วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 19:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2010, 15:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรรมเชื่ออย่างไรไม่งมงาย
เรื่องโดย เสาวลักษณ์ ศรีสุวรรณ


รูปภาพ

สแกนกรรม ผู้หญิงตาทิพย์ มองทะลุกรรม เมื่อดวงตาที่สามถูกเปิดขึ้น เธอจึงหยั่งรู้ชะตากรรม

“คนเปิดกรรม ไม่มีใครแก้กรรมในอดีตชาติได้ แต่ทำให้ทุเลาขึ้นได้ แค่เพียงคุณรู้ว่ากรรมเก่าของคุณคืออะไร”

เอกซเรย์กรรม พบกับมนุษย์ที่เปิดความลับสวรรค์ มองเห็นอดีตและอนาคต ดังคำว่าที่ “ตาทิพย์”

ในช่วงปีที่ผ่านมา เราคงผ่านตากับข้อความเหล่านี้ทั้งในหน้าหนังสือพิมพ์ ในอินเทอร์เน็ต ในรายการโทรทัศน์ ตามคลื่นวิทยุ รวมทั้งบนแผงหนังสือ ซึ่งมีหนังสือแนวนี้ออกมาวางจำหน่ายมากเป็นประวัติการณ์ ทั้ง แก้กรรมเก่า ตัดกรรมใหม่ หนทางเลี่ยงกรรม ตัดกรรมหนักตามรังควาน ไขรหัสบุญ เปลี่ยนรหัสกรรม 99 วิธีแก้กรรมด้วยตนเองฯลฯ

ที่สำคัญ ได้เกิดปรากฏการณ์ “คนเห็นกรรม” ซึ่งกลายเป็นที่สนใจของคนในวงกว้างตามมาเริ่มตั้งแต่ แม่ชีธนพร หรือแม่ชีทศพร ชัยประคอง , อาจารย์เอ๋-กฤษณา สุยะมงคล , ริชชี่ พีระวัฒน์ อริยทรัพย์กมล , ตุ้ย เอ๊กซเรย์ หรือ จักรินทร์ –โกศัยดิลก และอาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ โหรชื่อดังแห่งล้านนา ที่บอกว่าตัวเองสามารถมองเห็นกรรมและเห็นอนาคต

หลังจากที่กระแสนี้ทยอยกันออกมา ก็มีคำวิพากษ์วิจารณ์ตามมามากมาย บ้างมองว่าเป็นพุทธพาณิชย์ในรูปแบบหนึ่ง เพราะในการแก้กรรม ต้องมีฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ได้เงินและมีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้เสียเงินเพื่อสะเดาะ เคราะห์กรรมของตน

บ้างก็มองว่า การตัดกรรม สแกนกรรม เอกซเรย์กรรม เป็นเรื่องต้มตุ๋นหลอกชาวบ้านที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ และเชื่อว่ากรรมดีหรือกรรมชั่วอยู่ที่การกระทำของเราอง จะมีก็แต่ตัวเราเท่านั้นที่รู้ว่าทำกรรมดีหรือกรรมชั่วอะไรเอาไว้บ้าง ยิ่งกว่านั้นบางคนก็ตั้งคำถามว่า “คนเห็นกรรม” เหล่านี้เป็นใครมาจากไหน ทำไมถึงมองเห็นกรรมของคนอื่น และกรรมนั้นสามารถมองเห็นกันง่ายๆ ขนาดนี้เชียวหรือ

แม้เราจะไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นด้วยตาว่าสิ่งที่ “คนเห็นกรรม” เหล่านี้พูดถึงจะจริงเท็จแค่ไหน แต่กระแสที่ว่านี้มีข้อดีบางประการซ่อนอยู่

ข้อดีที่ว่านี้ก็คือ ถือเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้ทำความเข้าใจเรื่อง “กรรม” ให้ถูกต้อง เพื่อเป็นหลักในการพินิจพิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต

อย่าปล่อยให้เรื่องของกรรมเป็นเพียงกระแส (ที่ทำให้เราสับสน) แต่ลองมาทบทวนกันดีกว่าว่าคุณเข้าใจเรื่องกรรมถูกต้องมากน้อยแค่ไหน



ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “กรรม”

ศาสตราจารย์พิเศษเสถียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต กล่าวว่า หลักกรรมเป็นหลักคำสอนสำคัญในพระพุทธศาสนา แต่น่าประหลาดเรากลับเข้าใจว่าตรงกับที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ ว่าจะผิดโดยสิ้นเชิงก็ไม่ใช่ แต่ว่าไม่ถูกต้องสมบูรณ์ ซึ่งความเข้าใจผิดที่ว่านี้คือ

คนไทยส่วนมากเข้าใจว่า กรรมคือผลของความชั่วร้ายที่เราได้กระทำแต่ชาติปางก่อน บันดาลให้เราได้มาเกิด มาเป็น อย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน เรื่องร้ายๆ และเรื่องใหญ่ เท่านั้นจึงเรียกว่า “กรรม” เรื่องเล็กน้อยไม่เรียกว่ากรรม ส่วนผลของความดีที่ทำไว้แต่ชาติปางก่อนเราไม่ เรียกว่า “กรรม” กลับเรียกว่า “บุญ” จึงมักมีคำพูดว่า “บุญทำกรรมแต่ง” หรือ “แล้วแต่บุญแต่กรรม”

ความจริง คือ กรรมมิใช่ผล แต่เป็นเหตุ มิใช่เรื่องที่ล่วงไปแล้ว แต่เป็นเรื่องปัจจุบัน มิใช่เรื่องเลวร้ายอย่างเดียว เรื่องดีๆ ก็เป็น “กรรม” ด้วย และมิใช่เรื่องใหญ่ๆ อย่างเดียว เรื่องเล็กๆ ก็เป็น “กรรม” ด้วย

กรรม คือการกระทำทางกาย วาจา และใจ ที่มีเจตนาเป็นตัวนำ เราตั้งใจทำ พูด คิดสิ่งใด ทั้งในแง่ดีและไม่ดี ก็เรียกว่า “กรรม” ถ้าเป็นกรรมดีก็เรียกว่า “กุศลกรรม” หรือ “บุญ” ส่วนกรรมไม่ดีก็เรียกว่า “อกุศลกรรม” หรือ “บาป”

ความเข้าใจผิดอีกอย่างหนึ่งคือ กรรมเป็นกฎตายตัวที่แก้ไขไม่ได้ ทางเดียวที่ทำได้คือยอมรับสภาพหรือ “ปลงเสียเถอะ” หรือ “เป็นกรรมของสัตว์” เช่น เกิดมายากจน ก็ยอมรับสภาพว่าเราทำกรรมไม่ดีไว้ มาชาตินี้จึงจน แล้วก็ยอมรับสภาพอยู่อย่างนั้น ไม่คิดแก้ไขพัฒนาให้ดีขึ้น มีแต่ทอดอาลัย งอมืองอเท้า

ความจริง คือ พุทธศาสนาสอนว่ากรรมเก่ามีจริง ดังนั้นการที่เราเกิดมาจน อาจเป็นเพราะผลของกรรมเก่าที่เราทำไว้ ทำให้เกิดมายากจน แต่มิได้หมายความว่ากรรมจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขไม่ได้ เราเกิดมาจนเพราะกรรมเก่าส่งผล แต่เราก็สามารถสร้างกรรมใหม่ นั่นคือขยันหมั่นเพียรทำงานสร้างเนื้อสร้างตัวอย่างสุดกำลังความสามารถ ในที่สุดเราก็อาจเปลี่ยนจากฐานะยากจนเป็นพอมีพอกินหรือมีฐานะร่ำรวยได้

พระพุทธเจ้าสอนให้ยอมรับความจริง แต่ไม่ให้ยอมรับสภาพ ดังนั้นผู้ที่เข้าใจหลักกรรมถูกต้อง เมื่อรู้ว่าความจริงเป็นเช่นนี้ ย่อมจะต้องพยายามอุตสาหะพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นกว่าเดิม ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก

นอกจากนั้นเรามักเข้าใจกันว่า ทำกรรมอย่างไร ย่อมได้รับผลอย่างนั้น ทำกรรมดีต้องได้รับผลดีร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำกรรมชั่วก็ต้องได้รับผลชั่วร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง

ความจริงคือ การพูดอะไรตายตัวร้อยเปอร์เซ็นต์นั้น มิใช่แนวทางของพระพุทธศาสนา ดังในกรณีเรื่องตายแล้วเกิด ถ้าพูดในแง่เดียวว่าตายแล้วต้องเกิด หรือตายแล้วต้องดับสูญ อย่างนี้ก็ไม่ถูก เพราะปุถุชนที่ยังมีกิเลส ตายแล้วย่อมเกิดอีก เนื่องจากยังมี “เชื้อ” คือกิเลส ทำให้ต้องมาเกิดอีก ส่วนผู้ที่ตายแล้วไม่เกิดคือ พระอรหันต์ เพราะหมด “เชื้อ” ดังกล่าวแล้ว ดังนั้นจะพูดโดยแง่เดียวว่าตายแล้วต้องเกิดหมดทุกคน หรือตายแล้วไม่เกิดเลย ไม่ได้

ส่วนที่ว่าทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่วนี่จริงแน่นอน แต่มิได้หมายความว่า “ทำอย่างไรต้องได้อย่างนั้น” เช่น นาย ก. ยิงเขาตาย เมื่อเกิดชาติหน้า ก็ไม่จำเป็นว่านาย ก.จะต้องถูกเขายิงตายเช่นกัน แต่อาจได้รับผลคล้ายๆกันนั้น หรือผลที่หนักพอๆ กับกรรมนั้น

หรือนาง ข. เอาไข่เค็มใส่บาตรทุกวัน เมื่อตายไปเกิดใหม่ ก็ไม่จำเป็นว่านาง ข. จะต้องกินไข่เค็มทุกมื้อ แต่อาจได้ผลดีอย่างอื่นที่มีน้ำหนักพอๆกันกับกรรมนั้น อย่างที่พระท่านว่า “ได้รับผลสนองคล้ายกับกรรมที่ทำ”

สรุปก็คือ เราทำอย่างไรไม่จำเป็นต้องได้อย่างนั้น แต่เราอาจได้ผล “คล้าย” อย่างนั้น และอีกประเด็นหนึ่งก็คือ ทำดีไม่จำเป็นต้องได้ผลดีร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำชั่วไม่จำเป็นต้องได้ผลชั่วร้อยเปอร์เซ็นต์ คือได้รับผลแน่ๆ แต่ “ไม่ใช่ต้องได้เต็มที่” ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขอย่างอื่นที่จะมาเบี่ยงเบนหรือผ่อนปรนด้วย

เงื่อนไขที่ว่านี้ก็คือกรรมใหม่ที่เราทำนั่นเอง สมมุติว่าเราทำกรรมชั่วบางอย่างไว้ แต่เรามีโอกาสทำกรรมดีในเวลาต่อมา ได้ทำบ่อยๆ และทำมากๆด้วย กรรมชั่วที่ทำไว้ก่อนนั้น แม้จะรอจังหวะที่จะสนองผลดุจสุนัขไล่ล่าเนื้อ แต่กรรมดีใหม่ๆ ที่เราทำไว้เมื่อมีมากก็อาจทำให้กรรมเก่านั้นเบาบางหรือจางหายไป จนไม่สามรถให้ผลเลยก็ได้

“วิบากกรรม” และ “เจ้ากรรมนายเวร”

เมื่อพูดถึงกรรม ประเด็นต่อมาที่มักจะสนใจกับมากคือเรื่องวิบากกรรม และเจ้ากรรมนายเวร สิ่งที่ว่านี้คืออะไร ส่งผลกระทบกับชีวิตในปัจจุบันของเราอย่างไร ทันแพทย์สม สุจีรา อธิบายถึงเรื่องนี้ไว้ว่า

กรรมเก่าที่เคยกระทำไว้ในอดีตจะสนองคืนในสองรูปแบบคือ ส่งผลในรูปของภพภูมิที่ไปเกิด และส่งผลภายหลังการเกิด คือระหว่างดำรงชีวิต

วิบากกรรม คือ ผลอันเกิดจากกรรมที่สนองโดยอาศัยทวารทั้งหกของมนุษย์ อันได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นเครื่องมือ ทวารทั้งหกนี้เป็นสิ่งสำคัญที่มนุษย์ขาดไม่ได้ เจ้าตัวกรรมเก่ารู้ดีว่าจะมีประสิทธิภาพที่สุด ถ้าใช้ทวารเหล่านี้มาทำลายมนุษย์ผู้นั้นเสียเอง

สำหรับ เจ้ากรรมนายเวร ไม่มีชีวิต จิตใจ ความรู้สึก แต่ก็น่าแปลกเหมือนกันที่มีพฤติกรรมคล้ายกับมีความรู้สึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสามารถทำให้ใครคนหนึ่งประสบเคราะห์กรรมได้ แถมยังโหดร้ายเหลือเกิน เพราะแม้บุคคลผู้นั้นจะลืมเรื่องราวที่เคยทำไว้ในอดีตไปหมดแล้ว กรรมเก่าก็พร้อมที่จะสนองเสมอ

การให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาเป็นหลักใหญ่ของการทำกุศลเพื่อหลุดพ้นจากบ่วงกรรม แต่กุศลที่จะเกิดแก่ตัวเราได้มากที่สุดและเป็นหนทางแห่งการหลุดพ้นที่แท้ จริงมาจากการ “ภาวนา” และต้องเป็นบุญกิริยาแบบ วิปัสสนากรรมฐาน เท่านั้น เพราะวิปัสสนาจะช่วยเจริญสติสัมปชัญญะและสกัดวิบากกรรมได้ดีที่สุด การทำทาน การรักษาศีล ผลที่ได้จะมาทางอ้อม ซึ่งใช้สกัดรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ไม่ทัน และการเจริญสติวิปัสสนาเป็นการฝึกตนเพื่อต่อสู้กับเจ้ากรรมนายเวรโดยตรง เป็นกรรมเหนือกรรม เป็นกรรมฝ่ายธรรมะที่สามารถหยุดยั้งกรรมฝ่ายอธรรมไม่ให้ส่งผลได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2010, 16:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เหอๆๆ

เก่งมั๊กๆๆ

พระพุทธเจ้า ต้องฉันข้าวแดง
ต้องทนให้หินกลิ้งทับเท้า
พระโมคัลลานะต้องโดนรุมยำ
พาหิยะต้องโดนควายขวิด

เหล่านั้นล้วนเป็นสุดยอดฝีมือ ยังหยุดยั้งกรรมไม่ให้ส่งผล ยังทำไม่ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2010, 21:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


enlighted เขียน:
เก่งมั๊กๆๆ

พระพุทธเจ้า ต้องฉันข้าวแดง
ต้องทนให้หินกลิ้งทับเท้า
พระโมคัลลานะต้องโดนรุมยำ
พาหิยะต้องโดนควายขวิด

เหล่านั้นล้วนเป็นสุดยอดฝีมือ ยังหยุดยั้งกรรมไม่ให้ส่งผล ยังทำไม่ได้


:b12: :b12:
คนหมดกีเลสแล้ว..ก็เลยหมดอยาก..

ขนาด..ชีวีต
อยากมีชีวีต..ก็ไม่มี
ไม่อยากมีชีวีต..ก็ไม่มี

แล้วจะไปประสาอะไรกับกรรมละ..ครับ

ก็เห็นแต่คนยังมีกีเลสนี้แหละ..ยังวุ่ยวายกับเรี่องกรรมอยู่..


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 07 พ.ค. 2010, 21:46, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2010, 21:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมบุตร เขียน:
พระพุทธเจ้าสอนให้ยอมรับความจริง แต่ไม่ให้ยอมรับสภาพ ดังนั้นผู้ที่เข้าใจหลักกรรมถูกต้อง เมื่อรู้ว่าความจริงเป็นเช่นนี้ ย่อมจะต้องพยายามอุตสาหะพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นกว่าเดิม ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก


:b8: :b8:
ใช่ครับ..ยอมรับว่าเป็นกรรม..แต่ไม่ได้ให้ปล่อยไปตามยถากรรม
:b12: :b4: :b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2010, 21:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
enlighted เขียน:
เก่งมั๊กๆๆ

พระพุทธเจ้า ต้องฉันข้าวแดง
ต้องทนให้หินกลิ้งทับเท้า
พระโมคัลลานะต้องโดนรุมยำ
พาหิยะต้องโดนควายขวิด

เหล่านั้นล้วนเป็นสุดยอดฝีมือ ยังหยุดยั้งกรรมไม่ให้ส่งผล ยังทำไม่ได้


:b12: :b12:
คนหมดกีเลสแล้ว..ก็เลยหมดอยาก..

ขนาด..ชีวีต
อยากมีชีวีต..ก็ไม่มี
ไม่อยากมีชีวีต..ก็ไม่มี

แล้วจะไปประสาอะไรกับกรรมละ..ครับ

ก็เห็นแต่คนยังมีกีเลสนี้แหละ..ยังวุ่ยวายกับเรี่องกรรมอยู่..


เหอๆๆ

บอกไบ้พระอานนท์ สิบกว่าครั้ง เพราะเหตุใดหรือ
บอกครั้งเดียว ก็พอแล้ว น๊าคร๊าบบ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2010, 22:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


enlighted เขียน:
เหอๆๆ

บอกไบ้พระอานนท์ สิบกว่าครั้ง เพราะเหตุใดหรือ
บอกครั้งเดียว ก็พอแล้ว น๊าคร๊าบบ


เพราะเหตุใดละท่าน.. :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2010, 22:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
enlighted เขียน:
เหอๆๆ

บอกไบ้พระอานนท์ สิบกว่าครั้ง เพราะเหตุใดหรือ
บอกครั้งเดียว ก็พอแล้ว น๊าคร๊าบบ


เพราะเหตุใดละท่าน.. :b12:



เหอๆๆ ก็เพราะเหตุนี้แหละ


คนหมดกีเลสแล้ว..ก็เลยหมดอยาก..

ขนาด..ชีวีต
อยากมีชีวีต..ก็ไม่มี
ไม่อยากมีชีวีต..ก็ไม่มี

แล้วจะไปประสาอะไรกับกรรมละ..ครับ

ก็เห็นแต่คนยังมีกีเลสนี้แหละ..ยังวุ่ยวายกับเรี่องกรรมอยู่..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2010, 22:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กลัดกามเขียน

คือ เตือนว่า อย่าเพิ่งเสือก แทรกตอนนี้ มีอะไรก็ไว้ค่อยถามกันเมื่อเปิดโอกาสให้ถาม เข้าใจไหมขอรับ

เหอๆๆ


เชื่อแบบนี้ ผิดหลักกรรม

อิอิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2010, 23:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


enlighted เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
enlighted เขียน:
เหอๆๆ

บอกไบ้พระอานนท์ สิบกว่าครั้ง เพราะเหตุใดหรือ
บอกครั้งเดียว ก็พอแล้ว น๊าคร๊าบบ


เพราะเหตุใดละท่าน.. :b12:



เหอๆๆ ก็เพราะเหตุนี้แหละ


คนหมดกีเลสแล้ว..ก็เลยหมดอยาก..

ขนาด..ชีวีต
อยากมีชีวีต..ก็ไม่มี
ไม่อยากมีชีวีต..ก็ไม่มี

แล้วจะไปประสาอะไรกับกรรมละ..ครับ

ก็เห็นแต่คนยังมีกีเลสนี้แหละ..ยังวุ่ยวายกับเรี่องกรรมอยู่..


อ๋อ..เพราะเหตุนี้หรีอ..

เอนไลท..ไอทเลน..ถึงกล่าวว่า..

บอกไบ้พระอานนท์ สิบกว่าครั้ง เพราะเหตุใดหรือ
บอกครั้งเดียว ก็พอแล้ว น๊าคร๊าบบ


สัตวโลกย่อมเป็นไปตามกรรมละเน๊าะ..เอนไลท..ไอมเลน..

:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2010, 23:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
enlighted เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
enlighted เขียน:
เหอๆๆ

บอกไบ้พระอานนท์ สิบกว่าครั้ง เพราะเหตุใดหรือ
บอกครั้งเดียว ก็พอแล้ว น๊าคร๊าบบ


เพราะเหตุใดละท่าน.. :b12:



เหอๆๆ ก็เพราะเหตุนี้แหละ


คนหมดกีเลสแล้ว..ก็เลยหมดอยาก..

ขนาด..ชีวีต
อยากมีชีวีต..ก็ไม่มี
ไม่อยากมีชีวีต..ก็ไม่มี

แล้วจะไปประสาอะไรกับกรรมละ..ครับ

ก็เห็นแต่คนยังมีกีเลสนี้แหละ..ยังวุ่ยวายกับเรี่องกรรมอยู่..


อ๋อ..เพราะเหตุนี้หรีอ..

เอนไลท..ไอทเลน..ถึงกล่าวว่า..

บอกไบ้พระอานนท์ สิบกว่าครั้ง เพราะเหตุใดหรือ
บอกครั้งเดียว ก็พอแล้ว น๊าคร๊าบบ


สัตวโลกย่อมเป็นไปตามกรรมละเน๊าะ..เอนไลท..ไอมเลน..

:b12:


แม่นแล้ว

เหอๆๆ

กรรมเป็นเครื่องกำหนด

จึงบอกไป ยิ่สิบครั้งก็ไม่ได้ ต้องบอกได้แค่สิบหกครั้ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2010, 23:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ทำไม..16 ครั้งละ..15..ไม่ได้รึ

รึไม่ก็..17..ครั้งเป็นงัย :b10: :b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2010, 23:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




คำอธิบาย: การทำสังคายนาครั้งแรก เกิดขึ้นภายหลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน 3 เดือน ที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา ข้างเวภารบรรพต ใกล้กรุงราชคฤห์ ประเทศอินเดีย ในพระราชูปถัมภ์ของพระเจ้าอชาตศัตรู โดยมีพระมหากัสสปเถระทำหน้าที่เป็นประธาน และเป็นผู้คอยซักถาม มีพระอุบาลีเป็นผู้นำในการวิสัชนาข้อวินัย และมีพระอานนท์เป็นผู้นำในการวิสัชนาข้อธรรม การทำสังคายนาครั้งนี้มีพระอรหันต์มาประชุมร่วมกันทั้งหมด 500 รูป ดำเนินอยู่เป็นเวลา 7 เดือน จึงเสร็จสิ้น
sangkiti.gif
sangkiti.gif [ 171.84 KiB | เปิดดู 8372 ครั้ง ]
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๗ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗
จุลวรรค ภาค ๒



ปรับอาบัติทุกกฏแก่พระอานนท์

พระเถระทั้งหลายกล่าวต่อไปว่า ท่านอานนท์ ข้อที่เมื่อพระผู้มีพระภาค
ทรงทำนิมิตอันหยาบ กระทำโอภาสอันหยาบอยู่ ท่านไม่ทูลอ้อนวอนพระผู้มีพระภาค
ว่า ขอพระผู้มีพระภาค จงทรงดำรงอยู่ ตลอดกัป ขอพระสุคตจงทรงดำรงอยู่
ตลอดกัป เพื่อประโยชน์แก่ชนมาก เพื่อความสุขแก่ชนมาก เพื่ออนุเคราะห์
สัตว์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข แก่เทวดาและมนุษย์
ทั้งหลาย แม้นี้ ก็เป็นอาบัติทุกกฏแก่ท่าน ท่านจงแสดงอาบัติทุกกฏนั้น
ท่านพระอานนท์กล่าวว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าถูกมารดลใจ จึงไม่ได้ทูล
อ้อนวอนพระผู้มีพระภาคว่า ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงดำรงอยู่ตลอดกัป ขอพระ-
*สุคตจงทรงดำรงอยู่ตลอดกัป เพื่อประโยชน์แก่ชนมาก
เพื่อความสุขแก่ชนมาก
เพื่ออนุเคราะห์แก่สัตว์โลก
เพื่อประโยชน์
เพื่อเกื้อกูล
เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

ข้าพเจ้าไม่เห็นเหตุนั้นว่าเป็นอาบัติทุกกฏ แต่เพราะเชื่อท่าน
ทั้งหลาย ข้าพเจ้ายอมแสดงอาบัติทุกกฏนั้น

เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๗ บรรทัดที่ ๗๔๙๒ - ๗๕๓๕. หน้าที่ ๓๑๐ - ๓๑๒.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka1/v ... agebreak=0


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 08 พ.ค. 2010, 00:05, แก้ไขแล้ว 7 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2010, 00:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๗ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗
จุลวรรค ภาค ๒



ปรับอาบัติทุกกฏแก่พระอานนท์

พระเถระทั้งหลายกล่าวต่อไปว่า ท่านอานนท์ ข้อที่เมื่อพระผู้มีพระภาค
ทรงทำนิมิตอันหยาบ กระทำโอภาสอันหยาบอยู่ ท่านไม่ทูลอ้อนวอนพระผู้มีพระภาค
ว่า ขอพระผู้มีพระภาค จงทรงดำรงอยู่ ตลอดกัป ขอพระสุคตจงทรงดำรงอยู่
ตลอดกัป เพื่อประโยชน์แก่ชนมาก เพื่อความสุขแก่ชนมาก เพื่ออนุเคราะห์
สัตว์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข แก่เทวดาและมนุษย์
ทั้งหลาย แม้นี้ ก็เป็นอาบัติทุกกฏแก่ท่าน ท่านจงแสดงอาบัติทุกกฏนั้น
ท่านพระอานนท์กล่าวว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าถูกมารดลใจ จึงไม่ได้ทูล
อ้อนวอนพระผู้มีพระภาคว่า ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงดำรงอยู่ตลอดกัป ขอพระ-
*สุคตจงทรงดำรงอยู่ตลอดกัป เพื่อประโยชน์แก่ชนมาก
เพื่อความสุขแก่ชนมาก
เพื่ออนุเคราะห์แก่สัตว์โลก
เพื่อประโยชน์
เพื่อเกื้อกูล
เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

ข้าพเจ้าไม่เห็นเหตุนั้นว่าเป็นอาบัติทุกกฏ แต่เพราะเชื่อท่าน
ทั้งหลาย ข้าพเจ้ายอมแสดงอาบัติทุกกฏนั้น

เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๗ บรรทัดที่ ๗๔๙๒ - ๗๕๓๕. หน้าที่ ๓๑๐ - ๓๑๒.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka1/v ... agebreak=0


ข้าพเจ้าไม่เห็นเหตุนั้นว่าเป็นอาบัติทุกกฏ แต่เพราะเชื่อท่าน
ทั้งหลาย ข้าพเจ้ายอมแสดงอาบัติทุกกฏนั้น

พระอานนท์ เป็นพระอรหันต์พหูสูตร วันแรกที่สังคยานานะคร๊าบ
จึงกล่าวว่า ไม่เห็นเหตุอาบัตินะคร๊าบ
แต่เพราะเชื่อพวกท่านนะคร๋าบ

ไม่พ้นกรรมที่โดนกล่าวโทษอาบัติ ไปได้คร๊าบ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ย. 2011, 23:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 พ.ค. 2010, 13:34
โพสต์: 1654

งานอดิเรก: ฟังเพลง และฟังธรรมตามกาลเวลา
สิ่งที่ชื่นชอบ: อภัยทาน
อายุ: 39
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

 ข้อมูลส่วนตัว




lotus286.jpg
lotus286.jpg [ 2.59 KiB | เปิดดู 7834 ครั้ง ]
เชื่อเรื่องกรรมได้ประโยชน์อะไร

ทุกวันนี้ความรู้หรือความศรัทธาที่เรียกว่าความเชื่อเรื่องกรรมของชาวโลก
เริ่มลดน้อยถอยความเข้าใจไปทีละน้อยแถมยังหาว่าเป็นการพูดประโลมโลกเสียอีก

ชาวพุทธที่เรียกตนว่าพุทธมามกะคือผู้นับถือพุทธศาสนา ต้องมีความเชื่อที่เป็นเหตุและผลที่ทางธรรมเรียกความเชื่อนี้ว่าศรัทธา

ศรัทธา ๔ ที่ว่านี้มี เชื่อเรื่องกรรม เชื่อเรื่องผลของกรรม เราทำกรรมอันใดไว้แล้ว เราต้องรับผลของกรรมนั้น ๆ ด้วยตนเอง คนอื่นจะมารับแทนไม่ได้เด็ดขาด หรือใครจะมีฤทธิ์มีปาฏิหาริย์สักปานใด จะแปรสภาพกรรมให้เป็นอื่นไปไม่ได้

แล้วกรรมนี้เมื่อทำลงไปแล้วย่อมได้รับผลที่รับรู้ได้ในจิตเป็นไปในปัจจุบัน ไม่ว่าจะทำกรรมดีหรือกรรมชั่ว ในที่ลับหรือที่แจ้ง ย่อมได้รับผลกรรมนั้นด้วยใจของตนเอง คนอื่นจะรู้หรือไม่ก็ตาม ตัวของตนนั้นแหละย่อมรู้ชัดด้วยใจของตนตลอดเรื่อง ส่วนภพอื่นชาติอื่นเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่กรรมจะให้เวลาส่งผลต่อไปตามกฎแห่งกรรม ที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เข้าตรัสรู้แห่งกฎธรรมชาตินี้

ผู้นับถือพุทธศาสนาต้องเชื่อกรรม เชื่อผลของกรรมอย่างนี้เป็นพื้นฐาน จึงจะรับรักษาพระรัตนตรัยให้มั่นคงตลอดไปได้

ตัวกรรมแท้เกิดที่จิตใจของบุคคล ใจเป็นต้นเหตุ เจตนาเป็นผู้แสดงออกมา
ถ้าใจชั่วคิดไม่ดี มีความเกลียด โกรธ อิจฉา พยาบาทอยู่แล้ว ย่อมแสดงออกมาทางกายให้เห็นชัดได้ เป็นต้นว่าคิดจะฆ่าสัตว์ ลักขโมยของเขา และประพฤติผิดในกาม เป็นต้น ย่อมแสองออกมาแต่ที่ไม่ดี ไม่มีประโยชน์แก่คนอื่นทั้งนั้น หรือมิเช่นนั้นก็แสดงออกมาทางวาจา ด้วยการพูดเท็จพูดโกหกหลอกลวงคนอื่น เพื่อให้เขาเสียผลประโยชน์ในสิ่งที่ควรจะได้ เป็นต้น ถึงไม่แสดงออกทางกาย วาจา แต่ก็ยังมีความนึกคิดอยู่แต่ในใจ ในการที่ทำความเสื่อมเสียแก่คนอื่นจนเป็นนิสัย


เราเกิดมาเพราะกรรมนำมาให้เกิด เมื่อเกิดมาเพราะกรรมแล้ว ยังไปนำเอากรรมมาปรุงมาแต่งเพิ่มให้ทวีคูณขึ้นมาอีกด้วย เพราะความไม่รู้ ความหลงว่ากรรม ไม่ใช่กรรม กว่าจะรู้มันสายไปเสียแล้ว เมื่อมาระลึกถึงความผิดพลาดจึงกลัวกรรมจะตามมาสนอง

เจ้ากรรมนายเวรมีจริงหรือไม่ เจ้ากรรมนายเวรก็หมายถึงอำนาจกรรมที่บุคคลนั้นได้กระทำกรรมนั้น ๆ ไว้แล้ว กรรมเวรเกิดขึ้นจากจิต เป็นนามธรรม เมื่อจิตไปสวมเอารูปกายซึ่งเป็นวิบากของกรรมมาเป็นตัวตน กรรมก็จะต้องตามมาใช้กรรมนั้นอีก จิตผู้สร้างกรรมนั้นย่อมจะรับผลกรรมนั้นยิ่งทวีคูณ เมื่อกายแตกดับแล้ว อำนาจกรรมนี้ก็ยังส่งผลให้จิตไปเกิดขึ้นเพื่อมารับผลต่อไป อีกหลายภพหลายชาติอีกด้วยดังพระพุทธเจ้าของเราพระองค์ทรงแสดงว่า

ท่านได้เคยเกิดมาเสวยชาติเป็นสิงห์สาราสัตว์ต่างๆเหลือที่จะคณานับถ้าจะนับก็นับไม่ถ้วน แต่ละภพละชาติ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เป็นมนุษย์ ล้วนแล้วแต่เกิดมาจากกรรมทั้งนั้น รูปดับชาติหนึ่งแล้วยังเหลือแต่จิตที่มีเชื้อที่จะสืบต่อ จิตนั้นก็หอบเอากรรมนั้นพาไปเกิดอีกต่อไป

มีสำนวนที่ใช้กันว่ากรรมเวร คำว่า เวร นั้นเกิดจากเจตนาอันชั่วช้าเลวทราม ทำกรรมแล้วจนเป็นเหตุให้ผูกเวรซึ่งกันและกัน เวรในที่นี้จะได้อธิบายแต่ในทางที่ไม่ดีอย่างเดียว เพราะคนส่วนมากก็เข้าใจเช่นนั้น


ดั่งชาวศากยราชที่เป็นพระญาติของพระพุทธเจ้าของเราถูกกองทัพวิฑูฑภะบดขยี้ราบเรียบหมด เรื่องเดิมมีอยู่ว่า วิฑูฑภะเป็นราชโอรสของพระเจ้าปเสนทิโกศลถูกชาวศากยราชดูถูกเหยียดหยาม ทรงพระพิโรธมาก จึงทรงยกกองทัพไปจะขยี้ชาวศากยราชให้ฉิบหายทั้งหมด พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปสกัดกั้นอยู่ข้างหน้าวิฑูฑภะได้ทรงเห็นจึงตรัสว่า พระองค์เสด็จมาประทับ ณ ที่นี้ไม่ทรงร้อนพระวรกายหรือ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ความร้อนของเรามีนิดหน่อย ไม่เท่าความร้อนของกษัตริย์วิวาทกัน

วิฑูฑภะเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาห้ามเรา จึงยกทัพกลับคืนที่เดิม แต่วิฑูฑภะทรงยกทัพไปอีกถึง ๒ ครั้ง พระพุทธเจ้าก็เสด็จไปกั้นทั้ง ๒ ครั้งเหมือนกัน ด้วยความพิโรธอันแรงกล้า วิฑฑูภะทรงยกกองทัพไปอีก พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาถึงกรรมของชาวศากยราชแล้วจึงไม่ได้เสด็จไปกั้นอีก วิฑฑูภะทรงยกทัพตะลุยเข้าพระนครกบิลพัสดุ์ ฆ่าชาวกรุงกบิลพัสดุ์เรียบหมด มันจะต้านทานได้ที่ไหน นี่แหละ กรรมและเวร ใคร ๆ จะห้ามไม่ได้เด็ดขาด แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงต้องปล่อยไปตามกรรมของสัตว์ ยังห้ามไม่ได้ เมื่อตนทำกรรมอะไรลงไปแล้ว ตนต้องได้รับผลกรรมนั้นต่อไป

ส่วน เวร ชื่อว่าทำกรรมที่ผูกอาฆาตมาดร้างจองล้างจองผลาญซึ่งกันและกัน กรรมที่ทำด้วยเจตนาอันแรงกล้าด้วยการผูกใจเช่นนี้มากจนกลายเป็น เวร พระพุทธองค์ทรงชี้ให้เห็นโทษของเวร และทรงแนะว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร


เมื่อบุคคลทั้งสองต่างก็เห็นโทษซึ่งตนกระทำลงไปแล้วในชาติที่เป็นมนุษย์อยู่นี่แหละ เมื่อเผชิญหน้ากันเข้าแล้ว ก็เปิดเผยโทษที่ตนกระทำนั้นให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบแล้วขออโหสิกรรมกันเสีย เวรนั้นย่อมระงับได้ด้วยประการฉะนี้ แต่หากอีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอมอโหสิกรรมให้ กรรมนั้นย่อมติดตามไปอีก ดังพระเทวทัตได้ทำหรือผูกเวรคือผูกใจเจ็บกับพระพุทธเจ้าในอดีตชาติ หลายพันล้านชาติ มาในชาติเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว

พระเทวทัตก็ยังผูกจนกรรมที่ผูกนี้กลายเป็นโทษมหันตภัยอันใหญ่หลวงยากที่แก้ไขได้ จึงได้มาตามสนองอีกจนทุกวันนี้

บุพกรรมของเรื่องนี้มีอยู่ว่า ในอดีตชาติอันยาวนาน เมื่อพระพุทธเจ้าและพระเทวทัตเกิดมาเป็นพ่อค้าด้วยกัน พระเทวทัตได้เข้าไปในบ้านของตระกูลเศรษฐีตกทุกข์แห่งหนึ่ง เขาเอาถาดทองคำเก่า ๆ มาขายให้ พระเทวทัตก็แกล้งกล่าวว่าถาดไม่ดีไม่มีราคา แล้วก็ให้ราคาถูก ๆ เจ้าของก็ไม่ยอมขายให้ พระเทวทัตก็จากไป พระโพธิสัตว์ตามไปทีหลังเขาเอาออกมาขายให้อีก พระโพธิสัตว์เห็นเป็นของดีมีราคามาก จึงได้ให้ราคามากตามสมควรแก่ของแล้วจากไป พระเทวทัตย้อนกลับมาอีก ถามถึงถาดใบนั้น เจ้าของเขาบอกว่า เมื่อท่านไม่เอาหาว่าราคาแพง พ่อค้าคนอื่นมาเขาก็ซื้อเอาไปแล้ว พระเทวทัตโกรธมากถึงกับอาฆาตจองเวรวิ่งตามพระโพธิสัตว์ไป แต่ไม่ทัน แต่นั้นมาเกิดในภพใดชาติใดก็ทำกรรมทำเวรแก่พระโพธิสัตว์ทุกภพทุกชาติ

แต่พระโพธิสัตว์ก็มิได้ก่อกรรมก่อเวรใด ๆ แก่พระเทวทัต มีแต่ทำคุณประโยชน์แก่พระเทวทัตเรื่อยมา มาในชาติที่สุดได้เกิดมาเป็นพระเทวทัตออกบวชแล้ว เวรเก่าบันดาลให้อยากเป็นพระพุทธเจ้าแทนพระองค์ เมื่อพระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาตจึงคิดทำลายสงฆ์ จนถึงกับเป็นสังฆเภท แรงของเวรนี้มันร้ายกาจเหลือหลาย หากว่าคู่เวรทั้งสองมาเห็นโทษของมันแล้วหันหน้าเข้าหากัน ต่างก็อโหสิกรรมแก่กันและกัน เวรนั้นย่อมสิ้นสุดลงเพียงเท่าแค่นั้น

กรรมเวรมิใช่ของมันเกิดเอง เกิดจากจิตของบุคคลผู้คิดพยาบาทอาฆาตจองล้างจองผลาญซึ่งกันและกัน กรรมเวรมิใช่เป็นวัตถุ มันเป็นนามธรรม จะรู้สึกได้ด้วยใจของตนเอง

กรรมเวรใครทำลงไปแล้ว ผู้กระทำกรรมนั้นแหละย่อมได้รับผลด้วยตนเอง คนอื่นจะมารับแทนไม่ได้ หรือคนอื่นจะถ่ายทอดให้ก็ไม่ได้เหมือนกัน ดังได้อธิบายมาแล้วข้างต้น

คนส่วนมากเข้าใจผิดในหลักพระพุทธศาสนาอยู่มากทีเดียว เมื่อตนได้ทำกรรมเวรไว้ด้วยเจตนาอันแรงกล้าจนเป็นเหตุให้ได้จองกรรมจองเวรกันแล้ว ภายหลังมาระลึกได้ว่าตนได้กระทำกรรมเวรมาก แล้วคิดอยากถ่ายถอนกรรมเวรนั้นให้หมดไปเสีย เมื่อได้ทำบุญก็อุทิศบุญนั้นไปให้เจ้ากรรมนายเวร เพื่อให้บุญนั้นไปถึงผู้กระทำกรรมเวรแก่เรา เพื่อว่าผู้นั้นเห็นบุญของเราเข้าแล้วจะได้ใจอ่อน
จะได้อโหสิกรรมให้แก่เรา ทำให้คำว่า อโหสิกรรม สามารถยกด้วยบุคคล

ความจริงแล้วการพูดว่า อโหสิกรรมนั้น เป็นเจตนาจะไม่ผูกใจกันเพื่อไม่ลุแก่โทษ ส่วนอำนาจกรรมที่ทำกันไว้ รอเวลาให้ผล ถ้าให้ผลไม่ได้ตามกาล
จึงจะเรียกกรรมที่ให้ผลไม่ได้นี้ว่า อโหสิกรรม

ใครทำกรรมเวรอันใดไว้แล้ว ผู้กระทำกรรมเวรนั้นย่อมได้รับผลกรรมนั้นด้วยตนเอง กรรมเวรเป็นนามธรรม ไม่มีตัวตน เกิดจากเจตนาของคนและสัตว์ทั้งหลาย เมื่อเกิดแล้วจะเอาไปเก็บไว้ที่ไหน ก็เก็บที่จิตของสัตว์นั้นเอง เพราะจิตเป็นธรรมชาติที่สะสมกรรมที่ทำไว้ได้

เพื่อจะระงับกรรมเวรกัน เมื่อเราเกิดมาแล้วชื่อว่านำเอากรรมมาเกิด ถ้ากรรมไม่นำมาเกิดเราก็คงไม่ได้เกิด การได้ใช้ผลกรรมที่ทำนั้น ชื่อว่าใช้หนี้กรรมแล้ว กรรมถึงจะระงับ กรรมคือ ตัวจิตที่คิดดีคิดชั่ว หยาบและละเอียดรวมพูดออกมาทำออกมา นั้นเรียกว่ากรรม

เมื่อเกิดมาแล้วเราทั้งหลายก็ต้องอาศัยกรรมนั้นเป็นที่พึ่งที่อาศัย คือ ต้องคิดนึก ต้องปรุงต้องแต่ง ในภารกิจธุรการงานนั้น ๆ เป็นเครื่องอยู่เครื่องอาศัย คนเราเกิดมาและยังไม่ถึงความเป็นอรหันต์ และยังไม่สิ้นภพสิ้นชาติก็จะต้องยังอยู่กับกรรมที่ทำนี้ตลอดเวลาและตลอดไป

ผู้มาพิจารณาเห็นโทษของกรรมว่าเป็นของยาวนานหาที่สิ้นสุดไม่ได้ จึงประกอบแต่คุณงามความดี อันจะเป็นเหตุให้หมดกรรมหมดเวร เป็นต้นว่า ฝึกหัดจิตผู้คิดประทุษร้าย อาฆาต พยาบาท เบียดเบียนคนอื่นนั้น ฝึกหัดให้มีจิตเมตตากรุณาปรานีเผื่อแผ่แก่คนอื่น ทำจิตให้แช่มชื่นเบิกบานต่อสถานที่ และบุคคลนั้น ๆ นี่วิธีแก้กรรมแก้เวร กรรมเวรเกิดที่จิตเศร้าหมอง ก็ต้องแก้โดยหมั่นฝึกหมั่นทำจิตให้ผ่องแผ้ว ไปแก้ที่อื่นมันไม่ถูก ถ้าจะแก้กรรมเวรให้ถูกจุดตรง ๆ แล้วต้องทำเรียนรู้ธรรมคือธรรมชาติของเขาเมื่อรู้แล้วก็ต้องนำปฎิบัติ ที่เรียกว่ารู้ธรรมนำปฎิบัติ

บทความนี้ได้นำวาทะบรรยายของพระอาจารย์นิโรธรังสี มาพรรณาใหม่เข้าใจในเรื่องกรรมเวร

คัดลอกมาจาก http://www.thaimisc.com/freewebboard...aew&topic=6607
__________________

ในชีวิตของคนแต่ละวัน ๆ มันขึ้นอยู่กับเรื่องดึงเข้ามาและผลักออกไป สิ่งใดที่เราพอใจชอบใจก็ดึงเข้ามา สิ่งใดที่เราไม่พอใจก็ผลักออกไป ไม่มีอะไรที่จะสมใจของใครเสมอไป ได้บ้าง เสียบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา ทุกชีวิตนั้นเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น และปรารถนาความสุข ไม่ต้องการความทุกข์ความเดือดร้อน เราก็อย่าให้ความทุกข์ความเดือดร้อนเกิดขึ้นแก่ผู้อื่นเนื่องด้วยการกระทำของเราเลย ชีวิตทุกรูปทุกนามซึ่งเกิดขึ้นมาในโลกนี้ล้วนตกอยู่ในวงล้อมแห่งกรรม ไม่มีใครจะอยู่เหนือกฎธรรมชาติได้เลย ในวันสุดท้ายจำต้องละจากสิ่งทั้งปวงไป
(พระคติธรรม สมเด็จพระญาณสังวร)

กราบขอบพระคุณที่มา :: http://www.dhammakid.com/board/acaaaxei ... mmakid.com

:b42: กราบอนุโมทนาบุญกับท่านผู้เจริญในธรรมและกัลยาณมิตรนะค่ะ มีดวงตาเห็นธรรม มีความสว่างทั้งทางโลกและทางธรรม มีความสุขความเจริญ และอยู่เย็นเป็นสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้านะค่ะ tongue tongue tongue

.....................................................
ธรรมอำนวยพร
ขอให้.....มีจิตที่รู้ ที่ตื่น ที่เบิกบาน (พุทธะ)
ขอให้.....ทำการงานด้วยความสุข (อิทธิบาทสี่)
ขอให้.....ขจัดทุกข์ได้ด้วยปัญญา (อริยสัจสี่)
ขอให้.....มีดวงตาที่เห็นความจริง (ไตรลักษณ์)
ขอให้.....เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยไตรสิกขา (ศีล, สมาธิ, ปัญญา)
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร