วันเวลาปัจจุบัน 03 ส.ค. 2025, 14:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 90, 91, 92, 93, 94, 95, 96 ... 151  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 18:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระราชาเมื่อไม่พระราชทานภูเขาด้วย
พระวาจา ชื่อว่าไม่ทรงสละสิ่งที่ควรสละได้
ง่าย เมื่อพระราชานั้นพระราชทานอะไรบ้าง
ก็ชื่อว่าได้พระราชทานภูเขาด้วยพระวาจา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุจชํ วต ความว่า ชื่อว่าไม่
ทรงสละแม้สิ่งที่อาจสละได้โดยง่าย. บทว่า อททํ ได้แก่ ไม่พระ-
ราชทานภูเขาแม้ด้วยสักว่าพระดำรัส. บทว่า กิญฺจิ ตสฺส จชนฺ-
ตสฺส* ความว่า เมื่อพระราชานั้นผู้อันเราทูลขอแล้วได้ทรงสละภูเขา
นั้น ชื่อว่าได้ทรงสละอะไรบ้าง. บทว่า วาจาย อททํ* ปพฺพตํ

ความว่า ถ้าพระราชานี้อันเราทูลขอแล้วได้พระราชทานภูเขานั้น ซึ่ง
แม้เป็นทองตามคำพูดของเรา ด้วยพระวาจา คือ ได้พระราชทานด้วย
เพียงสักว่าพระดำรัส. พระราชาได้ทรงสดับดังนั้น จึงตรัสคาถาที่ ๒ ว่า :-
บัณฑิตกระทำสิ่งใด พึงพูดสิ่งนั้น ไม่
กระทำสิ่งใด ไม่พึงพูดสิ่งนั้น บัณฑิตทั้งหลาย
ย่อมกำหนดรู้คนที่ไม่ทำดีแต่พูด.
______________________________

* ม. อจชนฺตสฺส. ๒. ม. อทท.
คำอันเป็นคาถานั้นมีใจความว่า ก็คนที่เป็นบัณฑิตกระทำสิ่งใด
ด้วยกาย พึงพูดถึงสิ่งนั้นด้วยวาจา แม้สิ่งใดไม่ได้กระทำ ก็ย่อมไม่
พูดสิ่งนั้น. อธิบายว่า ประสงค์จะให้ก็ควรพูดว่าจะให้ เมื่อไม่ประสงค์
จะให้ก็ไม่ควรจะพูดว่าจะให้. เพราะเหตุไร ? เพราะบุคคลใด แม้

พูดว่าจักให้ ภายหลังกลับไม่ให้ บัณฑิตทั้งหลายย่อมกำหนดรู้บุคคล
นั้นว่าไม่ทำ ดีแต่พูดเท็จอย่างเดียว. อธิบายว่า บุคคลกล่าวแต่เพียง
คำพูดว่าเราจักให้ แต่ไม่ได้ให้ ก็แต่ว่าสิ่งใดถึงแม้จะไม่ได้ให้ด้วยกาย
เป็นแต่ให้ด้วยสักว่าคำพูดเท่านั้น สิ่งนั้นชื่อว่าจักเป็นอันได้ก่อนทีเดียว

บัณฑิตทั้งหลายย่อมรู้ว่าบุคคลนั้นเป็นผู้กล่าวเท็จด้วยประการดังกล่าว
นี้ แต่คนเขลาทั้งหลายย่อมยินดีชอบใจโดยสักแต่คำพูดเท่านั้น.


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 18:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระเทวีได้ทรงสดับดังนั้น จึงประคองอัญชลีแล้วตรัสคาถาที่
๓ ว่า :-
ข้าแต่พระราชบุตร ขอความนอบน้อม
จงมีแด่พระองค์ พระองค์ทรงประสบความ
พินาศ แต่พระทัยยังทรงยินดีอยู่ในสัจจะ
พระองค์ชื่อว่าดำรงมั่นอยู่ในวจีสัจ และ
สภาวธรรม.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สจฺเจ ธมฺเม ได้แก่ ในวจีสัจจะ
และสภาวธรรม. บทว่า พฺยสนํ ปตฺโต ความว่า พระทัยของ
พระองค์แม้จะถึงความพินาศ กล่าวคือถูกขับไล่จากแว่นแคว้น ก็ยัง
ทรงยินดีอยู่ เฉพาะในสัจจธรรม.

พระโพธิสัตว์ได้ฟังพระเสาวณีของพระเทวี ผู้ตรัสคุณความดี
ของพระราชาอยู่อย่างนั้น เมื่อจะประกาศคุณความดีของพระเทวีนั้น
จึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า :-

หญิงใด เมื่อสามีขัดสน ก็ขัดสนด้วย
เมื่อสามีมั่งคั่ง ก็พลอยมั่งคั่งมีชื่อเสียงด้วย
หญิงนั้นแหละ นับว่าเป็นยอดภรรยาของเขา
เมื่อสามีมีเงิน หญิงภรรยาก็ย่อมมีเงินเหมือน
กัน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กิตฺติมา ความว่า เพียบพร้อม
ด้วยเกียรติ. บทว่า สา หิสฺส ปรมา ความว่า หญิงใดในเวลา
สามีเป็นคนยากจน แม้ตนเองเป็นคนยากจนก็ไม่ละทิ้งสามีนั้น. บทว่า
อฑฺฒสฺส ความว่า ในเวลาสามีมั่งคั่ง ก็เป็นคนมั่งคั่ง อนุวรรต

ตามสามี เป็นผู้ร่วมสุขร่วมทุกข์ด้วย. หญิงนั้นแหละ ชื่อว่าเป็นภรรยา
ชั้นยอดเยี่ยมของเขา. บทว่า สหิรญฺสฺส ความว่า ก็เมื่อสามีมีเงิน
ตั้งอยู่ในความเป็นใหญ่หญิงภรรยาทั้งหลายก็ย่อมมีเงินด้วย ไม่น่า
อัศจรรย์เลย.


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 21:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ก็แหละ พระโพธิสัตว์ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงกล่าว
ความดีของพระเทวีว่า ข้าแต่มหาราช พระเทวีนี้ เวลาเมื่อพระองค์
มีความทุกข์ ก็ทรงเป็นผู้ร่วมทุกข์อยู่ในป่า ควรจะทรงกระทำความ
ยกย่องพระเทวีนี้. พระราชาทรงระลึกถึงคุณความดีของพระเทวี

เพราะคำพูดของพระโพธิสัตว์นั้น จึงตรัสว่า ดูก่อนบัณฑิต เราระลึก
ถึงคุณของพระเทวีได้ เพราะถ้อยคำของท่าน จึงพระราชทานอิสริย-
ยศทั้งปวงแก่พระเทวีนั้น แล้วตรัสว่า เธอทำให้ฉันระลึกถึงคุณความ
ดีของพระเทวี จึงได้พระราชทานสักการะนับถืออย่างใหญ่หลวงแก่
พระโพธิสัตว์.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรง
ประกาศสัจจะแล้วประชุมชาดก. ในเวลาจบสัจจะ ผัวและเมียทั้งสอง
ได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล. พระเจ้าพาราณสีในครั้งนั้น ได้เป็น
กฎุมพีนี้ พระเทวีในครั้งนั้น ได้เป็นอุบาสิกานี้ ส่วนอำมาตย์ผู้เป็น
บัณฑิตในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาสุจจชชาดกที่ ๑๐
รวมชาดกที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. ปุจิมันทชาดก ๒. กัสสปมันทิยชาดก ๓. ขัติวาทิ-
ชาดก ๔. โลหกุมภิชาดก ๕. มังสชาดก ๖. สสปัณฑิตชาดก
๗. มตโรทนชาดก ๘. กณเวรชาดก ๙. ติตฺติรชาดก ๑๐. สุจจช-
ชาดก.
จบ ปุจิมันทวรรคที่ ๒

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 21:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถากุฏิทูสกชาดกที่ ๑

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ภิกษุหนุ่มผู้เผาบรรณศาลาของพระมหากัสสปเถระ จึงตรัสพระธรรม-
เทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า มนุสฺสสฺเสว เต สีสํ ดังนี้.

เรื่องตั้งขึ้นในนครราชคฤห์. ได้ยินว่า ในกาลนั้น พระเถระ
อาศัยนครราชคฤห์อยู่ในอรัญญกุฎี ภิกษุหนุ่ม ๒ รูป กระทำการ
อุปัฏฐากพระเถระ ในภิกษุหนุ่ม ๒ รูปนั้น รูปหนึ่งเป็นผู้มีอุปการะ
แก่พระเถระ ส่วนอีกรูปหนึ่งเป็นผู้ว่ายาก กระทำกิจวัตรที่ภิกษุนอกนี้

กระทำ ให้เป็นเสมือนตนกระทำ เมื่อภิกษุนั้นตั้งน้ำบ้วนปากเป็นต้น
ตนเองไปยังสำนักของพระเถระ ไหว้แล้วกล่าวว่า ท่านขอรับ น้ำ
กระผมตั้งไว้แล้ว ขอท่านจงล้างหน้าเถิดขอรับ เมื่อบริเวณกุฏิอันภิกษุ
นั้นลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ปัดกวาดไว้แล้ว ในเวลาพระเถระออกมา ตนเอง
บริหารข้างโน้นข้างนี้ กระทำบริเวณทั้งสิ้นให้เป็นเสมือนตนปัดกวาด

ไว้. ภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยวัตรคิดว่า พระหัวดื้อรูปนี้ กระทำกิจวัตร
ที่เรากระทำให้เป็นเสมือนตนกระทำ เราจักกระทำกรรมของพระ
หัวดื้อนี้ให้ปรากฏ. เมื่อภิกษุหัวดื้อนั้นฉันในภายในบ้านแล้วมานอน
บนเตียงของตนเองนั่นแหละ ผู้ภิกษุสมบูรณ์ด้วยวัตรจึงต้มน้ำสำหรับ

อาบให้ร้อนแล้ววางไว้หลังซุ้ม. แล้วตั้งน้ำอื่นประมาณกึ่งทะนานไว้
บนเตา. ภิกษุหัวดื้อนอกนี้ตื่นนอนแล้วมา เห็นไอน้ำพลุ่งขึ้นจึงคิดว่า
ภิกษุนั้นจักต้มน้ำให้เดือดแล้วตั้งไว้ในซุ้ม จึงไปยังสำนักของพระเถระ
แล้วกล่าวว่า ท่านขอรับกระผมตั้งน้ำไว้ในซุ้มสำหรับอาบแล้ว ขอ

นิมนต์อาบเถิด. พระเถระกล่าวว่า จักอาบ แล้วมาพร้อมกับภิกษุ
หัวดื้อนั้น ไม่เห็นน้ำในซุ้มจึงถามว่า น้ำอยู่ที่ไหน น้ำอยู่ที่ไหน ?
ภิกษุนั้นจึงรีบไปยังโรงไฟ หย่อนกระบวยลงในภาชนะเปล่า กระบวย
กระทบพื้นภาชนะเปล่งเสียงดังฆระ ตั้งแต่นั้นมาภิกษุนั้นจึงมีชื่อว่า


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 21:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อุฬุงกสัททกะ. ขณะนั้น ภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยวัตรจึงนำน้ำมาจาก
หลังซุ้มแล้วกล่าวว่า อาบเถิด ท่านขอรับ. พระเถระอาบน้ำแล้ว
รำพึงอยู่ ได้รู้ว่าพระอุฬุงกสัททกะเป็นคนหัวดื้อ จึงโอวาท
พระอุฬุงกสัททกะนั้นผู้มายังเถระอุปัฏฐากในตอนเย็นว่า ผู้มีอายุ
ธรรมดาสมณะกล่าวสิ่งที่ตนทำเท่านั้นว่าเราทำ จึงควร กล่าวโดย

ประการอื่นไป ย่อมเป็นสัมปชานมุสาวาท กล่าวเท็จทั้งๆ ที่รู้
ตั้งแต่นี้ไปเธออย่าได้กระทำกรรมเห็นปานนี้. พระอุฬุงกสัททกะนั้น
โกรธพระเถระ. วันรุ่งขึ้น จึงไม่เข้าบ้านเพื่อบิณฑบาตกับพระเถระ
พระเถระจึงเข้าไปบิณฑบาตพร้อมกับภิกษุนอกนี้. ฝ่ายอุฬุงก-
สัททกะได้ไปยังตระกูลอุปัฏฐากของพระเถระ เมื่อเขากล่าวว่า

พระเถระไปไหนขอรับ จึงกล่าวว่า พระเถระนั่งอยู่ในวิหาร
นั่นแหละ เพราะไม่ผาสุก เมื่อเขากล่าวว่า ได้อะไรจึงจะควรขอรับ
จึงกล่าวว่า ท่านจงให้สิ่งนี้และสิ่งนี้ แล้วถือเอาไปยังที่ชอบใจของตน
ฉันแล้วจึงได้ไปยังวิหาร. วันรุ่งขึ้น พระเถระไปยังตระกูลนั้นแล้วนั่ง.
คนทั้งหลายจึงกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ พระผู้เป็นเจ้าไม่มีความผาสุกหรือ

ได้ยินว่า เมื่อวานท่านนั่งอยู่แต่ในวิหารเท่านั้น พวกกระผมส่งอาหาร
ไปถวายกะมือภิกษุหนุ่มชื่อโน้น พระผู้เป็นเจ้าบริโภคอาหารแล้วหรือ.
พระเถระได้นิ่งเสีย กระทำภิตกิจแล้วไปยังวิหาร เรียกพระอุฬุงก-
สัททกะผู้มาในเวลาบำรุงพระเถระในเวลาเย็นแล้วกล่าวว่า อาวุโส
ได้ยินว่า เธอขอในตระกูลชื่อโน้นในบ้านชื่อโน้นว่า การได้สิ่งนี้

และสิ่งนี้ ย่อมควรแก่พระเถระแล้วบริโภคเสียเอง แล้วกล่าวว่า
ขึ้นชื่อว่าการขอย่อมไม่ควร เธออย่าประพฤติอนาจารเห็นปานนี้อีก.
พระอุฬุงกสัททกะผูกความอาฆาตในพระเถระ ด้วยเหตุมีประมาณ
เท่านี้ คิดว่า แม้เมื่อวานนี้ พระเถระนี้ก็กระทำความทะเลาะกับเรา

เพราะอาศัยเหตุสักว่าน้ำ มาบัดนี้ท่านอดกลั้นไม่ได้ว่า เราบริโภคภัต
กำมือหนึ่งในเรือนของพวกอุปัฏฐากของท่าน จึงกระทำการทะเลาะอีก
เราจักรู้กิจที่ควรทำแก่พระเถระนี้ วันรุ่งขึ้น เมื่อพระเถระเข้าไป
บิณฑบาต จึงถือไม้ฆ้อนทุบภาชนะเครื่องใช้ทั้งหลาย เผาบรรณศาลา

แล้วหลบหนีไป. พระอุฬุงกสัททกะนั้น ยังมีชีวิตอยู่แล เป็นมนุษย์
เพียงดังเปรต ผอมโซ กระทำกาละแล้วได้บังเกิดในอเวจีมหานรก.
อนาจารนั้นที่พระอุฬุงกสัททกะนั้นกระทำได้ปรากฏไปในท่ามกลาง
มหาชน. ครั้งนั้น ภิกษุพวกหนึ่งจากกรุงราชคฤห์มานครสาวัตถี


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 21:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เก็บบาตรจีวรไว้ในที่ที่เป็นสภาคกัน ณ ที่ที่มาถึง แล้วไปยังสำนัก
ของพระศาสดา ถวายบังคมแล้วนั่งอยู่. พระศาสดาทรงกระทำ
ปฏิสันถารกับภิกษุเหล่านั้นแล้วตรัสถามว่า พวกเธอมาแต่ไหน ?
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า มาจากกรุงราชคฤห์ พระเจ้าข้า. พระ-
ศาสดาตรัสถามว่า ใครเป็นอาจารย์ให้โอวาทในที่นั้น. ภิกษุเหล่านั้น

กราบทูลว่า พระมหากัสสปเถระ พระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสถามว่า
กัสสปเป็นสุขสบายดีหรือ. ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า พระเจ้าข้า
พระเถระเป็นสุขสบายดี แต่สัทธิวิหาริกของท่านโกรธในโอวาทที่
ท่านให้ แม้เมื่อพระเถระเข้าไปเพื่อบิณฑบาต ก็ถือไม้ฆ้อนทุบภาชนะ
เครื่องใช้ทั้งหลายเผาบรรณศาลาของพระเถระ แล้วหลบหนีไป.

พระศาสดาได้ทรงสดับดังนั้นจึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย การเที่ยวไป
ผู้เดียวเท่านั้นแห่งกัสสป ประเสริฐกว่าการเที่ยวไปกับคนพาลเห็น
ปานนี้ แล้วตรัสพระคาถาในพระธรรมบทนี้ว่า :-

บุคคลเมื่อจะเที่ยวไป ถ้าไม่ประสบคน
ที่ดีกว่า หรือคนเช่นกับตน พึงทำการเที่ยว
ไปผู้เดียวให้มั่นไว้ เพราะความเป็นสหายใน
คนพาลย่อมไม่มี.

ก็แหละ ครั้นตรัสคาถานี้แล้ว จึงตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย
เหล่านั้นมาตรัสอีกว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้เป็นผู้ประทุษร้าย
กุฎีในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อน ก็ได้เป็นผู้ประทุษร้าย
กุฎีมาแล้วเหมือนกัน และย่อมโกรธผู้ให้โอวาทแต่ในบัดนี้เท่านั้น

ก็หามิได้ แม้ในกาลก่อน ก็โกรธแล้วเหมือนกัน อันภิกษุเหล่านั้น
ทูลอาราธนาแล้ว จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้.


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 21:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ใน
พระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดนกขมิ้น เจริญวัย
แล้ว กระทำรังฝนรั่วรดไม่ได้เป็นที่ชอบใจของตน อยู่ในหิมวันต-
ประเทศ ครั้งนั้น ลิงตัวหนึ่ง เมื่อฝนตกไม่ขาดเม็ดในฤดูฝน ถูก
ความหนาวบีบคั้น นั่งกัดฟันอยู่ในที่ไม่ไกลพระโพธิสัตว์. พระโพธิ-
สัตว์เห็นลิงนั้นลำบากอยู่อย่างนั้น เมื่อจะเจรจากับลิงนั้น จึงกล่าว
คาถาที่ ๑ ว่า :-

ดูก่อนวานร ศีรษะ มือ และเท้าของ
ท่านเหมือนของมนุษย์ เมื่อเป็นเช่นนั้น
เพราะเหตุไรหนอ เรือนของท่านจึงไม่มี.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วณฺเณน แปลว่า เพราะเหตุ.
ด้วยบทว่า อคารํ นี้ นกขมิ้นถามว่า เพราะเหตุไร เรือนเป็นที่อยู่
อาศัยของท่านจึงไม่มี.
วานรได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-

ดูก่อนนกขมิ้น ศีรษะ มือและเท้า
ของเราเหมือนของมนุษย์ก็จริง แต่ปัญญาที่
บัณฑิตกล่าวว่าประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์ของ
เราไม่มี.

ในคาถานั้น ลิงเรียกนกนั้นโดยชื่อว่า สิงคิละ. บทว่า
ยาหุ เสฏฺ€า มนุสฺเสสุ ความว่า วิจารณปัญญาของเรา ที่บัณฑิต
ทั้งหลายกล่าวว่าประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์ย่อมไม่มี ศีรษะ มือ เท้า
และกำลังกายเป็นต้น ไม่เป็นประมาณในโลก วิจารณปัญญาเท่านั้น
ประเสริฐสุด วิจารณปัญญานั้น ไม่มีแก่เรา เพราะฉะนั้น เรือน
ของเราจึงไม่มี.


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 21:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้น จึงกล่าว ๒ คาถานอกนี้ว่า :-
ผู้มีจิตไม่มั่นคง มีจิตกลับกลอกมัก
ประทุษร้ายมิตร มีปกติไม่ยั่งยืนเป็นนิจ
ย่อมไม่มีความสบาย.

ท่านจงสร้างอานุภาพขึ้นเถิด จงเปลี่ยน
ปกติเดิมเสียเถิด ดูก่อนกระบี่ ท่านจงสร้าง
กระท่อมไว้ป้องกันความหนาวและลมเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนวฏฺ€ิตจิตฺตสฺส ได้แก่
ผู้มีจิตไม่ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว. บทว่า ทุพฺภิโน แปลว่า ผู้มีปกติ
ประทุษร้ายมิตร. บทว่า อทฺธุวสีลสฺส ได้แก่ ผู้รักษาปกติไว้
ตลอดทุกกาลไม่ได้. บทว่า โส กรสฺสานุภาวํ ตฺวํ ความว่า

ดูก่อนลิงผู้สหาย ท่านนั้นจงอาศัยอานุภาพ คือกำลังสร้างขึ้น เพื่อ
ทำปัญญาให้เกิดขึ้น. บทว่า วีติวตฺตสฺสุ สีลิยํ ความว่า ท่านจง
ก้าวล่วงความปกติ คือ ความเป็นผู้ทุศีลเสีย จงเป็นผู้มีศีล. บทว่า
กุฏิกํ ความว่า ท่านจงกระทำกระท่อมคือรัง ได้แก่เรือนเป็นที่อยู่
หลังหนึ่งของตน อันสามารถป้องกันความหนาวและลม.

ลิงคิดว่า อันดับแรก เจ้านกนี้บริภาษเรา เพราะความที่ตน
จับอยู่ในที่ที่ฝนไม่รั่วรด เราจักไม่ให้มันจับอยู่ในรังนี้ ลำดับนั้น
มันมีความประสงค์จะจับพระโพธิสัตว์ จึงโลดแล่นมา. พระโพธิสัตว์
จึงบินไปในที่อื่น ลิงจึงทำลายรังกระทำให้ละเอียดเป็นจุรณวิจุรณ
แล้วหลีกไป.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรง
ประชุมชาดกว่า ลิงในครั้งนั้น ได้เป็นภิกษุผู้เผากุฎีในครั้งนี้ ส่วน
นกขมิ้นในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถากุฏิทูสกชาดกที่ ๑

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 21:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาทัทธภายชาดก*ที่ ๑

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภพวก
อัญญเดียรถีย์ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ททธภายติ
ภทฺทนฺเต ดังนี้.

ได้ยินว่า เดียรถีย์ทั้งหลายสำเร็จการนอนบนที่นอนหนาม
เผาทำให้ร้อนห้าประการ ประพฤติมิจฉาตบะมีประการต่างๆ อยู่ใน
ที่นั้น ณ ที่ใกล้พระวิหารเชตวัน ครั้งนั้น ภิกษุมากด้วยกันเที่ยว
บิณฑบาต ในนครสาวัตถีแล้วพากันมายังพระวิหารเชตวัน ในระหว่าง
ทาง ได้เห็นเดียรถีย์เหล่านั้น จึงพากันไปเฝ้าพระศาสดาแล้วทูลถาม

ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญสาระแก่นสารในการสมาทานวัตรของสมณ-
พราหมณ์ผู้เป็นอัญญเดียรถีย์ มีอยู่หรือพระเจ้าข้า ? พระศาสดา
ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แก่นสารหรือความวิเศษในการสมาทาน
วัตรของพวกอัญญเดียรถีย์ เหล่านั้น ย่อมไม่มีเลย เพราะวัตรนั้น เมื่อ

เลือกเฟ้นสอบสวนเข้า ก็เป็นเช่นกับทางแห่งภาคพื้นเต็มด้วยหยากเยื่อ
และเหมือนกระต่ายกลัวเสียงกึกก้อง อันภิกษุเหล่านั้นทูลอ้อนวอนว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งหลายย่อมไม่ทราบความที่วัตร
นั้นเป็นเสมือนกระต่ายกลัวเสียงดังกึกก้อง ขอพระองค์จงตรัสบอก
เถิด พระเจ้าข้า จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้.
____________________________
* ในบาลีเป็น ทุททุภายชาดก.


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 21:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร
พาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดราชสีห์ เจริญวัยแล้ว อาศัย
อยู่ในป่า. ก็ในครั้งนั้น มีดงตาลปนกับมะตูมอยู่ในที่ใกล้ทะเลด้านทิศ
ตะวันตก. ในดงตาลนั้น มีกระต่ายตัวหนึ่งอยู่ภายใต้กอตาลกอหนึ่ง
ใกล้โคนต้นมะตูม. วันหนึ่ง กระต่ายนั้นเที่ยวหาอาหารแล้วมานอน

อยู่ใต้ใบตาล จึงคิดว่า ถ้าแผ่นดินนี้ถล่ม เราจักไปที่ใหนหนอ. ขณะ
นั้นเอง ผลมะตูมสุกผลหนึ่งหล่นลงบนใบตาล. เพราะเสียงใบตาลนั้น
กระต่ายนั้นจึงคิดว่า แผ่นดินถล่มแน่ จึงกระโดดหนีไปไม่เหลียวหลัง
กระต่ายตัวอื่นเห็นกระต่ายตัวนั้นกลัวภัยคือความตายซึ่งกำลังรีบหนี

ไป จึงถามว่า แน่ะผู้เจริญ ท่านกลัวอะไรเหลือเกินจึงหนีมา กระต่าย
นั้นกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ อย่ามัวถามเลย. กระต่ายนั้นวิ่งตามไปข้างหลัง
พร้อมกับร้องถามว่า ผู้เจริญ ท่านกลัวอะไรหรือ. กระต่ายนอกนี้ไม่
เหลียวมามองเลยกล่าวว่า แผ่นดินถล่มที่นั้น. แม้กระต่ายตัวนั้นก็วิ่ง

ตามหลังกระต่ายตัวที่บอกนั้นไป. เมื่อเป็นอย่างนั้น กระต่ายตัวอื่น
ได้เห็นดังนั้นก็วิ่งตามๆ กันไป รวมความว่า กระต่ายตั้งพันตัวร่วม
กันหนีไป. มฤคแม้พวกหนึ่ง เห็นกระต่ายเหล่านั้นก็ร่วมหนีไปด้วย.
สุกรพวกหนึ่ง ระมาดพวกหนึ่ง กะบือพวกหนึ่ง โคพวกหนึ่ง แรด

พวกหนึ่ง พยัคฆ์พวกหนึ่ง สีหะพวกหนึ่ง ช้างพวกหนึ่ง เห็นเข้า
ก็ถามว่า นี่อะไรกัน เมื่อสัตว์เหล่านั้นกล่าวว่า ที่นั่น แผ่นดินถล่ม
จึงหนีไปด้วย. เนื้อที่ประมาณโยชน์หนึ่ง ได้มีหมู่พวกสัตว์เดรัจฉาน
ขึ้นโดยลำดับ ด้วยอาการอย่างนี้. ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์เห็นพวก

สัตว์นั้นกำลังหนีอยู่ จึงถามว่านี่อะไรกัน ครั้นได้ฟังว่า ที่นั่น แผ่นดิน
ถล่ม จึงคิดว่า ธรรมดาแผ่นดินถล่ม ย่อมไม่มีในกาลไหนๆ สัตว์
เหล่านั้นจักเห็นอะไรบางอย่างเป็นแน่ ก็เมื่อเราไม่ช่วยขวนขวาย


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 21:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
สัตว์ทั้งปวงจักพินาศฉิบหาย เราจักให้ชีวิตแก่สัตว์เหล่านั้น ครั้นคิด
แล้ว จึงล่วงหน้าไปยังเชิงเขาด้วยกำลังราชสีห์ แล้วบันลือสีหนาทขึ้น
๓ ครั้ง ณ เชิงภูเขานั้น. สัตว์เหล่านั้นถูกความกลัวราชสีห์คุกคาม
จึงได้หันกลับมายืนเป็นกลุ่มกันโดยถามกันว่า อะไรกัน. ราชสีห์ได้
เข้าไปในระหว่างสัตว์เหล่านั้นแล้วถามว่า พวกท่านหนีเพื่ออะไรกัน ?

สัตว์เหล่านั้นกล่าวว่า แผ่นดินถล่ม. ราชสีห์ถามว่า ใครเห็นแผ่นดิน
ถล่ม.? สัตว์เหล่านั้นกล่าวว่า ช้างรู้. ราชสีห์จึงถามช้าง เป็นต้นไป.
ช้างเหล่านั้นกล่าวว่า พวกข้าพเจ้าไม่รู้ พวกสีหะรู้. แม้สีหะทั้งหลาย
ก็กล่าวว่า พวกข้าพเจ้าไม่รู้ พยัคฆ์ทั้งหลายรู้. เเม้พยัคฆ์ทั้งหลายก็

กล่าวว่า พวกข้าพเจ้าไม่รู้ แรดทั้งหลายรู้. แม้แรดทั้งหลายก็กล่าวว่า
พวกโครู้. แม้พวกโคก็กล่าวว่า กระบือทั้งหลายรู้. แม้กระบือทั้งหลาย
ก็กล่าวว่า พวกโคลานรู้. แม้โคลานทั้งหลายก็กล่าวว่า พวกสุกรรู้.
แม้สุกรทั้งหลายก็กล่าวว่า พวกมฤครู้. ฝ่ายพวกมฤคก็กล่าวว่า ข้าพเจ้า

ทั้งหลายไม่รู้ พวกกระต่ายรู้. เมื่อพวกกระต่ายถูกถาม กระต่ายทั้ง
หลายจึงแสดงกระต่ายตัวนั้นว่า กระต่ายตัวนี้พูด. ลำดับนั้น ราชสีห์
จึงถามกระต่ายตัวนั้นว่า สหาย ได้ยินว่าท่านเห็นอย่างนั้นหรือว่า
แผ่นดินถล่ม. กระต่ายนั้นกล่าวว่า จ้ะนาย ข้าพเจ้าเห็น ราชสีห์ถาม
ว่า ท่านอยู่ที่ไหนจึงได้เห็น ? กระต่ายนั้นกล่าวว่า ข้าพเจ้าอยู่ในดง

ตาลมีต้นมะตูมเจือปน ณ ที่ใกล้ทะเลด้านทิศตะวันตก ด้วยว่า ข้าพเจ้า
นอนอยู่ใต้ใบตาลในกอตาล ใกล้โคนต้นมะตูม ในดงตาลนั้น คิดอยู่
ว่า ถ้าแผ่นดินถล่ม เราจักไปที่ไหน ครั้นในขณะนั้นเอง ข้าพเจ้า


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 21:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ได้ยินเสียงแผ่นดินถล่ม จึงได้หนีไป. ราชสีห์คิดว่า ผลมะตูมสุกบน
ใบตาลนั้น ตกลงมาทำเสียงดังกึกก้องเป็นแน่ กระต่ายนี้ได้ยินเสียง
นั้นจึงทำความสำคัญให้เกิดขึ้นว่า แผ่นดินถล่ม จึงได้หนีไป เราจัก
ตรวจดูให้รู้โดยถ่องแท้. ราชสีห์นั้นจึงยึดเอากระต่ายนั้นไว้ปลอบโยน
หมู่สัตว์ให้เบาใจแล้วกล่าวว่า เราจักรู้แผ่นดินตรงที่กระต่ายนี้เห็น

จะถล่มหรือไม่ถล่ม โดยถ่องแท้แล้วจะกลับมา พวกท่านจงอยู่ในที่นี้
จนกว่าเราจะมา แล้วยกกระต่ายขึ้นบนหลังแล่นไปด้วยกำลังราชสีห์
วางกระต่ายลงที่ดงตาลแล้วกล่าวว่า มาซิ ท่านจงแสดงที่ที่ท่านเห็น.
กระต่ายกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่อาจจ้ะนาย. ราชสีห์กล่าวว่า มาเถิด
ท่านอย่ากลัวเลย. กระต่ายนั้นไม่อาจเข้าไปใกล้ต้นมะตูม จึงยืนอยู่
ในที่ไม่ไกลแล้วกล่าวว่า นาย นี้เป็นที่ที่มีเสียงดังกึกก้อง แล้วกล่าว
คาถาที่ ๑ ว่า :-

ขอความเจริญจงมีแก่ท่าน ข้าพเจ้าอยู่
ในประเทศใด ประเทศนั้นกระทำเสียงดัง
กึกก้อง ข้าพเจ้าไม่รู้จักเสียงกึกก้องนั้น ว่า
เสียงกึกก้องนั้นเป็นเสียงอะไร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ททฺธภายติ แปลว่า กระทำ
เสียงว่า ทัทธภะ คือดังกึกก้อง. บทว่า ภทฺทนฺเต ความว่า ขอความ
เจริญจงมีแก่ท่าน. บทว่า กิเมตํ ความว่า ในประเทศที่ข้าพเจ้าอยู่ มี
เสียงดังกึกก้อง แม้ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่า เสียงกึกก้องนี้เป็นอะไร
หรือเพราะเหตุไร จึงมีเสียงดังกึกก้อง ข้าพเจ้าได้ยินแต่เสียงดัง
กึกก้องอย่างเดียว


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 21:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เมื่อกระต่ายกล่าวอย่างนี้แล้ว ราชสีห์จึงไปยังโคนต้นมะตูม
เห็นที่ที่กระต่ายนอน ณ ภายใต้ใบตาล และผลมะตูมสุกที่หล่นลง
เหนือใบตาล รู้ว่าแผ่นดินไม่ถล่มโดยถ่องแท้แล้ว จึงยกกระต่ายขึ้น
หลัง ไปยังสำนักของหมู่มฤคโดยฉับพลัน ด้วยกำลังเร็วแห่งราชสีห์

บอกความเป็นไปทั้งปวงแล้วกล่าวว่า ท่านทั้งหลายอย่ากลัวเลย ทำหมู่
มฤคให้เบาใจแล้วปล่อยให้ไป. ก็ถ้าในกาลนั้น จะไม่พึงมีพระโพธิ-
สัตว์ไซร้ สัตว์ทั้งปวงก็จะวิ่งลงสู่ทะเลพากันพินาศไป แต่เพราะอาศัย
พระโพธิสัตว์ สัตว์ทั้งปวงจึงได้ชีวิตเป็นอยู่แล.
มีอภิสัมพุทธคาถา ๓ คาถานี้ว่า :-

กระต่ายได้ยินมะตูมสุกหล่นเสียงดัง
ครึนก็วิ่งหนีไป หมู่เนื้อได้ฟังถ้อยคำของ
กระต่ายแล้วพากันตกใจ วิ่งหนีไปด้วย.
คนเขลาเหล่านั้น ยังไม่ทันถึงวิญญาณ-
บท คือทางแห่งวิญญาณความรู้แจ้ง มักเชื่อ
ตามเสียงผู้อื่น ถือการเล่าลือเป็นสำคัญจึง
เป็นผู้เชื่อต่อคนอื่น.

ส่วนชนเหล่าใดสมบูรณ์ด้วยศีล ยินดี
ในความสงบระงับด้วยปัญญา ชนเหล่านั้น
นับว่าเป็นปราชญ์ งดเว้นความชั่วห่างไกล
ย่อมไม่เชื่อต่อผู้อื่น.


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 21:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เวลุวํ ได้แก่ ผลมะตูมสุก. บทว่า
ททฺธภํ ได้แก่ กระทำเสียงอย่างนั้น. บทว่า สนฺตตฺตา ได้แก่
สะดุ้งกลัว. บทว่า มิควาหินี ได้แก่ หมู่เนื้อ คือ มฤคเสนานับได้
หลายพัน. บทว่า ปทวิญฺาณํ ความว่า ยังไม่บรรลุถึงวิญญาณบท
คือ โกฏฐาสแห่งโสตวิญญาณ. บทว่า เต โหนฺติ ปรปตฺติยา ความว่า

อันธพาลปุถุชนเหล่านั้นคล้อยตามเสียงคนอื่น สำคัญการเล่าลือ กล่าว
คือเสียงของคนอื่นนั้นเท่านั้นว่าเป็นสำคัญ จึงเป็นผู้เชื่อต่อคนอื่น
เท่านั้น เพราะยังไม่ถึงวิญญาณบท ทางแห่งความรู้แจ้ง คือเชื่อถ้อยคำ
ของผู้อื่นแล้วกระทำตามๆ ไป. บทว่า สีเลน ได้แก่ ผู้ประกอบ
ด้วยศีลอันมาโดยอริยมรรค. บทว่า ปญฺายุปสเม รตา ความว่า

ยินดีในความสงบ ระงับกิเลสด้วยปัญญาอันมาด้วยมรรคเหมือนกัน.
ความอธิบายดังนี้ก็มีว่า ประกอบแม้ด้วยปัญญา เหมือนประกอบด้วยศีล
ยินดีในความสงบกิเลส. บทว่า อารกา วิรตา ธีรา ความว่า เป็น
บัณฑิตงดเว้นห่างไกลจากการทำบาป บทว่า น โหนฺติ ความว่า ชน

เหล่านั้น คือ เห็นปานนั้น เป็นพระโสดาบัน มีธรรมอันรู้แจ้งแล้วด้วย
มรรคญาณ วาระเดียว โดยความเป็นผู้งดเว้นจากบาป และยินดีใน
การสงบกิเลส ย่อมไม่เชื่อถือแม้ต่อผู้อื่นที่กล่าวอยู่. เพราะเหตุไร ?
เพราะประจักษ์ชัดต่อตนเอง. ด้วยเหตุนั้น พระศาสดาจึงตรัสว่า :-
นรชนใด ไม่เชื่อคุณอันตนรู้แล้วด้วย
ถ้อยคำของผู้อื่น รู้จักพระนิพพานอันปัจจัย
อะไรๆ ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว และตัดที่ต่อคือ
วัฏสงสารขาดแล้ว กำจัดโอกาสคือภพได้
แล้ว มีความหวังอันคายแล้ว นรชนนั้นแล
ชื่อว่าเป็นอุดมบุรุษ ดังนี้.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรง
ประชุมชาดกว่า ราชสีห์ในครั้งนั้น คือเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาทัทธภายชาดกที่ ๒

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 21:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาพรหมทัตตชาดกที่ ๓

พระศาสดาเมื่อทรงอาศัยเมืองอาฬวีประทับอยู่ ณ อัคคาฬว-
เจดีย์ ทรงปรารภกุฏิการสิกขาบท จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำ
เริ่มต้นว่า ทฺวยํ ยาจนโก ราช ดังนี้.

เรื่องปัจจุบันมีมาแล้วในมณิขันธชาดก ในหนหลังนั่นเอง.
แต่ในเรื่องนี้ พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า
พวกเธอมากไปด้วยการขอ มากไปด้วยการทำวิญญัติอยู่ จริงหรือ
เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ จึง
ทรงติเตียนภิกษุเหล่านั้น แล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โบราณก-

บัณฑิตทั้งหลาย แม้ผู้อันพระราชาผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินปวารณาไว้
ปรารถนาจะขอร่มใบไม้ และรองเท้าชั้นเดียวคู่หนึ่ง ก็ไม่ขอในท่าม
กลางมหาชน เพราะกลัวหิริโอตตัปปะร้าวฉาน จึงได้กล่าวขอในที่ลับ
แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าปัญจาลราชครองราชสมบัติอยู่ใน
อุตตรปัญจาลนคร กบิลรัฐ พระโพธิสัตว์ได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์
ในบ้านตำบลหนึ่ง เจริญวัยแล้วไปเมืองตักกศิลาเรียนศิลปะทั้งปวง
ในกาลต่อมา ได้บวชเป็นดาบส เลี้ยงชีพด้วยมูลผลาผลของป่า ด้วย
การแสวงหา อยู่ในหิมวันตประเทศช้านาน เมื่อจะเที่ยวไปยังถิ่น

มนุษย์เพื่อต้องการเสพรสเค็มและรสเปรี้ยว จึงไปยังอุตตรปัญจาลนคร
อยู่ในพระราชอุทยาน วันรุ่งขึ้น เมื่อจะแสวงหาภิกษาจึงเข้าไปยัง
พระนคร ถึงประตูพระราชวัง. พระราชาทรงเลื่อมใสในอาจาระของ
พระดาบสนั้น จึงนิมนต์ให้นั่งในท้องพระโรง ให้ฉันโภชนะอันควร
แก่พระราชา ถือเอาปฏิญญาแล้วให้อยู่ในพระราชอุทยานนั่นแหละ.


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 90, 91, 92, 93, 94, 95, 96 ... 151  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร