วันเวลาปัจจุบัน 04 ส.ค. 2025, 01:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 88, 89, 90, 91, 92, 93, 94 ... 151  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 08:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
กล่าวว่า ดีละมาณพ. อันเตวาสิกนั้นไปกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระราชา
แล้วนำพระราชาเสด็จมา. พระราชาทรงไหว้พระโพธิสัตว์แล้วนั่ง ณ
ส่วนข้างหนึ่ง ตรัสถามว่า ได้ยินว่า ท่านรู้ความสำเร็จผลแห่งเสียง
ที่ข้าพเจ้าได้ฟังมา จริงหรือ. พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ขอถวาย
พระพรมหาบพิตร. พระราชาตรัสว่า ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงบอก.

พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า มหาบพิตร ในภพก่อนสัตว์นรกเหล่านี้
ถึงความประพฤติในทาระทั้งหลายที่คนอื่นรักษาคุ้มครอง จึงบังเกิด
ในโลหกุมภีทั้ง ๔ ขุม ณ ที่ใกล้พระนครพาราณสี ถูกเคี่ยวจนกาย
เป็นฟองในน้ำด่างโลหะอันเดือดพล่านตกไปเบื้องล่างจรดถึงภาคพื้น

สิ้นเวลา ๓ หมื่นปี ผุดขึ้นเบื้องบนได้เห็นปากหม้อโลหกุมภีโดยกาล
๓ หมื่นปีเช่นกัน ได้แลไปภายนอก ทั้ง ๔ คน แม้ประสงค์จะ
กล่าวคาถา ๔ คาถาให้ครบบริบูรณ์ ก็ไม่อาจกระทำได้อย่างนั้น
กล่าวได้แต่คนละอักขระเดียวเท่านั้น กลับจมลงในโลหกุมภีตามเดิมอีก

ในสัตว์นรกทั้ง ๔ ตนนั้น สัตว์ที่กล่าว ทุ อักษรแล้วจมลงไป
ได้เป็นผู้ประสงค์จะกล่าวอย่างนี้ว่า :-

เมื่อโภคะทั้งหลายมีอยู่ เราทั้งหลาย
ไม่ได้ให้ทาน ไม่ได้ทำที่พึ่งให้แก่ตน เราจึง
มีชีวิตเป็นอยู่ได้แสนยาก.

แต่ไม่อาจกล่าวได้ แล้วพระโพธิสัตว์ได้กล่าวคาถานั้นให้ครบ
บริบูรณ์ ด้วยฌานของตน. แม้ในคาถาที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
บรรดาสัตว์เหล่านั้น คาถาของสัตว์ที่กล่าวแต่ สุ อักษรแล้วจะกล่าว
ต่อไปมีดังนี้ว่า :-

เมื่อเราทั้งหลายหมกไหม้อยู่ในนรก
ตลอดหกหมื่นปีบริบูรณ์ โดยประการทั้งปวง
เมื่อไรที่สุดจักปรากฎ.


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 08:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
คาถาของสัตว์ที่กล่าวแต่ น อักษร แล้วจะกล่าวต่อไป มีดังนี้ว่า
ดูก่อนชาวเราเอ๋ย ที่สุดไม่มี ที่สุดจัก
มีแต่ที่ไหน ที่สุดจักไม่ปรากฏ ดูก่อนท่าน
ผู้นิรทุกข์ เพราะในกาลนั้น ทั้งเราและท่าน
ได้กระทำบาปกรรมไว้มาก.

คาถาของสัตว์ผู้ที่กล่าวแต่ โส อักษร แล้วจะกล่าวต่อไป
มีดังนี้ว่า :-

เรานั้นไปจากที่นี้ ได้กำเนิดมนุษย์รู้
ภาษาแล้ว จักเป็นคนสมบูรณ์ด้วยศีล จัก
ทำกุศลให้มากทีเดียว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุชฺชีวิตํ ความว่า เมื่อประพฤติ
ทุจริต ๓ อยู่ ชื่อว่าย่อมเป็นอยู่ชั่ว คือเป็นอยู่ลามก. แม้สัตว์นั้น
ก็หมายเอาความเป็นอยู่ชั่วนั้นนั่นแหละจึงกล่าวว่า มีชีวิตเป็นอยู่
ชั่วช้า ดังนี้. บทว่า เยสนฺโน น ททามฺหเส ความว่า เมื่อ

ไทยธรรมและปฏิคาหกมีอยู่ทีเดียว เราทั้งหลายไม่ได้ให้ทาน. บทว่า
ทีปํ นากมฺห ความว่า ไม่กระทำที่พึ่งแก่ตน. บทว่า สพฺพโส
แปลว่า โดยอาการทั้งปวง. บทว่า ปริปุณฺณานิ ได้แก่ ไม่หย่อน
ไม่ยิ่ง. บทว่า ปจฺจมานานํ ได้แก่ เมื่อเราทั้งหลายไหม้อยู่ในนรก

อยู่. บทว่า นตฺถิ อนฺโต ความว่า ไม่มีกำหนดกาลอย่างนี้ว่า เรา
ทั้งหลายจักพ้นในกาลชื่อโน้น. บทว่า กุโต อนฺโต ความว่า
เพราะเหตุไรที่สุดจักปรากฏ. บทว่า น อนฺโต ความว่า ที่สุด
แห่งทุกข์จักไม่ปรากฏแก่เราทั้งหลายแม้ผู้ใคร่จะเห็นที่สุด. บทว่า


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 08:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ตทา หิ ปกตํ ความว่า ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ในกาลนั้น เราและ
ท่านได้ทำบาปกรรมไว้มาก คือทำไว้อย่างอุกฤษฏ์ยิ่ง. บาลีว่า ตถา
หิ ปกตํ จริงอย่างนั้น เราและท่านทำบาปกรรมไว้มาก ดังนี้ก็มี.
อธิบายว่า เพราะเหตุที่ทำบาปกรรมไว้นั้น จึงไม่อาจเห็นที่สุดแห่ง
ทุกข์นั้น. บทว่า มาริสา แปลว่า ผู้เช่นกับด้วยเรา. คำว่ามาริสานี้

เป็นคำเรียกด้วยความรัก. ศัพท์ว่า นูน เป็นนิบาตลงในอรรถว่า
แน่นอน. ในข้อนี้มีอธิบายดังนี้ว่า เรานั้นไปจากนี้แล้วได้กำเนิด
มนุษย์ เป็นผู้โอบอ้อมอารี สมบูรณ์ด้วยศีล จักกระทำกุศลให้มาก
โดยส่วนเดียวแน่.

พระโพธิสัตว์ครั้นกล่าวคาถาหนึ่งๆ ด้วยประการดังนี้แล้วให้
พระราชาทรงทราบชัดว่า ดูก่อนมหาบพิตร สัตว์นรกนั้นประสงค์
จะกล่าวคาถานี้ให้ครบบริบูรณ์ แต่ไม่อาจทำอย่างนั้นได้ เพราะความ
ที่บาปของตนใหญ่หลวงนัก ดังนั้น สัตว์นรกนั้น เมื่อได้เสวยวิบาก

แห่งกรรมของตนจึงได้ร้อง ชื่อว่าอันตราย เพราะเหตุปัจจัยที่ฟัง
เสียงนี้ ย่อมไม่มี พระองค์อย่ากลัวเลย. พระราชารับสั่งให้
ปล่อยมหาชนแล้วให้เที่ยวตีกลองสุวรรณเภรี ป่าวประกาศให้ทำลาย
หลุมยัญ. พระโพธิสัตว์กระทำความสวัสดีปลอดภัยให้แก่มหาชนแล้ว

พักอยู่ ๒-๓ วัน จึงได้ไปที่หิมวันตประเทศนั้นนั่นเอง เป็นผู้มี
ฌานไม่เสื่อม จึงบังเกิดในพรหมโลก.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรง
ประชุมชาดกว่า มาณพของปุโรหิตในครั้งนั้น ได้เป็นพระสารีบุตร
ส่วนดาบส ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาโลหกุมภีชาดกที่ ๔

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 08:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถามังสชาดกที่ ๕

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
บิณฑบาตอันมีรสที่พระสารีบุตรเถระ ให้แก่ภิกษุทั้งหลายที่ดื่มยาถ่าย
จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ผรุสา วต เต วาจา ดังนี้.

ได้ยินว่า ในกาลนั้น ภิกษุบางพวกในพระวิหารเชตวันพากัน
ดื่มยาถ่ายอันปรุงด้วยยางเหนียว ภิกษุเหล่านั้นจึงมีความต้องการด้วย
บิณฑบาตอันมีรส. ภิกษุผู้เป็นคิลานุปัฏฐากทั้งหลายคิดว่า จักนำภัต-
ตาหารอันมีรสมา จึงเข้าไปในนครสาวัตถี แม้จะเที่ยวบิณฑบาตไป

ในถนนที่มีบ้านเรือนสมบูรณ์ด้วยข้าวสุก ก็ไม่ได้ภัตตาหารอันมีรส
จึงพากันกลับ. พระเถระเข้าไปบิณฑบาตในตอนสายเห็นภิกษุเหล่านั้น
จึงถามว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ทำไมจึงกลับสายนัก. ภิกษุเหล่านั้นจึง
บอกเนื้อความนั้น. พระเถระกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านทั้งหลายจง

มา แล้วพาภิกษุเหล่านั้นไปยังถนนนั้นนั่นแหละ. คนทั้งหลายได้
ถวายภัตตาหารอันมีรสจนเต็มบาตร. พวกภิกษุผู้เป็นคิลานุปัฏฐากนำ
มายังพระวิหารแล้วได้ถวายแก่พวกภิกษุไข้. ภิกษุไข้เหล่านั้นได้บริโภค
รสเป็นที่ยินดี. อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันในโรง-

ธรรมสภาว่า ท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย ได้ยินว่า พระอุปัฏฐากของพวก
ภิกษุผู้ดื่มยาถ่ายไม่ได้ภัตตาหารอันมีรสจึงกลับออกมา พระเถระจึงพา
เที่ยวไปในถนนที่มีบ้านเรือนซึ่งมีข้าวสุก ส่งบิณฑบาตอันมีรสเป็นอัน
มากไปให้. พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้

พวกเธอนั่งประชุมกันด้วยเรื่องอะไรหนอ ? เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูล
ให้ทรงทราบว่า ด้วยเรื่องชื่อนี้พระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย
สารีบุตรได้เนื้ออันประเสริฐ ในบัดนี้เท่านั้นหามิได้ แม้ในกาลก่อน
บัณฑิตทั้งหลายผู้มีวาจาอ่อนโยนฉลาดกล่าวถ้อยคำที่น่ารัก ก็ได้แล้ว
เหมือนกัน แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 08:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร-
พาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นบุตรเศรษฐี. อยู่มาวันหนึ่ง นายพราน
เนื้อคนหนึ่งได้เนื้อมาเป็นอันมาก จึงบรรทุกเต็มยานน้อยมายังนคร
ด้วยหวังใจว่าจักขาย. ในกาลนั้น บุตรเศรษฐี ๔ คนชาวเมืองพาราณสี
ออกจากนครแล้วนั่งสนทนากันถึงเรื่องที่ได้เห็นได้ยินได้ฟังมาบางเรื่อง

ณ สถานที่ที่มีหนทางมาบรรจบกัน. บรรดาเศรษฐีบุตร ๔ คนนั้น
เศรษฐีบุตรคนหนึ่งเห็นพรานเนื้อนั้นบรรทุกเนื้อมา จึงกล่าวว่า เรา
จะให้นายพรานนี้นำชิ้นเนื้อมา. เศรษฐีบุตรเหล่านั้นกล่าวว่า ท่าน

จงไปให้นำมาเถิด. เศรษฐีบุตรนั้นเข้าไปหานายพรานเนื้อแล้วกล่าวว่า
เฮ้ยพราน จงให้ชิ้นเนื้อแก่ข้าบ้าง. นายพรานกล่าวว่า ธรรมดาผู้จะ
ขออะไรๆ กะผู้อื่น ต้องเป็นผู้มีคำพูดอันเป็นที่น่ารัก ท่านจักได้ชิ้น
เนื้ออันสมควรแก่วาจาที่ท่านกล่าว แล้วได้กล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-

วาจาของท่านหยาบคายจริงหนอ ท่าน
ขอเนื้อ วาจาของท่านเช่นกับพังผืด ดูก่อน
สหาย เราจะให้พังผืดแก่ท่าน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กิโลมสทิสี ความว่า ชื่อว่า
เช่นกับพังผืด เพราะเป็นวาจาหยาบ. บทว่า กิโลมํ สมฺม ททามิ
เต ความว่า นายพรานกล่าวว่า เอาเถอะ ท่านจงถือเอา เราจะให้
พังผืดนี้อันเป็นเช่นกับวาจาของท่าน แล้วยกชิ้นเนื้อพังผืดอันไม่มีรส
ให้ไป.

ลำดับนั้น เศรษฐีบุตรอีกคนหนึ่งถามเศรษฐีบุตรคนนั้นว่า
ท่านพูดว่าอย่างไรแล้วจึงขอ. เศรษฐีบุตรนั้นกล่าวว่า เราพูดว่าเฮ้ย
แล้วจึงขอ. เศรษฐีบุตรนั้นกล่าวว่า แม้เราก็จักขอเขา แล้วไปกล่าว
ว่า พี่ชาย ท่านจงให้ชิ้นเนื้อแก่ฉันบ้าง. นายพรานกล่าวว่า ท่าน
จักได้ชิ้นเนื้ออันสมควรแก่คำพูดของท่าน แล้วกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 12:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
คำว่า พี่น้องชายหรือพี่น้องหญิงนี้เป็น
ส่วนประกอบของมนุษย์ทั้งหลาย อันเขา
กล่าวกันอยู่ในโลก วาจาของท่านเป็นเช่น
กับส่วนประกอบ ดูก่อนสหาย เราจะให้
ชิ้นเนื้อแก่ท่าน.

คำที่เป็นคาถานั้น มีอธิบายความดังนี้ :- คำว่าพี่น้องชาย
พี่น้องหญิงนี้ ชื่อว่าเป็นส่วนประกอบ เพราะเป็นเช่นกับอวัยวะของ
มนุษย์ในโลกนี้ เพราะฉะนั้น วาจานี้ของท่านเป็นเช่นกับอวัยวะ
ดังนั้น เราจะให้เฉพาะชิ้นเนื้อเท่านั้นอันสมควรแก่วาจานี้ของท่าน.

ก็แหละ ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว นายพรานจึงได้ยกเนื้ออัน
เป็นอวัยวะส่วนประกอบให้ไป. เศรษฐีบุตรอีกคนหนึ่งถามเศรษฐีบุตร
คนนั้นว่า ท่านพูดว่าอย่างไรแล้วจึงขอ. เศรษฐีบุตรนั้นกล่าวว่า เรา
พูดว่าพี่ชายแล้วจึงขอ. เศรษฐีบุตรนั้นกล่าวว่า แม้เราก็จักขอเขาแล้ว

ไปกล่าวว่า ข้าแต่พ่อ ท่านจงให้ชิ้นเนื้อแก่ฉันบ้าง นายพรานกล่าวว่า
ท่านจักได้ชิ้นเนื้ออันสมควรแก่คำพูดของท่าน แล้วจึงกล่าวคาถาที่ ๓
ว่า :-

บุตรเรียกบิดาว่า พ่อ ย่อมทำให้หัวใจ
ของพ่อหวั่นไหว วาจาของท่านเช่นกับน้ำใจ
ดูก่อนสหาย เราจะให้เนื้อหัวใจแก่ท่าน.

ก็แหละ ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงได้ยกเนื้ออันอร่อยพร้อม
กับเนื้อหัวใจให้ไป. เศรษฐีบุตรคนที่ ๔ จึงถามเศรษฐีบุตรคนนั้นว่า
ท่านพูดว่ากระไรแล้วจึงขอ. เศรษฐีบุตรคนนั้นกล่าวว่า เราพูดว่า
พ่อแล้วจึงขอ. เศรษฐีบุตรคนที่ ๔ นั้นจึงกล่าวว่า แม้เราก็จักขอเขา
แล้วจึงไปพูดว่า สหาย ท่านจงให้ชิ้นเนื้อแก่ฉันบ้าง. นายพราน
กล่าวว่า ท่านจักได้ชิ้นเนื้ออันสมควรแก่คำพูดของท่าน แล้วกล่าว
คาถาที่ ๔ ว่า :-


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 12:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ในบ้านของผู้ใดไม่มีเพื่อน บ้านของ
ผู้นั้นก็เป็นเหมือนกับป่า วาจาของท่านเป็น
เช่นกับสมบัติทั้งมวล ดูก่อนสหาย เราจะ
ให้เนื้อทั้งหมดแก่ท่าน.

คำอันเป็นคาถานั้นมีอธิบายว่า ในบ้านของบุรุษใดไม่มีเพื่อน
กล่าวคือชื่อว่าสหาย เพราะไปร่วมกันในสุขและทุกข์ สถานที่นั้น
ของบุรุษนั้น ย่อมเป็นเหมือนป่าไม่มีมนุษย์ ดังนั้น วาจาของท่านนี้
จึงเป็นเช่นกับสมบัติทั้งหมด คือ เป็นเช่นกับสมบัติอันเป็นของๆ ตน
ทั้งหมด เพราะฉะนั้น เราจะให้ยานบรรทุกเนื้ออันเป็นของๆ เรานี้
ทั้งหมดเลยแก่ท่าน.

ก็แหละ ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว นายพรานจึงกล่าวว่า มาเถิด
สหาย ข้าพเจ้าจักนำยานบรรทุกเนื้อนี้ทั้งหมดทีเดียวไปยังบ้านของ
ท่าน. เศรษฐีบุตรให้นายพรานนั้นขับยานไปยังเรือนของตน ให้ขน
เนื้อลง กระทำสักการะสัมมานะแก่นายพราน ให้เรียกแม้บุตรและ

ภรรยาของนายพรานนั้นมา ให้เลิกจากกรรมอันหยาบช้า ให้อยู่ใน
ท่ามกลางกองทรัพย์สมบัติของตน เป็นสหายที่แน่นแฟ้นกับนายพราน
นั้น อยู่สมัครสมานกันจนตลอดชีวิต.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรง
ประชุมชาดกว่า นายพรานในครั้งนั้น ได้เป็นพระสารีบุตร ส่วน
เศรษฐีบุตรผู้ได้เนื้อทั้งหมดในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถามังสชาดกที่ ๕

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 12:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาสสปัณฑิตชาดกที่ ๖

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
การถวายบริขารทุกอย่าง จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
สตฺต เม โรหิตา มจฺฉา ดังนี้.

ได้ยินว่า ในนครสาวัตถี มีกฎุมพีคนหนึ่งตระเตรียมการถวาย
บริขารทุกอย่างแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ให้สร้าง
มณฑปที่ประตูเรือน แล้วนิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
ให้นั่งบนบวรอาสน์ในมณฑปที่ได้จัดแจงไว้ดีแล้ว ถวายทานอันประ-

ณีตมีรสเลิศต่างๆ แล้วนิมนต์ฉันอีกตลอด ๗ วัน ในวันที่ ๗ ได้
ถวายบริขารทั้งปวงแก่ภิกษุ ๕๐๐ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน. ใน
เวลาเสร็จภัตกิจ พระศาสดาเมื่อจะทรงกระทำอนุโมทนา จึงตรัสว่า
ดูก่อนอุบาสก ควรที่ท่านจะกระทำปีติโสมนัส. ก็ชื่อว่าทานนี้เป็นวงศ์

ของโบราณกบัณฑิตทั้งหลาย ด้วยว่าโบราณกบัณฑิตทั้งหลายได้บริจาค
ชีวิตแก่เหล่ายาจกผู้มาถึงเฉพาะหน้า แม้ชีวิตของตนก็ได้ให้แล้ว อัน
อุบาสกนั้นทูลอาราธนาแล้ว จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อ
ไปนี้ :-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร-
พาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดกระต่ายอยู่ในป่า. ก็ป่านั้น
ได้มีเชิงเขา. แม่น้ำและปัจจันตคาม มารวมกันแห่งเดียว. สัตว์แม้
อื่นอีก ๓ ตัว คือ ลิง สุนัขจิ้งจอก และนาก ได้เป็นสหายของกระ-

ต่ายนั้น. สัตว์แม้ทั้ง ๔ นั้น เป็นบัณฑิตอยู่รวมกัน ถือเอาเหยื่อใน
ที่เป็นที่โคจรของตนๆ แล้วมาประชุมกันในเวลาเย็น. สสบัณฑิต
แสดงธรรมโดยการโอวาทแก่สัตว์ทั้ง ๓ ว่า พึงให้ทาน พึงรักษาศีล พึง
กระทำอุโบสถกรรม. สัตว์ทั้ง ๓ นั้นรับโอวาทของสสบัณฑิตนั้นแล้ว
เข้าไปยังพุ่มไม้อันเป็นที่อยู่อาศัยของตนๆ อยู่. เมื่อกาลล่วงไปอยู่


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 12:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อย่างนี้ วันหนึ่ง พระโพธิสัตว์มองดูอากาศเห็นดวงจันทร์ รู้ว่า
พรุ่งนี้เป็นวันอุโบสถ จึงกล่าวกะสัตว์ทั้ง ๓ นอกนี้ว่า พรุ่งนี้เป็นวัน
อุโบสถ แม้ท่านทั้ง ๓ จงสมาทานศีลรักษาอุโบสถ ทานที่ผู้ตั้งอยู่ใน
ศีลแล้วให้ ย่อมมีผลมาก เพราะฉะนั้น เมื่อยาจกมาถึงเข้า ท่าน
ทั้งหลายพึงให้รสอาหารที่ควรกินแล้วจึงค่อยกิน. สัตว์ทั้ง ๓ นั้นรับคำ

แล้วพากันอยู่ในที่เป็นที่อยู่ของตนๆ. วันรุ่งขึ้น บรรดาสัตว์เหล่านั้น
นากคิดว่าเราจักแสวงหาเหยื่อแต่เช้าตรู่ จึงไปยังฝั่งแม่น้ำคงคา. ครั้ง
นั้น พรานเบ็ดคนหนึ่งตกปลาตะเพียนได้ ๗ ตัว จึงเอาเถาวัลย์ร้อย
คุ้ยทรายที่ฝั่งแม่น้ำคงคาเอาทรายกลบไว้ เมื่อจะจับปลาอีก จึงไปยัง
ด้านใต้แม่น้ำคงคา. นากสูดได้กลิ่นปลาจึงคุ้ยทราย เห็นปลาจึงนำ

ออกมา คิดว่า เจ้าของปลาเหล่านี้มีไหมหนอ จึงประกาศขึ้น ๓ ครั้ง
เมื่อไม่เห็นเจ้าของ จึงคาบปลายเถาวัลย์นำไปเก็บไว้ในพุ่มไม้อันเป็นที่
อยู่ของตน คิดว่า เราจักกินเมื่อถึงเวลา จึงนอนนึกถึงศีลของตนอยู่.
ฝ่ายสุนัขจิ้งจอกออกเที่ยวแสวงหาเหยื่อ ได้เห็นเนื้อย่าง ๒ ไม้ *

๑ ตัว และหม้อนมส้ม ๑ หม้อ ในกระท่อมของคนเฝ้านาคนหนึ่ง
คิดว่า เจ้าของของสิ่งนี้มีอยู่หรือไม่หนอ จึงร้องประกาศขึ้น ๓ ครั้ง
ไม่เห็นเจ้าของ จึงสอดเชือกสำหรับหิ้วหม้อนมส้มไว้ที่คอ เอาปากคาบ
เนื้อย่างและเหี้ย นำไปเก็บไว้ในพุ่มไม้เป็นที่นอนของตน คิดว่าจัก

กินเมื่อถึงเวลา จึงนอนนึกถึงศีลของตนอยู่. ฝ่ายลิงเข้าไปยังไพรสณฑ์
นำพวงมะม่วงมาเก็บไว้ในพุ่มไม้เป็นที่อยู่ของตน คิดว่าจักกินเมื่อถึง
เวลา จึงนอนนึกถึงศีลของตน. ส่วนพระโพธิสัตว์ คิดว่า พอถึง
เวลาจักออกไปกินหญ้าแพรก จึงนอนอยู่ในพุ่มไม้เป็นที่อยู่ของตน

นั่นแหละ คิดอยู่ว่า เราไม่อาจให้หญ้าแก่พวกยาจกผู้มายังสำนักของ
เรา แม้งาและข้าวสารเป็นต้นของเราก็ไม่มี ถ้ายาจกจักมายังสำนัก
ของเราไซร้ เราจักให้เนื้อในร่างกายของเรา. ด้วยเดชแห่งศีลของ
พระโพธิสัตว์นั้น ภพของท้าวสักกะได้แสดงอาการเร่าร้อน. ได้ยิน

มาว่า ภพนั้นเป็นภพร้อน เพราะท้าวสักกะสิ้นอายุหรือสิ้นบุญ หรือ
เมื่อสัตว์อื่นผู้มีอานุภาพมากปรารถนาสถานที่นั้น หรือด้วยเดชแห่ง
ศีลของสมณพราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในธรรม. ในกาลนั้น ภพของท้าวสักกะ
ได้เร่าร้อน เพราะเดชแห่งศีล. ท้าวสักกะนั้นทรงรำพึงอยู่ ทรงทราบ


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 12:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เหตุนั้นแล้วจึงทรงดำริว่า เราจักทดลองพระยากระต่ายดู จึงครั้งแรก
เสด็จไปยังที่อยู่ของนาก ได้แปลงเพศเป็นพราหมณ์ยืนอยู่. เมื่อนาก
กล่าวว่า พราหมณ์ ท่านมาเพื่อต้องการอะไร ? จึงตรัสว่า ท่านบัณ-
ฑิต ถ้าข้าพเจ้าพึงได้อาหารบางอย่าง จะเป็นผู้รักษาอุโบสถกระทำ
สมณธรรม. นากนั้นกล่าวว่า ดีละ ข้าพเจ้าจักให้อาหารแก่ท่าน
เมื่อจะเจรจากับท้าวสักกะนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-

ปลาตะเพียนของเรามีอยู่ ๗ ตัว ซึ่ง
นายพรานเบ็ดตกขึ้นจากน้ำ เก็บไว้บนบก
ดูก่อนพราหมณ์ ข้าพเจ้ามีสิ่งนี้อยู่ ท่านจง
บริโภคสิ่งนี้ แล้วอยู่ในป่าเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ถลมุพฺภตา ความว่า แม้อัน
นายพรานเบ็ดตกขึ้นจากน้ำเก็บไว้บนบก. บทว่า เอตํ ภุตฺวา ความว่า
ท่านจงปิ้งมัจฉาหาร อันเป็นของเรานี้บริโภคนั่งที่โคนไม้อันรื่นรมย์
กระทำสมณธรรมอยู่ในป่านี้เถิด.

พราหมณ์กล่าวว่า เรื่องนี้จงยกไว้ก่อนเถิด ข้าพเจ้าจักรู้ภาย-
หลัง แล้วไปยังสำนักของสุนัขจิ้งจอก แม้เมื่อสุนัขจิ้งจอกกล่าวว่า
ท่านยืนอยู่เพื่อต้องการอะไร ? ก็ได้กล่าวเหมือนอย่างนั้นนั่นแหละ.
สุนัขจิ้งจอกกล่าวว่า ดีละข้าพเจ้าจักให้ เมื่อจะเจรจากับท้าวสักกะ
นั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-

อาหารของคนรักษานาคนโน้น ข้าพเจ้า
นำเอามาไว้ในตอนกลางคืน คือ เนื้อย่าง ๒
ไม้ * ๑ ตัว นมส้ม ๑ หม้อ ดูก่อน
พราหมณ์ ข้าพเจ้ามีอาหารสิ่งนี้อยู่ ท่านจง
บริโภคอาหารสิ่งนี้ แล้วเจริญสมณธรรมอยู่
ในป่าเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุสฺส เม ความว่า คนผู้รักษา
นาซึ่งอยู่ในที่ไม่ไกลเรานั่น คือโน้น. บทว่า อปาภตํ ได้แก่ อาภตํ
แปลว่า นำมาแล้ว. บทว่า มํสสูลา จ เทฺว โคธา ความว่า
เนื้อย่าง ๒ ไม้ที่สุกบนถ่านไฟ และเหี้ย ๑ ตัว บทว่า ทธิวารกํ ได้แก่
หม้อนมส้ม. บทว่า อิทํ เป็นต้นไปมีความว่า เรามีสิ่งนี้ คือ มี


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 12:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ประมาณเท่านี้ ท่านจงปิ้งสิ่งนี้แม้ทั้งหมด โดยการให้สุกตามความ
ชอบใจ แล้วบริโภค เป็นผู้สมาทานอุโบสถ นั่งที่โคนไม้อันน่ารื่น-
รมย์ กระทำสมณธรรมอยู่ในป่านี้เถิด.

พราหมณ์กล่าวว่า เรื่องนี้จงยกไว้ก่อนเถิด ข้าพเจ้าจักรู้ภาย-
หลัง แล้วไปยังสำนักของลิง แม้เมื่อลิงนั้นกล่าวว่า ท่านยืนอยู่เพื่อ
ต้องการอะไร ? จึงกล่าวเหมือนอย่างนั้นนั่นแหละ. ลิงกล่าวว่า ดีละ
ข้าพเจ้าจักให้ เมื่อจะเจรจากับท้าวสักกะนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :-

ผลมะม่วงสุก น้ำเย็น ร่มเงาอันเย็น
เป็นที่รื่นรมย์ใจ ดูก่อนพราหมณ์ ข้าพเจ้า
มีอาหารอย่างนี้ ท่านจงบริโภคอาหารนี้ แล้ว
เจริญสมณธรรมอยู่ในป่าเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อมฺพปกฺกํ ได้แก่ ผลมะม่วงสุก
อันอร่อย. บทว่า อุทกํ สีตํ ได้แก่ น้ำในแม่น้ำคงคาเย็น. บทว่า
เอตํ ภุตฺวา ความว่า ดูก่อนพราหมณ์ ท่านจงบริโภคผลมะม่วงนี้
แล้วดื่มน้ำเย็น นั่งที่โคนไม้อันรื่นรมย์ตามชอบใจแล้ว กระทำสมณ-
ธรรมอยู่ในชัฏป่านี้เถิด.

พราหมณ์กล่าวว่า เรื่องนี้จงยกไว้ก่อนเถิด ข้าพเจ้าจักรู้ใน
ภายหลัง แล้วไปยังสำนักของสสบัณฑิต แม้เมื่อสสบัณฑิตนั้นกล่าว
ว่า ท่านมาเพื่ออะไร ? ก็กล่าวเหมือนอย่างนั้นนั่นแหละ. พระโพธิสัตว์
ได้ฟังดังนั้นก็มีความชื่นชมโสมนัส กล่าวว่า ดูก่อนพราหมณ์ ท่าน
มายังสำนักของเราเพื่อต้องการอาหาร ได้ทำดีแล้ว วันนี้ข้าพเจ้าจัก

ให้ทานที่ยังไม่เคยให้ ก็ท่านเป็นผู้มีศีลจักไม่ทำปาณาติบาต ท่านจง
ไปรวมไม้ฟืนนานาชนิดมาก่อถ่านไฟ แล้วจงบอกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจัก
เสียสละตนโดดลงในกลางถ่านไฟ เมื่อร่างกายของข้าพเจ้าสุกแล้ว
ท่านพึงกินเนื้อแล้วกระทำสมณธรรม เมื่อจะเจรจากับท้าวสักกะนั้น
จึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า :-


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 12:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
กระต่ายไม่มีงา ไม่มีถั่ว ไม่มีข้าวสาร
ท่านจงบริโภคเราผู้สุกด้วยไฟนี้ แล้วเจริญ
สมณธรรมอยู่ในป่าเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มมํ ภุตฺวา ความว่า ท่านจง
บริโภคเราผู้สุกด้วยไฟที่เราบอกให้ท่านก่อขึ้นนี้ แล้วจงอยู่ในป่านี้
ธรรมดาว่าร่างกายของกระต่ายตัวหนึ่ง ย่อมจะพอยังชีพของบุรุษคน
หนึ่งให้เป็นไปได้.

ท้าวสักกะได้ทรงสดับถ้อยคำของสสบัณฑิตนั้นแล้ว จึงเนรมิต
กองถ่านเพลิงกองหนึ่งด้วยอานุภาพของตน แล้วบอกแก่พระโพธิสัตว์.
พระโพธิสัตว์นั้นลุกขึ้นจากที่นอนหญ้าแพรกของตนแล้วไปที่กองถ่าน
เพลิงนั้น คิดว่า ถ้าสัตว์เล็กๆ ในระหว่างขนของเรามีอยู่. สัตว์

เหล่านั้นอย่าตายด้วยเลย แล้วสบัดตัว ๓ ครั้ง บริจาคร่างกายทั้งสิ้น
ในทานมุขปากทางของทาน กระโดดโลดเต้นมีใจเบิกบาน กระโดด
ลงในกองถ่านเพลิง. เหมือนพระยาหงส์กระโดดลงในกอปทุมฉะนั้น.
แต่ไฟนั้นไม่อาจทำความร้อนแม้สักเท่าขุมขนในร่างกายของพระโพธิ-

สัตว์ ได้เป็นเสมือนเข้าไปในห้องหิมะฉะนั้น. ลำดับนั้น พระโพธิ-
สัตว์เรียกท้าวสักกะมากล่าวว่า พราหมณ์ ไฟที่ท่านก่อไว้เย็นยิ่งนัก
ไม่อาจทำความร้อนแม้สักเท่าขุมขนในร่างกายของข้าพเจ้า นี่อะไรกัน.
ท้าวสักกะตรัสว่า ท่านบัณฑิต เรามิใช่พราหมณ์ เราเป็นท้าวสักกะ

มาเพื่อจะทดลองท่าน. พระโพธิสัตว์จึงบรรลือสีหนาทว่า ข้าแต่
ท้าวสักกะ พระองค์จงหยุดพักไว้ก่อนเถิด หากโลกสันนิวาสทั้งสิ้น
จะพึงทดลองข้าพระองค์ด้วยทานไซร้ จะไม่พึงเห็นความที่ข้าพระองค์
ไม่เป็นผู้ประสงค์จะให้ทานเลย. ลำดับนั้น ท้าวสักกะจึงตรัสกะพระ-

โพธิสัตว์นั้นว่า ดูก่อนสสบัณฑิต คุณของท่านจงปรากฎอยู่ตลอดกัป
ทั้งสิ้นเถิด แล้วทรงบีบบรรพตถือเอาอาการเหลวของบรรพต เขียน
ลักษณะของกระต่ายไว้ในดวงจันทร์ แล้วนำพระโพธิสัตว์มาให้นอน


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 12:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บนหลังหญ้าแพรกอ่อนในพุ่มไม้ป่านั้นนั่นแหละในไพรสณฑ์นั้น แล้ว
เสด็จไปยังเทวโลกของพระองค์ทีเดียว. บัณฑิตทั้ง ๔ แม้นั้นพร้อม-
เพรียงบันเทิงอยู่ พากันบำเพ็ญศีล รักษาอุโบสถกรรมแล้วไปตาม
ยถากรรม.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรง
ประกาศสัจจะประชุมชาดก ในเวลาจบสัจจะคฤหบดีผู้ถวายบริขารทุก
อย่างดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล. นากในกาลนั้น ได้เป็นพระอานนท์
สุนัขจิ้งจอกได้เป็นพระโมคคัลลานะ ลิงได้เป็นพระสารีบุตร ท้าวสักกะ
ได้เป็นพระอนุรุทธะ ส่วนสสบัณฑิต ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาสสบัณฑิตชาดกที่ ๖

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 14:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
กฎุมพีในนครสาวัตถีคนหนึ่ง จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้น
ว่า มตมตเมว โรทถ ดังนี้.

ได้ยินว่า พี่ชายของกฎุมพีนั้น ได้ทำกาลกิริยาตายไป เขาถูก
ความโศกครอบงำ เพราะกาลกิริยาของกฏุมพีนั้น ไม่อาบน้ำ ไม่
บริโภคอาหาร ไม่ลูบไล้ ไปป่าช้าแต่เช้าตรู่ ถึงความเศร้าโศกร้องไห้
อยู่. พระศาสดาทรงตรวจดูโลกในเวลาปัจจุสมัย ทรงเห็นอุปนิสัย

แห่งโสดาปัตติผลของพี่ชายแห่งกฏุมพีนั้น จึงทรงพระดำริว่า เราควร
นำอดีตเหตุมาระงับความเศร้าโศก แล้วให้โสดาปัตติผลแก่พี่ชาย
กฏุมพีนี้เว้นเราเสียใครๆ อื่นผู้สามารถ ย่อมไม่มี เราเป็นที่พึงอาศัย
ของพี่ชายแห่งกฏุมพีนี้ จึงจะควร. ในวันรุ่งขึ้นเสด็จกลับจากบิณบาต

ภายหลังภัตแล้ว ทรงพาปัจฉาสมณะไปยังประตูเรือนของพี่ชายกฏุมพี
นั้น ผู้อันกฏุมพีพี่ชายได้ฟังว่า พระศาสดาเสด็จมา จึงกล่าวว่า ท่าน
ทั้งหลายจงปูลาดอาสนะแล้วนิมนต์ให้เสด็จเข้ามา พระองค์จึงเสด็จไป
แล้วประทับนั่งบนอาสนะที่เขาปูลาดไว้. ฝ่ายกฏุมพีก็มาถวายบังคม

พระศาสดาแล้วนั่ง ณ ส่วนสุดข้างหนึ่ง. ลำดับนั้น พระศาสดาจึง
ตรัสกะกุฏุมพีนั้นว่า ดูก่อนกฎุมพี ท่านคิดเสียใจอะไรหรือ. กฏุมพี
กราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดเสียใจ
ตั้งแต่เวลาที่พี่ชายของข้าพระองค์ตายไป. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อน

ผู้มีอายุ สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สิ่งที่ควรจะแตกทำลาย ก็แตกทำ
ลายไป ไม่ควรคิดเสียใจในเรื่องนั้น แม้โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย เมื่อ
พี่ชายตายไป ก็ไม่ได้คิดเสียใจว่า. สิ่งที่ควรจะแตกทำลาย ได้แตก
ทำลายไปแล้ว อันกฏุมพีนั้น ทูลอาราธนาแล้ว จึงทรงนำเอาเรื่องใน
อดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 14:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร
พาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลเศรษฐีมีทรัพย์สมบัติ ๘๐ โกฏิ.
เมื่อพระโพธิสัตว์นั้นเจริญวัยแล้ว มารดาบิดาก็ได้ทำกาลกิริยาตายไป.
เมื่อมารดาบิดานั้นทำกาลกิริยาตายไปแล้ว พี่ชายของพระโพธิสัตว์จึง

จัดแจงทรัพย์สมบัติแทน. พระโพธิสัตว์อาศัยพี่ชายนั้นเป็นอยู่. ใน
กาลต่อมา พี่ชายนั้นได้ทำกาลกิริยาตายไปด้วยความป่วยไข้เห็นปาน
นั้น. ญาติมิตร และอำมาตย์ทั้งหลายพากันประคองแขนคร่ำครวญ
ร้องไห้ แม้คนเดียวก็ไม่อาจดำรงอยู่โดยภาวะของตนได้ ส่วนพระ-

โพธิสัตว์ไม่คร่ำครวญ ไม่ร้องไห้ คนทั้งหลายพากันติเตียนพระโพธิ-
สัตว์ว่า ดูเอาเถิดท่านผู้เจริญทั้งหลาย เมื่อพี่ชายของผู้นี้ตายไปแล้ว
อาการแม้สักว่าหน้าสยิ้วก็ไม่มี เขามีใจแข็งกระด้างมาก เห็นจะอยาก
ให้พี่ชายตายด้วยคิดว่า เราเท่านั้นจักได้ใช้สอยทรัพย์สมบัติ ทั้ง

สองส่วน. ฝ่ายญาติทั้งหลายก็ติเตียนพระโพธิสัตว์นั้นเหมือนว่า เมื่อ
พี่ชายตายเจ้าไม่ร้องไห้. พระโพธิสัตว์นั้นได้ฟังคำของญาติเหล่านั้น
จึงกล่าวว่า ท่านทั้งหลายไม่รู้จักโลกธรรม ๘ ประการ เพราะความ
ที่ตนเป็นคนบอดเขลา จึงพากันร้องไห้ว่า พี่ชายของเราตาย แม้เรา

เองก็จักตาย เพราะเหตุไรท่านทั้งหลายจึงไม่ร้องไห้ถึงเราบ้างว่า ผู้นี้
ก็จักตาย แม้ท่านทั้งหลายก็จักตาย เพราะเหตุไรจึงไม่ร้องให้ถึงตน
เองบ้างว่า แม้เราทั้งหลายก็จักตาย ๆ สังขารทั้งปวงย่อมเป็นของไม่
เที่ยง แม้สังขารอย่างหนึ่งซึ่งสามารถดำรงอยู่ตามสภาวะนั้นนั่นแหละ

ย่อมไม่มี ท่านทั้งหลายเป็นผู้บอดเขลา ไม่รู้จักโลกธรรม ๘ ประการ
จึงพากันร้องไห้ เพราะความไม่รู้ เราจักร้องไห้เพื่ออะไรกัน แล้ว
กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 88, 89, 90, 91, 92, 93, 94 ... 151  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร