วันเวลาปัจจุบัน 01 ส.ค. 2025, 21:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 86, 87, 88, 89, 90, 91, 92 ... 151  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2018, 13:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พราหมณ์ เราติเตียนคือครหานินทา การได้ยศและทรัพย์ของท่าน
อย่างนี้ เพราะเหตุไร ? เพราะลาภที่ท่านได้แล้วนี้ และความถึงพร้อม
ด้วยเหตุอันเป็นเครื่องให้ตกไปในอบายทั้งหลายต่อไป ชื่อว่าเป็นการ
ประพฤติเลี้ยงชีพโดยไม่ชอบธรรม จะประโยชน์อะไรด้วยการเลี้ยงชีพ
ซึ่งสำเร็จด้วยการทำตนให้ตกต่ำต่อไปนี้ หรือด้วยการประพฤติอันไม่
ชอบธรรมนี้ ด้วยเหตุนั้น เราจึงกล่าวอย่างนี้กะท่าน.

ลำดับนั้น พระราชาทรงเลื่อมใสธรรมกถาของพระโพธิสัตว์
นั้น ตรัสถามว่า บุรุษผู้เจริญ เธอเป็นชาติอะไร ? พระโพธิสัตว์
กราบทูลว่า ข้าพระองค์เป็นคนจัณฑาล พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า
ท่านผู้เจริญ ถ้าเธอจักได้เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยชาติไซร้ เราจักได้ให้

ราชสมบัติแก่เธอ ก็ตั้งแต่นี้ไป เราจักเป็นพระราชาตอนกลางวัน
เธอจงเป็นพระราชาตอนกลางคืน แล้วประทานพวงดอกไม้ เครื่อง
ประดับพระศอของพระองค์ให้ประดับคอของพระโพธิสัตว์นั้น แล้วได้
ทรงกระทำพระโพธิสัตว์นั้น ให้เป็นผู้รักษาพระนคร. นี้เป็นธรรม-

เนียมของการประดับพวงดอกไม้แดงที่คอของตนผู้รักษาพระนคร. จำ
เดิมแต่นั้นมา พระราชาทรงดำรงอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์นั้น
ทรงทำความเคารพในฐานอาจารย์ ประทับนั่งบนอาสนะต่ำแล้วทรง
เรียนมนต์

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดกว่า พระราชาในครั้งนั้น ได้เป็นพระอานนท์ ส่วนบุตรคน
จัณฑาล คือเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาฉวกชาดกที่ ๙

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2018, 19:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาสัยหชาดกที่ ๑๐

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร ทรงปรารภ
ภิกษุผู้กระสันจะสึก จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
สสมุทฺทปริสาสํ ดังนี้

ได้ยินว่า ภิกษุนั้นเที่ยวบิณฑบาตไปในพระนครสาวัตถี เห็น
หญิงตกแต่งประดับประดามีรูปร่างงดงามคนหนึ่ง. เป็นผู้กระสันอยาก
สึก ไม่ยินดีในพระศาสนา ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลาย จึงพากันแสดง
ภิกษุนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. ภิกษุนั้นถูกพระศาสดาตรัสถามว่า
ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่าเธอเป็นผู้กระสันอยากสึกจริงหรือ. จึงกราบทูลว่า

จริง พระเจ้าข้า. เมื่อพระศาสดาตรัสว่า ใครทำให้เธอกระสันอยากสึก
จึงกราบทูลเนื้อความนั้น. พระศาสดาตรัสว่า เธอบวชในศาสนาอัน
เป็นเครื่องนำออกจากทุกข์เห็นปานนี้ เพราะเหตุไรจึงกระสันอยากสึก
บัณฑิตทั้งหลายในกาลก่อน แม้จะได้ตำแหน่งปุโรหิต ก็ยังปฏิเสธ

ตำแหน่งนั้นแล้วไปบวช ครั้นตรัสแล้วจึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมา
สาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนคร
พาราณสี พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในท้องนางพราหมณีของปุโรหิต
คลอดในวันเดียวกันกับพระโอรสของพระราชา. พระราชาตรัสถาม
อำมาตย์ทั้งหลายว่า ใครๆ ผู้เกิดในวันเดียวกันกับโอรสของเรา มีอยู่

หรือหนอ ? อำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช มีพระเจ้าข้า
คือบุตรของปุโรหิต. พระราชาจึงทรงสั่งเอาบุตรของปุโรหิตนั้นมามอบ
ให้แม่นมทั้งหลาย ให้ประคบประหงมร่วมกันกับพระราชโอรส. เครื่อง
ประดับและเครื่องดื่ม เครื่องบริโภคของกุมารแม้ทั้งสอง ได้เป็นเช่น

เดียวกันทีเดียว. พระราชกุมารและกุมารเหล่านั้นเจริญวัยแล้วไปเมือง
ตักกศิลาเรียนศิลปะทั้งปวงร่วมกันแล้วกลับมา. พระราชาได้พระราช-
ทานตำแหน่งอุปราชแก่พระโอรส. พระโพธิสัตว์ได้มียศยิ่งใหญ่ จำเดิม
แต่นั้นมา พระโพธิสัตว์กับพระราชโอรสก็กินร่วมกัน ดื่มร่วมกัน

นอนร่วมกัน ความวิสาสะคุ้นเคยกันและกันได้มั่นคงแน่นแฟ้น ใน
กาลต่อมา เมื่อพระราชบิดาสวรรคตแล้ว พระราชโอรสได้ดำรงอยู่ใน
ราชสมบัติ ทรงเสวยสมบัติใหญ่. พระโพธิสัตว์คิดว่า สหายของเรา
ได้ครองราชย์ ก็ในขณะที่ทรงกำหนดตำแหน่งนั่นแหละ คงจักพระ-


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2018, 19:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ราชทานตำแหน่งปุโรหิตแก่เรา เราจะประโยชน์อะไรด้วยการครองเรือน
เราจักบวชพอกพูนความวิเวก พระโพธิสัตว์นั้นไหว้บิดามารดาให้
อนุญาตการบรรพชาแล้วสละสมบัติใหญ่ ผู้เดียวเท่านั้น ออกไป
หิมวันตประเทศ สร้างบรรณศาลาอยู่ในภูมิภาคอันน่ารื่นรมย์ บวช

เป็นฤาษี ทำอภิญญาและสมาบัติให้บังเกิดแล้วเล่นฌานอยู่. ในกาลนั้น
พระราชาหวนระลึกถึงพระโพธิสัตว์นั้นจึงถามว่า สหายของเราไม่
ปรากฎเขาไปไหนเสีย. อำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลถึงความที่พระโพธิ-
สัตว์นั้นบวชแล้วกราบทูลว่า ได้ยินว่า สหายของพระองค์อยู่ใน

ไพรสณฑ์อันน่ารื่นรมย์. พระราชาตรัสถามตำแหน่งแห่งที่อยู่ของ
พระโพธิสัตว์นั้นแล้ว ตรัสกะสัยหอำมาตย์ ท่านจงมา จงพาสหาย
ของเรามา เราจักให้ตำแหน่งปุโรหิตแก่สหายของเรานั้น. สัยหอำมาตย์
นั้นรับพระดำรัสแล้วออกจากนครพาราณสี ถึงปัจจันตคามโดยลำดับ
แล้วตั้งค่าย ณ บ้านปัจจันตคามนั้น แล้วไปยังสถานที่อยู่ของพระ-

โพธิสัตว์พร้อมกับพวกพรานป่า เห็นพระโพธิสัตว์นั่งอยู่ที่ประตูบรรณ
ศาลา เหมือนรูปทองจึงไหว้แล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง กระทำปฏิสันถาร
แล้วกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ พระราชามีพระประสงค์จะพระราชทาน
ตำแหน่งอุปราชแก่ท่าน ทรงหวังให้ท่านกลับมา. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า

ตำแหน่งปุโรหิตจงพักไว้ก่อน เราแม้จะได้ราชสมบัติในแคว้นกาสี
โกศล และชมพูทวีปทั้งสิ้น หรือเฉพาะสิริแห่งพระเจ้าจักรพรรดิก็ตาม
ก็จักไม่ปรารถนา ก็บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่กลับ ถือเอากิเลสทั้งหลาย
ซึ่งละแล้วครั้งเดียวอีก เพราะสิ่งที่ละทิ้งไปแล้วครั้งเดียว เป็นเช่น
กับก้อนเขฬะที่ถ่มไปแล้ว จึงได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-

บัณฑิตไม่พึงปรารถนาพื้นแผ่นดิน มี
สัณฐานดุจกุณฑลท่ามกลางสาคร มีมหา-
สมุทรล้อมอยู่โดยรอบ พร้อมด้วยการนินทา
ดูก่อนสัยหะอำมาตย์ ท่านจงรู้อย่างนี้เถิด.

ดูก่อนพราหมณ์ เราติเตียนการได้ยศ
การได้ทรัพย์ และการเลี้ยงชีพด้วยการทำตน
ให้ตกต่ำ หรือด้วยการประพฤติไม่เป็นธรรม.


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2018, 19:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ถึงแม้เราบวชเป็นบรรพชิตถือบาตรเที่ยว
ภิกขาจาร ความเลี้ยงชีวิตนั้นนั่นแหละประ-
เสริฐกว่า การแสวงหาโดยไม่เป็นธรรมจะ
ประเสริฐกว่าอะไร

ถึงแม้เราบวชเป็นบรรพชิตถือบาตร
เที่ยวภิกขาจาร ไม่เบียดเบียนผู้อื่นในโลก
นั้นประเสริฐกว่าราชสมบัติเสียอีก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สสมุทฺทปริสาสํ ความว่า บริวาร
ท่านเรียกว่า ปริสาสะ. แม้กับบริวารกล่าวคือสมุทร พร้อมด้วยภูเขา
จักรวาล ซึ่งตั้งล้อมสมุทร. บทว่า สาครกุณฺฑลํ ความว่า เป็นดัง
กุณฑลคือต่างหูของสาครนั้น เพราะตั้งอยู่โดยเป็นเกาะในท่ามกลาง
สาคร. บทว่า นินฺทาย ได้แก่ ด้วยการนินทาดังนี้ว่า ละทิ้งการบวช

อันสมบูรณ์ด้วยสุขในฌานแล้วถือเอาอิสริยยศ. พระโพธิสัตว์เรียก
อำมาตย์นั้นโดยชื่อว่า สัยหะ บทว่า วิชานาหิ แปลว่า ท่านจงรู้
ธรรม บทว่า ยา วุตฺติ วินิปาเตน ความว่า การได้ยศ การได้
ทรัพย์ และการเลี้ยงชีพอันใดที่เราได้ด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูง ย่อมมี
ได้ด้วยการทำตนให้ตกต่ำกล่าวคือการยังตนให้ตกไปจากความสุขใน

ฌาน หรือด้วยการไปจากที่นี้แล้ว ประพฤติไม่เป็นธรรมแห่งเราผู้
มัวเมาด้วยความมัวเมาในยศ เราติเตียนความเลี้ยงชีพนั้น. บทว่า
ปตฺตมาทาย ได้แก่ ถือภาชนะเพื่อภิกษา. บทว่า อนาคาโร ความว่า
เราเป็นผู้เว้นจากเรือน เที่ยวไปในตระกูลของคนอื่น. บทว่า สาเอว
ชีวิกา ความว่า ความเป็นอยู่ของเรานั้นนั่นแหละ ประเสริฐกว่า

คือเลิศกว่า. บทว่า ยา จาธมฺเมน ได้แก่ และการแสวงหาโดยไม่เป็น
ธรรมอันใด. ท่านกล่าวอธิบายว่า ความเป็นอยู่นี้นั่นแลดีกว่าการ
แสวงหาโดยไม่เป็นธรรมนั้น. บทว่า อหึสยํ แปลว่า ไม่เบียดเบียน.
บทว่า อปิ รชฺเชน ความว่า เราถือกระเบื้องสำเร็จการเลี้ยงชีพ
โดยไม่เบียดเบียนผู้อื่นอย่างนี้ ประเสริฐคือสูงสุดแม้กว่าความเป็น
พระราชา.


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2018, 19:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระโพธิสัตว์นั้นห้ามปราม สัยหะอำมาตย์แม้ผู้จะอ้อนวอน
อยู่บ่อยๆ ด้วยประการฉะนี้. ฝ่ายสัยหะอำมาตย์ครั้นไม่ได้ความตกลง
ปลงใจของพระโพธิสัตว์ จึงไหว้พระโพธิสัตว์แล้วไปกราบทูลแก่พระ-
ราชาถึงความที่พระโพธิสัตว์นั้นไม่กลับมา.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรง
ประกาศสัจจะทั้งหลายแล้วประชุมชาดก. ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้
กระสันจะสึก ได้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ชนเป็นอันมากแม้อื่นอีกได้
กระทำให้แจ้งโสดาปัตติผลเป็นต้น. พระราชาในครั้งนั้น ได้เป็นพระ-
อานนท์ สัยหะอำมาตย์ในครั้งนั้น ได้เป็นพระสารีบุตร ส่วนบุตร
ของปุโรหิตในครั้นั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาสัยหชาดกที่ ๑๐

รวมชาดกที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. จุลลกาลิงคชาดก ๒. มหาอสัสาโรหชาดก ๓. เอาราช-
ชาดก ๔. ทัททรชาดก ๕. สีลวีมังสชาดก ๖. สุชาตาชาดก
๗. ปลาสชาดก ๘. ชวสกุณชาดก ๙. ฉวชาดก ๑๐. สัยหชาดก
จบ กาลิงควรรคที่ ๑

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2018, 19:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาปุจิมันทวรรคที่ ๒
อรรถกถาปุจิมันทชาดกที่ ๑


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหาร ทรงปรารภ
ท่านพระมหาโมคคัลลานะ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
อุฎฺเ€หิ โจร กึ เสสิ ดังนี้.

ได้ยินว่า เมื่อพระเถระเข้าไปอาศัยนครราชคฤห์ อยู่ในกุฎีที่
สร้างอยู่ในป่า มีโจรคนหนึ่งตัดที่ต่อในเรือนหลังหนึ่ง ในบ้านใกล้
ประตูเมือง ถือเอาทรัพย์ที่เป็นแก่นสารซึ่งพอจะถือเอาไปได้ หนีไป
เข้าบริเวณกุฎีของพระเถระ แล้วนอนที่หน้ามุขบรรณศาลาของพระ-
เถระด้วยคิดว่า ณ ที่นี้จักคุ้มครองรักษาเราได้. พระเถระรู้ว่าโจรนั้น

นอนอยู่ที่หน้ามุข จึงทำความรังเกียจโจรนั้น คิดว่า ธรรมดาว่า
การเกี่ยวข้องกับโจร ย่อมไม่ควร จึงออกมาไล่ว่า เฮ้ย เอ็งอย่ามา
นอนที่นี้. โจรจึงออกจากที่นั้น ทิ้งแต่รอยเท้าให้หลงเหลือไว้แล้ว
หนีไป. มนุษย์ทั้งหลาย ถือคบเพลิงมา ณ ที่นั้น ตามแนวรอยเท้าโจร
เห็นที่มา ที่ยืน และที่นอนเป็นต้นของโจรนั้น จึงกล่าวกันว่า

โจรมาทางนี้ ยืนที่นี้ นั่งที่นี้ หนีไปทางนี้ แต่พวกเราไม่เห็นโจร
ต่างแล่นไปทางโน้นทางนี้ ก็ไม่เห็น จึงพากันกลับ. วันรุ่งขึ้น
เวลาเช้า พระเถระเที่ยวบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์ กลับจากบิณฑบาต
แล้ว จึงไปยังพระเวฬุวันวิหาร กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระศาสดา.

พระศาสดาตรัสว่า โมคคัลลานะ มิใช่เธอเท่านั้นจะรังเกียจสิ่งที่ควร
รังเกียจ แม้โบราณกบัณฑิตทั้งหลายก็รังเกียจแล้ว อันพระเถระ
อ้อนวอนแล้ว จึงทรงนำเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2018, 19:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ใน
พระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นรุกขเทวดา สิงอยู่ที่ต้น
สะเดาในป่าอันเป็นป่าช้าแห่งพระนคร. อยู่มาวันหนึ่ง โจรกระทำ
โจรกรรมในบ้านใกล้ประตูเมือง แล้วเข้าไปยังป่าช้านั้น. ก็ในกาลนั้น
มีต้นไม้ใหญ่ในป่าช้านั้น ๒ ต้นคือ ต้นสะเดากับต้นอัสสัตถพฤกษ์.

โจรเก็บห่อภัณฑะไว้ที่โคนต้นสะเดาแล้วจึงนอน.แต่ในเวลาอื่น
มนุษย์ทั้งหลายจับพวกโจรเสียบหลาวทำด้วยไม้สะเดา. ครั้งนั้น
เทวดานั้นคิดว่า ถ้าพวกมนุษย์จักมาจับโจรนี้ จักพากันตัดกิ่งสะเดา
นี้แหละ ทำเป็นหลาวเสียบโจรนี้ เมื่อเป็นอย่างนี้ ต้นไม้จักพินาศ
เอาเถอะ เราจักนำโจรนั้นออกไปจากที่นี้. เทวดานั้นเมื่อจะเจรจา
ปราศัยกับโจรนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-

แนะโจร เจ้าจงลุกขึ้น จะมัวนอน
อยู่ทำไม เจ้าต้องการอะไรด้วยการนอน
ราชบุรุษอย่าจับเจ้าผู้ทำโจรกรรมอันหยาบช้า
ทารุณในบ้านเลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ราชาโน ท่านกล่าวหมายเอาพวก
ราชบุรุษ บทว่า กิพฺพิสการกํ ได้แก่ ผู้กระทำโจรกรรมอันทารุณ
หยาบช้า.

เทวดาครั้นกล่าวกะโจรนั้นดังนี้แล้ว จึงทำให้กลัวหนีไป
โดยพูดว่า เจ้าจงไปที่อื่นตราบเท่าที่พวกราชบุรุษยังไม่มาจับ. ก็เมื่อ
โจรนั้นไปแล้ว เทวดาผู้สิงอยู่ที่ต้นอัสสัตถพฤกษ์ จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-

พวกราชบุรุษจักจับโจรผู้กระทำโจรกรรม
อันทารุณหยาบช้าในบ้านมิใช่หรือ ธุระอะไร
ในเรื่องนั้นของปุจิมันทเทวดาผู้เกิดอยู่ในป่า
เล่า.


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2018, 19:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วเน ชาตสฺส ติฏฺ€โต ความว่า
ต้นไม้ที่เกิดและตั้งอยู่ในป่า. ก็อัสสัตถพฤกษ์ เทวดา ร้องเรียก
ปุจิมันเทวดา โด ยเฉพาะเรียกชื่อต้นไม้ เพราะปุจิมันทเทวดานั้น
เกิดที่ต้นสะเดานั้น.

นิมพเทวดาได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :-
ดูก่อนอัสสัตถเทวดา ท่านไม่รู้เหตุที่
จะอยู่ร่วมกันไม่ได้ ระหว่างเรากับโจร
ราชบุรุษทั้งหลายจับโจรผู้ทำโจรกรรมอัน
หยาบช้าทารุณในบ้านได้แล้ว จะเสียบโจร
ไว้บนหลาวไม้สะเดา. ใจของเรารังเกียจใน
เรื่องนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสฺสตฺถ นี้ เทวดาผู้เกิดที่ต้น
สะเดานั้น ร้องเรียก โดยนัยอันมีในก่อนนั่นแหละ. บทว่า มม
โจรสฺส จนฺตรํ ได้แก่ เหตุที่เราและโจรอยู่ร่วมกันไม่ได้ บทว่า
อจฺเจนฺติ นิมฺพสูลสฺมึ ความว่า เวลานี้ราชบุรุษทั้งหลายจะร้อย

โจรไว้บนหลาวไม้สะเดา. บทว่า ตสฺมึ เม สงฺกเต มโน ความว่า
จิตของเรารังเกียจในเหตุนั้นว่า ก็ถ้าพวกราชบุรุษจักร้อยโจรนี้ที่
หลาวไซร้ วิมานของเราจักฉิบหาย ถ้าไม่ทำอย่างนั้น จักแขวนโจร
ไว้ที่กิ่งไม้สะเดา วิมานของเราจักมีกลิ่นซากศพ ด้วยเหตุนั้น เรา
จึงให้โจรนั้นหนีไปเสีย.

เมื่อเทวดาเหล่านั้น เจรจาปราศัยกันและกันอยู่อย่างนี้แหละ
พวกเจ้าของทรัพย์ ถือคบเพลิงมาตามรอยเท้าเห็นที่ที่โจรนอน จึง
กล่าวว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ก็บัดนี้ โจรลุกหนีไปแล้วพวกเรา
ไม่ได้ตัวโจร ถ้าพวกเราจักได้ตัวโจรไซร้ จักเสียบร้อยโจรนั้นไว้
บนหลาวไม้สะเดานี้ หรือแขวนไว้ที่กิ่งสะเดาแล้วจักไป แล้วแล่นไป

ค้นหาทางโน้นทางนี้ ไม่พบโจรจึงพากันกลับไป. อัสสัตถเทวดาได้
ฟังคำของคนเหล่านั้นจึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า :-


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2018, 19:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บัณฑิตพึงรังเกียจสิ่งที่ควรรังเกียจ พึง
ป้องกันภัยที่ยังไม่มาถึงตัว พิจารณาดูโลก
ทั้งสองเพราะภัยในอนาคต.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รกฺเขยฺยานาคตํ ภยํ ความว่า
อนาคตภัยมี ๒ อย่าง คือ ภัยที่เป็นไปในทิฏฐธรรมอย่างหนึ่ง
ภัยที่เป็นไปในสัมปรายภพอย่างหนึ่ง ในอนาคตภัย ๒ อย่างนั้น
บัณฑิตเมื่อเว้นบาปมิตรเสีย ชื่อว่าป้องกันภัยที่เป็นไปในทิฏฐธรรม
เมื่อเว้นทุจริต ๓ เสีย ชื่อว่าป้องกันภัยที่เป็นไปในสัมปรายภพ.

บทว่า อนาคตภยา ความว่า เมื่อรังเกียจภัยนั้น เหตุอนาคตภัย.
บทว่า ธีโร ความว่า บุรุษผู้เป็นบัณฑิตย่อมไม่กระทำการเกี่ยวข้อง
กับปาปมิตร ย่อมไม่ประพฤติทุจริตโดยทวารทั้ง ๓. บทว่า อุโภ
โลเก ความว่า เพราะบัณฑิตนี้เมื่อกลัวอยู่อย่างนี้ ย่อมพิจารณาเห็น

คือ ย่อมแลเห็นโลกทั้งสอง กล่าวคือโลกนี้และโลกหน้า เมื่อ
รังเกียจอยู่ ย่อมละเว้นปาปมิตร เพราะกลัวภัยในโลกนี้ ย่อมไม่ทำ
บาปกรรม เพราะกลัวภัยในโลกหน้า.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรง
ประชุมชาดกว่า เทวดาผู้บังเกิด ณ ต้นอัสสัตถพฤกษ์ในครั้งนั้น
ได้เป็นพระสารีบุตร ส่วนเทวดาผู้บังเกิด ณ ต้นสะเดาในครั้งนั้น
ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาปุจิมันทชาดกที่ ๑

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2018, 19:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถากัสสปมันทิยชาดกที่ ๒

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร ทรงปรารภ
ภิกษุแก่รูปหนึ่ง จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อปิ
กสฺสป มนฺทิย ดังนี้.

ได้ยินว่า ในนครสาวัตถีมีกุลบุตรผู้หนึ่งเห็นโทษในกามทั้ง
หลาย จึงบวชในสำนักของพระศาสดา ขวนขวายในพระกรรมฐาน
ไม่นานนักก็ได้บรรลุพระอรหัต. จำเพียรกาลนานมา มารดาของภิกษุ
นั้นได้กระทำกาลกิริยาตาย. เมื่อมารดาล่วงลับไปแล้ว ภิกษุนั้นจึงให้
บิดาและน้องชายบวช แล้วอยู่ในพระเชตวันวิหาร ในวัสสูปนายิก-

สมัยใกล้วันเข้าพรรษา ได้ฟังว่าปัจจัยคือจีวรหาได้ง่าย จึงไปยังอาวาส
ประจำหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ทั้ง ๓ รูปจำพรรษาอยู่ในอาวาสประจำหมู่
บ้านนั้น ออกพรรษาแล้วจึงกลับมายังพระเชตวันวิหารตามเดิม. ภิกษุ
หนุ่มจึงสั่งสามเณรน้องชาย ณ ที่ใกล้พระเชตวันว่า สามเณร เธอจง

ให้พระเถระแก่พักแล้วค่อยนำมา เราจะล่วงหน้าไปจัดแจงบริเวณก่อน
แล้วก็เข้าไปยังพระเชตวัน. พระเถระแก่ค่อยๆ เดินมา. สามเณร
ทำราวกะว่าเอาศีรษะรุนอยู่บ่อยๆ นำท่านไปโดยพลการว่า ท่านผู้-
เจริญ จงเดินๆ ไปเถิด. พระเถระกล่าวว่า เธอนำฉันมาเป็นแน่

จึงหวนกลับไปใหม่ แล้วเดินมาตั้งแต่ปลายทาง. เมื่อพระเถระกับ
สามเณรทำการทะเลาะกันอยู่อย่างนี้นั่นแหละ พระอาทิตย์ก็อัสดงคต
ความมืดมนอนธการก็เกิดขึ้น. ฝ่ายภิกษุหนุ่มนอกนี้ก็กวาดบริเวณตั้ง-
น้ำไว้ เมื่อไม่เห็นการมาของพระเถระกับสามเณรเหล่านั้น จึงถือ

คบเพลิงไปคอยรับ ได้เห็นพระเถระและสามเณรกำลังมาอยู่ จึงถามว่า
ทำไมจึงชักช้าอยู่ ? พระเถระแก่จึงบอกเหตุนั้น ภิกษุหนุ่มนั้นให้
พระเถระและสามเณรนั้นพักแล้วค่อยๆ พามา. วันนั้น ไม่ได้โอกาส
การอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า ครั้นในวันที่สองภิกษุหนุ่มนั้นมายังที่อุปัฏ-

ฐากของพระพุทธเจ้า ถวายบังคมแล้วนั่ง พระศาสดาจึงตรัสถามว่า
เธอมาเมื่อไร ? ภิกษุหนุ่มนั้นกราบทูลว่า มาเมื่อวาน พระเจ้าข้า.
พระศาสดาตรัสว่า เธอมาเมื่อวาน แต่มากระทำพุทธอุปัฏฐากวันนี้.


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2018, 19:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ภิกษุหนุ่มนั้นกราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แล้ว
กราบทูลเหตุนั้น. พระศาสดาทรงติเตียนพระแก่แล้วตรัสว่า ภิกษุแก่
รูปนี้กระทำกรรมเห็นปานนี้ ในบัดนี้เท่านั้น ก็หามิได้ แม้ในกาลก่อน
ก็ได้กระทำแล้ว แต่บัดนี้ พระแก่นั้นทำเธอให้ลำบาก แต่ในกาลก่อน
ได้กระทำบัณฑิตให้ลำบาก อันภิกษุนั้นทูลอ้อนวอนแล้ว จึงทรงนำ
เอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนคร-
พาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในนิคมกาสี เมื่อ
พระโพธิสัตว์นั้น เจริญวัยแล้ว มารดาได้กระทำกาลกิริยาตาย. พระ-
โพธิสัตว์นั้นกระทำฌาปนกิจสรีระของมารดาแล้ว พอล่วงไปได้กึ่ง

เดือน ได้ให้ทรัพย์ที่มีอยู่ในเรือนให้เป็นทาน แล้วพาบิดากับน้องชาย
ไป ถือเอาผ้าเปลือกไม้ที่เทวดาให้ แล้วบวชเป็นฤาษีอยู่ในหิมวันต-
ประเทศ ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยเหง้ามันและผลาผลไม้ โดยการเที่ยว
แสวงหาอยู่ในไพรสณฑ์อันน่ารื่นรมย์. ก็ในหิมวันตประเทศ ในฤดู-
ฝน เมื่อฝนตกไม่ขาดเม็ด ไม่อาจขุดเหง้ามัน ทั้งผลาผลไม้และใบผักก็

ล่วงหล่นโดยมาก ดาบสทั้งหลายพากันลงจากหิมวันตประเทศไปอยู่ใน
ถิ่นมนุษย์. แม้ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์ก็พาบิดาและน้องชายไปอยู่
ในถิ่นมนุษย์ เมื่อหิมวันตประเทศผลิดอกออกผลอีก จึงพาบิดาและน้อง
ชายทั้งสองนั้น มายังอาศรมบทของตนในหิมวันตประเทศ ณ ที่ไม่

ไกลอาศรม เมื่อพระอาทิตย์อัสดงคตแล้ว จึงกล่าวว่า ท่านทั้งหลาย
ค่อยๆ มาเถิด ข้าพเจ้าจักล่วงหน้าไปจัดแจงอาศรมบทก่อน แล้วก็ละ
ดาบสทั้งสองนั้นไป. ดาบสน้อยค่อยๆ ไปกับบิดา ราวกะจะเอาศีรษะรุน

ท่านที่แถวๆ สะเอวเร่งพาท่านไป โดยพูดว่า เดินเข้า เดินเข้า. ดาบส
แก่กล่าวว่า เจ้าพาเรามาตามความชอบใจของตน จึงหวนกลับไป
แล้วเดินตั้งแต่ปลายมาใหม่. เมื่อดาบสพ่อลูกเหล่านั้นทำการทะเลาะ
กันและกันอยู่อย่างนั้นนั่นแหละ เวลาได้มืดลง. พระโพธิสัตว์ปัด-


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2018, 21:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาสัยหชาดกที่ ๑๐

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร ทรงปรารภ
ภิกษุผู้กระสันจะสึก จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
สสมุทฺทปริสาสํ ดังนี้

ได้ยินว่า ภิกษุนั้นเที่ยวบิณฑบาตไปในพระนครสาวัตถี เห็น
หญิงตกแต่งประดับประดามีรูปร่างงดงามคนหนึ่ง. เป็นผู้กระสันอยาก
สึก ไม่ยินดีในพระศาสนา ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลาย จึงพากันแสดง
ภิกษุนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. ภิกษุนั้นถูกพระศาสดาตรัสถามว่า
ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่าเธอเป็นผู้กระสันอยากสึกจริงหรือ. จึงกราบทูลว่า

จริง พระเจ้าข้า. เมื่อพระศาสดาตรัสว่า ใครทำให้เธอกระสันอยากสึก
จึงกราบทูลเนื้อความนั้น. พระศาสดาตรัสว่า เธอบวชในศาสนาอัน
เป็นเครื่องนำออกจากทุกข์เห็นปานนี้ เพราะเหตุไรจึงกระสันอยากสึก
บัณฑิตทั้งหลายในกาลก่อน แม้จะได้ตำแหน่งปุโรหิต ก็ยังปฏิเสธ

ตำแหน่งนั้นแล้วไปบวช ครั้นตรัสแล้วจึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมา
สาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนคร
พาราณสี พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในท้องนางพราหมณีของปุโรหิต
คลอดในวันเดียวกันกับพระโอรสของพระราชา. พระราชาตรัสถาม
อำมาตย์ทั้งหลายว่า ใครๆ ผู้เกิดในวันเดียวกันกับโอรสของเรา มีอยู่

หรือหนอ ? อำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช มีพระเจ้าข้า
คือบุตรของปุโรหิต. พระราชาจึงทรงสั่งเอาบุตรของปุโรหิตนั้นมามอบ
ให้แม่นมทั้งหลาย ให้ประคบประหงมร่วมกันกับพระราชโอรส. เครื่อง
ประดับและเครื่องดื่ม เครื่องบริโภคของกุมารแม้ทั้งสอง ได้เป็นเช่น

เดียวกันทีเดียว. พระราชกุมารและกุมารเหล่านั้นเจริญวัยแล้วไปเมือง
ตักกศิลาเรียนศิลปะทั้งปวงร่วมกันแล้วกลับมา. พระราชาได้พระราช-
ทานตำแหน่งอุปราชแก่พระโอรส. พระโพธิสัตว์ได้มียศยิ่งใหญ่ จำเดิม
แต่นั้นมา พระโพธิสัตว์กับพระราชโอรสก็กินร่วมกัน ดื่มร่วมกัน

นอนร่วมกัน ความวิสาสะคุ้นเคยกันและกันได้มั่นคงแน่นแฟ้น ใน
กาลต่อมา เมื่อพระราชบิดาสวรรคตแล้ว พระราชโอรสได้ดำรงอยู่ใน
ราชสมบัติ ทรงเสวยสมบัติใหญ่. พระโพธิสัตว์คิดว่า สหายของเรา
ได้ครองราชย์ ก็ในขณะที่ทรงกำหนดตำแหน่งนั่นแหละ คงจักพระ-

ราชทานตำแหน่งปุโรหิตแก่เรา เราจะประโยชน์อะไรด้วยการครองเรือน
เราจักบวชพอกพูนความวิเวก พระโพธิสัตว์นั้นไหว้บิดามารดาให้
อนุญาตการบรรพชาแล้วสละสมบัติใหญ่ ผู้เดียวเท่านั้น ออกไป
หิมวันตประเทศ สร้างบรรณศาลาอยู่ในภูมิภาคอันน่ารื่นรมย์ บวช

เป็นฤาษี ทำอภิญญาและสมาบัติให้บังเกิดแล้วเล่นฌานอยู่. ในกาลนั้น
พระราชาหวนระลึกถึงพระโพธิสัตว์นั้นจึงถามว่า สหายของเราไม่
ปรากฎเขาไปไหนเสีย. อำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลถึงความที่พระโพธิ-


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2018, 21:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
สัตว์นั้นบวชแล้วกราบทูลว่า ได้ยินว่า สหายของพระองค์อยู่ใน
ไพรสณฑ์อันน่ารื่นรมย์. พระราชาตรัสถามตำแหน่งแห่งที่อยู่ของ
พระโพธิสัตว์นั้นแล้ว ตรัสกะสัยหอำมาตย์ ท่านจงมา จงพาสหาย
ของเรามา เราจักให้ตำแหน่งปุโรหิตแก่สหายของเรานั้น. สัยหอำมาตย์
นั้นรับพระดำรัสแล้วออกจากนครพาราณสี ถึงปัจจันตคามโดยลำดับ

แล้วตั้งค่าย ณ บ้านปัจจันตคามนั้น แล้วไปยังสถานที่อยู่ของพระ-
โพธิสัตว์พร้อมกับพวกพรานป่า เห็นพระโพธิสัตว์นั่งอยู่ที่ประตูบรรณ
ศาลา เหมือนรูปทองจึงไหว้แล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง กระทำปฏิสันถาร
แล้วกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ พระราชามีพระประสงค์จะพระราชทาน

ตำแหน่งอุปราชแก่ท่าน ทรงหวังให้ท่านกลับมา. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า
ตำแหน่งปุโรหิตจงพักไว้ก่อน เราแม้จะได้ราชสมบัติในแคว้นกาสี
โกศล และชมพูทวีปทั้งสิ้น หรือเฉพาะสิริแห่งพระเจ้าจักรพรรดิก็ตาม
ก็จักไม่ปรารถนา ก็บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่กลับ ถือเอากิเลสทั้งหลาย

ซึ่งละแล้วครั้งเดียวอีก เพราะสิ่งที่ละทิ้งไปแล้วครั้งเดียว เป็นเช่น
กับก้อนเขฬะที่ถ่มไปแล้ว จึงได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-
บัณฑิตไม่พึงปรารถนาพื้นแผ่นดิน มี
สัณฐานดุจกุณฑลท่ามกลางสาคร มีมหา-
สมุทรล้อมอยู่โดยรอบ พร้อมด้วยการนินทา
ดูก่อนสัยหะอำมาตย์ ท่านจงรู้อย่างนี้เถิด.

ดูก่อนพราหมณ์ เราติเตียนการได้ยศ
การได้ทรัพย์ และการเลี้ยงชีพด้วยการทำตน
ให้ตกต่ำ หรือด้วยการประพฤติไม่เป็นธรรม.
ถึงแม้เราบวชเป็นบรรพชิตถือบาตรเที่ยว
ภิกขาจาร ความเลี้ยงชีวิตนั้นนั่นแหละประ-
เสริฐกว่า การแสวงหาโดยไม่เป็นธรรมจะ
ประเสริฐกว่าอะไร


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2018, 21:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ถึงแม้เราบวชเป็นบรรพชิตถือบาตร
เที่ยวภิกขาจาร ไม่เบียดเบียนผู้อื่นในโลก
นั้นประเสริฐกว่าราชสมบัติเสียอีก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สสมุทฺทปริสาสํ ความว่า บริวาร
ท่านเรียกว่า ปริสาสะ. แม้กับบริวารกล่าวคือสมุทร พร้อมด้วยภูเขา
จักรวาล ซึ่งตั้งล้อมสมุทร. บทว่า สาครกุณฺฑลํ ความว่า เป็นดัง
กุณฑลคือต่างหูของสาครนั้น เพราะตั้งอยู่โดยเป็นเกาะในท่ามกลาง

สาคร. บทว่า นินฺทาย ได้แก่ ด้วยการนินทาดังนี้ว่า ละทิ้งการบวช
อันสมบูรณ์ด้วยสุขในฌานแล้วถือเอาอิสริยยศ. พระโพธิสัตว์เรียก
อำมาตย์นั้นโดยชื่อว่า สัยหะ บทว่า วิชานาหิ แปลว่า ท่านจงรู้
ธรรม บทว่า ยา วุตฺติ วินิปาเตน ความว่า การได้ยศ การได้
ทรัพย์ และการเลี้ยงชีพอันใดที่เราได้ด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูง ย่อมมี

ได้ด้วยการทำตนให้ตกต่ำกล่าวคือการยังตนให้ตกไปจากความสุขใน
ฌาน หรือด้วยการไปจากที่นี้แล้ว ประพฤติไม่เป็นธรรมแห่งเราผู้
มัวเมาด้วยความมัวเมาในยศ เราติเตียนความเลี้ยงชีพนั้น. บทว่า
ปตฺตมาทาย ได้แก่ ถือภาชนะเพื่อภิกษา. บทว่า อนาคาโร ความว่า

เราเป็นผู้เว้นจากเรือน เที่ยวไปในตระกูลของคนอื่น. บทว่า สาเอว
ชีวิกา ความว่า ความเป็นอยู่ของเรานั้นนั่นแหละ ประเสริฐกว่า
คือเลิศกว่า. บทว่า ยา จาธมฺเมน ได้แก่ และการแสวงหาโดยไม่เป็น
ธรรมอันใด. ท่านกล่าวอธิบายว่า ความเป็นอยู่นี้นั่นแลดีกว่าการ
แสวงหาโดยไม่เป็นธรรมนั้น. บทว่า อหึสยํ แปลว่า ไม่เบียดเบียน.

บทว่า อปิ รชฺเชน ความว่า เราถือกระเบื้องสำเร็จการเลี้ยงชีพ
โดยไม่เบียดเบียนผู้อื่นอย่างนี้ ประเสริฐคือสูงสุดแม้กว่าความเป็น
พระราชา.

พระโพธิสัตว์นั้นห้ามปราม สัยหะอำมาตย์แม้ผู้จะอ้อนวอน
อยู่บ่อยๆ ด้วยประการฉะนี้. ฝ่ายสัยหะอำมาตย์ครั้นไม่ได้ความตกลง
ปลงใจของพระโพธิสัตว์ จึงไหว้พระโพธิสัตว์แล้วไปกราบทูลแก่พระ-
ราชาถึงความที่พระโพธิสัตว์นั้นไม่กลับมา.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรง
ประกาศสัจจะทั้งหลายแล้วประชุมชาดก. ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้
กระสันจะสึก ได้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ชนเป็นอันมากแม้อื่นอีกได้
กระทำให้แจ้งโสดาปัตติผลเป็นต้น. พระราชาในครั้งนั้น ได้เป็นพระ-

อานนท์ สัยหะอำมาตย์ในครั้งนั้น ได้เป็นพระสารีบุตร ส่วนบุตร
ของปุโรหิตในครั้นั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาสัยหชาดกที่ ๑๐
รวมชาดกที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. จุลลกาลิงคชาดก ๒. มหาอสัสาโรหชาดก ๓. เอาราช-
ชาดก ๔. ทัททรชาดก ๕. สีลวีมังสชาดก ๖. สุชาตาชาดก
๗. ปลาสชาดก ๘. ชวสกุณชาดก ๙. ฉวชาดก ๑๐. สัยหชาดก
จบ กาลิงควรรคที่ ๑

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2018, 21:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาปุจิมันทวรรคที่ ๒
อรรถกถาปุจิมันทชาดกที่ ๑


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหาร ทรงปรารภ
ท่านพระมหาโมคคัลลานะ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
อุฎฺเ€หิ โจร กึ เสสิ ดังนี้.

ได้ยินว่า เมื่อพระเถระเข้าไปอาศัยนครราชคฤห์ อยู่ในกุฎีที่
สร้างอยู่ในป่า มีโจรคนหนึ่งตัดที่ต่อในเรือนหลังหนึ่ง ในบ้านใกล้
ประตูเมือง ถือเอาทรัพย์ที่เป็นแก่นสารซึ่งพอจะถือเอาไปได้ หนีไป
เข้าบริเวณกุฎีของพระเถระ แล้วนอนที่หน้ามุขบรรณศาลาของพระ-
เถระด้วยคิดว่า ณ ที่นี้จักคุ้มครองรักษาเราได้. พระเถระรู้ว่าโจรนั้น

นอนอยู่ที่หน้ามุข จึงทำความรังเกียจโจรนั้น คิดว่า ธรรมดาว่า
การเกี่ยวข้องกับโจร ย่อมไม่ควร จึงออกมาไล่ว่า เฮ้ย เอ็งอย่ามา
นอนที่นี้. โจรจึงออกจากที่นั้น ทิ้งแต่รอยเท้าให้หลงเหลือไว้แล้ว
หนีไป. มนุษย์ทั้งหลาย ถือคบเพลิงมา ณ ที่นั้น ตามแนวรอยเท้าโจร
เห็นที่มา ที่ยืน และที่นอนเป็นต้นของโจรนั้น จึงกล่าวกันว่า

โจรมาทางนี้ ยืนที่นี้ นั่งที่นี้ หนีไปทางนี้ แต่พวกเราไม่เห็นโจร
ต่างแล่นไปทางโน้นทางนี้ ก็ไม่เห็น จึงพากันกลับ. วันรุ่งขึ้น
เวลาเช้า พระเถระเที่ยวบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์ กลับจากบิณฑบาต
แล้ว จึงไปยังพระเวฬุวันวิหาร กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระศาสดา.

พระศาสดาตรัสว่า โมคคัลลานะ มิใช่เธอเท่านั้นจะรังเกียจสิ่งที่ควร
รังเกียจ แม้โบราณกบัณฑิตทั้งหลายก็รังเกียจแล้ว อันพระเถระ
อ้อนวอนแล้ว จึงทรงนำเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ใน
พระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นรุกขเทวดา สิงอยู่ที่ต้น
สะเดาในป่าอันเป็นป่าช้าแห่งพระนคร. อยู่มาวันหนึ่ง โจรกระทำ
โจรกรรมในบ้านใกล้ประตูเมือง แล้วเข้าไปยังป่าช้านั้น. ก็ในกาลนั้น

มีต้นไม้ใหญ่ในป่าช้านั้น ๒ ต้นคือ ต้นสะเดากับต้นอัสสัตถพฤกษ์.
โจรเก็บห่อภัณฑะไว้ที่โคนต้นสะเดาแล้วจึงนอน.แต่ในเวลาอื่น
มนุษย์ทั้งหลายจับพวกโจรเสียบหลาวทำด้วยไม้สะเดา. ครั้งนั้น
เทวดานั้นคิดว่า ถ้าพวกมนุษย์จักมาจับโจรนี้ จักพากันตัดกิ่งสะเดา

นี้แหละ ทำเป็นหลาวเสียบโจรนี้ เมื่อเป็นอย่างนี้ ต้นไม้จักพินาศ
เอาเถอะ เราจักนำโจรนั้นออกไปจากที่นี้. เทวดานั้นเมื่อจะเจรจา
ปราศัยกับโจรนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 86, 87, 88, 89, 90, 91, 92 ... 151  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร