วันเวลาปัจจุบัน 03 พ.ค. 2025, 03:52  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2009, 21:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


บันทึกสวรรค์ภูมิ



วันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ.2543
ครั้งที่ 1
สวรรค์ชั้นที่ 2

ผมนั่งกรรมฐานอธิษฐานจิต ไปสวรรค์ ได้พบกับเทพบุตร 5 องค์ ยืนรอผมอยู่พร้อมกับ พูดกับผมว่า
“ผมมารอคุณ เพื่อนำคุณไปเที่ยวชมสวรรค์แดนต่าง ๆ”
ผมยิ้มทักทายกับเทพบุตรเหล่านั้น และบอกกับเทพบุตรทั้งหมดว่า
“ผมมาจากโลกมนุษย์ ผมเป็นศิษย์อุบาสิกา พิมพา ทองเกลา ต้องการมาเที่ยวชมสวรรค์ เพื่อนำไปเขียนหนังสือ บอกเล่าเรื่องราวให้มนุษย์ได้รู้ครับ"
เทพบุตรทั้งห้าองค์นั้น ก็ได้เหาะนำผมไปเที่ยวชม
ผมได้พบกับเทพบุตรองค์หนึ่ง เขาได้บอกเล่าเรื่องราวของเขาให้ผมฟังว่า เขาเกิดที่กรุงเทพมหานคร ตายด้วยอุบัติเหตุรถยนต์ชนกัน แลได้มาอยู่สวรรค์ชั้นนี้ เพราะบุตรที่เคยได้ใส่บาตรพระภิกษุ
หลังจากได้พูดคุยสัมภาษณ์กับเทพบุตรองค์นี้แล้ว ผมได้เหาะสูงขึ้นไป พร้อมกับเทพบุตรทั้งห้า และได้พบกับเทพบุตรองค์หนึ่ง อยู่ในวิมาน จึงได้หยุดสัมภาษณ์เทพบุตรองค์นี้ ได้ความว่าเมื่อครั้งที่เทพบุตรองค์นี้ เกิดเป็นมนุษย์นั้น ได้เคยสร้างศาลาวัด ตายแล้วได้มาเกิดบนสวรรค์อย่างมีความสุข และเทพบุตรองค์นี้ก็ได้ชักชวนผมรับประทานผลไม้ทิพย์ ผมหยิบผลไม้ทิพย์ขึ้นมาชิม 1 ผล มีรสหอมหวาน
ต่อจากนั้น ผมได้ไปเที่ยวชมส่วนอื่น ๆ ต่อไปอีก และผมได้พบกับกับเทพธิดา 7 องค์ อยู่ในชุดสวมเครื่องประทับเพชร แพรวพราว มาร่ายรำ พร้อมกับโปรยกลีบดอกไม้หลายชนิดที่มีกลิ่นหอม
หลังจากผมชมการร่ายรำของเทพธิดาแล้ว ผมก็ได้อำลาเทพบุตรทั้งห้าองค์ และกลับสู่โลกมนุษย์...

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2009, 21:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


วันอาทิตย์ที่ 2 เมษายน พ.ศ.2543
ครั้งที่ 2

ผมนั่งกรรมฐานหลับตา และอธิษฐานจิต “ขอไปสวรรค์”
ผมได้พบกับเทพบุตร 4 องค์ เหาะนำไปผมไปที่วัง ๆ หนึ่ง เป็นวังที่สวยงาม และได้พบกับเทพบุตรเจ้าของวัง และเหล่าบริวารมากมาย รอผมอยู่
ผมได้สอบถามเทพบุตรเจ้าของวัง องค์นี้ว่า เมื่อครั้งที่เป็นมนุษย์ เขาได้ทำบุญอะไรไว้ จึงได้มาเกิดเป็นเทพบุตรบนสวรรค์ เขาได้เล่าให้ผมฟังว่า เขาได้เคยปลดปล่อยชีวิตสัตว์ไว้หลายตัว บุญนี้สนอง เขาจึงได้มาเป็นเทพบุตรครอบครองวังนี้
ผมมองเห็นเครื่องประดับอันสวยงามของเหล่าเทพที่อยู่เบื้องหน้าของผม เทพบุตรและเทพบริวารแต่องค์ มีใบหน้าที่งดงาม ยิ้มแย้ม ผ่องใส มีรัศมีกายแผ่รอบกายหลากสีต่างกัน
เทพบุตรเจ้าของวัง ได้หันไปสั่งเทพธิดาบริวารของตน ที่มีหน้าที่ร่ายรำ ให้ออกมาร่ายรำพร้อมกับมอบมาลัยดอกมะลิที่มีกลิ่นหอมให้กับผม
ผมยื่นมือรับมาลัยจากเทพธิดา และยิ้มตอบรับให้กับเทพธิดาองค์นั้น พร้อมกับกล่าวว่า “ขอบคุณครับ”
จากนั้น ผมก็ได้บอกลาเทพบุตรเจ้าของวัง และได้เหาะสูงขึ้นไปยังชั้นพรหมโลก เพื่อไปพบกับหลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ จังหวัดปัตตานี
ผมเหาะสูงขึ้นไป ผ่านชั้นพรหมหลายชั้น ที่มีความเงียบสงบ จนถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ผมมองเห็นพระภิกษุชรารูปหนึ่ง ยืนถือไม้เท้าอยู่ข้างหน้า และผมได้เข้าไปกราบนมัสการท่าน พร้อมกับกล่าวว่า
ผมชื่อ “.............” มาจากโลกมนุษย์ เป็นศิษย์ของ อุบาสิกา พิมพา ทองเกลา ปฏิบัติกรรมฐาน เพื่อหวังพ้นทุกข์ไปให้ได้ในชาตินี้ครับ”
หลวงปู่ทวด ได้ยื่นมือวางบนศีรษะของผม และได้กล่าวกับผมว่า
“เจริญพร โยม (ชื่อของผม) อาตมาอยู่ชั้นพรหมนี้มานาน มีมนุษย์น้อยคนนักที่จะขึ้นมาได้"
ผมได้ไต่ถามข้อธรรมะที่ยังไม่เข้าใจ เรื่องการเกิดกับหลวงปู่ทวด ซึ่งท่านได้อธิบายให้ผมฟังว่า
“เมื่อมนุษย์รู้จักปฏิบัติกรรมฐานแนวสมถะ และวิปัสนา ก็จะพ้นจากการเกิดได้”
จากนั้น ผมกราบลาหลวงปู่ทวด และเหาะต่ำลงมา เพื่อพบปู่ชีวกโกมารภัจน์
ผมเหาะมาที่อาศรมที่พำนักของปู่ชีวกโกมารภัจน์ ซึ่งปู่ชีวกโกมารภัจน์ได้ยืนอยู่หน้าอาศรมนี้ ปู่ชีวกโกมารภัจน์ แต่งกายด้วยชุดขาว เกล้ามวยผม มีเส้นผมสีขาว มีเครายาวลงมาถึงบริเวณหน้าอก ดวงตาฉายแววของความเมตตากรุณา
ผมได้พนมมือไหว้ ปู่ชีวกโกมารภัจน์ และกล่าวว่า “สวัสดีครับ ปู่ชีวกโกมาภัจน์” ท่านได้ยิ้มให้ผม และผมได้บอกกับปู่ชีวกโกมารภัจน์ว่า ผมต้องการจะได้ยารักษาโรคหลาย ๆ ชนิดจากปู่ชีวกโกมารภัจน์ ท่านก็ได้พาผมไปที่สวนยาสมุนไพร ซึ่งมีพืชที่ใช้ทำยาสมุนไพรมากมาย และท่านได้ชี้ให้ผมมองไปที่กลางทุ่งที่มีต้นยาขึ้นอยู่มากมย และบอกผมว่า ตรงนั้น มีต้นไม้ที่ใช้รักษาโรคได้ทุกโรค และปู่ชีวกโกมารภัจน์ ได้ดึงต้นยาต้นหนึ่งขึ้นมา และมอบให้กับผม
ผมได้กล่าวคำขอบคุณปู่ชีวกโกมารภัจน์ และอำลาท่านกลับสู่โลกมนุษย์....

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2009, 21:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


วันเสาร์ที่ 11 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2543
ครั้งที่ 3 วันลอยกระทง

ผมนั่งกรรมฐานอธิษฐานจิต ขอไปสวรรค์ เพื่อต้องการเที่ยวชมการลอยกระทงบนสวรรค์ ผมเหาะสูงขึ้นไป บรรยากาศรอบตัวมืดพอสลัว เพราะเป็นเวลาค่ำคืน ผมเหาะไปจนถึงสถานที่แห่งหนึ่ง มีเทพและพรหมหลายองค์อยู่ ณ สถานที่นี้มากมาย เมื่อผมไปถึง เหล่าเทพบุตร เทพธิดา และพระพรหมที่มองเห็นผม ต่างก็พูดว่า “นั่นมนุษย์นี่” พร้อมกับชี้มือทางผม
ผมเหาะลงไปถึงที่จุด ๆ หนึ่งของสถานที่นี้ มีเทพเข้ามาล้อมรอบผมหลายองค์ บางองค์ก็ไม่รู้จักผม ก็คุยกันระหว่างเทพด้วยกันว่า “ผมมาจากไหน” ผมหันไปยิ้มให้กับเทพเหล่านั้น พร้อมกับแนะนำตัวว่า ผมชื่อ “……………..” เป็นศิษย์อุบาสิกา พิมพา ทองเกลา มาจากโลกมนุษย์ ผมเหาะมาที่นี้เพื่อต้องการนำเรื่องที่พบเห็น เขียนลงในหนังสือบันทึกสวรรค์ภูมิ เพื่อให้มนุษย์ได้รู้ว่า ผลบุญและภูมิสวรรค์นั้นมีจริง
เทพเหล่านั้น เมื่อได้ยินผมพูดดังนี้ ก็ร้อง ไชโย ๆ พร้อมกันดัง ๆ ขึ้นมา แล้วประนมมือขึ้นกล่าวคำว่า “สาธุ”
ผมยิ้มให้เทพเหล่านั้น พร้อมกับ อธิษฐานจิต ขอกระทงจากสวรรค์ ไม่นาน ก็มีพระพรหมองค์หนึ่ง นำเทพที่ถือกระทง เหาะลงมาที่ผมยืนอยู่ ผมรับกระทงจากเทพบุตรแล้ว คุกเข่าลงที่ริมน้ำ ที่มีสายน้ำใสสะอาด และเย็น
ผมตั้งจิตอธิษฐานว่า “ขอบูชากระทงนี้ แด่ พ่อกา แม่กาพรหม ที่ให้กำเนิด ผู้ที่สร้างบารมีเป็นพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ในกัปป์นี้ "แล้วลอยกระทงนี้ไปตามสายน้ำ
ผมลุกขึ้นยืนแล้วหันมาพบกับพระพรหมหลายองค์ ที่เหาะลงมาจากชั้นพรหม เพื่อมาพูดคุยกับผม พระพรหมกลุ่มนี้เคยเป็นเพื่อนของผมมาก่อน ผมได้สนทนากับพระพรหมทุกองค์นี้อย่างเป็นมิตร
ผมได้บอกกับพระพรหมองค์หนึ่งว่า ผมจะขอสัมภาษณ์เทพองค์ใด องค์หนึ่ง เพื่อนำไปเขียนลงในบันทึกสวรรค์ภูมิ พระพรหมองค์นี้ ก็ชี้ไปทางขวามือของผม ผมมองเห็นเทพธิดาองค์หนึ่ง ห่มสไบบาง ๆ สีชมพู ขลิบทองเป็นลวดลาย ประดับด้วยอัญมณีหลากสี สวดเครื่องประดับเพชรทอง แวววาว เป็นประกาย
เทพธิดาองค์นี้ มีลักษณะตาโต คิ้วเข้ม ใบหน้างดงาม ผมสีดำ ยาว และเทพธิดาองค์นี้ก็มอง พร้อมกับยิ้มให้ผม
ผมและพระพรหมที่เป็นเพื่อนของผมนี้ ก็ได้เหาะไปที่ เทพธิดาองค์นั้นอยู่ และผมได้กล่าวกับเทพธิดาองค์นี้ว่า “ผมมาจากโลกมนุษย์ อยากจะขอสัมภาษณ์เทพธิดา เพื่อนำไปเขียนลงในหนังสือบันทึกสวรรค์ภูมิ
ผมเอ่ยถามเทพธิดาองค์นี้ว่า เธอทำได้ทำบุญอะไรไว้ จึงได้มาเกิดเป็นเทพธิดา อยู่บนสวรรค์นี้
เทพธิดาองค์นี้ตอบกับผมว่า “ดิฉัน ได้เคยสวดมนต์ รักษาศีล เมื่อตายแล้วก็ได้มาเกิดที่สวรรค์ชั้นนี้ค่ะ”
ผมถามเทพธิดาองค์นี้อีกว่า “เมื่อเกิดเป็นเทพบนสวรรค์แล้ว ถ้าอยากจะรับประทานอาหารใด ก็นึกเอา จะได้ดังที่ปรารถนาใช่ไหมครับ”
เทพธิดาองค์นี้ตอบผมว่า “ใช่ค่ะ”
ผมกล่าวคำขอบคุณเทพธิดาองค์นี้ที่ให้ผมสัมภาษณ์ พร้อมกับอำลาพระพรหมทุกองค์ ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ นั้น และกลับสู่โลกมนุษย์....

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2009, 21:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


วันเสาร์ที่ 11 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2543
ครั้งที่ 4

ผมนั่งกรรมฐานอธิษฐานจิต ขอไปสวรรค์ ผมเหาะสูงขึ้น ท่ามกลางบรรยากาศของเวลากลางคืน ซึ่งในขณะที่ผมนั่งกรรมฐานนี้ เป็นเวลาห้าทุ่มกว่า ๆ โดยประมาณ และผมก็ได้ไปถึงวังของเทพบุตรองค์หนึ่ง
ผมเหาะไปที่หน้าวังของเทพบุตรองค์นี้ ซึ่งมีเทพบุตรบริวารที่เป็นทหาร ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูวัง ผมได้บอกกับเทพบุตรที่ทำหน้าที่รักษาวังนี้ว่า “ผมมาจากโลกมนุษย์ ต้องการสัมภาษณ์เจ้าของวังนี้” และเทพบุตรองค์หนึ่งก็เดินเข้าไปในวัง
สักพัก ก็มีเทพบุตรองค์หนึ่ง มีรัศมีกายสว่าง สวมสังวาลย์เพชร เฉียงจากบ่าด้านขวา เดินออกมา เขายิ้มให้กับผม แต่ก็มีสีหน้าแปลกใจ
ผมถามเทพบุตรเจ้าของวังนี้ว่า “เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ได้เคยสร้างบุญอันใดไว้ จึงได้มาอยู่ในวังที่ใหญ่โต อย่างนี้”
เทพบุตรองค์นี้ ได้บอกกับผมว่า เขาได้เคยบริจาคเงินสร้างกุฏิให้กับวัด ผลบุญนั้นสนอง เมื่อเขาตายก็ได้มาอยู่ที่วังแห่งนี้
จากนั้น ผมก็อำลาเทพบุตรเจ้าของวัง กลับสู่โลกมนุษย์...

:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:




วันจันทร์ที่ 13 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2543
ครั้งที่ 5

ผมนั่งกรรมฐานอธิษฐานจิต ขอไปสวรรค์ ผมเหาะลอยสูงขึ้นไป จนถึงวังของเทพบุตรองค์หนึ่ง มีเทพบุตรบริวารยืนเฝ้ารักษาอยู่หน้าวัง
ผมเข้าไปบอกกับเทพบุตรบริวารนี้ว่า ผมต้องการขอพบกับเจ้าของวังนี้ ชั่วครู่หนึ่งก็มีเทพบุตรที่เป็นเจ้าของวัง เดินออกมา เขายิ้มให้กับผม
ผมได้ทักทายและถามกับเทพบุตรองค์นี้ว่า เมื่อสมัยที่ท่านได้เคยทำบุญใดไว้ จึงได้มาอยู่ที่วังแห่งนี้
เทพบุตรองค์นี้ตอบผมว่า เขาได้เคยถวายผ้าไตร จีวร แด่พระภิกษุหลายครั้ง จึงได้มาอยู่ในวังที่ใหญ่ และสวยงามนี้
ผมได้ขอเทพบุตรองค์นี้เข้าไปชมวังของเขา เทพบุตรเจ้าของวังก็ได้อนุญาต หลังจากผมเดินชมวังสักครู่หนึ่ง ผมก็ได้อำลาเทพบุตรองค์นี้ เพื่อไปสัมภาษณ์เทพองค์อื่นต่อไป
และผมก็ได้พบกับเทพธิดาองค์หนึ่ง ณ วังของเทพธิดา ผมได้ไต่ถามเทพธิดาเจ้าของวังนี้ว่า เมื่อครั้งที่เป็นมนุษย์นั้น ได้เคยสร้างบุญใดไว้ จึงได้มาเกิดบนสวรรค์นี้
เทพธิดาเจ้าของวัง ได้ตอบผมว่า เธอได้เคยทำบุญ บริจาคเงินในสิ่งที่เป็นสาธารณกุศล
ผมได้ถามเทพธิดาองค์นี้อีกว่า เธอมีความเป็นอยู่อย่างไรบนสวรรค์นี้ ซึ่งเทพธิดาเจ้าของวังได้กล่าวกับผมว่า เธอมีความสุขพร้อมทุกอย่าง
ผมได้จดจำคำพูดของเทพธิดานี้ไว้ และอำลากลับสู่โลกมนุษย์...

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2009, 21:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


วันศุกร์ที่ 17 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2543
ครั้งที่ 6

ผมนั่งกรรมฐานอธิษฐานจิต ขอไปสวรรค์ ผมเหาะสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงวังของเทพบุตรองค์หนึ่ง ผมได้พบกับเทพบุตรบริวารที่รักษาวัง และผมได้บอกความต้องการของผม ที่จะมาพบ เพื่อขอสัมภาษณ์เทพที่เป็นเจ้าของวังแห่งนี้
ผมรออยู่สักครู่ ก็มีเทพบุตรองค์หนึ่ง มีรัศมีสว่าง งดงาม เดินออกมา พร้อมกับเทพบริวาร
ผมได้บอกกับเทพบุตรองค์นี้ว่า ผมมาจากโลกมนุษย์ ต้องการสัมภาษณ์ว่า เมื่อครั้งที่ได้เป็นมนุษย์นั้น ได้สร้างบุญอันใดไว้ จึงได้มาอยู่ ณ วังแห่งนี้
เทพบุตรเจ้าของวัง ได้ตอบผมด้วยน้ำเสียงสุภาพ น่าฟังว่า เขาได้เคยบริจาคทาน ทรัพย์สิ่งของแก่คนยากจน ผลบุญนี้สนอง จึงทำให้เขาได้มาอยู่ที่วังนี้
ผมถามเทพบุตรองค์นี้ต่อไปว่า อยู่บนสวรรค์นี้ มีความเป็นอยู่อย่างไร เทพบุตรเจ้าของวัง ได้ตอบกับผมว่า มีความสุขได้ตามที่ต้องการ
และผมได้เอ่ยถามอีกว่า บนสวรรค์นี้ มีการฟังธรรม หรือไม่ เทพบุตรเจ้าของวัง ได้ตอบผมว่า “มีครับ”
จากนั้น ผมก็ได้กล่าวขอบคุณ และอำลาเทพบุตรองค์นี้ไป เพื่อสัมภาษณ์เทพองค์อื่นต่อไป
ผมได้เหาะไปที่วังแห่งหนึ่ง มีเทพบุตรบริวารหลายองค์ ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูวัง และมีเทพบุตรองค์หนึ่ง แต่งกายพิเศษกว่าเทพบุตรองค์อื่น ซึ่งเทพบุตรองค์นี้เป็นเจ้าของวัง
ผมได้ถามเทพบุตรผู้เป็นเจ้าของวังว่า เมื่อครั้งที่เป็นมนุษย์นั้น ได้เคยสร้างบุญอะไรไว้ จึงได้มาอยู่วังแห่งนี้
เทพบุตรเจ้าของวัง ได้ตอบผมว่า เขาได้เคยบริจาคเงินสร้างวิหารการเปรียญให้กับวัด
และผมได้ถามเทพบุตรเจ้าของวังนี้อีกว่า สภาพความเป็นอยู่ในโลกมนุษย์ กับบนสวรรค์นี้ ต่างกันอย่างไร
เทพบุตรเจ้าของวัง ได้ตอบผมว่า ความเป็นอยู่ในโลกมนุษย์ มีทุกข์ มีปัญหามาก บนสวรรค์นี้มีความสุข มีการฟ้อนรำอย่างมีความสุข เล่นดนตรี มีอาหารทิพย์ตามต้องการ ได้พบปะกับเหล่าเทพมากมายที่มีใจเป็นกุศล
ผมกล่าวคำขอบคุณเทพบุตรเจ้าของวังที่ให้ผมสัมภาษณ์ และผมได้อำลากลับมาสู่โลกมนุษย์...

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2009, 21:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


วันจันทร์ที่ 25 เดือนธันวาคม พ.ศ.2543
ครั้งที่ 7

ผมได้นั่งกรรมฐาน อธิษฐานจิตไปสวรรค์ ผมตั้งใจที่จะไปเที่ยวชมงานวันคริสต์มาสบนสวรรค์ ด้วยวันนี้เป็นวันเทศกาลคริสต์มาส ผมเหาะสูงขึ้นไปบนสวรรค์ รู้สึกถึงความเย็นของบรรยากาศในเวลาค่ำคืน จนถึงแดนของเทพต่างชาติ ผมมองเห็นแสงสว่างอยู่เบื้องหน้า ผมจึงได้เหาะไปยังสถานที่แห่งนั้น
ผมได้พบกับเทพบุตร เทพธิดา ที่เป็นชาวต่างชาติหลายองค์ เป็นเทพต่างชาติ มีผมสีน้ำตาลแดง เป็นส่วนมาก เทพต่างชาตินี้ แต่งกายด้วยชุดคลุมตัวยาวสีขาว ซึ่งเขาจะแต่งกายตามเทศกาลวันคริสต์มาส มีเทพธิดาบางองค์ประดับสร้อยที่มีอัญมณีสีเขียว สีแดง เม็ดใหญ่อยู่ที่คอ เทพบุตรต่างชาติก็ถือแก้วเครื่องดื่มสนทนากัน
ผมขอสัมภาษณ์เทพบุตรต่างชาติองค์หนึ่ง ที่ยืนอยู่ข้างหน้าผม เขาหันมาทักทายผมด้วยคำทักทาย “Hello”
ผมก็ได้ทักทายตอบเขา และบอกกับเขาว่า ผมเป็นคนไทย ต้องการมาเที่ยวชมงานวันคริสต์มาสบนสวรรค์ ผมถามเทพบุตรองค์นี้ว่า เมื่อครั้งที่เกิดเป็นมนุษย์ เขาได้ทำบุญอะไรไว้ จึงได้มาเป็นเทพบุตรบนสวรรค์นี้
เทพบุตรต่างชาติองค์นี้ ตอบว่า เขาเคยเป็นบาทหลวง ชาวอังกฤษ สอนศาสนาคริสต์ในโลกมนุษย์
ผมถามเทพบุตรองค์นี้อีกว่า เขามีความสุขแตกต่างกับเมื่อครั้งที่เป็นมนุษย์อย่างไร เทพบุตรองค์นี้ได้ตอบผมว่า ในโลกมนุษย์มีความวุ่นวาย บนสวรรค์มีความสุขสบายมาก
ผมได้สัมภาษณ์เทพธิดาต่างชาติองค์หนึ่ง ลักษณะมีผมสีทอง ดัดเป็นลอน ผมได้ถามเธอว่า ได้เคยสร้างบุญอะไรไว้ในโลกมนุษย์ จึงได้มาเป็นเทพธิดาบนสวรรค์
เทพธิดาได้ตอบผมว่า เธอเคยเป็นแพทย์รักษาโรคให้กับคนมาก่อน และได้เคยช่วยคนเจ็บป่วยอย่างเมตตายินดีหลายครั้ง ความดีนี้ ทำให้เธอได้มาเป็นเทพธิดาบนสวรรค์
ผมกล่าวคำของคุณเทพที่ให้สัมภาษณ์กับผม และกลับสู่โลกมนุษย์...

:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:



วันจันทร์ที่ 6 เดือนพฤศจิกายน 2545
ครั้งที่ 8

ผมนั่งกรรมฐานไปสู่สวรรค์ เพื่อสัมภาษณ์เทพที่อยู่บนสวรรค์ และผมได้พบกับเทพบุตรองค์หนึ่ง เป็นเทพบุตรชาวไทย เทพบุตรองค์นี้ได้บอกกับผมว่า เมื่อก่อนเขาได้เคยให้ทาน ทำบุญร่วมสร้างโบสถ์ด้วยจิตศรัทธา และทำบุญต่าง ๆ อีกหลายครั้ง และเสียชีวิตเนื่องจากเจ็บป่วย เมื่อดวงวิญญาณออกจากร่าง ก็ถูกพามาสู่สวรรค์ เป็นเทพบุตรที่วังแห่งนี้
ผมได้ถามเทพบุตรองค์นี้ว่า มีความรู้สึกคิดถึงญาติในโลกมนุษย์บ้างหรือไม่ เทพบุตรตอบกับผมว่า รู้สึกคิดถึงมาก และบุญกุศลที่ญาติได้อุทิศให้กับเขานั้น เขาได้รับทุกครั้ง
ผมถามเทพบุตรองค์นี้อีกว่า การที่เป็นมนุษย์กับ เป็นเทพบนสวรรค์นั้น มีความแตกต่างกันอย่างไร เทพบุตรองค์นี้ตอบกับผมว่า แตกต่างกันมาก ในโลกมนุษย์ต้องพบกับปัญหาจิปาถะ แต่บนสวรรค์มีความสุขสบายมาก
ผมถามเทพบุตรว่า เมื่อครั้งที่เป็นมนุษย์ เขามีความเชื่อหรือไม่ว่า นรก สวรรค์ บุญ บาป นั้นมีจริง เทพบุตรองค์นี้ตอบผมว่า เขาชื่อว่า มีจริง
และเทพบุตรองค์นี้ได้กล่าวต่ออีกว่า อยากจะให้ทุกคนได้รู้ว่า บนสวรรค์นี้มีความสุขสบาย แต่นรกนั้นมีแต่ความทรมาน คนที่จะได้มาเกิดบนสวรรค์นั้น จะต้องสร้างบุญไว้อย่างมาก
ผมได้ถามเทพบุตรองค์นี้อีกว่า เขาได้เคยพบกับ พ่อ แม่ ที่สิ้นชีวิตไปแล้วหรือไม่ เขาตอบว่า ได้พบ และผมถามอีกว่า ถ้ามีเรื่องให้ต้องมาเกิดในโลกมนุษย์อีกว่า อยากจะมาเกิดอีกไหม เพราะอะไร เทพบุตรนี้ได้ตอบผมว่า ไม่อยากมาเกิด อยากอยู่บนสวรรค์นาน ๆ
ผมจบคำสัมภาษณ์ และอำลาเทพบุตรเจ้าของวัง กลับสู่โลกมนุษย์...

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2009, 21:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


วันจันทร์ที่ 9 เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2545
ครั้งที่ 9

ผมนั่งกรรมฐานไปสวรรค์ ได้พบกับเทพบุตรองค์หนึ่ง ซึ่งเขาได้เล่าให้ผมฟังว่า เมื่อครั้งที่เป็นมนุษย์นั้น เขาได้เคยช่วยชีวิตสัตว์ให้รอดพ้นจากการถูกฆ่า และผมก็ได้สัมภาษณ์เทพบุตรอีกองค์หนึ่ง เขาได้บอกเล่าให้ผมฟังว่า เมื่อครั้งที่เกิดเป็นมนุษย์ เขาได้เคยถวายผ้าไตรจีวรแด่พระภิกษุสงฆ์
จากนั้น ผมได้มาพบกับเทพธิดาองค์หนึ่ง ณ วังของเธอ ผมถามถึงบุญกุศลที่เทพธิดาองค์นี้ได้เคยสร้างไว้ในอดีต
เธอได้ตอบผมด้วยร้อยยิ้มว่า เธอได้ร่วมทอดกฐินผ้าป่า บุญนั้นจึงสนองให้เธอได้มารับผลบุญเป็นเทพธิดาบนสวรรค์
ผมมีความต้องการรู้ในเรื่องที่ว่า บนสวรรค์นี้ เทพจะต้องมีการขับถ่ายของเสีย สิ่งปฏิกูลของร่างกายออกไป เช่นเดียวกับมนุษย์หรือไม่ ผมจึงได้ไต่ถามจากเทพบุตรเจ้าของวังองค์หนึ่งที่ผมได้พบ
เทพบุตรเจ้าของวังองค์นี้ ได้ตอบให้ผมทราบอย่างเข้าใจว่า “ไม่ต้องมีการขับถ่ายสิ่งปฏิกูลของเสียใด ๆ แม้แต่น้อย เพราะอาหารทิพย์ที่เทพได้รับประทานเข้าไป มีสภาพเป็นอาหารวิเศษ ปรากฏขึ้นเองด้วยการอธิษฐานตามบุญกุศล และจะหมดไปไม่ปรากฏอีก เมื่อสิ้นบุญจากสวรรค์"
และผมได้ถามเทพบุตรองค์นี้อีกว่า เทพนั้นมีการนอนหลับเช่นเดียวกับมนุษย์ปุถุชนหรือไม่
ผมได้รับคำตอบมาว่า เทพมีการนอนหลับ แต่เวลาการนอนหลับไม่เป็นอย่างมนุษย์ทีเดียว เพราะว่าเทพจะหลับอย่างมีสติ แม้ส่งเสียงเรียกอย่างแผ่ว ๆคล้ายกระซิบก็จะตื่นได้ ผมได้กล่าวคำขอบคุณเทพบุตรองค์นี้ ที่ได้อธิบายให้ความกระจ่างกับผม จากนั้นผมจึงได้กลับสู่โลกมนุษย์...


:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:



วันอาทิตย์ที่ 26 เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2545
ครั้งที่ 10 วันวิสาขบูชา

ผมนั่งกรรมฐานไปสู่สวรรค์ เพื่อไปร่วมงานเนื่องในวันวิสาขบูชา ที่จัดให้มีขั้นบนสวรรค์ ในงานนี้ มีเทพ พรหม ฤษี นักบวช หลายศาสนา มาร่วมงานมาก แต่ละองค์ มีร้อยยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตร และผมก็ได้ยิ้มตอบเช่นกัน ผมรู้สึกดีใจที่ได้เห็นงานสำคัญนี้ และมีผู้มาร่วมงานอย่างคับคั่ง
ผมได้อธิษฐานขอมาลัยบุชา พร้อมประทีปโคมไฟ และผ้าขาว เพื่อเป็นเครื่องบุชาต่อพระเจดีย์จุฬามณีบนสวรรค์นี้ เมื่อจบคำอธิษฐานก็ได้ปรากฏสิ่งที่ผมได้อธิษฐานขอ บนมือของผมทันที สิ่งนี้เกิดขึ้นมาได้ด้วยบุญที่ผมได้อธิษฐาน ผมได้อธิษฐานต่อพระเจดีย์จุฬามณี ด้วยเรื่องที่ผมปรารถนา และจบคำอธิษฐานด้วยคำว่า “สาธุ”
ต่อจากนั้น ผมก็ได้นำประทีปโคมไฟ ซึ่งทำเป็นรูปดอกบัวทองคำ 2 ดอก มีเทียนหอมสีขาว อย่างดี จุดไฟเรียบร้อย เวียนรอบพระเจดีย์จุฬามณี 3 รอบ
เมื่อครบ 3 รอบแล้ว ผมก็ได้นำประทีปโคมไฟ พร้อมเครื่องบูชาอื่น ๆ วางไว้บนพานทองคำเบื้องหน้า
ผมหันมามองด้านข้าง ได้เห็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี (วัดระฆังฯ) มายืนอยู่ด้านซ้าย พร้อมกับสนทนากับผมอย่างเมตตา
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านได้ทักทายผม และสอนธรรมะให้กับผมว่า “มนุษย์สมัยนี้ ไม่เชื่อเรื่อง บุญ บาป เอาแต่หาความสุขใส่ตัว โดยไม่คิดว่า โลกมนุษย์นี้มีเวลาแตกดับเช่นกัน โยมเป็นคนรุ่นใหม่ ที่มีใจใฝ่ธรรมะตั้งแต่อายุยังน้อย อาตมาชื่นชม ขอให้โยมรักษาความศรัทธาในใจของโยม เพื่อจะได้เป็นกำลังหนึ่งที่แสดงให้ชนในโลกได้รู้ ถึงเรื่องภพภูมินี้อย่างเข้าใจไม่สงสัย”
ผมก้มกราบเท้าของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) อย่างนอบน้อม และกล่าวคำว่า “ครับ” ซึ่งท่านได้ยิ้มให้กับผม
ผมได้ขออนุญาตกราบอำลา สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) กลับสู่โลกมนุษย์...

s006 s006 s006

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2009, 01:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้มีปีติในธรรมมีใจผ่องใส แล้วย่อมอยู่เป็นสุข
บัณฑิตย่อมยินดีในธรรมที่พระอริยะเจ้าประกาศแล้วในกาลทุกเมื่อ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2009, 15:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2009, 17:12
โพสต์: 246

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ที่กรุณามาเล่าสู่กันฟัง
แต่อยากรู้ว่าสวรรค์มีจริง ๆ หรือค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ต.ค. 2009, 15:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue คุณน้องจ๋าลองพิจารณาดูตามนี้นะคะ
อ้างคำพูด:
ภพภูมิในมุมมองของผู้มีทิพยจักขุ
ในมุมมองของผู้มีจักษุอันเป็นทิพย์ ล่วงประสาทตาสามัญของมนุษย์ธรรมดา ภพภูมิเป็นเครื่องจำแนกผลกรรมที่ใหญ่ที่สุด เป็นภาพใหญ่ที่สุดที่เห็นได้ว่าใครเป็นใคร ทำอะไรมาอย่างหนักโดยมาก

สภาพของภพภูมิต่างๆนั้นเป็นคนละมิติกัน บางทีเทียบเคียงให้เข้าใจทั่วถึงได้ยาก อย่างเช่นเขตแดนในสวรรค์และนรกนั้น ไม่ใช่แผ่นดินซึ่งมีพื้นที่ตายตัว และไม่ใช่เขตต่อเนื่องถึงกันเหมือนดาวเคราะห์อย่างโลกเรา แต่นิมิตแห่งสภาพแวดล้อมเช่นความเป็นป่าเขา ลำธาร ต้นไม้ เปลวไฟ บ้านเรือน ปราสาทราชวัง พอจะเปรียบเทียบได้กับที่เห็นๆในโลกเรา เพียงแต่มีความหยาบและความประณีตผิดแผกแตกต่างจากกันตามลำดับภพภูมิ

อย่างไรก็ตาม จิตที่คิด จิตที่เห็นถูก จิตที่เห็นผิด จิตที่เสวยสุข จิตที่เสวยทุกข์ แม้เทียบน้ำหนักแล้วห่างชั้นกันเพียงใด ก็สามารถอนุมานเอาได้จากจิตแบบมนุษย์นี้ ฉะนั้นการชี้เน้นเข้ามาที่สภาพแห่งจิตย่อมก่อให้เกิดความรู้สึกสัมผัสถึงภพภูมิต่างๆได้มากกว่าการกล่าวถึงรูปทรงหรือสถาปัตยกรรมของเคหสถานในภพอื่นกันตรงๆ


สัตว์ในแต่ละภพภูมิจะเห็นว่าทั้งโลกมีแต่พวกของเขา และรู้สึกว่าไม่มีสิ่งอื่นสำคัญกว่าพวกของเขา ยกตัวอย่างง่ายที่สุดคือสัตว์ในภพมนุษย์ คือพวกเรานี่เอง ถึงแม้จะร่วมอาศัยในดาวเคราะห์ดวงเดียวกันกับสัตว์ในภพอื่น ก็จะมองไม่เห็น ทั้งเปรตและเทวดา หนักไปกว่านั้นคือแม้แต่เหล่าเดรัจฉานที่วิ่งกันให้เกลื่อน บางลัทธิยังอุตส่าห์สร้างความเชื่อว่าพวกมันไม่มีจิตวิญญาณ หรือเป็นเพียงวัตถุที่เกิดมาให้มนุษย์กัดกินโดยเฉพาะ


การไร้ความสามารถเห็นสัตว์จุติและอุบัติด้วยแรงกรรม การไร้ญาณหยั่งรู้ว่าภพภูมิอื่นมี โลกหน้ามี อดีตชาติมี ล้วนแล้วแต่ตีกรอบ ครอบมุมมองของพวกเราให้คับแคบจำกัด มีการถกเถียงกันที่โน่นที่นี่ว่าตายแล้วไปเกิดต่อหรือดับสูญ ทั้งๆที่เหล่าวิญญาณกำลังทะลักเข้าทะลักออก แลกเปลี่ยนหมุนเวียนจากฟากต่างๆไปสู่ฟากต่างๆอยู่ทุกวินาที แม้แต่มนุษย์กับเดรัจฉานก็มีการแลกฝั่งกันที่โน่นที่นี่อยู่ตลอดไม่ขาดสาย มนุษย์ตายกันวินาทีละประมาณ ๒ คน เราไม่รู้หรอกว่าแต่ละนาทีมีคนกลายร่างเป็นสัตว์กันทั้งหมดกี่ราย!

ความไม่รู้ ความไม่เห็น ล้วนเป็นความมืดทึบที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งเสียกว่าก้นลึกสุดของถ้ำ คนส่วนใหญ่เริ่มใช้เหตุผลกันออกมาจากความไม่รู้ และทะนงหลงยึดเหตุผลของตนว่าเป็นสิ่งน่าเลื่อมใส ส่วนใหญ่คนที่ได้ข้อสรุปจากเหตุผลของตนเองว่าชาติหน้าไม่มี ชาติก่อนไม่มี ผลกรรมไม่มี จะเป็นพวกที่ทำทุกสิ่งได้ตามอำเภอใจ กิเลสสั่งให้ทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องกลัวผลกรรม ไม่ต้องละอายต่อบาปใดๆทั้งสิ้น

ขอเพียงศึกษาและฝึก ‘วิชารู้ตามจริง’ ของพระพุทธเจ้า จิตจะเหมือนแสงสว่างส่องเข้าไปเห็นที่มืดเดิม เริ่มตั้งแต่อาณาบริเวณที่เราแต่ละคนอาศัยอยู่นี่เอง และสามารถเห็นได้ว่าภพภูมิใหม่อาจฉายเงาได้ตั้งแต่ขณะยังมีชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์ทีเดียว



http://dungtrin.com/whatapity/09.htm

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2009, 12:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2009, 15:28
โพสต์: 307

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาครับ
:b16: :b16: :b16:

.....................................................
สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 12:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อยากจะรบกวนสอบถามว่าเทวดามีการเลื่อนชั้นสวรรค์ได้รึเปล่าคะ ถ้าเลื่อนได้แล้วเลื่อนเพราะอะไรคะ ขอบพระคุณมากค่ะ


:b44: สืบเนื่องจากมีผู้ถามไว้ ดิฉันก็ภูมิธรรมน้อยเสียอีก ท่านใดพอจะอนุเคราะห์มั้ยคะ

หรือใครที่แน่ใจมั่กๆ ว่าเคยอยู่ภพภูมินั้นๆ มาก่อน จะเข้ามาตอบก็ได้ค่ะ ถือเป็นประสบการณ์ตรง

เปิดกว้าง..........

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 12:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


เรียนรู้กันไป....ทีละสเต็ปนะคะ
เรื่องการสอบเลื่อนชั้น(สวรรค์)นั้น
ดิฉันแน่ใจเสียเหลือเกินว่า ไม่มีค่ะ
เท่าที่อ่านมา
สวรรค์บางชั้น ก็ยังมีกิเลส นะคะ
แต่...ต้องบอกว่าบนสวรรค์มีกิจกรรมที่เรียกว่าเอื้อให้กับกุศลกรรม
เพื่อจะส่งให้ไปต่อในสุคติภูมิ
คือ การเข้าฟังธรรมจากพระอรหันต์ที่นี่ค่ะ....

viewtopic.php?f=28&t=23941

และ

viewtopic.php?f=7&t=27451

:b47: สนใจอ่านเพิ่มเติม

http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/008149.htm
สุคติภพของเทวดา คือการได้มาเกิดเป็นมนุษย์

http://www.kalyanamitra.org/daily/dhamm ... d=99999999

มีแผนภูมิ ของภพภูมิต่างๆ ให้ดูด้วย
อ้างคำพูด:
.....ทำกรรมชั่ว ย่อมมีอบายภูมิ ( สัตว์นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน) เป็นที่รองรับให้เกิดที่นั่น

ทำกรรมดี มีเทวภูมิ พรหมภูมิ เป็นที่รองรับ ตามลำดับความประณีตของกรรมดี

มนุสสภูมิเป็นสถานที่กลางๆ ต้องการทำดีก็ได้ ทำชั่วก็ได้ ภูมิและภพเกิดตามผลของกรรมดังนี้ ฉันนั้น

ถ้าจะเปรียบให้ง่ายเข้า โลกมนุษย์เหมือนสถานที่แสวงหา ใครแสวงหาและกระทำแต่ความดี จะได้กำไรเป็นบุญ ตายแล้วไปสู่สุคติ ถ้าความดีนั้นถึงที่สุดดังที่เล่าไว้ ก็จะพ้นจากภูมิทั้ง ๓๑ เลิกเวียนว่ายตายเกิด เข้าพระนิพพาน ใครพอใจอยู่ใต้อำนาจของกิเลส สร้างสมแต่กรรมชั่ว จะได้รับแต่ความขาดทุน คือได้แต่บาปอกุศลติดตัวไป

เมื่อจิตใจสั่งสมบาปไว้ ตายไปเกิดในภพภูมิใหม่ ผลบาปนั้นเองช่วยสร้างรูปกายและความเป็นอยู่ ดังนั้นสัตว์ประเภทนี้จึงมีร่างกายเลวทราม ไม่น่าดูน่าชม มีความเป็นอยู่ทุกข์ยาก

ตรงข้ามกับสัตว์ที่สร้างความดีงามเป็นกุศลกรรมเสมอๆ ย่อมได้รับสิ่งตรงกันข้าม

แต่มีข้อน่าสังเกตอย่างยิ่ง ตรงที่ในอบายภูมิและสุคติภูมิตั้งแต่เทวดาชั้นต้นขึ้นไปจนพรหมโลก ไม่มีโอกาสสร้างบุญบาปใหม่เพิ่มได้มากนัก เป็นเพียงสถานที่รับผลเท่านั้น

:b40: ภพที่ดีที่สุดจึงเป็นมนุษย์ เราสามารถเลือกทำกรรมใดก็ได้ตลอดเวลา :b40:


.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


แก้ไขล่าสุดโดย Bwitch เมื่อ 22 ธ.ค. 2009, 12:50, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 12:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


:b48: ต้องทำความเข้าใจหลักการ เกิด แต่ละภพภูมิก่อน

ลักษณะของภพภูมิต่าง ๆ

1. เทวดา ผู้ที่เกิดเป็นเทวดาก็คือผู้ที่อดีตชาติชอบทำบุญทำกุศลอยู่เสมอ เมื่อตายไปก็จะเกิดเป็นเทวดาอยู่ในเทวโลก หรือที่เราเรียกว่าสวรรค์ สวรรค์มีทั้งหมด 6 ชั้น เรียงจากชั้นต่ำไปสูงดังนี้คือ จาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตดี แต่ละชั้นจะมีเทพผู้เป็นใหญ่ปกครอง เช่น สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีท้าวสักกะ หรือที่เราเรียกกันว่า พระอินทร์ เป็นผู้ปกครอง เทวดาไม่มีพ่อแม่ เพราะเป็นพวกโอปปาติกะ คือเกิดเติบโตทันที มีทั้งเพศชายและเพศหญิง เพศชายเรียกว่าเทพบุตร หรือบางทีก็เรียกว่าเทวดา ส่วนเพศหญิงเรียกว่าเทพธิดา หรือบางทีก็เรียกว่านางฟ้า เทวดามีอายุขัยยาวนานกว่ามนุษย์มาก และมีความเป็นอยู่สุขสบาย พรั่งพร้อมด้วยกามคุณ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นทิพย์หมด ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน เครื่องใช้ไม้สอยหรือที่อยู่อาศัย ซึ่งเรียกว่าวิมาน ก็ล้วนแต่เนรมิตขึ้นมาทั้งสิ้น เทวดาไม่มีการเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีการแก่ เวลาตายร่างกายก็หายวับไปทันที ไม่มีการเน่าเปื่อย เนื่องจากเหล่าเทวดามีความเป็นอยู่สุขสบาย ร่างกายไม่มีการเจ็บป่วย ไม่แก่เฒ่า ทำให้การปฏิบัติธรรมทำได้ยากเพราะไม่เห็นทุกข์ที่เกิดขึ้นในชีวิต

นอกจากเทวดาที่อาศัยอยู่ในสวรรค์แล้ว ยังมีเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาบางจำพวกอาศัยอยู่ในที่ต่าง ๆ บนโลกมนุษย์ และมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป เช่น เทวดาที่อาศัยอยู่ในบ้าน เราเรียกกันทั่วไปว่า ผีบ้านผีเรือน เทวดาที่อาศัยอยู่ตามต้นไม้เรียกว่ารุกขเทวดา ถ้าเป็นหญิงบางทีก็เรียกว่านางไม้ เทวดาที่ดูแลอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ เราก็เรียกกันทั่วไปว่าเจ้าที่เจ้าทาง แม้ว่าเทวดาเหล่านี้จะอาศัยอยู่ที่เดียวกับเรา แต่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อธรรมดา เพราะร่างกายของเทวดาเป็นกายทิพย์ การที่จะเห็นเทวดาได้ เราจะต้องมีตาทิพย์ หรือไม่ก็เทวดาเนรมิตกายให้เห็น เราจึงจะเห็นได้

2. พรหม ผู้ทีเกิดเป็นพรหมก็คือผู้ที่อดีตชาติได้ฝึกสมาธิจนมีฌานแก่กล้า เป็นผู้ที่มีจิตใจสงบเยือกเย็นอยู่เสมอ เมื่อตายไปก็จะเกิดเป็นพรหมอยู่ในพรหมโลก พรหมมีอยู่ 2 ประเภท คือ รูปพรหม และอรูปพรหม พวกรูปพรหมมีรูปร่างลักษณะคล้ายเทวดาอาศัยอยู่ในพรหมโลกที่เรียกว่ารูปภพ มีทั้งหมด 16 ชั้น ผู้ที่เกิดเป็นรูปพรหมก็คือผู้ที่อดีตชาติเคยฝึกรูปฌานจนแก่กล้า เมื่อตายไปก็เกิดเป็นรูปพรหม ส่วนพวกอรูปพรหมไม่มีกายมีแต่จิตและเจตสิก จึงมองไม่เห็นรูปร่าง อาศัยอยู่ในพรหมโลกที่เรียกว่า อรูปภพ มีทั้งหมด 4 ชั้น ผู้ที่เกิดเป็นอรูปพรหมก็คือ ผู้ที่อดีตชาติเคยฝึกอรูปฌานจนแก่กล้า เมื่อตายไปก็จะเกิดเป็นอรูปพรหม

ในชั้นพรหมนี้ ไม่มีการข้องแวะทางเพศ ไม่ต้องกินอาหาร อาศัยความสุขจากฌานเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิต พรหมโดยทั่วไปมีรูปร่างเป็นชาย อายุขัยของพรหมยาวนาน ยาวนานจนพรหมบางองค์เข้าใจผิดว่าพวกของตนเป็นอมตะ ไม่มีวันตาย นอกจากนี้ยังหลงผิดไปอีกว่าพวกของตนเป็นผู้สร้างโลก ที่เข้าใจเช่นนี้ก็เพราะตนได้เห็นสัตว์ในภพอื่นเวียนว่ายตายเกิดไปหลายต่อหลายชาติ แต่ตนเองนั้นยังไม่ตาย นอกจากนี้ยังเห็นว่าตนเองเป็นผู้ที่มีฤทธิ์ มีอานุภาพมาก ปรารถนาสิ่งใดก็เนรมิตได้สมปรารถนา จึงคิดเอาเองว่าพวกของตนเป็นอมตะ ไม่มีวันตาย และพวกของตนนี่แหละที่เป็นผู้สร้างโลก

3. เปรต ผู้ที่เกิดเป็นเปรตก็คือ ผู้ที่ในอดีตชาติชอบทำบาป ทำอกุศลอยู่เสมอ ธรรมชาติของเปรตมีรูปร่างอัปลักษณ์แตกต่างกันตามลักษณะของกรรมที่นำเกิด มีความอดอยาก หิวโหยอยู่เสมอ อาหารและเครื่องใช้สอยต่าง ๆ ของเปรต สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ ด้วยการอุทิศส่วนกุศลจากผู้อื่นที่อยู่ในสุคติภูมิ การที่เรากรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว หลังจากที่ได้ทำบุญเสร็จใหม่ ๆ ผู้ที่ได้รับส่วนบุญที่เราอุทิศให้ ก็คือเปรตนี่เอง ส่วนผู้ที่เกิดในภพภูมิอื่นไม่สามารถรับส่วนบุญนี้ได้ แต่อาจจะทำบุญให้เกิดขึ้นได้ด้วยการอนุโมทนา เช่น เมื่อเราได้ทำบุญเสร็จแล้ว ไปบอกให้คนอื่นฟัง คนอื่นก็นึกยินดีในบุญที่เราทำ หรือกล่าวอนุโมทนาในบุญที่เราทำ ขณะนั้นคนผู้นั้นก็ได้บุญ คือ บุญที่เกิดจากการอนุโมทนา ถ้าเราทำบุญและอุทิศส่วนกุศลให้แก่โอปปาติกะทั้งหลาย มีเทวดาองค์หนึ่งรับรู้ในบุญที่เราทำ และได้อนุโมทนาในบุญนั้น ขณะนั้นเทวดาผู้นั้นก็ได้บุญ คือ บุญที่เกิดจากการอนุโมทนา เปรตโดยทั่วไปมีอายุยืนยาวกว่ามนุษย์มาก และใช้ชีวิตอย่างอดอยากอยู่ในโลกเปรตเป็นการชดใช้กรรมที่ในไว้ในอดีตชาติ อสุรกายที่เราเคยได้ยินได้ฟังมา ก็จัดเป็นเปรตชนิดหนึ่ง แต่มักนิยมเรียกแยกกันว่า เปรตและอสุรกาย เปรตบางจำพวกอาศัยอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ บนโลกมนุษย์เช่นเดียวกับเทวดาบางจำพวก เปรตบางตนก็มีฤทธิ์เช่นเดียวกับเทวดา และสามารถปรากฏกายให้เราเห็นได้ ซึ่งเราเรียกกันทั่วไปว่า ผี

ว่าถึงเรื่องผีเรื่องวิญญาณ ความเข้าใจของคนไทยในเรื่องผีเรื่องวิญญาณนี้ ต่างจากคำสอนในพุทธศาสนาอย่างมาก พวกเราส่วนใหญ่มักจะเข้าใจกันว่า คนเราเมื่อตายไปก็จะเป็นวิญญาณล่องลอย ยังไม่ไปผุดไปเกิด บางทีก็ปรากฏร่างให้เราเห็น ที่เรียกกันว่าผี ส่วนทางพุทธศาสนานั้น วิญญาณ หมายถึง จิต จิตเป็นนามธรรม มองไม่เห็นต้องอาศัยอยู่กับรูปหรือกายอยู่เสมอ จะล่องลอยไปมาไม่ได้ คนเราเมื่อตายลง จิตก็จะดับจากกายนี้ ไปเกิดในกายใหม่ทันที ที่เราเห็นเป็นผีนั้น อาจจะเป็นลักษณะของเปรตปรากฏกายให้เห็นก็ได้ เปรตก็มีกายมีจิตเช่นเดียวกับมนุษย์ หรืออาจจะเป็นเทวดาที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น เนรมิตให้เราเห็นเป็นภาพของคนตายก็ได้ ไม่ใช่ภาพของวิญญาณที่ล่องลอยอย่างที่เราเข้าใจ

4. สัตว์นรก ผู้ที่เกิดเป็นสัตว์นรกก็คือ ผู้ที่อดีตชาติชอบทำบาปทำอกุศลอยู่เสมอ เมื่อตายไปก็จะเกิดเป็นสัตว์นรก ถูกทรมานให้ได้รับความเจ็บปวดเร่าร้อนอยู่ในนรก เป็นการชดใช้กรรมที่ทำมาในอดีตชาติ ไม่มีโอกาสทำบุญทำกุศลแต่อย่างใด ผู้เป็นใหญ่ในนรกเรียกว่า พญายม หรือยมราช ผู้ที่มีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยในนรกเรียกว่า นิรยบาล นรกแบ่งออกเป็นขุมใหญ่ ๆ ได้ 8 ขุม ขุมที่ลึกที่สุดเรียกว่า อเวจี อายุขัยของสัตว์นรกยืนยาวกว่ามนุษย์มาก

5. สัตว์เดรัจฉาน ผู้ที่เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็คือ ผู้ที่อดีตชาติชอบทำบาปทำอกุศลอยู่เสมอ สัตว์เดรัจฉานอาศัยอยู่บนโลกนี้ และมีกายเนื้อเช่นเดียวกับมนุษย์ เราจึงมองเห็นได้ สัตว์เดรัจฉานแบ่งออกเป็นหลายชนิด แต่ละชนิดก็มีการดำรงชีวิตและมีอายุขัยที่แตกต่างกัน ธรรมชาติของสัตว์เดรัจฉานนั้น มีโมหะมาก มีสติน้อย มีความเข้าใจในเหตุผลน้อย ไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องบาปบุญ ถ้าเปรียบมนุษย์กับสัตว์เดรัจฉานแล้วละก็ คนบ้ามีวิถีชีวิตไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉานเลย

6. มนุษย์ ผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์ก็คือ ผู้ที่มีอดีตชาติชอบทำบุญทำกุศลอยู่เสมอ เมื่อตายไปก็จะไปเกิดเป็นมนุษย์อยู่บนโลกนี้ มนุษย์เป็นภพภูมิที่ทำกรรมทั้งดีทั้งชั่วได้ง่ายกว่าภพภูมิอื่น เช่น นึกอยากจะทำทานก็ทำได้ง่าย เพราะผู้ที่มีความเดือดร้อน ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือมีมาก ต่างกับเทวดาและพรหม จะทำทานก็ทำได้ยาก เพราะต่างก็มีความเป็นอยู่อย่างสุขสบาย ผู้ที่เดือดร้อนมีน้อย ส่วนทุคติภูมิทั้งสามก็มีความเป็นอยู่ลำบาก ไม่มีโอกาสที่จะทำบุญทำกุศลได้มากนัก เพราะเหตุที่โลกมนุษย์มีความเป็นอยู่ที่ไม่สุขสบายเกินไปและไม่ลำบากเกินไป จึงเป็นภพภูมิที่เหมาะแก่การปฏิบัติธรรมอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่อุบัติขึ้น ก็ล้วนแต่เป็นมนุษย์ทั้งสิ้น

อายุขัยของมนุษย์นั้นไม่แน่นอน สมัยใดที่คนส่วนใหญ่อยู่ในศีลในธรรมอายุขัยก็ยืนยาว สมัยใดที่คนไม่อยู่ในศีลในธรรม อายุขัยก็สั้น ในสมัยพุทธกาลอายุขัยของมนุษย์ประมาณ 100 ปี หลังจากนั้นอายุขัยก็สั้นลงตามลำดับจนเหลือ 10 ในสมัยนั้นผู้คนจะมีจิตใจต่ำทรามถึงกับฆ่าฟันกันล้มตายเป็นอันมาก พวกที่รอดชีวิตเห็นโทษภัยของการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน จึงพยายามทำความดี อายุขัยของมนุษย์ก็ยืนยาวขึ้นตามลำดับ เมื่ออายุขัยของมนุษย์ยืนยาวถึง 80,000 ปี จะมีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งอุบัติขึ้น ชื่อว่า พระศรีอริยเมตไตรย นับเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 ในภัทรกัปนี้ นี่เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าของเราได้ทรงพยากรณ์ไว้ และมีบันทึกอยู่ในพระไตรปิฎก


ลอกท่านมา ก็ขออนุโมทนาสาธุท่านด้วย :b8:
:b8: ผิดถูกอย่างไร บัณฑิตจะเข้ามาแก้หรือแนะนำได้ค่ะ

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


แก้ไขล่าสุดโดย Bwitch เมื่อ 23 ธ.ค. 2009, 23:11, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร