วันเวลาปัจจุบัน 19 มิ.ย. 2025, 19:53  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2011, 17:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 มี.ค. 2011, 23:35
โพสต์: 9


 ข้อมูลส่วนตัว


อยากได้คำอธิบายเกี่ยวกับกรรมค่ะ ว่ากรรม ถึงจะให้อโหสิกรรมต่อกันแล้วแล้ว แต่ก็ยังให้ผลอยู่ เพียงแต่จะไม่มาจากการกระทำของผู้อโหสิกรรมให้ใช่หรือไม่คะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2011, 20:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


คนที่ทำร้าย พระพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์ ท่านอโหสิกรรม ทันที
แต่ คนผู้นั้น กลับ ต้องรับผลอนันตริยกรรม เหมือนเดิม
เช่นเดียวกับ คนที่ทำร้ายบิดามารดา
บิดามารดาย่อมอโหสิกรรม(ไม่ถือโทษโกรธเคือง)
แต่คนผู้นั้นยังต้องรับกรรมอยู่ดี

การอโหสิกรรม ดูเหมือนไม่ค่อยให้ผลเท่าไร
แต่ที่มีผล ก็มีปรากฏอยู่บ้าง แต่น่าจะเป็นกรณี กรรมชั่วธรรมดา ไม่ถึงขั้นอนันตริยกรรม

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2011, 21:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


suteara เขียน:
อยากได้คำอธิบายเกี่ยวกับกรรมค่ะ ว่ากรรม ถึงจะให้อโหสิกรรมต่อกันแล้วแล้ว แต่ก็ยังให้ผลอยู่ เพียงแต่จะไม่มาจากการกระทำของผู้อโหสิกรรมให้ใช่หรือไม่คะ


อยากได้คำอธิบาย ว่าทำไมจึงเกิดคำถาม

เพราะ ประเด็นไม่ใช่ว่ากรรมมันจะสนองต่อผู้กระทำอย่างไรหรอก
ประเด็นมันอยู่ที่อะไรทำให้คุณ สงสัยเช่นนั้น

กรรมจะสนองยังไง เราแก้สิ่งที่เป็นไปตามกรรมไม่ได้
แต่เรา ทำความรู้ความเข้าใจในประเด็นที่ทำให้เกิดความสงสัยได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2011, 08:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 มี.ค. 2011, 23:35
โพสต์: 9


 ข้อมูลส่วนตัว


ตอบคุณ eragon_joe นะคะ

ที่เกิดคำถามก็เพราะมีข้อสงสัยค่ะ

และก็ยังตอบตัวเองได้ไม่กระจ่างด้วยว่าทำไมจึงสงสัย

โดยส่วนตัวแล้วอยากทำความเข้าใจเกี่ยวกับกฎแห่งกรรมให้มากขึ้นค่ะ

เพราะจะได้อธิบายให้ตัวเองเข้าใจได้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากการกระทำของตัวเราเอง

มีเหตุมีผล และจะได้มีสติรู้เท่าทันความคิดของตนเองต่อไปค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2011, 09:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


suteara เขียน:
ตอบคุณ eragon_joe นะคะ

ที่เกิดคำถามก็เพราะมีข้อสงสัยค่ะ

และก็ยังตอบตัวเองได้ไม่กระจ่างด้วยว่าทำไมจึงสงสัย

โดยส่วนตัวแล้วอยากทำความเข้าใจเกี่ยวกับกฎแห่งกรรมให้มากขึ้นค่ะ

เพราะจะได้อธิบายให้ตัวเองเข้าใจได้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากการกระทำของตัวเราเอง

มีเหตุมีผล และจะได้มีสติรู้เท่าทันความคิดของตนเองต่อไปค่ะ


เราเคยเห็น ผู้ที่กระทำไม่ดีต่อเราว่าเป็นกรรม คือ เราคงเคยทำเขาเอาไว้
จะทำกับเขา หรืออาจจะทำกับคนอื่นเอาไว้ ต่อเมื่อเกิดสิ่งไม่ดีกับเรา เราย่อมเห็นว่านั่นคือกรรมที่เราต้องชดใช้

นั่นเป็นกรรมตัวพ่อจริง ๆ หรือ

หรือว่า จริง ๆ แล้วกรรมของเราก็คือ ที่ผ่าน ๆ มาในอดีต เราไม่ได้สร้างกรรมที่ทำให้เกิดวิชาขึ้นในใจ
"ถ้ารู้ชอบ เราก็คงเลือกกระทำแต่กุศลกรรม" ใช่ม๊ะ

มองกรรมให้ใกล้ตัวเอาไว้ กรรมตัวพ่อ กรรมตัวแม่ มันคือเราเอง
จะทำให้เราเห็นกรรม ที่ทำให้เรามีทัศนะว่าเป็นสิ่งที่เรารู้เท่าทัน และสามารถรับมือกับมันได้
กับการที่เราจะแก้ที่ตัวเราเอง

คือ ไม่ต้องไปรบในเรื่องกรรมกับใคร แต่รบกับกรรมของเราเอง

คือ จะขอขมากรรมกันสักเท่าไร จะอโหสิกรรมกันสักเท่าไร ก็ไม่จบสิ้น
ถ้าไม่ หยุด
เราต้องเรียนรู้ที่จะขอขมา เรียนรู้ที่จะอโหสิ และเรียนรู้ที่จะ หยุด ด้วย
แต่เรียนรู้อะไร ไม่สู้ เรียนรู้ที่จะ หยุด

เรานี่เองที่เป็นกรรม และเราก็คือผู้ที่รับผลของกรรม ตรง ๆ ตัว ไม่ผิดเพี้ยน
เราเข้าใจของเราเพียงเท่านี้

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2011, 16:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


suteara เขียน:
อยากได้คำอธิบายเกี่ยวกับกรรมค่ะ ว่ากรรม ถึงจะให้อโหสิกรรมต่อกันแล้วแล้ว แต่ก็ยังให้ผลอยู่ เพียงแต่จะไม่มาจากการกระทำของผู้อโหสิกรรมให้ใช่หรือไม่คะ

tongue สวัสดีค่ะ คุณจขกท
กรรมเป็นเรื่องของความเป็นไปตามเหตุปัจจัย หลักเหตุปัจจัยในพุทธศาสนาก็คือหลักปฏิจจสมุปบาท
และกรรมก็เป็นส่วนหนึ่งในหลักปฏิจจสมุปบาทนั้น
ในทางพุทธศาสนา สอนว่า "กรรม" คือการกระทำ การกระทำที่มีเจตนาประกอบ
สามารถกระทำผ่านทาง กาย วาจา และใจ กรรมดีเรียกว่ากุศลกรรม
กรรมชั่วเรียกว่าอกุศลกรรม ดังนั้นผู้ใดทำเหตุเช่นไรย่อมได้รับผลเช่นนั้น
ผลย่อมถูกตรงเช่น ปลูกมะม่วง ย่อมได้รับผลมะม่วงตอบแทน
เรากินข้าว ผลที่ได้รับก็คือความอิ่ม ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนผลที่ได้รับก็คือจบการศึกษา
การกระทำผ่านทาง กาย วาจา และใจ ของเราเกิดอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นนอน
จนกระทั่งหลับ สิ่งที่เกิดเมื่อวานก็กลายเป็นอดีตไปแล้ว กรรมจึงแบ่ง
ออกได้เป็น 3 กาลคือ
1.กรรมในอดีต คือการกระทำที่ผ่านมาแล้วไม่ว่าจะเป็นเมื่อ 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา เมื่อวาน
เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เดือนที่แล้ว ปีที่แล้ว....จนถึงชาติที่แล้ว การกระทำที่ทำไปแล้ว
มันย่อมต้องมีผล มันเกิดขึ้นมาแล้วมันเป็นเหตุ เราปฏิเสธไม่ได้ข้อสำคัญอยู่ที่ว่าเรา
ควรได้ประโยชน์จากอดีตอย่างไร ให้มองในแง่ที่จะเป็นบทเรียนแก่ตนเอง
และรู้จักการพิจารณาไตร่ตรองมองเห็นเหตุและผลที่เกิดกับตนเองเกี่ยวข้องกับการกระทำ
ของตัวเราอย่างไร ไม่มัวโทษผู้อื่นอยู่เรื่อย และไม่มัวรอรับแต่ผลของกรรมเก่า ท้อแท้ใจและทอดธุระ

2.กรรมในปัจจุบัน คือการกระทำที่เป็นปัจจุบันขณะ เกิดขึ้นเป็นขณะ ๆ เพื่อตอบสนองต่อ
เหตุปัจจัยที่เข้ามากระทบหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ดังนั้นพุทธศาสนาจึงเน้นที่ “กรรมในปัจจุบัน”
ที่เราสามารถจะแก้ไข กรรม และพัฒนากรรมที่ดีให้ดียิ่ง ๆ ชึ้นไป เช่น สอบครั้งที่แล้ว
ไม่ได้อ่านหนังสือผลก็คือสอบตก ดังนั้นสอบครั้งใหม่เราก็ต้องอ่านหนังสือ
หรือเพื่อน ๆ ไม่ชอบคบหาสมาคมกับเราเป็นผลให้ต้องอยู่คนเดียวเป็นอาจิณ
หรือมีแฟนกี่คน ๆ เป็นต้องเลิกรากันเสียทุกทีไป อันนี้ก็ต้องพิจารณาหาเหตุผลว่าเรา
มีหลักในการเลือกคบคนอย่างไร แยกแยะออกหรือไม่ว่าคนดีเป็นอย่างไร คนพาลเป็นอย่างไร
และตัวเราเองมีข้อบกพร่องอย่างไร เป็นต้น
ซึ่งหลักนี้ถือเป็นการพัฒนาตนนั่นเอง ท่านสอนให้พัฒนาตนและแก้ไขที่ตนเอง ทำปัจจุบันให้ถูกตรง

3.กรรมในอนาคต ก็คือการกระทำที่เราทำในปัจจุบันก็จะไปกลายเป็นผลที่จะได้รับ
ในอนาคตนั่นเองเมื่อทำปัจจุบันได้ถูกตรงผลที่จะได้รับในอนาคตก็ย่อมถูกตรงเช่นกัน
ทัศนคติต่อกรรม
1.ทัศนคติต่อตนเอง คือเราจะต้องมีความรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง
เมื่อยอมรับส่วนที่ผิดแล้วจะต้องคิดแก้ไขปรับปรุงตนเองให้ถูกต้องดีงามยิ่งขึ้นไปอีก
2.ทัศนคติต่อผู้อื่น คือการวางอุเบกขา(วางใจเป็นกลางเพื่อดำรงความเป็นธรรม
และรักษาความยุติธรรมไว้) เพราะเขาได้รับผลจากการกระทำของเขา และที่ขาดไม่ได้
คือมีเมตตาและกรุณา เมื่อเขาได้รับทุกข์โทษตามควรแก่กรรมของเขาแล้วเราจะช่วยเหลือ
เขาให้พ้นจากความทุกข์และพบความสุขความเจริญต่อไปได้อย่างไร ไม่ใช่สักแต่ว่า
วางอุเบกขาอย่างเดียว มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน พึ่งพาอาศัยกัน :b41:

พระพุทธองค์ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อบุคคลมายึดเอากรรมที่ทำไว้ในปางก่อนเป็นสาระ
ฉันทะก็ดี ความพยายามก็ดีว่าสิ่งนี้ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ ก็ย่อมไม่มี”


ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม :b8:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


แก้ไขล่าสุดโดย ปลีกวิเวก เมื่อ 13 เม.ย. 2011, 20:47, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2011, 17:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


ปลีกวิเวก เขียน:
tongue สวัสดีค่ะ คุณจขกท
กรรมเป็นเรื่องของความเป็นไปตามเหตุปัจจัย หลักเหตุปัจจัยในพุทธศาสนาก็คือหลักปฏิจจสมุปบาท
และกรรมก็เป็นส่วนหนึ่งในหลักปฏิจจสมุปบาทนั้น
ในทางพุทธศาสนา สอนว่า "กรรม" คือการกระทำ การกระทำที่มีเจตนาประกอบ
สามารถกระทำผ่านทาง กาย วาจา และใจ กรรมดีเรียกว่ากุศลกรรม
กรรมชั่วเรียกว่าอกุศลกรรม ดังนั้นผู้ใดทำเหตุเช่นไรย่อมได้รับผลเช่นนั้น
ผลย่อมถูกตรงเช่น ปลูกมะม่วง ย่อมได้รับผลมะม่วงตอบแทน
เรากินข้าว ผลที่ได้รับก็คือความอิ่ม ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนผลที่ได้รับก็คือจบการศึกษา
การกระทำผ่านทาง กาย วาจา และใจ ของเราเกิดอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่หลับ
จนกระทั่งตื่น สิ่งที่เกิดเมื่อวานก็กลายเป็นอดีตไปแล้ว กรรมจึงแบ่ง
ออกได้เป็น 3 กาลคือ
1.กรรมในอดีต คือการกระทำที่ผ่านมาแล้วไม่ว่าจะเป็นเมื่อ 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา เมื่อวาน
เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เดือนที่แล้ว ปีที่แล้ว....จนถึงชาติที่แล้ว การกระทำที่ทำไปแล้ว
มันย่อมต้องมีผล มันเกิดขึ้นมาแล้วมันเป็นเหตุ เราปฏิเสธไม่ได้ข้อสำคัญอยู่ที่ว่าเรา
ควรได้ประโยชน์จากอดีตอย่างไร ให้มองในแง่ที่จะเป็นบทเรียนแก่ตนเอง
และรู้จักการพิจารณาไตร่ตรองมองเห็นเหตุและผลที่เกิดกับตนเองเกี่ยวข้องกับการกระทำ
ของตัวเราอย่างไร ไม่มัวโทษผู้อื่นอยู่เรื่อย และไม่มัวรอรับแต่ผลของกรรมเก่า ท้อแท้ใจและทอดธุระ

2.กรรมในปัจจุบัน คือการกระทำที่เป็นปัจจุบันขณะ เกิดขึ้นเป็นขณะ ๆ เพื่อตอบสนองต่อ
เหตุปัจจัยที่เข้ามากระทบหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ดังนั้นพุทธศาสนาจึงเน้นที่ “กรรมในปัจจุบัน”
ที่เราสามารถจะแก้ไข กรรม และพัฒนากรรมที่ดีให้ดียิ่ง ๆ ชึ้นไป เช่น สอบครั้งที่แล้ว
ไม่ได้อ่านหนังสือผลก็คือสอบตก ดังนั้นสอบครั้งใหม่เราก็ต้องอ่านหนังสือ
หรือเพื่อน ๆ ไม่ชอบคบหาสมาคมกับเราเป็นผลให้ต้องอยู่คนเดียวเป็นอาจิณ
หรือมีแฟนกี่คน ๆ เป็นต้องเลิกรากันเสียทุกทีไป อันนี้ก็ต้องพิจารณาหาเหตุผลว่าเรา
มีหลักในการเลือกคบคนอย่างไร แยกแยะออกหรือไม่ว่าคนดีเป็นอย่างไร คนพาลเป็นอย่างไร
และตัวเราเองมีข้อบกพร่องอย่างไร เป็นต้น
ซึ่งหลักนี้ถือเป็นการพัฒนาตนนั่นเอง ท่านสอนให้พัฒนาตนและแก้ไขที่ตนเอง ทำปัจจุบันให้ถูกตรง

3.กรรมในอนาคต ก็คือการกระทำที่เราทำในปัจจุบันก็จะไปกลายเป็นผลที่จะได้รับ
ในอนาคตนั่นเองเมื่อทำปัจจุบันได้ถูกตรงผลที่จะได้รับในอนาคตก็ย่อมถูกตรงเช่นกัน
ทัศนคติต่อกรรม
1.ทัศนคติต่อตนเอง คือเราจะต้องมีความรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง
เมื่อยอมรับส่วนที่ผิดแล้วจะต้องคิดแก้ไขปรับปรุงตนเองให้ถูกต้องดีงามยิ่งขึ้นไปอีก
2.ทัศนคติต่อผู้อื่น คือการวางอุเบกขา(วางใจเป็นกลางเพื่อดำรงความเป็นธรรม
และรักษาความยุติธรรมไว้) เพราะเขาได้รับผลจากการกระทำของเขา และที่ขาดไม่ได้
คือมีเมตตาและกรุณา เมื่อเขาได้รับทุกข์โทษตามควรแก่กรรมของเขาแล้วเราจะช่วยเหลือ
เขาให้พ้นจากความทุกข์และพบความสุขความเจริญต่อไปได้อย่างไร ไม่ใช่สักแต่ว่า
วางอุเบกขาอย่างเดียว มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน พึ่งพาอาศัยกัน :b41:

พระพุทธองค์ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อบุคคลมายึดเอากรรมที่ทำไว้ในปางก่อนเป็นสาระ
ฉันทะก็ดี ความพยายามก็ดีว่าสิ่งนี้ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ ก็ย่อมไม่มี”


ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม :b8:

:b8: :b8: :b8: ค่ะ คุณปลีกวิเวก

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2011, 14:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.พ. 2011, 10:52
โพสต์: 256

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b43: :b8: :b8: :b8: :b43:

.....................................................
ทำดี ดีแล้ว เป็นพร
ทำดี ดีแล้ว เป็นพร ไม่ต้อง อ้อนวอน ขอพร กะใคร ให้กวน
พรที่ ให้กัน ผันผวน เป็นเหมือน ลมหวน อวลไป อวลมา อย่าหลง
พรทำ ดีเอง มั่นคง วันคืน ยืนยง ซื่อตรง ต่อผู้ รู้ทำ
อยากรวย ด้วยพร เพียรบำ - เพ็ญบุญ กุศลนำ ให้ถูก ให้พอ ต่อตน
ทุกคน เกิดมา เป็นคน ชั่วดี มีจน เป็นผล แห่งกรรม ทำเอง
ถือธรรม เชื่อกรรม ยำเยง บาปชั่ว กลัวเกรง ทำแต่ กรรมดี ทวีพรฯ

ท่านพุทธทาสภิกขุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2011, 04:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8:
คุณปลีกวิเวก กล่าวดีแล้วครับ สาธุ :b8:

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร