกถึงคุณความ
ดีของพระเทวีนั้นได้ จึงตรัสว่า น้องนางผู้เจริญ พี่ไม่ได้กำหนดคุณ
ความดีของเธอ สิ้นกาลมีประมาณเท่านี้. ฉันกำหนดได้เพราะถ้อยคำ
ของบัณฑิตนี่เอง จะให้ราชสมบัตินี้เฉพาะแก่เธอผู้อดกลั้นความผิด
ของฉันได้ แล้วตรัสคาถาที่ ๔ ว่า :-

เรานั้นเป็นกษัตริย์มุ่งความกตัญญู จะ
กระทำตอบแทนเธอตามอานุภาพ อนึ่ง เรา
จะมอบความเป็นใหญ่ทั้งหมดให้แก่เธอ เธอ
อยากได้สิ่งใดเพื่อคนใด เราจะให้สิ่งนั้นแก่
เธอเพื่อคนนั้น.


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2018, 11:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โส แปลว่า เรานั้น. บทว่า
ยถานุภาวํ ได้แก่ ตามสติกำลัง. บทว่า ยสฺสิจฺฉสิ ความว่า เธอ
อยากได้เพื่อจะให้แก่คนใด เราจะให้สิ่งที่เธออยากได้ตั้งต้นแต่ราช-
สมบัตินี้ไป เพื่อคนนั้น.

พระราชาครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว ได้ประทานความเป็นใหญ่
ทั้งปวงแก่พระเทวี. และทรงดำริว่า บัณฑิตนี้ทำให้เราระลึกถึงคุณ
ความดีของพระเทวีนี้ จึงได้ประทานอิสริยยศใหญ่แม้แก่บัณฑิตด้วย.

พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึง
ทรงประกาศสัจจะ แล้วทรงประชุมชาดก ในเวลาจบสัจจะ ผัวเมีย
ทั้งสองคนได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล. ผัวและเมียในครั้งนั้น ได้เป็น
ผัวและเมียนี่แหละในบัดนี้ ส่วนอำมาตย์ผู้เป็นบัณฑิตในครั้งนั้น ได้
เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาโคธชาดกที่ ๓

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2018, 11:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาราโชวาทชาดกที่ ๔

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ราโชวาท จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ควนฺเจ ตรมา-
นานํ ดังนี้

เรื่องปัจจุบันจักมีแจ้งในสกุณชาดก ส่วนในชาดกนี้ พระ-
ศาสดาตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตร แม้พระราชาครั้งแต่ก่อน ทรงสดับ
ถ้อยคำของบัณฑิตทั้งหลายแล้ว ครองราชสมบัติโดยธรรม บำเพ็ญ
ทางไปสวรรค์ให้บริบูรณ์ไปแล้ว อันพระราชาทรงอาราธนาแล้ว
จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ใน
นครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ เจริญวัย
แล้ว เรียนศิลปะทั้งปวงเสร็จแล้ว บวชเป็นฤาษี ทำอภิญญาและ
สมาบัติให้บังเกิดแล้ว มีรากไม้และผลไม้ในป่าเป็นอาหาร อยู่ใน
หิมวันตประเทศอันน่ารื่นรมย์. ในกาลนั้น พระราชาทรงรังเกียจโทษ

มิใช่คุณความดี ทรงพระดำริว่า ใครๆ ผู้กล่าวโทษใช่คุณของเรา
มีอยู่หรือ จึงทรงแสวงหาอยู่ มิได้พบเห็นใครๆ ผู้มักกล่าวโทษ
ของพระองค์ทั้งในอันโตชนและพาหิรชน ทั้งในพระนครและนอก
พระนคร ทรงพระดำริว่า ในชาวชนบทจะเป็นอย่างไรบ้าง จึงปลอม

พระองค์ เสด็จเที่ยวไปตามชนบท แม้ในชนบทนั้น ก็มิได้ทรงเห็น
คนผู้กล่าวโทษ ได้ทรงสดับแต่คำสรรเสริญคุณของพระองค์นั้น จึง
ทรงดำริว่า ในหิมวันตประเทศจะเป็นอย่างไรบ้าง แล้วเสด็จเข้าไป
ยังป่าเที่ยวไปจนถึงอาศรมของพระโพธิสัตว์ ทรงอภิวาทพระโพธิสัตว์
นั้นแล้ว ทรงทำปฏิสันถารแล้วประทับนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง. ครั้งนั้น


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2018, 11:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระโพธิสัตว์นำผลนิโครธสุกจากป่ามาบริโภค. ผลนิโครธสุกเหล่านั้น
หวานมีโอชะ มีรสเสมอด้วยจุรณน้ำตาลกรวด. พระโพธิสัตว์นั้น
ทูลเชิญพระราชาแล้วทูลว่า ท่านผู้มีบุญมาก เชิญท่านบริโภคผล
นิโครธสุกนี้แล้วดื่มน้ำ. พระราชาทรงกระทำอย่างนั้นแล้วตรัสถาม

พระโพธิสัตว์ว่า ท่านผู้เจริญ เพราะอะไรหนอ ผลนิโครธสุกนี้
จึงหวานดีจริง. พระโพธิสัตว์ทูลว่า ท่านผู้มีบุญมาก พระราชา
ทรงครองราชสมบัติโดยธรรม โดยเสมอ เป็นแน่ เพราะเหตุนั้นแหละ
ผลนิโครธสุกนั้น จึงหวาน. พระราชาตรัสว่า ท่านผู้เจริญ ในเวลา

ที่พระราชาไม่ดำรงอยู่ในธรรม ผลนิโครธสุกย่อมไม่หวานหรือหนอ.
พระโพธิสัตว์ทูลว่า ใช่ ท่านผู้มีบุญมาก เมื่อพระราชาทั้งหลายไม่
ดำรงอยู่ในธรรม น้ำมัน น้ำผึ้ง และน้ำอ้อยเป็นต้นก็ดี รากไม้และ
ผลไม้ในป่าเป็นต้นก็ดี ย่อมไม่หวาน หมดโอชะ อีกอย่างหนึ่ง

มิใช่สิ่งเหล่านี้อย่างเดียว แม้รัฐทั้งสิ้นก็หมดโอชะ ไร้ค่า แต่เมื่อ
พระราชาทั้งหลายนั้นทรงดำรงอยู่ในธรรม แม้สิ่งเหล่านั้นก็ย่อมหวาน
มีโอชะ รัฐแม้ทั้งสิ้นก็ย่อมมีโอชะเหมือนกัน. พระราชาตรัสว่า
ท่านผู้เจริญคงจักเป็นอย่างนั้น ทรงไม่ให้รู้ว่าพระองค์เป็นพระราชา
เลย ทรงไหว้พระโพธิสัตว์แล้วเสด็จไปยังนครพาราณสี ทรงดำริว่า

จักทดลองทำตามคำของพระดาบส จึงทรงครองราชสมบัติโดยไม่เป็น
ธรรม ทรงดำริว่า จักรู้ความจริงในบัดนี้ จึงให้เวลาล่วงไปเล็กน้อย
แล้วเสด็จไปที่สำนักของพระโพธิสัตว์นั้นอีก ทรงไหว้แล้วประทับนั่ง
ณ ส่วนข้างหนึ่ง. ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็กล่าวเหมือนอย่างนั้นแหละ

แล้วได้ถวายผลนิโครธสุกแก่พระราชานั้น. ผลนิโครธสุกนั้นได้มี
รสขมแก่พระราชานั้น พระราชาทรงรู้สึกว่าไม่มีรสหวาน จึงถ่มทิ้ง
พร้อมกับเขฬะ แล้วกล่าวว่า ขม ท่านผู้เจริญ. พระโพธิสัตว์ทูลว่า
ท่านผู้มีบุญมาก พระราชาจักไม่ทรงประพฤติธรรมเป็นแน่ เพราะ

ในกาลที่พระราชาทั้งหลายไม่ทรงประพฤติธรรม สิ่งทั้งหมดตั้งต้นแต่
ผลาผลในป่า ย่อมหารสหาโอชะมิได้ แล้วได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-

ถ้าเมื่อโคทั้งหลายว่ายข้ามแม่น้ำไป โค
หัวหน้าฝูงว่ายคด เมื่อโคผู้นำฝูงว่ายคดอย่าง
นี้ โคทั้งหมดก็ย่อมว่ายคดไปตามกัน.


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2018, 11:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ในมนุษย์ทั้งหลายก็เหมือนกัน ผู้ใด
ได้รับสมมติแต่งตั้งให้เป็นใหญ่ ถ้าผู้นั้น
ประพฤติไม่เป็นธรรม ประชาชนนอกนี้ก็
ประพฤติไม่เป็นธรรมโดยแท้ ถ้าพระราชา
ผู้เป็นใหญ่ไม่ตั้งอยู่ในธรรม รัฐก็ย่อมอยู่
เป็นทุกข์ทั่วกัน.

ถ้าเมื่อโคทั้งหลายว่ายข้ามแม่น้ำไป
โคหัวหน้าฝูงว่ายข้ามไปตรง เมื่อโคหัวหน้า
ฝูงว่ายข้ามไปตรงอย่างนั้น โคทั้งหมดก็ย่อม
ว่ายข้ามไปตรงตามกัน.

ในหมู่มนุษย์ทั้งหลายก็เหมือนกัน ผู้ใด
ได้รับสมมติแต่งตั้งให้เป็นใหญ่ ถ้าผู้นั้น
ประพฤติเป็นธรรม ประชาชนนอกนี้ก็ย่อม
ประพฤติเป็นธรรมโดยแท้ ถ้าพระราชาเป็น
ผู้ตั้งอยู่ในธรรม รัฐก็ย่อมอยู่เป็นสุขทั่วกัน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ควญฺเจ ตรมานานํ ความว่า
เมื่อโคทั้งหลายว่ายข้ามแม่น้ำ. บทว่า ชิมฺหํ ได้แก่ คด คือ โค้ง.
บทว่า เนนฺเต ความว่า เมื่อโคผู้หัวหน้าโค คือ โคจ่าฝูงผู้เป็น
หัวหน้าโค นำไปคือพาไป. บทว่า ปเคว อิตรา ปชา ความว่า

สัตว์ทั้งหลายนอกนี้ ก็ย่อมประพฤติไม่เป็นธรรมตามๆกัน. บทว่า
ทุกฺขํ เสติ ความว่า มิใช่จะอยู่เป็นทุกข์อย่างเดียวย่อมได้ประสบทุกข์
ในอิริยาบถแม้ทั้ง ๔ ด้วย. บทว่า อธมฺมิโก ความว่า ถ้าพระราชา
ประพฤติไม่เป็นธรรม โดยลุแก่อคติมีฉันทาคติเป็นต้น. บทว่า

สุขํ เสติ ความว่า ถ้าพระราชาทรงละการลุอำนาจอคติ ดำรงอยู่
ในธรรม รัฐทั้งหมดย่อมจะถึงความสุขอย่างเดียว ในอิริยาบถทั้ง ๔ .

พระราชาทรงสดับธรรมของพระโพธิสัตว์ จึงให้รู้ว่าพระองค์
เป็นพระราชา แล้วตรัสว่า ท่านผู้เจริญ เมื่อก่อนข้าพเจ้าเองกระทำ
ผลนิโครธสุกให้หวาน แล้วได้ทำให้ขม บัดนี้ จักกระทำให้หวาน
ต่อไป แล้วทรงไหว้พระโพธิสัตว์ เสด็จกลับพระนครครองราชสมบัติ
โดยธรรม ได้ทรงกระทำสรรพสิ่งทั้งปวงให้กลับเป็นปกติตามเดิม.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรง
ประชุมชาดกว่า พระราชาในครั้งนั้น ได้เป็นพระอานนท์ ส่วนดาบส
ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาราโชวาทชาดกที่ ๔

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2018, 11:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาชัมพุกชาดกที่ ๕

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหาร ทรงปรารภ
เหตุที่พระเทวทัตทำท่าทางอย่างพระสุคตเจ้า จึงตรัสพระธรรมเทศนา
นี้ มีคำเริ่มต้นว่า พฺรหา ปวฑฺฒกาโย ดังนี้.

เรื่องปัจจุบันได้ให้พิสดารแล้วในหนหลังแล. ส่วนในชาดกนี้
มีความย่อดังต่อไปนี้ :- พระศาสดาตรัสถามว่า สารีบุตร พระเทวทัต
เห็นพวกเธอแล้วกระทำอย่างไร พระเถระจึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ พระเทวทัตนั้นเมื่อจะกระทำตามพระองค์ ให้พัดในมือ

ข้าพระองค์แล้วนอน ที่นั้น พระโกกาลิกะจึงเอาเข่าประหารพระเทวทัต
นั้นที่อก พระเทวทัตนั้นกระทำตามพระองค์ ได้เสวยทุกข์เห็นปานนี้.
พระศาสดาทรงสดับดังนั้นจึงตรัสว่า สารีบุตร เทวทัตกระทำตาม
กิริยาท่าทางของเรา จึงเสวยความทุกข์ มิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ใน

กาลก่อน ก็ได้เสวยมาแล้วเหมือนกัน อันพระเถระทูลอาราธนาแล้ว
จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนคร
พาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดราชสีห์ อยู่ในถ้ำ ณ หิมวันต-
ประเทศ วันหนึ่ง ฆ่ากระบือแล้วกินเนื้อ ดื่มน้ำ แล้วกลับมายังถ้ำ
สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งพบราชสีห์นั้น เมื่อไม่อาจหลบหนี จึงนอนหมอบ

เมื่อราชสีห์กล่าวว่า อะไรกัน สุนัขจิ้งจอก มันจึงกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ
ข้าพเจ้าจักอุปัฏฐากท่าน. ราชสีห์กล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น เจ้าจงมา แล้ว
นำสุนัขจิ้งจอกนั้นไปยังสถานที่อยู่ของตน แล้วนำเนื้อมาเลี้ยงดูมัน
ทุกวันๆ เมื่อสุนัขจิ้งจอกนั้นมีร่างกายอ้วนพีเพราะกินเดนของราชสีห์

วันหนึ่ง เกิดมานะขึ้นมาก มันจึงเข้าไปหาราชสีห์แล้วกล่าวว่า ข้าแต่
นาย ข้าพเจ้าเป็นกังวลสำหรับท่านมาตลอดกาลนาน ท่านนำเนื้อมา
เลี้ยงข้าพเจ้าเป็นนิจ วันนี้ ท่านจงอยู่ที่นี้แหละ ข้าพเจ้าจักฆ่าช้าง


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 93, 94, 95, 96, 97, 98, 99 ... 151  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร