วันเวลาปัจจุบัน 03 ส.ค. 2025, 00:08  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 87, 88, 89, 90, 91, 92, 93 ... 151  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2018, 21:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
แนะโจร เจ้าจงลุกขึ้น จะมัวนอน
อยู่ทำไม เจ้าต้องการอะไรด้วยการนอน
ราชบุรุษอย่าจับเจ้าผู้ทำโจรกรรมอันหยาบช้า
ทารุณในบ้านเลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ราชาโน ท่านกล่าวหมายเอาพวก
ราชบุรุษ บทว่า กิพฺพิสการกํ ได้แก่ ผู้กระทำโจรกรรมอันทารุณ
หยาบช้า.

เทวดาครั้นกล่าวกะโจรนั้นดังนี้แล้ว จึงทำให้กลัวหนีไป
โดยพูดว่า เจ้าจงไปที่อื่นตราบเท่าที่พวกราชบุรุษยังไม่มาจับ. ก็เมื่อ
โจรนั้นไปแล้ว เทวดาผู้สิงอยู่ที่ต้นอัสสัตถพฤกษ์ จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-

พวกราชบุรุษจักจับโจรผู้กระทำโจรกรรม
อันทารุณหยาบช้าในบ้านมิใช่หรือ ธุระอะไร
ในเรื่องนั้นของปุจิมันทเทวดาผู้เกิดอยู่ในป่า
เล่า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วเน ชาตสฺส ติฏฺ€โต ความว่า
ต้นไม้ที่เกิดและตั้งอยู่ในป่า. ก็อัสสัตถพฤกษ์ เทวดา ร้องเรียก
ปุจิมันเทวดา โด ยเฉพาะเรียกชื่อต้นไม้ เพราะปุจิมันทเทวดานั้น
เกิดที่ต้นสะเดานั้น.

นิมพเทวดาได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :-
ดูก่อนอัสสัตถเทวดา ท่านไม่รู้เหตุที่
จะอยู่ร่วมกันไม่ได้ ระหว่างเรากับโจร
ราชบุรุษทั้งหลายจับโจรผู้ทำโจรกรรมอัน
หยาบช้าทารุณในบ้านได้แล้ว จะเสียบโจร
ไว้บนหลาวไม้สะเดา. ใจของเรารังเกียจใน
เรื่องนั้น.


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2018, 21:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสฺสตฺถ นี้ เทวดาผู้เกิดที่ต้น
สะเดานั้น ร้องเรียก โดยนัยอันมีในก่อนนั่นแหละ. บทว่า มม
โจรสฺส จนฺตรํ ได้แก่ เหตุที่เราและโจรอยู่ร่วมกันไม่ได้ บทว่า
อจฺเจนฺติ นิมฺพสูลสฺมึ ความว่า เวลานี้ราชบุรุษทั้งหลายจะร้อย

โจรไว้บนหลาวไม้สะเดา. บทว่า ตสฺมึ เม สงฺกเต มโน ความว่า
จิตของเรารังเกียจในเหตุนั้นว่า ก็ถ้าพวกราชบุรุษจักร้อยโจรนี้ที่
หลาวไซร้ วิมานของเราจักฉิบหาย ถ้าไม่ทำอย่างนั้น จักแขวนโจร
ไว้ที่กิ่งไม้สะเดา วิมานของเราจักมีกลิ่นซากศพ ด้วยเหตุนั้น เรา
จึงให้โจรนั้นหนีไปเสีย.

เมื่อเทวดาเหล่านั้น เจรจาปราศัยกันและกันอยู่อย่างนี้แหละ
พวกเจ้าของทรัพย์ ถือคบเพลิงมาตามรอยเท้าเห็นที่ที่โจรนอน จึง
กล่าวว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ก็บัดนี้ โจรลุกหนีไปแล้วพวกเรา
ไม่ได้ตัวโจร ถ้าพวกเราจักได้ตัวโจรไซร้ จักเสียบร้อยโจรนั้นไว้

บนหลาวไม้สะเดานี้ หรือแขวนไว้ที่กิ่งสะเดาแล้วจักไป แล้วแล่นไป
ค้นหาทางโน้นทางนี้ ไม่พบโจรจึงพากันกลับไป. อัสสัตถเทวดาได้
ฟังคำของคนเหล่านั้นจึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า :-

บัณฑิตพึงรังเกียจสิ่งที่ควรรังเกียจ พึง
ป้องกันภัยที่ยังไม่มาถึงตัว พิจารณาดูโลก
ทั้งสองเพราะภัยในอนาคต.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รกฺเขยฺยานาคตํ ภยํ ความว่า
อนาคตภัยมี ๒ อย่าง คือ ภัยที่เป็นไปในทิฏฐธรรมอย่างหนึ่ง
ภัยที่เป็นไปในสัมปรายภพอย่างหนึ่ง ในอนาคตภัย ๒ อย่างนั้น
บัณฑิตเมื่อเว้นบาปมิตรเสีย ชื่อว่าป้องกันภัยที่เป็นไปในทิฏฐธรรม

เมื่อเว้นทุจริต ๓ เสีย ชื่อว่าป้องกันภัยที่เป็นไปในสัมปรายภพ.
บทว่า อนาคตภยา ความว่า เมื่อรังเกียจภัยนั้น เหตุอนาคตภัย.
บทว่า ธีโร ความว่า บุรุษผู้เป็นบัณฑิตย่อมไม่กระทำการเกี่ยวข้อง
กับปาปมิตร ย่อมไม่ประพฤติทุจริตโดยทวารทั้ง ๓. บทว่า อุโภ

โลเก ความว่า เพราะบัณฑิตนี้เมื่อกลัวอยู่อย่างนี้ ย่อมพิจารณาเห็น
คือ ย่อมแลเห็นโลกทั้งสอง กล่าวคือโลกนี้และโลกหน้า เมื่อ
รังเกียจอยู่ ย่อมละเว้นปาปมิตร เพราะกลัวภัยในโลกนี้ ย่อมไม่ทำ
บาปกรรม เพราะกลัวภัยในโลกหน้า.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรง
ประชุมชาดกว่า เทวดาผู้บังเกิด ณ ต้นอัสสัตถพฤกษ์ในครั้งนั้น
ได้เป็นพระสารีบุตร ส่วนเทวดาผู้บังเกิด ณ ต้นสะเดาในครั้งนั้น
ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาปุจิมันทชาดกที่ ๑

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2018, 21:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถากัสสปมันทิยชาดกที่ ๒

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร ทรงปรารภ
ภิกษุแก่รูปหนึ่ง จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อปิ
กสฺสป มนฺทิย ดังนี้.

ได้ยินว่า ในนครสาวัตถีมีกุลบุตรผู้หนึ่งเห็นโทษในกามทั้ง
หลาย จึงบวชในสำนักของพระศาสดา ขวนขวายในพระกรรมฐาน
ไม่นานนักก็ได้บรรลุพระอรหัต. จำเพียรกาลนานมา มารดาของภิกษุ
นั้นได้กระทำกาลกิริยาตาย. เมื่อมารดาล่วงลับไปแล้ว ภิกษุนั้นจึงให้
บิดาและน้องชายบวช แล้วอยู่ในพระเชตวันวิหาร ในวัสสูปนายิก-

สมัยใกล้วันเข้าพรรษา ได้ฟังว่าปัจจัยคือจีวรหาได้ง่าย จึงไปยังอาวาส
ประจำหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ทั้ง ๓ รูปจำพรรษาอยู่ในอาวาสประจำหมู่
บ้านนั้น ออกพรรษาแล้วจึงกลับมายังพระเชตวันวิหารตามเดิม. ภิกษุ
หนุ่มจึงสั่งสามเณรน้องชาย ณ ที่ใกล้พระเชตวันว่า สามเณร เธอจง

ให้พระเถระแก่พักแล้วค่อยนำมา เราจะล่วงหน้าไปจัดแจงบริเวณก่อน
แล้วก็เข้าไปยังพระเชตวัน. พระเถระแก่ค่อยๆ เดินมา. สามเณร
ทำราวกะว่าเอาศีรษะรุนอยู่บ่อยๆ นำท่านไปโดยพลการว่า ท่านผู้-
เจริญ จงเดินๆ ไปเถิด. พระเถระกล่าวว่า เธอนำฉันมาเป็นแน่

จึงหวนกลับไปใหม่ แล้วเดินมาตั้งแต่ปลายทาง. เมื่อพระเถระกับ
สามเณรทำการทะเลาะกันอยู่อย่างนี้นั่นแหละ พระอาทิตย์ก็อัสดงคต
ความมืดมนอนธการก็เกิดขึ้น. ฝ่ายภิกษุหนุ่มนอกนี้ก็กวาดบริเวณตั้ง-
น้ำไว้ เมื่อไม่เห็นการมาของพระเถระกับสามเณรเหล่านั้น จึงถือ

คบเพลิงไปคอยรับ ได้เห็นพระเถระและสามเณรกำลังมาอยู่ จึงถามว่า
ทำไมจึงชักช้าอยู่ ? พระเถระแก่จึงบอกเหตุนั้น ภิกษุหนุ่มนั้นให้
พระเถระและสามเณรนั้นพักแล้วค่อยๆ พามา. วันนั้น ไม่ได้โอกาส
การอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า ครั้นในวันที่สองภิกษุหนุ่มนั้นมายังที่อุปัฏ-

ฐากของพระพุทธเจ้า ถวายบังคมแล้วนั่ง พระศาสดาจึงตรัสถามว่า
เธอมาเมื่อไร ? ภิกษุหนุ่มนั้นกราบทูลว่า มาเมื่อวาน พระเจ้าข้า.


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2018, 21:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระศาสดาตรัสว่า เธอมาเมื่อวาน แต่มากระทำพุทธอุปัฏฐากวันนี้.
ภิกษุหนุ่มนั้นกราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แล้ว
กราบทูลเหตุนั้น. พระศาสดาทรงติเตียนพระแก่แล้วตรัสว่า ภิกษุแก่
รูปนี้กระทำกรรมเห็นปานนี้ ในบัดนี้เท่านั้น ก็หามิได้ แม้ในกาลก่อน
ก็ได้กระทำแล้ว แต่บัดนี้ พระแก่นั้นทำเธอให้ลำบาก แต่ในกาลก่อน
ได้กระทำบัณฑิตให้ลำบาก อันภิกษุนั้นทูลอ้อนวอนแล้ว จึงทรงนำ
เอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนคร-
พาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในนิคมกาสี เมื่อ
พระโพธิสัตว์นั้น เจริญวัยแล้ว มารดาได้กระทำกาลกิริยาตาย. พระ-
โพธิสัตว์นั้นกระทำฌาปนกิจสรีระของมารดาแล้ว พอล่วงไปได้กึ่ง

เดือน ได้ให้ทรัพย์ที่มีอยู่ในเรือนให้เป็นทาน แล้วพาบิดากับน้องชาย
ไป ถือเอาผ้าเปลือกไม้ที่เทวดาให้ แล้วบวชเป็นฤาษีอยู่ในหิมวันต-
ประเทศ ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยเหง้ามันและผลาผลไม้ โดยการเที่ยว
แสวงหาอยู่ในไพรสณฑ์อันน่ารื่นรมย์. ก็ในหิมวันตประเทศ ในฤดู-

ฝน เมื่อฝนตกไม่ขาดเม็ด ไม่อาจขุดเหง้ามัน ทั้งผลาผลไม้และใบผักก็
ล่วงหล่นโดยมาก ดาบสทั้งหลายพากันลงจากหิมวันตประเทศไปอยู่ใน
ถิ่นมนุษย์. แม้ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์ก็พาบิดาและน้องชายไปอยู่
ในถิ่นมนุษย์ เมื่อหิมวันตประเทศผลิดอกออกผลอีก จึงพาบิดาและน้อง

ชายทั้งสองนั้น มายังอาศรมบทของตนในหิมวันตประเทศ ณ ที่ไม่
ไกลอาศรม เมื่อพระอาทิตย์อัสดงคตแล้ว จึงกล่าวว่า ท่านทั้งหลาย
ค่อยๆ มาเถิด ข้าพเจ้าจักล่วงหน้าไปจัดแจงอาศรมบทก่อน แล้วก็ละ
ดาบสทั้งสองนั้นไป. ดาบสน้อยค่อยๆ ไปกับบิดา ราวกะจะเอาศีรษะรุน

ท่านที่แถวๆ สะเอวเร่งพาท่านไป โดยพูดว่า เดินเข้า เดินเข้า. ดาบส
แก่กล่าวว่า เจ้าพาเรามาตามความชอบใจของตน จึงหวนกลับไป
แล้วเดินตั้งแต่ปลายมาใหม่. เมื่อดาบสพ่อลูกเหล่านั้นทำการทะเลาะ
กันและกันอยู่อย่างนั้นนั่นแหละ เวลาได้มืดลง. พระโพธิสัตว์ปัด-

กวาดบรรณศาลาตั้งน้ำใช้และฉัน แล้วถือคบเพลิงเดินสวนทางมา
เห็นดาบสพ่อลูกนั้น แล้วจึงกล่าวว่า ท่านทั้งหลายมัวทำอะไรกันอยู่
ตลอดเวลามีประมาณเท่านี้. ดาบสน้องจึงบอกเหตุที่บิดาทำ. พระโพธิ-
สัตว์นำดาบสแม้ทั้งสองนั้นช้าๆ ให้เก็บงำบริขาร ให้บิดาอาบน้ำ


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 06:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ทำการล้างเท้า ทาเท้า และนวดหลัง ตั้งกระเบื้องถ่านไฟ แล้วเข้าไป
นั่งใกล้บิดาผู้ระงับความอิดโรยแล้ว จึงกล่าวว่า ข้าแต่บิดา ธรรมดา
เด็กหนุ่มทั้งหลาย เช่นกับภาชนะดิน ย่อมแตกได้โดยครู่เดียวเท่านั้น
ตั้งแต่เวลาที่แตกแล้วครั้งเดียว ย่อมไม่อาจต่อกันได้อีก เด็กหนุ่ม
เหล่านั้น ด่าอยู่ก็ดี บริภาษอยู่ก็ดี ผู้ใหญ่ควรจะอดทน เมื่อจะโอวาท
บิดาจึงกล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-

ข้าแต่ท่านกัสสปะ เด็กหนุ่มจะด่าแช่ง
หรือจะตีก็ตาม ด้วยความเป็นเด็กหนุ่ม บัณ-
ฑิตผู้มีปัญญาย่อมอดทนความผิดที่พวกเด็ก
ทำแล้วทั้งหมดนั้นได้.

ถ้าแม้สัตบุรุษทั้งหลายวิวาทกัน ก็กลับ
เชื่อมกันได้สนิทโดยเร็ว ส่วนคนพาลทั้ง-
หลายย่อมแตกกัน เหมือนภาชนะดิน เขา
ย่อมไม่ถึงความสงบเวรกันได้เลย.

ผู้ใดรู้โทษที่ตนล่วงเกินแล้ว และรู้
การแสดงโทษ คนทั้งสองนั้นย่อมพร้อม-
เพรียงกันยิ่งขึ้น ความสนิทสนมของเขาย่อม
ไม่เสื่อมคลาย.

ผู้ใด เมื่อคนเหล่าอื่นล่วงเกินแล้ว ตน
เองสามารถเชื่อมให้สนิทสนมได้ ผู้นั้นแล
ชื่อว่าเป็นผู้ประเสริฐยิ่ง เป็นผู้นำภาระไป
เป็นผู้ทรงธุระไว้.

พระโพธิสัตว์เรียกบิดาโดยชื่อว่า กัสสปะ ในกาลนั้น. บทว่า
มนฺทิยา ได้แก่ ด้วยความเป็นคนหนุ่ม โดยความเป็นผู้มีปัญญาน้อย.
บทว่า ยุวา สปติ หนฺติ วา ความว่า เด็กหนุ่มด่าก็ดี ประหาร
ก็ดี. ด้วยบทว่า ธีโร นี้ ท่านเรียกบุคคลผู้ปราศจากบาปว่า ผู้มี

ความเพียร. บทว่า ธีโร มีความว่า ผู้ประกอบด้วยปัญญา ดังนี้ก็มี.
ส่วนบทว่า ปณฺฑิโต เป็นไวพจน์ของบทว่า ธีโร นี้เท่านั้น. แม้
ด้วยบททั้งสอง ท่านแสดงว่า บัณฑิตผู้มีปัญญามาก ย่อมอดกลั้น คือ
อดทนความผิดที่พวกเด็กผู้อ่อนปัญญากระทำแล้วนั้นทั้งหมด. บทว่า

สนฺธิยเร ความว่า ย่อมสนิทสนมกัน คือ เชื่อมกันได้ด้วยมิตรภาพ
อีก. บทว่า พาลา ปตฺตาว ความว่า ส่วนคนพาลทั้งหลายย่อม


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 06:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
แตกกันเลย เหมือนภาชนะดินแตกแล้วต่อกันไม่ได้ฉะนั้น. บทว่า
น เต สมถมชฺฌคู ความว่า คนพาลเหล่านั้นทำการทะเลาะกัน
แม้มีประมาณน้อย ย่อมไม่ได้ คือไม่ประสบความสงบเวร. บทว่า
เอเต ภิยฺโย ความว่า ชนทั้งสองนั้นแม้แตกกันแล้วย่อมสมานกัน
ได้อีก. บทว่า สนฺธิ ได้แก่ ความสนิทสนมโดยความเป็นมิตร.

บทว่า เตสํ ความว่า ความสนิทสนมของคนทั้งสองนั้นเท่านั้น ย่อม
ไม่เสื่อมคลาย. บทว่า โย จาธิปนฺนํ ความว่า ก็ผู้ใดย่อมรู้โทษ
ผิดที่ทำไว้ในคนอื่น ซึ่งตนต้องแล้วคือล่วงเกินแล้ว. บทว่า เทสนํ
ความว่า และผู้ใดย่อมรู้ที่จะรับการแสดงโทษที่ผู้นั้นแม้รู้โทษตนจึง

แสดงแล้ว. บทว่า โย ปเรสาธิปนฺนานํ ความว่า ผู้ใดเมื่อคนอื่น
ล่วงเกิน คือถูกโทษครอบงำ กระทำความผิด. บทว่า สยํ สนฺธาตุ-
มรหติ ความว่า เมื่อคนเหล่านั้นแม้ไม่ขอขมาโทษ ตนเองสามารถ
ทำความสนิทสนม คือเชื่อมมิตรภาพอย่างนี้ว่า ท่านผู้มีหน้างามมาเถิด

จงเรียนอุเทส จงฟังอรรถกถา จงหมั่นประกอบภาวนา เพราะเหตุไร
ท่านจึงเหินห่าง ผู้นี้คือผู้เห็นปานนี้ เป็นผู้มีปกติอยู่ด้วยเมตตา เป็น
ผู้ประเสริฐยิ่ง ย่อมถึงการนับว่า ผู้นำภาระ และว่า ผู้ทรงธุระไว้
เพราะนำภาระ และธุระของมิตรไป.

พระโพธิสัตว์ได้ให้โอวาทแก่ดาบสบิดาอย่างนี้. จำเดิมแต่นั้น
ดาบสผู้บิดาแม้นั้นก็ได้เป็นผู้ฝึกตนทรมานตนได้ดีแล้ว.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรง
ประชุมชาดกว่า. ดาบสผู้บิดาในครั้งนั้น ได้เป็นพระเถระแก่ในบัดนี้
ดาบสน้อยในครั้งนั้น ได้เป็นสามเณรในบัดนี้ ส่วนพระโพธิสัตว์ผู้ให้
โอวาทแก่ดาบสผู้บิดาในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถากัสสปมันทิยชาดกที่ ๒

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 06:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาขันติวาทิชาดกที่ ๓

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภ
ภิกษุผู้มักโกรธรูปหนึ่ง จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
โย เต หตฺเถ จ ปาเท จ ดังนี้.

เรื่องได้กล่าวไว้แล้วในหนหลังนั่นแล. ก็ในที่นี้ พระ-
ศาสดาตรัสกะภิกษุนั้นว่า เธอบวชในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้
ไม่โกรธ เพราะเหตุไร จึงกระทำความโกรธเล่า โบราณกบัณฑิต
ทั้งหลาย เมื่อเครื่องประหารตั้งพันตกลงบนร่างกาย เมื่อถูกเขาตัดมือ
เท้า หู และจมูก ก็ยังไม่กระทำความโกรธแก่คนอื่น แล้วทรงนำเอา
เรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล พระเจ้ากาสีพระนามว่ากลาปุทรงครองราชสมบัติ
อยู่ในนครพาราณสี ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูล
พราหมณ์มีทรัพย์สมบัติ ๘๐ โกฏิ เป็นมาณพชื่อว่ากุณฑลกุมาร.
เจริญวัยแล้ว ได้เล่าเรียนศิลปะทุกอย่างในนครตักกศิลา แล้วรวบรวม

ทรัพย์สมบัติตั้งตัว เมื่อบิดามารดาล่วงลับไป. จึงมองดูกองทรัพย์แล้ว
คิดว่า ญาติทั้งหลายของเราทำทรัพย์ให้เกิดขึ้นแล้วไม่ถือเอาไปเลย
แต่เราควรจะถือเอาทรัพย์นั้นไป จึงจัดแจงทรัพย์ทั้งหมด ให้ทรัพย์แก่
คนที่ควรให้ ด้วยอำนาจการให้ทาน แล้วเข้าไปยังป่าหิมพานต์ บวช

ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยผลาผลไม้ อยู่เป็นเวลาช้านาน เพื่อต้องการ
จะเสพรสเค็มและรสเปรี้ยว จึงไปยังถิ่นมนุษย์ ถึงนครพาราณสีโดย
ลำดับ แล้วอยู่ในพระราชอุทยาน. วันรุ่งขึ้น เที่ยวภิกขาจารไปใน
นคร ถึงประตูนิเวศน์ของเสนาบดี. เสนาบดีเลื่อมใสในอิริยาบถของ

พระโพธิสัตว์นั้น จึงให้เข้าไปยังเรือนโดยลำดับ ให้บริโภคโภชนะที่
เขาจัดไว้เพื่อตน ให้รับปฏิญญาแล้วให้อยู่ในพระราชอุทยานนั้นนั่นเอง.
อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้ากลาปุทรงมึนเมาน้ำจัณฑ์มีนางนักสนมห้อมล้อม
เสด็จไปยังพระราชอุทยานด้วยพระอิสริยยศอันยิ่งใหญ่ ให้ลาดพระที่

บรรทมบนแผ่นศิลาอันเป็นมงคล แล้วบรรทมเหนือตักของหญิงที่ทรง
โปรดคนหนึ่ง หญิงนักฟ้อนทั้งหลายผู้ฉลาดในการขับร้อง การ


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 06:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ประโคม และการฟ้อนรำ ก็ประกอบการขับร้องเป็นต้น. พระเจ้า
กลาปุได้มีสมบัติดุจของท้าวสักกเทวราช ก็ทรงบรรทมหลับไป. ลำดับ
นั้น หญิงเหล่านั้น พากันกล่าวว่า พวกเราประกอบการขับร้อง
เป็นต้น เพื่อประโยชน์แก่พระราชาใด พระราชานั้นก็ทรงบรรทม
หลับไปแล้ว ประโยชน์อะไรแก่พวกเรา. ด้วยการขับร้องเป็นต้น จึง

ทิ้งเครื่องดนตรีมีพิณเป็นต้นไว้ในที่นั้นๆ เอง แล้วหลีกไปยังพระราช-
อุทยาน ถูกดอกไม้ ผลไม้ และใบไม้เป็นต้นล่อใจ จึงอภิรมย์อยู่ใน
พระราชอุทยาน. ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์นั่งอยู่ ดุจช้างซับมัน
ตัวประเสริฐ. ยังเวลาให้ล่วงไปด้วยความสุขในบรรพชาอยู่ ณ โคน

ต้นสาละมีดอกบานสะพรั่งในพระราชอุทยานนั้น. ลำดับนั้น หญิง
เหล่านั้นหลีกไปยังพระราชอุทยานแล้วเที่ยวไปอยู่ ได้เห็นพระโพธิ-
สัตว์นั้น จึงกล่าวกันว่า มาเถิดท่านทั้งหลาย พระผู้เป็นเจ้าของพวกเรา
เป็นบรรพชิตนั่งอยู่ที่โคนไม้ต้นหนึ่ง พวกเราจักนั่งฟังอะไรๆ ในสำนัก

ของพระผู้เป็นเจ้านั้น ตราบเท่าที่พระราชายังไม่ทรงตื่นบรรทม จึงได้
ไปไหว้นั่งล้อมแล้วกล่าวว่า ขอท่านโปรดกล่าวอะไรๆ ที่ควรกล่าว
แก่พวกดิฉันเถิด. พระโพธิสัตว์จึงกล่าวธรรมแก่หญิงเหล่านั้น. ครั้ง
นั้น หญิงคนนั้นขยับตัวทำให้พระราชาตื่นบรรทม. พระราชาทรงตื่น

บรรทมแล้วไม่เห็นหญิงพวกนั้น จึงตรัสว่า พวกหญิงถ่อยไปไหน.
หญิงคนโปรด นั้นกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช หญิงเหล่านั้นไป.
นั่งล้อมดาบสรูปหนึ่ง. พระราชาทรงกริ้วถือพระขรรค์ได้รีบเสด็จไป
ด้วยตั้งพระทัยว่า จักตัดหัวของชฎิลโกงนั้น. ลำดับนั้น หญิงเหล่านั้น

เห็นพระราชาทรงกริ้วกำลังเสด็จมา ในบรรดาหญิงเหล่านั้น หญิงคน
ที่โปรดมากไปแย่งเอาพระแสงดาบจากพระหัตถ์ของพระราชาให้พระ-
ราชาสงบระงับ. พระราชานั้นเสด็จไปประทับยืนในสำนักของพระ-
โพธิสัตว์แล้วตรัสถามว่า สมณะ แกมีวาทะว่ากระไร ? พระโพธิสัตว์

ทูลว่า มหาบพิตรอาตมามี ขันติวาทะ กล่าวยกย่องขันติ. พระราชา
ที่ชื่อว่าขันตินั้น คืออะไร ? พระโพธิสัตว์ คือความไม่โกรธในเมื่อเขา
ด่าอยู่ ประหารอยู่ เย้ยหยันอยู่. พระราชาตรัสว่า ประเดี๋ยว เรา
จักเห็นความมีขันติของแก แล้วรับสั่งให้เรียกเพชฌฆาตผู้ฆ่าโจรมา.


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 06:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เพชฌฆาตนั้นถือขวานและแซ่หนามตามจารีตของตน นุ่งผ้ากาสาวะ
สวมพวงมาลัยแดง มาถวายบังคมพระราชาแล้วกราบทูลว่า ข้าพระองค์
จะทำอะไร พระเจ้าข้า ? พระราชาตรัสว่า เจ้าจงจับดาบสชั่วเยี่ยงโจร
นี้ ฉุดให้ล้มลงพื้นแล้วเอาแซ่หนามเฆี่ยนสองพันครั้งในข้างทั้งสี่ คือ
ข้างหน้า ข้างหลัง และด้านข้างๆ ทั้งสองด้าน เพชฌฆาตนั้นได้

กระทำเหมือนรับสั่งนั้น. ผิวของพระโพธิสัตว์ขาด หนังขาด เนื้อขาด
โลหิตไหล. พระราชาตรัสถามอีกว่า เจ้ามีวาทะว่ากระไร ? พระโพธิ-
สัตว์ทูลว่า มหาบพิตร อาตมามีวาทยกย่องขันติ ก็พระองค์สำคัญว่า
ขันติมีในระหว่างหนังของอาตมา ขันติไม่ได้มีในระหว่างหนังของ

อาตมา มหาบพิตร ก็ขันติของอาตมาตั้งอยู่เฉพาะภายในหทัย ซึ่งพระ-
องค์ไม่อาจแลเห็น. เพชฌฆาตทูลถามอีกว่า ข้าพระองค์จะทำอะไร ?
พระราชาตรัสว่า จงตัดมือทั้งสองข้างของดาบสโกงผู้นี้. เพชฌฆาตนั้น
จับขวานตัดมือทั้งสองข้างแค่ข้อมือ. ทีนั้น พระราชาตรัสกะเพชฌฆาต

นั้นว่า จงตัดเท้าทั้งสองข้าง. เพชฌฆาตก็ตัดเท้าทั้งสองข้าง. โลหิต
ไหลออกจากปลายมือและปลายเท้า เหมือนรดน้ำครั่งไหลออกจาก
หม้อทลุฉะนั้น. พระราชาตรัสถามอีกว่า เจ้ามีวาทะว่ากระไร ? พระ-
โพธิสัตว์ทูลว่า มหาบพิตรอาตมามีวาทะยกย่องขันติ ก็พระองค์สำคัญ

ว่า ขันติมีอยู่ที่ปลายมือปลายเท้าของอาตมา ขันตินั่นไม่มีอยู่ที่นี้
เพราะขันติของอาตมาตั้งอยู่เฉพาะภายในหทัยอันสถานที่ลึกซึ้ง. พระ-
ราชานั้นตรัสว่า จงตัดหูและจมูกของดาบสนี้. เพชฌฆาตก็ตัดหู
และจมูก. ทั่วทั้งร่างกายมีแต่โลหิต. พระราชาตรัสถามอีกว่า เจ้ามี

วาทะกระไร ? พระโพธิสัตว์ทูลว่า มหาบพิตร อาตมามีวาทะยกย่อง
ขันติ แต่พระองค์ได้สำคัญว่า ขันติตั้งอยู่เฉพาะที่ปลายหู ปลายจมูก
ขันติของอาตมาตั้งอยู่เฉพาะภายในหทัยอันลึก. พระราชาตรัสว่า เจ้า
ชฎิลโกง เจ้าเท่านั้นจงนั่งยกเชิดชูขันติของเจ้าเถิด แล้วเอาพระบาท
กระทืบยอดยกแล้วเสด็จหลีกไป. เมื่อพระราชานั้นเสด็จไปแล้ว เสนา-


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 06:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บดีเช็ดโลหิตจากร่างกายของพระโพธิสัตว์ แล้วเก็บรวบรวมปลายมือ
ปลายเท้า ปลายหู และปลายจมูกไว้ที่ชายผ้าสาฎกค่อยๆ ประคองให้
พระโพธิสัตว์นั่งแล้วไหว้ ได้นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่งแล้วกล่าวว่า ท่าน
ผู้เจริญ ถ้าท่านจะโกรธ ควรโกรธพระราชาผู้ทำผิดในท่านไม่ควร
โกรธผู้อื่น เมื่อจะอ้อนวอนจึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-

ข้าแต่ท่านผู้มีความเพียรมาก ผู้ใดให้
ตัดมือ เท้า หู และจมูกของท่าน ท่านจงโกรธ
ผู้นั้นเถิด อย่าได้ทำรัฐนี้ให้พินาศเสียเลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มหาวีร แปลว่า ผู้มีความเพียร
ใหญ่หลวง. บทว่า มา รฏฺ€ํ วินสฺส อิทํ ความว่า ท่านอย่าทำ
กาสิกรัฐอันหาความผิดมิได้นี้ให้พินาศ.
พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-

พระราชาพระองค์ใดรับสั่งให้ตัดมือ เท้า
หู และจมูกของอาตมภาพ ขอพระราชา
พระองค์นั้นจงทรงพระชนม์ยืนนาน บัณฑิต
ทั้งหลาย เช่นกับอาตมภาพย่อมไม่โกรธ
เคืองเลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มาทิสา ความว่า บัณฑิตทั้งหลาย
ผู้ประกอบด้วยกำลังแห่งขันติเช่นกับอาตมา ย่อมไม่โกรธว่า ผู้นี้ด่า
บริภาษ เย้ยหยัน ประหารเรา ตัดอวัยวะทำลายเรา.

ในกาลที่พระราชาเสด็จออกจากพระราชอุทยาน ลับคลองจักษุ
ของพระโพธิสัตว์เท่านั้น มหาปฐพีอันหนาสองแสนสี่หมื่นโยชน์นี้ก็
แยกออก ประดุจผ้าสาฎกทั้งกว้างทั้งแข็งแตกออกฉะนั้น. เปลวไฟ
จากอเวจีนรก แลบออกมาจับพระราชาเหมือนห่มด้วยผ้ากัมพลแดงที่

ตระกูลมอบให้. พระราชาเข้าสู่แผ่นดินที่ประตูพระราชอุทยานนั่นเอง
แล้วตั้งอยู่เฉพาะในอเวจีมหานรก. พระโพธิสัตว์ก็ได้ทำกาละในวัน
นั้นเอง. ราชบุรุษและชาวนครทั้งหลายถือของหอม ดอกไม้ ประทีป

และธูป มากระทำฌาปนกิจสรีระของพระโพธิสัตว์. ส่วนเกจิอาจารย์
กล่าวว่า พระโพธิสัตว์กลับไปยังหิมวันตประเทศนั่นเอง. คำของเกจิ-
อาจารย์นั้นไม่จริง. มีอภิสัมพุทธคาถาทั้งสองคาถานี้อยู่ว่า :-


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 06:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
สมณะผู้สมบูรณ์ด้วยขันติ ได้มีมาใน
อดีตกาลนานแล้ว พระเจ้ากาสีได้รับสั่งให้ห้ำ
หั่นสมณะนั้นผู้ดำรงอยู่เฉพาะในขันติธรรม.

พระเจ้ากาสีหมกไหม้อยู่ในนรก เสวย
วิบากอันเผ็ดร้อนของกรรมที่หยาบช้านั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อตีตมทฺธานํ แปลว่า ในอดีตกาล
อันยาวนาน. บทว่า ขนฺติทีปโน ได้แก่ ผู้เพียบพร้อมด้วยอธิวาสน-
ขันติ. บทว่า อเฉทยิ ได้แก่ รับสั่งให้ฆ่า. แต่พระเถระพวกหนึ่ง
กล่าวว่ามือและเท้าของพระโพธิสัตว์ต่อติดได้อีก. คำนั้นไม่จริงเหมือน
กัน. บทว่า สมปฺปิโต ได้แก่ ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรง
ประกาศสัจจะแล้วทรงประชุมชาดก. ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้ขี้โกรธ
บรรลุพระอนาคามิผล. พระเจ้ากาสีพระนามว่ากลาปุในครั้งนั้น ได้
เป็นพระเทวทัต เสนาบดีในครั้งนั้น ได้เป็นพระสารีบุตร ส่วนดาบส
ผู้มีวาทะยกย่องขันติในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาขันติวาทิชาดกที่ ๓

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 06:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
พระเจ้าโกศล จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ทุชฺชีวิตม-
ชีวิมฺหา ดังนี้.

ได้ยินว่า ในครั้งนั้น พระเจ้าโกศลได้ทรงสดับเสียงของ
สัตว์นรก ๔ ตน ในตอนกลางคืน คือสัตว์นรกตนหนึ่งกล่าวเฉพาะ
ทุ อักษรเท่านั้น ตนหนึ่งกล่าว ส อักษร ตนหนึ่งกล่าว น อักษร
ตนหนึ่งกล่าว โส อักษรเท่านั้น. นัยว่า ในอดีตภพ สัตว์นรก

เหล่านั้นได้เป็นราชโอรสทำปรทาริกกรรม อยู่ในพระนครสาวัตถี
นั่นเอง. พระราชโอรสเหล่านั้นผิดมาตุคามทั้งหลายที่คนอื่นรักษา
คุ้มครอง เล่นเพลิดเพลินใจทำบาปกรรม ถูกกงจักรคือความตาย
ตัดแล้ว บังเกิดในโลหกุมภี ๔ ขุม ณ ที่ใกล้พระนครสาวัตถี ไหม้

อยู่ในโลหกุมภีนั้น ๖ หมื่นปี ผุดขึ้นมา เห็นขอบปากโลหกุมภี
ทั้ง ๔ ตนพากันร้องตามลำดับกันด้วยเสียงอันดังว่า เมื่อไรหนอ
พวกเราจักพ้นทุกข์นี้. พระราชาได้ทรงสดับเสียงของสัตว์นรกเหล่านั้น
ทรงสดุ้งกลัวต่อมรณภัย ประทับนั่งอยู่นั่นแหละจนอรุณขึ้น. ในเวลา

รุ่งอรุณแล้ว พราหมณ์ทั้งหลายมาเฝ้าทูลถามพระราชาถึงสุขไสยาส.
พระราชาตรัสว่า ท่านอาจารย์ทั้งหลาย เราจะนอนสบายมาแต่ไหน
วันนี้ เราได้ยินเสียงน่าหวาดเสียว ๔ เสียงเห็นปานนี้. พราหมณ์
ทั้งหลายพากันสบัดมือ. พระราชาตรัสถามว่า เป็นอย่างไรหรือ

ท่านอาจารย์. พวกพราหมณ์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช เสียงหยาบช้า
สาหัสมาก พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า แก้ไขได้หรือไม่. พวก
พราหมณ์กราบทูลว่า ถึงจะแก้ไขไม่ได้แต่พวกข้าพระองค์ได้ศึกษา
มาดีแล้ว. พระราชาตรัสว่า ท่านทั้งหลายจักทำอย่างไรจึงจักห้ามได้.

พวกพราหมณ์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช พวกข้าพระองค์ไม่อาจทำ
พิธีกรรมแก้ไขให้เป็นการใหญ่โต แต่พวกข้าพระองค์จักบูชายัญ
ประกอบด้วยเครื่อง ๔ ทุกอย่างป้องกันไว้. พระราชาตรัสว่า ถ้า
อย่างนั้น ท่านทั้งหลายจงรีบจับสัตว์มีชีวิตอย่างละ ๔ ตั้งต้นแต่


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 06:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
นกมูลไถไป คือ ช้าง ๔ ม้า ๔ โคผู้ ๔ มนุษย์ ๔ แล้วบูชายัญ
ประกอบด้วยสิ่งทั้งปวงอย่างละ ๔ กระทำความสวัสดีแก่เราเถิด.
พราหมณ์ทั้งหลายรับพระดำรัสว่า ดีละข้าแต่มหาราช แล้วถือเอาสิ่ง
ที่ต้องการไปขุดหลุมยัญ นำสัตว์เป็นอันมากเข้าไปผูกไว้ที่หลัก ถึง
ความอุตสาหะว่า พวกเราจักกินเนื้อปลามาก จักได้ทรัพย์มาก

จึงกราบทูลว่า. ข้าแต่สมมติเทพ ได้สิ่งนี้ควร ได้สิ่งนี้ควร เที่ยว
วุ่นวายอยู่. พระนางมัลลิกาเทวีเข้าไปเฝ้าพระราชาแล้วทูลถามว่า
ข้าแต่มหาราช เหตุไรหนอพวกพราหมณ์จึงร่าเริงเหลือเกินเที่ยวไปอยู่.
พระราชาตรัสว่า เทวี ประโยชน์อะไรด้วยเรื่องนี้แก่เธอ เธอประมาท

มัวเมาอยู่ด้วยยศอย่างของตน ส่วนความทุกข์ตกอยู่แก่เราเท่านั้น.
พระนางมัลลิกาทูลถามว่า เรื่องอะไรเล่า มหาราชเจ้า. พระราชา
ตรัสว่า ดูก่อนเทวี ฉันได้ยินเสียงที่ไม่เคยได้ยินชื่อเห็นปานนี้ แต่นั้น
จึงได้ถามพราหมณ์ทั้งหลายว่า เพราะได้ยินเสียงเหล่านี้ เหตุการณ์

อะไรจักเกิดมี พวกพราหมณ์พากันกล่าวว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า อันตราย
แห่งราชสมบัติ แห่งโภคทรัพย์ หรือแห่งชีวิต จักปรากฎแก่พระองค์
พวกข้าพระองค์จักบูชายัญด้วยสิ่งทั้งปวงอย่างละ ๔ แล้วจักมีความ
สวัสดี พราหมณ์เหล่านั้นรับคำสั่งของฉันแล้ว ทำหลุมยัญแล้วพากัน

มา เพราะเหตุแห่งของที่ต้องการนั้น พระนางมัลลิกากราบทูลว่า
ข้าแต่สมมติเทพ ก็พระองค์ทูลถามพราหมณ์ผู้เลิศในโลก พร้อมทั้ง
เทวโลก ถึงความสำเร็จผลแห่งเสียงเหล่านี้แล้วหรือ ? พระราชา


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 08:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ตรัสว่า ดูก่อนเทวี ใครนั่น ? เป็นพราหมณ์ผู้เลิศในโลกพร้อมทั้ง
เทวโลก. พระนางมัลลิกากราบทูลว่า พระมหาโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระราชาตรัสว่า พระเทวี ฉันยังไม่ได้ทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระนางมัลลิกากราบทูลว่า ถ้าอย่างนั้น ขอพระองค์จงเสด็จไปทูลถาม

ท่านเถิด. พระราชาทรงเชื่อถือถ้อยคำของพระนางมัลลิกานั้น เสวย
พระกระยาหารเช้าแล้วเสด็จขึ้นทรงรถอันประเสริฐ เสด็จไปยังพระ-
วิหารเชตวัน ถวายบังคมพระศาสดาแล้วทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ในตอนกลางคืนหม่อมฉันได้ยินเสียง ๔ เสียง ถามพวก

พราหมณ์ดูแล้ว เขาบอกว่า จักบูชายัญด้วยสิ่งของทั้งปวงอย่างละ ๔
แล้วจักทำความสวัสดีให้เพราะได้ยินเสียงเหล่านั้น เหตุอะไรจักมีแก่
หม่อมฉัน พระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสว่า มหาบพิตร เหตุอะไร ๆ
ไม่มีแก่พระองค์ สัตว์นรกทั้งหลายเสวยทุกข์อยู่จึงร้องอย่างนี้ เสียง

เหล่านี้ พระองค์ได้ฟังอย่างนี้ เฉพาะในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้
พระราชาครั้งเก่าก่อนทั้งหลายก็ได้ทรงสดับมาแล้วเหมือนกัน ท้าวเธอ
มีพระประสงค์จะทำยัญด้วยการฆ่าปศุสัตว์ เพราะตรัสถามพวก

พราหมณ์ แต่ไม่ทรงกระทำ เพราะได้ฟังถ้อยคำของบัณฑิตทั้งหลาย
บัณฑิตทั้งหลายกล่าวแถลงเค้าเงื่อนแห่งเสียงเหล่านั้น ได้ให้ปล่อย
มหาชนไป ได้กระทำความสวัสดีปลอดภัยให้แล้ว อันพระราชานั้น
ทูลอาราธนาแล้ว จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ใน
พระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ในกาสิก-
คามแห่งหนึ่ง เจริญวัยแล้วก็ละกามทั้งหลายบวชเป็นฤาษี ทำฌานและ
อภิญญาให้เกิดขึ้น เล่นฌานอยู่ในไพรสณฑ์อันน่ารื่นรมย์ ณ ประเทศ

หิมพานต์. ในกาลนั้น พระเจ้าพาราณสี ได้สดับเสียง ๔ ประการนี้
ของสัตว์นรก ๔ ตน ทรงหวาดกลัวสดุ้งพระทัย เมื่อพราหมณ์


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 08:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ทั้งหลายกราบทูลโดยทำนองนี้แหละว่า อันตราย ๓ อย่าง อย่างใด
อย่างหนึ่งจักบังเกิดมี ข้าพระองค์ทั้งหลายจักทำอันตรายนั้นให้สงบลง
ด้วยยัญ ประกอบด้วยสิ่งทั้งปวงอย่างละ ๔ จึงทรงรับเอา. ปุโรหิต
พร้อมกับพวกพราหมณ์ให้ขุดหลุมสำหรับบูชายัญ. มหาชนถูกนำเข้า
ไปที่หลัก. ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์กระทำเมตตาภาวนาให้เป็น

ปุเรจาริก ตรวจดูชาวโลกด้วยทิพยจักษุ ได้เห็นเหตุนี้แล้วคิดว่า วันนี้
เราควรจะไป ความสวัสดีปลอดภัยจักมีแก่มหาชน จึงเหาะขึ้นยัง
เวหาสด้วยกำลังฤทธิ์ แล้วลงที่พระราชอุทยานของพระเจ้าพาราณสี
นั่งอยู่ที่แผ่นมงคลศิลาประดุจรูปทอง. ในกาลนั้น อันเตวาสิกผู้ใหญ่

ของปุโรหิต เข้าไปหาอาจารย์แล้วกล่าวว่า ท่านอาจารย์ ในเวทย์
ของเราทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าการฆ่าผู้อื่นแล้วกระทำความสวัสดีปลอดภัย
ให้ย่อมไม่มี มิใช่หรือ. ปุโรหิตห้ามอันเตวาสิกนั้นว่า เจ้าจงพอใจ
ราชทรัพย์ เราจักได้กินมัจฉมังสาหารเป็นอันมาก จักได้ทรัพย์
เจ้าจงนิ่งเสียเถิด. อันเตวาสิกนั้นคิดว่า เราจักไม่เป็นสหายในเรื่องนี้

จึงออกไปยังพระราชอุทยาน เห็นพระโพธิสัตว์แล้วจึงไหว้ กระทำ
ปฏิสันถารแล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง. พระโพธิสัตว์ถามว่า มาณพ
พระราชาครองราชสมบัติโดยธรรมหรือ ? อันเตวาสิกนั้นกล่าวว่า
ท่านผู้เจริญ พระราชาทรงครองราชสมบัติโดยธรรม แต่ในตอน

กลางคืน พระราชาได้ทรงสดับเสียง ๔ ประการจึงตรัสถามพราหมณ์
ทั้งหลาย พวกพราหมณ์กราบทูลว่า ข้าพระองค์ทั้งหลายจักบูชายัญ
ด้วยสิ่งทั้งปวงอย่างละ ๔ แล้วจักกระทำความสวัสดีให้ พระราชา
ทรงพระประสงค์จะทำกรรมคือฆ่าปศุสัตว์ แล้วกระทำความสวัสดีให้

แก่ตน มหาชนถูกนำเข้าไปไว้ที่หลัก ท่านผู้เจริญ การที่ผู้มีศีล
เช่นกับท่านจะบอกความสำเร็จผลแห่งเสียงเหล่านั้น แล้วปลดปล่อย
มหาชนจากปากแห่งความตาย ย่อมไม่ควรหรือหนอ. พระโพธิสัตว์
กล่าวว่า มาณพ พระราชาไม่ทรงรู้จักพวกเรา แม้พวกเราก็ไม่รู้จัก

พระราชาพระองค์นั้น แต่เราทั้งหลายรู้จักความสำเร็จผลแห่งเสียง
เหล่านี้ ถ้าพระราชาจะเสด็จมาหาเราแล้วถาม เราจะทูลถวายพระราชา
ให้หมดความสงสัย. อันเตวาสิกนั้นกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น
ท่านจงอยู่ที่นี้แหละ สักครู่เราจักนำพระราชามา. พระโพธิสัตว์


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 87, 88, 89, 90, 91, 92, 93 ... 151  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร