วันเวลาปัจจุบัน 31 ต.ค. 2025, 05:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2025, 15:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.ย. 2012, 08:47
โพสต์: 35


 ข้อมูลส่วนตัว


สมัยหนึ่งเมื่อครั้งสมเด็จพระพุทธองค์ยังทรงประกาศสัจธรรมอยู่ ครานั้นผู้คนในชมพูทวีปไม่ว่าจักเป็นวรรณะสูงอย่างกษัตริย์หรือพราหมณ์ก็ดี หรือจักเป็นวรรณะต่ำอย่างแพศย์ลงไปจนถึงจัณฑาลก็ดี พวกเขาต่างก็พากันละทิ้งลัทธิของตนหันมาเลื่อมใสศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนากันเป็นจำนวนมาก

ประชาชนทุกหมู่เหล่าต่างให้ความสำคัญกับการบริจาคทานรักษาศีลตลอดจนเจริญสมาธิภาวนากันอย่างแพร่หลาย เพราะเชื่อกันว่าการกระทำทั้งสามนี้คือหนทางเอกที่จักทำให้พวกเขาได้บุญได้กุศลเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการถวายทานอันมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นประธานนั้น ยิ่งถือว่าเป็นยอดของบุญทีเดียว

ดังนั้นผู้คนในสมัยนั้นจึงให้ความสำคัญกับทานชนิดนี้มากที่สุด จนถึงกับแข่งกันว่าใครจักทำได้ยิ่งใหญ่กว่ากันก็มี และไม่เพียงแต่ประชาชน แม้แต่กษัตริย์ในสมัยนั้นก็ทรงมีความคิดเยี่ยงนี้เช่นกัน

มีอยู่คราวหนึ่งหลังจากสมเด็จพระพุทธองค์ได้เสด็จจาริกไปตามแว่นแคว้นต่างๆจนเกือบจักทั่วชมพูทวีป ครานั้นพระองค์ก็ได้เสด็จกลับยังนครสาวัตถีพร้อมด้วยภิกษุจำนวน ๕๐๐ รูป เมื่อทรงเสด็จถึงก็ทรงเข้าพักยังวัดพระเชตวันที่ท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐีสร้างถวาย บรรดาชาวเมืองพอทราบข่าวการเสด็จกลับของพระองค์ต่างก็ดีอกดีใจ พากันจัดเตรียมของแห้งของสดกันให้คึกคัก หวังจักใช้ประกอบอาหารนำไปถวายทานกันในวันพรุ่งนี้

แต่ความปรารถนาพวกเขาก็พลันต้องถูกระงับไว้ก่อน เนื่องจากราชาปเสนทิพอทรงทราบว่าพระศาสดาเสด็จกลับถึงวัดพระเชตวัน ก็รีบเสด็จไปอาราธนาพระองค์ให้ทรงพาเหล่าภิกษุมารับบิณฑบาต ณ พระบรมมหาราชวังในเช้าวันพรุ่งนี้ก่อนใคร

สมเด็จพระผู้มีพระภาคครั้นทรงสดับคำขออาราธนาของจอมกษัตริย์ พระองค์ก็มิได้ทรงปฏิเสธ แต่อย่างใด จึงยังความปลาบปลื้มพระทัยให้กับจอมราชาเป็นอย่างยิ่ง พอกลับถึงวังจึงทรงรับสั่งให้ราชบุรุษออกไปป่าวประกาศทั่วพระนคร เช้าพรุ่งนี้ผู้ใดที่ไม่ติดภารกิจสำคัญ ขอให้มาชมการบำเพ็ญทานของพระองค์พร้อมกันถ้วนหน้า!

รุ่งขึ้นราชาปเสนทิก็ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการตักบาตรถวายทานแด่พระศาสดาแลพระสงฆ์สาวก ณ ลานหน้าพระบรมมหาราชวัง บรรดาชาวเมืองที่มาร่วมงานพอเห็นการถวายทานของจอมกษัตริย์ พวกเขาต่างก็ยินดีไปกับอานิสงส์ที่จักเกิดขึ้นกับพระองค์ จึงต่างพร้อมใจกันเปล่งคำอนุโมทนาเสียจนดังลั่น แลนั่นยิ่งเหมือนกับไปเพิ่มความปลื้มปีติให้กับจอมราชันมากยิ่งขึ้นไปอีกจนยากจักบรรยาย

หลังเสร็จพระราชพิธีบำเพ็ญทาน บรรดาผู้นำชุมชนเมื่อเห็นการถวายทานของจอมกษัตริย์ พวกเขาก็อยากจักจัดงานถวายทานให้มันยิ่งใหญ่เหมือนราชาพวกตนบ้าง จึงรวมตัวกันประชุมปรึกษาหารือถึงรายละเอียดของงานที่จะจัดในวันพรุ่งนี้

หลังได้ข้อสรุปก็ตั้งบุรุษผู้หนึ่งขึ้นเป็นผู้แทนเข้าไปอาราธนาสมเด็จพระชินสีห์พร้อมด้วยพระ สงฆ์สาวกให้มารับบิณฑบาตของเหล่าประชาชนในเช้าวันพรุ่งนี้บ้าง จากนั้นก็ให้เขาไปทูลอัญเชิญพระเจ้าปเสนทิและพระมเหสีมัลลิกาให้เสด็จมาเป็นประธานในงาน

รุ่งขึ้นพอจอมราชาและพระมเหสีนางมัลลิกาเสด็จมาถึงลานคนเมืองก็ต้องถึงกับทรงอัศจรรย์ เนื่องจากไม่ทรงคิดว่าลานคนเมืองที่ทั้งกว้างและใหญ่ ในเวลานั้น จักแออัดไปด้วยผู้คนเป็นจำนวนมากออกมารอตักบาตรถวายทานกันให้เนืองแน่นไปหมด จนแทบจะกล่าวได้ว่าไม่มี่ว่างให้เห็นแม้แต่น้อย

แต่ละคนต่างมีสีหน้ายิ้มแย้มทักทายหยอกล้อกันอย่างมีความสุข อาหารที่นำมาแต่ละอย่างแต่ละชนิด ก็ล้วนแต่มีสีสันสวยงาม กลิ่นหอมหวนชวนรับทานเสียนี่กระไร ไม่ว่าจักเป็นของคาวของหวาน ล้วนน่ากินไปเสียทั้งหมด

จอมราชาเมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นความตั้งใจในการถวายทานของเหล่าพสกนิกร พระองค์ก็ทรงรู้สึกปลาบปลื้มพระทัย ไปกับพวกเขาด้วย แต่ในขณะเดียวกันก็ทรงรู้สึกว่าทานที่พวกเขาทำในเช้านี้ มันช่างยิ่งใหญ่กว่าทานที่พระองค์ทรงทำไปเมื่อวานเสียอีก ดังนั้นจึงทรงเกิดทิฐิฝ่ายกุศลขึ้นในพระทัย

“ เช้านี้ชาวเมืองจัดงานถวายทานได้อย่างยิ่งใหญ่นัก หากเทียบกับทานที่เราทำไปเมื่อวาน ดูเหมือนยังจักใหญ่เสียกว่า ไม่ได้การ! เห็นทีเราต้องจัดงานถวายทานใหม่อีกครั้ง แลจักต้องทำให้ยิ่งใหญ่กว่าทานของเหล่าชาวเมืองในเช้านี้ให้ได้ ”

เมื่อทรงดำริดังนี้พอเสด็จถึงวังจอมราชาก็ทรงรับสั่งให้ทหารออกไปป่าวประกาศทั่วพระนคร เช้าพรุ่งนี้ใครที่ไม่ติดธุระสำคัญขอให้มาชมการบำเพ็ญทานของพระองค์กันอีกครั้ง

รุ่งขึ้นชาวเมืองที่ไม่ติดภารกิจต่างก็เดินทางเข้ามายังลานหน้าพระบรมมหาราชวังกันจนเนืองแน่นเพื่อจะมาชมการถวายทานที่ยิ่งใหญ่ขององค์ราชา ครั้งนี้จอมกษัตริย์ได้ทรงจัดงานขึ้นอย่างยิ่งใหญ่กว่าครั้งก่อนมากและยังยิ่งใหญ่กว่าทานของเหล่าพสกนิกรที่ทำไปในเช้าเมื่อวานเสียอีก เหล่าปวงประชาเมื่อเห็นการถวายทานของพระองค์ต่างก็แซ่ซ้องสรรเสริญกันแทบไม่หยุดปาก โดยเฉพาะผู้นำชุมชนยิ่งปลาบปลื้มมากกว่าผู้ใด

แต่ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็เกิดทิฐิฝ่ายกุศลขึ้นมาด้วยเช่นกัน ดังนั้นพอเสร็จพระราชพิธีถวายทานพวกเขาจึงรีบรวมกลุ่มปรึกษาหารือกันว่าจักต้องจัดงานถวายทานขึ้นใหม่อีกครั้ง แลจักต้องทำให้ยิ่งใหญ่กว่าทานของจอมราชาในเช้านี้ให้ได้!

การแข่งกันถวายทานระหว่างพสกนิกรกับจอมกษัตริย์อย่างชนิดไม่มีใครยอมใคร ได้ถูกจัดขึ้นถึงห้าครั้งห้าคราด้วยกัน จนครั้งที่หกบรรดาชาวเมืองได้ร่วมแรงร่วมใจกันถึงที่สุด ออกเสาะหาสิ่งของต่างๆที่มีอยู่บนแผ่นดินนำมารวมไว้อยู่ในกองทานจนหมดจนสิ้น จนแทบจักกล่าวได้ว่าไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่องไปแม้แต่น้อย

พระเจ้าปเสนทิเมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นทานของพวกเขาในครั้งนี้ พระองค์ก็ถึงกับทรงมีสีพระพักตร์ซีดสลดลงไปทันที ด้วยทรงคิดว่าพระองค์คงไม่อาจจัดงานถวายทานที่ยิ่งใหญ่กว่าเหล่าชาวเมืองได้ แต่ด้วยทิฐิกษัตริย์จึงมิได้ตรัสชมเชยทานของเหล่าพสกนิกรออกไปแม้แต่น้อย

จนเสด็จกลับถึงวังก็ยังมิวายที่จักทรงครุ่นคิดถึงแต่เรื่องทานของเหล่าชาวเมือง กระทั่งพระชายามัลลิกาทรงสังเกตเห็นความผิดปกติของพระสวามี จึงเสด็จเข้าไปถาม “ เสด็จพี่ทรงคิดเรื่องใดอยู่หรือเพคะ? หม่อมฉันเห็นสีพระพักตร์มิค่อยสู้ดีเลย ”

จอมราชาซึ่งกำลังทรงหมกมุ่นอยู่กับการหาวิธีที่จะเอาชนะทานของเหล่าชาวเมือง จู่ๆพอถูกพระชายาถามขึ้นก็ถึงกับทรงสะดุ้งตกพระทัย หลังจากทรงตั้งพระสติได้จึงเสตรัสตอบไปว่า “ เปล่านี่จ๊ะน้องหญิง เพียงแต่พี่มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยจ๊ะ ”

องค์เทวีพอทรงสดับก็ยิ่งทรงคลางแคลงพระทัย จึงทรงซักถามต่อเพื่อต้องการจักทรงทราบถึงสาเหตุ “ นิดหน่อยหรือเพคะ? แต่ไฉนหม่อมฉันเห็นเสด็จพี่ดูทุกข์ร้อนเสียเหลือเกิน เห็นทรงเดินไปเดินมาแล้วก็ทรงถอนพระทัย อย่างนี้ยังจักตรัสว่าเล็กน้อยหรือเพคะ? ”

องค์ราชาธิบดีพอทรงถูกซักมากเข้า ในที่สุดก็มิอาจจักทรงปิดบังพระชายาต่อไปได้ จำต้องเผยความจริงให้นางทราบ

“ ก็ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะน้องหญิง คือพี่กำลังหาทางว่าจักทำอย่างไรถึงจักเอาชนะทานของเหล่าชาวเมืองในเช้าที่ผ่านมาได้ น้องก็เห็นแล้ว ทานของชาวเมืองในเช้านี้มันช่างยิ่งใหญ่มโหฬารนัก ข้าวของทุกอย่างบนแผ่นดินล้วนถูกพวกเขาขนมารวมไว้ในกองทานจนหมดจนสิ้น แล้วอย่างนี้น้องจักให้พี่ชนะพวกเขาได้อย่างไร? ”

พระนางมัลลิกาพอทรงสดับก็ถึงกับทรงพระสรวลขึ้นมาทันที “ โธ่เอ๋ยนึกว่าเรื่องใด ที่แท้ก็เรื่องแข่งกันถวายทานนั่นเอง น่าขำ! เกิดมาหม่อมฉันก็เพิ่งเคยเห็นพระราชาผู้เป็นใหญ่เหนือใครในแผ่นดินต้องมาทุกข์ใจกินไม่ได้นอนไม่หลับก็เพราะกลัวจักแพ้ให้กับพสกนิกรของตนด้วยเรื่องไม่เป็นสาระเช่นนี้ ช่างน่าตลกจริงๆ! ”

จอมกษัตริย์ครั้นทรงสดับถ้อยคำเยาะเย้ยของพระชายาก็ทรงรู้สึกขัดเคืองพระทัยจึงตรัสกลับไป “ เอาเถอะมัลลิกา! เจ้าอาจเห็นว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยมิใช่เรื่องคอขาดบาดตายอันใด แต่กับพี่ขอ บอก เรื่องนี้มันหาได้เล็กน้อยไม่! เพราะมันคือศักดิ์ศรีของกษัตริย์ เจ้าก็ดีแต่หัวเราะเยาะแทนที่จักช่วยกันหาทางเอาชนะพวกชาวเมืองว่าจักต้องทำเช่นไร มันช่างน่าขัดใจจริงๆ! ”

องค์เทวีพอทรงสดับคำพ้อของพระสวามีก็ยิ่งทรงรู้สึกสนุกสนานมากขึ้น แต่มิได้ทรงแสดงให้เห็นทางสีพระพักตร์ ด้วยเกรงว่าหากจอมราชาทรงเห็นเข้าเดี๋ยวจักทรงขุ่นเคืองขึ้นมาจริงๆ รีบตรัสปลอบพระทัยไปว่า

“ โถ…คนดีของน้อง อย่าทรงขุ่นเคืองไปเลยเพคะ ไว้เป็นธุระของหม่อมฉันเอง หม่อมฉันขอสัญญาพรุ่งนี้ชาวเมืองจักต้องตกตะลึงกับทานของพระองค์อย่างแน่นอน! ขอทรงรอทอดพระ เนตรเถิด ”

หลังจากทรงรับปากพระสวามีแล้วองค์เทวีก็ทูลลาจอมกษัตริย์ รีบกลับยังตำหนักเพื่อดำเนินการเรื่องการจัดงานในเช้าวันพรุ่งนี้ทันที ทรงบัญชามหาดเล็กให้ไปเกณฑ์ทหารมาช่วยตกแต่งปะรำและลานหน้าพระบรมมหาราชวัง ทรงรับสั่งพ่อครัวให้เตรียมอุปกรณ์หม้อไหจานชาม ตลอดจนของแห้งของสดที่จักใช้ประกอบอาหารพร้อมทั้งกำหนดจำนวนและชนิดของอาหาร โดยเฉพาะวัตถุดิบและเครื่องปรุงที่จะนำมาประกอบ ทรงให้ความพิถีพิถันเป็นพิเศษ

ไม่ว่าจะเป็นเนื้อโคเนื้อแพะ เนื้อไก่หรือเนื้อสุกร ทุกอย่างล้วนสดใหม่ เครื่องเทศเครื่องปรุงก็ต้องเป็นของนำเข้ามาจากต่างแค้วนแดนเมือง คนธรรมดาหากไม่รวยจริงก็อย่าหวังจักได้ลิ้มลอง กรรมวิธีในการปรุงก็ทรงกำชับให้ทำอย่างประณีตบรรจง ดังนั้นหน้าตาแลรสชาติของอาหารที่ออกมาจึงมีสีสันน่ารับประทาน รสชาติกลมกล่อมละมุนละม่อมลิ้น จนยากจักหาอาหารชนิดใดในแผ่นดินมาเทียบได้

เท่านั้นไม่พอ พระนางยังทรงรับสั่งให้ควาญช้างนำช้าง ๕๐๐ เชือกมาร่วมพิธีด้วย โดยช้างแต่ละเชือกให้ใช้งวงจับฉัตรยืนอยู่หลังพระคุณเจ้า คอยบังแดดยามสายมิให้ส่องมาต้องเนื้อตัวท่านระหว่างที่ท่านนั่งฉันภัตตาหาร

สำหรับเรื่องช้างนั้นมีเรื่องเล่าว่า ในบรรดาช้าง ๕๐๐ เชือกที่นำมาร่วมพิธี มีอยู่เชือกหนึ่งมันกำลังตกมันพอดี เที่ยวไล่แทงไล่ชนช้างตัวอื่นอยู่ให้วุ่นไปหมด นายควาญผู้เป็นเจ้าของเห็นว่าหากเอาช้างเชือกนี้มาเข้าพิธี มันอาจจักไปก่อความวุ่นวายให้เกิดในงานก็เป็นได้ จึงไปแจ้งให้หัวหน้าควาญใหญ่รับทราบ

ด้านหัวหน้าควาญพอรู้ก็เป็นกังวลขึ้นมาทันที เพราะยังไงเสียช้างเชือกนี้ก็ต้องเข้าร่วมพิธี เพราะไม่ยังงั้นจะมีพระคุณเจ้ารูปหนึ่งที่ไม่มีฉัตรบังแดดเหมือนรูปอื่น ซึ่งจะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไม่ได้ แต่จักให้เจ้าช้างที่ว่าไปยืนอยู่หลังพระคุณเจ้ารูปใดนี่ซิปัญหา! คิดไปคิดมาเขาก็นึกได้ เห็นทีคงต้องให้ไปยืนอยู่หลังพระคุณเจ้าองคุลีมาลเถระเสียแล้ว

เช้ารุ่งขึ้นปรากฏเจ้าช้างตกมันที่มีอารมณ์ฉุนเฉียวไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมนั้นพอมันไปยืนอยู่หลังพระคุณเจ้าองคุลีมาลเท่านั้น ก็ถึงกับขาสั่นพั่บๆเป็นเจ้าเข้า หรุบหูหรุบหางหลับตาปี๋ ไม่กล้าที่จะเปิดตามองดูใดๆทั้งสิ้น บรรดาผู้ที่มาร่วมงานพอเห็นอากัปกิริยาของเจ้าช้างตกมัน พวกเขาต่างก็รู้สึกอัศจรรย์ใจกันไปตามๆกัน บางรายถึงกับรำพึงออกมา “ โอ้หนอ ตบะเดชะของพระคุณเจ้าองคุลีมาลนั้น ช่างมีอานุภาพถึงปานฉะนี้ทีเดียว! ”

นอกจากจักทรงเกณฑ์ช้างมาร่วมพิธียังไม่พอ พระมเหสีมัลลิกายังทรงเกณฑ์เอาเหล่าขัตติยนารี ตลอดจนนางสนมกำนัล ให้พากันมาคอยปรนนิบัติพระคุณเจ้าระหว่างที่นั่งฉันภัตตาหารอีก แค่ประการหลังนี่ก็เกินความ สามารถของคนทั่วไปจักกระทำได้แล้ว เว้นแต่ผู้นั้นจะเป็นกษัตริย์เสมอกัน

รุ่งขึ้นบรรดาชาวเมืองเมื่อเห็นการบำเพ็ญทานที่แสนแปลกประหลาด แลยิ่งใหญ่ตระการตาของจอมกษัตริย์เข้า พวกเขาก็ถึงกับตกตะลึงอ้าปากค้าง จนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่อัศจรรย์ใจกันไปตามๆกัน เพราะตั้งแต่ออกมาจากครรภ์มารดาก็เพิ่งจักมีครั้งนี้นี่แล ที่ได้เห็นการบำเพ็ญทานที่แสนยิ่งใหญ่มโหฬารอย่างที่ไม่เคยเห็นจากที่ไหนมาก่อน มันยากจะเชื่อว่าคนเราจะสามารถทำทานได้อย่างยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ได้ ในใจพวกเขาต่างยอมศิโรราบให้กับพระราชาของตนกันจนหมดจนสิ้น

แหละทานครั้งนี้นี่เองที่ถือเป็น อสทิสทาน (ทานที่ยิ่งใหญ่กว่าทานใด ซึ่งจะปรากฏขึ้นกับพระ พุทธเจ้าเพียงครั้งเดียวเท่านั้นระหว่างที่ยังทรงพระชนม์ชีพ) ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของพวกเรา เพราะนับจากนั้นตราบจนกระทั่งพระองค์เสด็จดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพานก็ไม่มีทานใดจักยิ่งใหญ่เสมอกับทานของพระเจ้าปเสนทิโกศลและพระนางมัลลิกาเทวีได้อีกเลย กล่าวกันว่าเพื่อจักให้งานออกมาได้ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ราชาปเสนทิต้องทรงจ่ายพระทรัพย์ออกไปเป็นจำนวนถึง ๑๔ โกฏิเลยทีเดียว

แหละผลจากการทำอสทิสทานครั้งนั้น เมื่อถึงกาลละสังขาร อานิสงส์แห่งการทำอสทิสทานก็ได้นำพระนางมัลลิกาเทวีให้ทรงมาอุบัติเป็นเทพนารีอยู่บนดินแดนตุสิตาภูมิอันเป็นสวรรค์ชั้นที่สี่ ของเทวโลก ได้เสวยทิพสมบัติอันแสนจะวิจิตรโอฬาร ดำรงความเป็นทิพย์ต่อไปอีกนานแสนนาน จนกว่าจักหมดสิ้นแห่งอำนาจของผลบุญ .

ที่มา: พุทธชาดก / โลกทีปนี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙)

สืบ ธรรมไทย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร