วันเวลาปัจจุบัน 03 พ.ค. 2025, 22:10  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ต.ค. 2008, 14:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ต.ค. 2008, 15:05
โพสต์: 11


 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันเป็นคนหนึ่ง ที่เคยสงสัยว่า พวกที่อ้างตนว่ามีองค์เทพนั้น เป็นเรื่องจริงหรือไม่
ทั้งที่เราก็มีคำสอนของพระพุทธเจ้า อยู่แล้ว
แล้วพวกร่างทรง องค์เทพ มากันทำไมมากมาย ???

พอดีได้ไปเจอเวปไซด์หนึ่ง เขียนอธิบายได้ดีมาก
เลยขออนุญาติ นำมาโพสต์ไว้ เผื่อคนที่ถูกทักว่ามีองค์ หรือคิดว่าตนเองมีนั้น แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร

จะรู้ได้ยังไงว่ามีองค์เทพ ???

เมื่อพูดถึงคำว่าร่างทรง คนหลายคนคงนึกถึงภาพคนยืนตัวสั่น พูดจาทำนายทายทัก พูดกันด้วยภาษาแปลกแปลก บ้างก็เปิดเป็นสำนักกัน บ้างเก็บเงินหรือบอกหวยกัน ทำสิ่งที่ลึกลับมีพิธีกรรมแปลกๆซึ่งมักมีทั้งทรงจริง และของปลอมหลอกกัน เพื่อหาผลประโยชน์จากการหลอกให้หลงเชื่องมงายโดยขาดสติปัญญา เรื่องของสวรรค์ นรก เรื่องแปลกๆ เรื่องเหลือเชื่อ อันที่เราสามารถพินิจเห็นอยู่บ่อยๆตามสื่อรายการต่างๆ ในโลกแห่งวิทยาศาสตร์อันทันสมัย โลกแห่งการแข่งขันทางเศรษฐกิจกันอย่างดุเดือดรุนแรงวุ่นวายจนเราไม่เคยใส่ใจคำว่าคนมีองค์ ไม่เคยคิดแม้แต่ว่ามันจะจริงหรือไม่คิดเพียงว่าเป็นเรื่องไกลตัว ไม่ควรไปใส่ใจให้เสียเวลา เป็นเรื่องเหลวไหล แท้จริงมันเป็นเรื่องใกล้ตัวเราที่สุด จนแทบจะพูดได้เลยว่าเป็นเรื่องของเราเองทีเดียว แต่น้อยคนที่จะสนใจเรื่องเหล่านี้ว่าแท้จริงคือสิ่งใดเกิดขึ้นได้อย่าง เหตุผลใดทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ เรื่องใดเป็นเรื่องจริง เรื่องใดเป็นของปลอม หาได้แต่โทษโชคชะตา หรือไปโทษตัวเองว่า ถ้าเราไม่ทำเช่นนั้นก็คงจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องลี้ลับยากที่จะพิสูจน์ให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ มันเป็นเรื่องปัจจัตตังคือรู้และพิสูจน์ได้เฉพาะตน จะว่าไปแล้วคนทุกคนล้วนมีบุญเก่ากรรมเก่าติดตัวมาตั้งแต่เราเกิด ตั้งแต่ปฏิสนธิ มันเป็นเครื่องกำหนดกฏแห่งกรรมของทุกชีวิตที่เกิดมาในโลก ในแง่สิ่งเหนือสามัญวิสัย คนที่มีความซับซ้อนของภพชาติยิ่งมาก ย่อมเคยมีปฏิสัมพันธ์กับคน สัตว์ สิ่งมีชีวิต จิตวิญญาณ ตลอดจนสิ่งศักย์สิทธิ์มามากด้วยเราคงเคยไปก่อกรรมกับใครต่อใครไว้ทั้งดีและชั่วก็มาก ชาตินี้เรามาเกิด แต่คนที่เกี่ยวข้องกับเราบางคนในอดีตชาติ บางดวงจิตอาจมาเกิดร่วมชาติกับเราเพื่อมาชดใช้กรรมซึ่งกันและกันในชาตินี้ ซึ่งเราไม่ทราบว่าเป็นใครบ้าง บางคนยังไม่ได้พบกัน แต่บางคนก็อาจยังไม่ได้มาเกิดอาจยังเป็นเทวดาในสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้นฟ้า หรือในนรก หรือติดอยู่ในภพภูมิใดตามสัญญากรรม หรือบางคนสามารถพัฒนาจิตหนีเราไปเกิดเป็นพรหม เป็นมหาพรหม มหาเทพไปแล้ว ท่านก็ถือว่าท่านมีกรรมสัมพันธ์กับเรา จึงมีสิทธิที่จะมากำกับชีวิต ช่วยเหลือ ต่ออายุ ให้โอกาสเราหากเราเข้าถึงพระพุทธศาสนา คนเราหลายๆคน เรียกว่ามากมายนักที่มีสัญญากรรมกับเทพที่เกี่ยวข้องกับตนทั้งกรรมเก่าเกี่ยวเก่า กรรมใหม่เกี่ยวใหม่ตามบุคคลาธิษฐาน ท่านจึงคอยมากำกับชีวิตเราตามพื้นฐานของกฏแห่งกรรม แต่ก็ให้โอกาสเราทำกิจกรรมตามที่เคยสัญญากันไว้ก่อนมาเกิด หากใครทำได้ครบ ก็จะส่งบุญเก่าให้บุญเก่าของเราแสดงผลออกมาเป็นรางวัลชีวิต หากถึงเวลาที่กำหนดแล้วทำไม่ได้ หรือไม่ได้ทำเพราะส่วนใหญ่ไม่มีตัวรู้ หลงในเทคโนโลยี แสง สี เสียงสมัยใหม่ จนลืมสัญญากรรม ท่านก็จะอุเบกขาวางเฉยปล่อยให้กรรมเล่นงานเราตามกฏแห่งกรรม คนเหล่านี้จึงมีคลื่นพลังส่งมาจากโลกเหนือสามัญวิสัย แฝงมามาก ส่งมาดลใจ ลองใจเราอยู่ตลอดเวลา คงมีทั้งเจ้ากรรมนายเวร เจ้าบุญนายคุณ และเมื่อถึงกาลที่เหมาะสมเทพท่านจะมาใช้ร่างเราเพื่อให้เราสร้างบารมีคือท่านมาโปรดมนุษย์ ให้เข้าถึงธรรม มาจรรโลงพระพุทธศาสนา มารักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ มาสอนเราโดยส่งญาณอันเป็นรังสีมาสู่ตัวเรา เข้าสู่ระบบสมอง สู่ระบบประสาทจนเกิดแสดงเป็นอาการต่างๆให้เป็นร่างทรง ที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไป เพื่อที่เราจะได้สร้างบารมีสามารถฟันฝ่าวิบากกรรมไปได้ คนบางคนที่เขาเรียกว่ามีสัมผัสที่ ๖ ล่วงรู้หรือเห็นชาติภพของตนมาก่อน ชอบเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คนที่มีชะตาชีวิตรุนแรงประเภทขึ้นสูงก็สูงไปเลย พอลงต่ำก็ต่ำไปเลย คนบางคนมีความสามารถทางโลกโดดเด่นมาก บ้างก็มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นในชีวิต บ้างก็มีตำแหน่งในสังคม คนพวกนี้ส่วนใหญ่เกิดจากทางในส่งผลเป็นปัจจัยทั้งสิ้น เรียกว่าคนมีองค์ การที่คนเก่ง ด้วยหน้าที่การงาน มีฐานะตำแหน่งเป็นที่ยอมรับนับถือในสังคม หากคนเหล่านี้จะต้องมาตัวสั่น หรือมาเปิดสำนักคงยากที่คนเหล่านั้นจะยอมรับได้ แต่แท้จริงการพัฒนาร่างทรงต่างหากที่สำคัญ เพราะเมื่อเริ่มแรกเราจะตัวสั่น พูดจาภาษาเทพเร็วๆ ฟังไม่ออก เป็นเพราะเรายังมีตัวรู้ในองค์ญาณ ที่ยังไม่สัมพันธ์กับองค์ฌาน ละเอียดไม่เท่ากับรังสีที่ส่งลงมา เทพท่านส่งมา สิบคำรับได้แค่คำเดียวจึงเกิดเป็นอาการตัวสั่น พูดจาฟังไม่รู้เรื่องที่เรามักเรียกกันว่าพูดภาษาเทพ แท้จริงหากพัฒนาจิตให้ละเอียดจนสามารถรับคลื่นรังสีที่ส่งมาได้ครบถ้วน การพูดก็คือการพูดภาษาปกติมนุษย์นั่นเอง การตัวสั่นยังเป็นเรื่องของอิทธิฤทธิ์ เทวฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เราจึงยังไม่สามารควบคุมอาการได้ ซึ่งอิทธิฤทธิ์ เทวฤทธิ์ปาฏิหาริย์นั้นพระพุทธเจ้าทรงยอม รับแต่ทรงรังเกียจ เพราะส่วนใหญ่ง่ายในการนำไปใช้ผิดวิธี ผู้พบเห็นมักศรัทธาด้วยฤทธ์ไม่ใช่เข้าใจด้วยปัญญา หากเราฝึกฝนพัฒนาจิต พัฒนาทักษะ พัฒนาตัวรู้จนละเอียดใกล้เคียงกับรังสีเทพที่ส่งมาหาเรา เราก็จะเริ่มควบคุมตัวเองได้ จะแสดงอาการที่ปรกติมากขึ้นที่เรียกว่าอิทธิฤทธิ์ หรือเทวฤทธิ์อยู่ในขั้น ฤทธานุภาพ และเทวานุภาพ หรือสูงขึ้นจนทายใจคนได้อย่างอัศจรรย์เรียกว่า อาเทศนาปาฏิหาริย์ ซึ่งขั้นนี้พระองค์ก็ยังคงทรงรังเกียจ จนกระทั่งสามารถพัฒนาจิตสู่ขั้นมาตรฐาน คือขั้นจิตตานุภาพ นั่นคือเป็นองค์แฝงไม่พบอาการผิดปกติให้เห็นได้แต่อย่างใด แต่ขณะที่พูดสามารถปล่อยให้ญาณหรือรังสีเทพผ่าน แสดงออกมาหรือพูดออกมาในลักษณะที่ผู้อื่นคิดว่าเป็นการแสดงออกของตัวเราเอง โดยไม่มีใครทราบนอกจากตัวเรา สามารถอธิบายธรรมให้เข้าใจโดยใช้หลักธรรมให้เห็นเด่นชัดด้วยปัญญา มีความสมดุลอย่างสูงในองค์ฌาน และองค์ญาณ คนกลุ่มนี้ชีวิตจะยิ่งโดดเด่นยิ่งขึ้นโดยปาฏิหาริย์ เรียกว่าเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือคำสอนมีผลจริงเป็นมหัศจรรย์ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงสนับสนุนถือว่าดีเยี่ยมเป็นประเสริฐ ทั้งนี้คนที่พบกับวิบากกรรมก็สามารถที่จะดีขึ้นจนสามารถหลุดพ้นจากวิบากกรรมได้ หากเราสามารถทำตามสัญญากรรมข้ออื่นๆได้ครบ การพัฒนาร่างทรงสู่ญาณแฝง และสามารถถ่ายทอดธรรมได้อย่างมหัศจรรย์ จึงถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำสังคมก้าวไกล มองดูเป็นปกติธรรมดาธรรมชาติ และสังคมยอมรับกันได้ในปัจจุบัน

ข้อมูลโดย อ. ธวัช คณิตกุล

หรือหากใครอยากรู้มากกว่านี้ ลองเข้าไปดูที่
http://www.ongtep.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ต.ค. 2008, 14:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.ย. 2008, 14:42
โพสต์: 121


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ไม่ทราบว่าคุณเคยไปวัดหลวงพ่อกบที่บ้านหมี่ จ.ลพบุรีมั้ย
ถ้าคุณได้ไป คุณจะเข้าใจนี้ดี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ต.ค. 2008, 16:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ต.ค. 2008, 15:05
โพสต์: 11


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ MAW

ไม่เคยไปหรอกค่ะ แต่ที่ต้องศึกษาเพราะคุณแม่ไปรับมา
แต่พอศึกษาแล้วถึงรู้ว่าท่านโดนร่างทรงหลอกจริงๆ

ถ้าจะให้สาธยายว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างตลอดระยะเวลา 10 ปี ก็คงไม่หมด

เอาเป็นว่า ตอนนี้ แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ท่านเสียชีวิตเพราะการรับขันธ์ แบบผิดๆได้ 5 เดือนแล้วค่ะ

คุณ MAW พอจะอธิบายให้ฟังโดยคร่าวๆได้ไหมค๊ะ ว่าที่นั่นเป็นยังไง ??
:b20:
ขอบคุณค่ะ
Keiko


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณMaw.....พอจะเล่าให้ฟังบ้างมั๊ย....ว่าวัดที่คุณบอกเป็นยังไง
เคยเห็น.....แต่คนที่หลอก....ว่ามีองค์เทพ....ชีวิตของพวกเค้า.....จะไม่ดีเลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 17:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 มิ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1854

แนวปฏิบัติ: อานาปานสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: THAILAND

 ข้อมูลส่วนตัว




20080208cute_d_o_zacunkkum.gif
20080208cute_d_o_zacunkkum.gif [ 22.3 KiB | เปิดดู 27637 ครั้ง ]
:b13: พอดีกำลัง ต้องการทราบเรื่องเกี่ยวกับพวกนี้อยู่พอดี
ขอขอบคุณท่านผู้นำมาให้อ่านนะจ๊ะ

.....................................................
[สวดมนต์วันละนิด-นั่งสมาธิวันละหน่อย]
[ปล่อยจิตให้ว่าง-ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ]
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2009, 16:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาตร่วมความเห็นด้วยครับ.. :b8: :b13:

ที่เรียกว่าคนมีองค์เป็นร่างทรงให้กับบุคคลอื่นๆนั้น ผมเห็นว่ามี 2 ประเภท

๑. เป็นพวกปรารถนาในลาภ ก็แสร้งทำขึ้นมา เพื่อให้ดูเป็นผู้มีฤทธิ์ มีอะไรพิเศษ เรียกร้องความสนใจ ทำไปเพื่อปรารถนาในลาภสักการะ เป็นต้น

๒. เป็นผู้ที่ถูกอมนุษย์เบียดเบียนอยู่
อมนุษย์ได้แก่ ใครบ้าง? ได้แก่พวกรุกขเทวดาที่เป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา อันอยู่ใกล้ๆกับภูมิของมนุษย์ และพวกเปรตที่อยู่ใกล้ๆกับภูมิของมนุษย์เช่นกัน
ถามว่า จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นใคร?
พึงทำความเห็นให้ประกอบเหตุผลอย่างนี้ว่า คำว่าเทวดา นั้นได้แก่ ผู้ที่อยู่ในภูมิที่มีความสุขเป็นอันมาก แม้จะเป็นเทวดาชั้นต่ำ ก็ปรากฏว่า มีความสุขมากมายกว่ามนุษย์นัก กายของท่านก็เป็นกายทิพย์ที่สวยงาม อาหารก็เป็นทิพย์ทั้งหมด
ถามว่า หากเป็นเรา ผู้เจริญความสุขอยู่อย่างนั้น เมื่อมองเห็นกายอันเน่าเหม็นของมนุษย์ เราจะพึงอยากเข้ามาอยู่ใกล้ เข้ามาทรงคือ ประทับในกายอันประดุจของโสโครกหรือหนอ?
คำตอบมีอย่างเดียว คือ ไม่อยากเข้ามา แม้แต่การได้กลิ่น ก็ไม่พึงเป็นที่ปรารถนาเลย ดุจบุคคลผู้กายและชาติกำเนิดอันละเอียดอ่อน ละเมียดละไม ย่อมไม่ปรารถนาเข้ามาคลุกเปื้อนโคลนตม ฉะนั้น
แต่ทีนี้ ถามว่า หากเป็นคนชั้นต่ำ มีกายเน่าเหม็นมาก เพราะความขัดสน หากมีใครเชื้อเชิญหรือมีช่องทางให้เขาเข้าไปอยู่ในเรือนของคฤหบดี อันอุดมด้วยข้าวปลาอาหาร เขาจะพึงปรารถนาหรือไม่หนอ?
ตอบว่า ย่อมปรารถนา...
ฉันใดก็ฉันนั้น ผู้ที่มากระทำการอย่างนี้ โดยมากก็เป็นพวกอมุษย์ที่เป็นพวกเปรตที่ต้องการเสพอาหาร หรือมาทำบุญอย่างชนิดที่ตนเข้าใจว่าเป็นบุญ เป็นพวกที่เคยเล่นฤทธิ์มาก่อนในอดีตชาติ เช่นเคยได้สมาธิมาก่อน ได้ฌาณมาในชาติใดชาติหนึ่ง แล้วอาจจะมีอภิญญา ติดอยู่ก็เป็นได้ ของพวกนี้ เป็นไปด้วยความชำนาญที่สั่งสมมา ดังนั้น แม้เปรตเองก็มักปรากกกายให้ผู้คนเห็น เป็นผีบ้าง บางทีก็แปลงกายเป็นพระ เป็นเณร ก็มี เขาก็มีฤทธิ์ได้ และพอใจในการทำการงานอย่างนั้น เพราะคุ้นเคย เพราะพอใจ ....ในเวลาเป็นมนุษย์ ก็ทำอาการดุจเดียวกันนั่นแหละ
ดังนั้น ของอะไรที่เสพคุ้น ย่อมเป็นไปโดยง่าย ด้วยมีความพอใจหนุนหลัง เป็นต้น

ทั้งสองประเภทนี้มองแล้วไม่เห็นความสวัสดีเลย แก่ผู้ทรง และผู้ถูกทรง เป็นไปเพื่อความมืดมนโดยแท้ ที่แอบอ้างเป็นนั่นเป็นนี่ ก็เพราะอยากให้คนนับถือ แล้วแต่ว่า กิเลสอะไรจะใช้ให้ทำ
ถามว่า คนที่ถูกทรงเล่า มีความเกี่ยวพันกันอย่างไร?
ก็เพราะเคยทำเหตุมา ก็เป็นปัจจัยให้ต้องมากระทำอีก และประกอบกับยังไม่เจอกัลยาณมิตร ไม่ได้ฟังธรรมอย่างถูกต้อง ใจก็น้อมไปในความเชื่อ ตรงนี้แหละเปิดช่องรับเขาเข้ามาแล้ว


ทำแล้วก็จะตกนรกนั่นแหละ เพราะอยู่ด้วยความหวาดกลัว เพราะดูเหมือนจะไม่เป็นตัวของตัวเอง ถูกบังคับขับเคลื่อนทางใดทางหนึ่งเสมอ หวาดกลัวในใจเสมอๆ หรือไม่ก็พอใจในลาภสักการะ ตรงนี้ก็ไม่ใช่สรณะเอาเสียเลย ยังทำให้คนทั้งหลายพากันลุ่มหลง เชื่อในผี อันเป็นลัทธิมีมาแต่ไหนแล้ว แม้ในยุคโลกว่างจากพระศาสนา เรื่องอย่างนี้ก็ปรากฏอย่างต่อเนื่อง ก็เหตุใด บัดนี้จะไม่ปรากฏเล่า? เพราะเหตุนั้นมีมาแล้ว ผลอย่างไรๆก็ต้องเกิด

จะบอกว่าทำบุญมาด้วยกัน ก็ขอฟันธงว่า ไม่ใช่ลักษณะบุญแน่นอน บุญในโลกนี้มี ๑๐ อย่าง ไม่มีน้อยหรือมากกว่านี้แล้ว และที่เขาเป็นไปกันอยู่จะสงเคราะห์เป็นบุญก็ลำบากใจแท้ๆเพราะคนทำไม่ได้ ประโยชน์เกิดแต่โทษ

ที่แน่ๆก็คือ ทำให้ผู้คนไม่เกิดทิฏฐุชุกรรมคือความเห็นถูกเลย แต่เป็นไปกับความเชื่อ ที่เรียกว่า หลงเชื่อในฤทธิ์ ในอภินิหารย์ เป็นอันมาก อย่างนี้จะหาความเป็นบุญที่ถูกต้องได้อย่างไร? เพราะช่างขัดแย้งกับความเป็นจริงเสียจริงๆว่า กรรมนั้นย่อมมีผล แต่นี่เขากระทำให้เกิดความเชื่อว่า เขาเป็นผู้กระทำให้ ใช้ฤทธิ์ทำให้ได้อะไรๆอย่างนี้เป็นต้นจนคนพากันนับถือ เพราะอยากได้ผลที่ต้องการโดยไม่สนใจในเหตุที่ทำแม้แต่น้อย
พึงเลิกสนใจในเรื่องเหล่านี้ กระทำความรู้ตัวอยู่กับเรื่องที่เป็นปัจจุบันดีกว่า แล้วเจริญบุญ ๑๐ ประการนั้นนั่นแหละ ชื่อว่า เป็นไปเพื่อความสวัสดีโดยแท้


ประโยชน์อะไร กับความยึดถือ เรื่อง “องค์” อะไรต่อมิอะไรนั่นเล่า?
หากยึดถืออยู่ ก็ไม่ชื่อว่า ประกอบด้วยเหตุผล “สัมมาทิฏฐิ” เพราะยังยึดว่ามีตัวมีตนอะไรบางอย่างที่มีอำนาจควบคุมเราอยู่ เราจะปลอดโปร่งโล่งใจอะไรได้ จริงไหม?

ใครจะว่าจะบอกอย่างไร......ก็เป็นสิทธิ์ของเขา
แต่ความจริง กับ ความเชื่อ ....บางทีก็เป็นคนละเรื่อง

การทำความดี มีการเจริญบุญกิริยาวัตุ ๑๐ ประการเป็นต้น การเว้นจากอกุศลกรรมบททุกชนิดนั้น เป็นบุญ เป็นความดีที่ทุกคนพึงกระทำให้เจริญ ไม่เกี่ยวกับองค์อะไรที่ไหนกันแม้แต่น้อย
หากแต่จะรับรู้รับทราบก็พึงคิดว่า หากเราทำความดีสม่ำเสมออย่างนั้น แม้เทวดาทั้งหลายย่อมสาธุการแก่เรานั่นแหละ ไปในที่ไหนๆ เทวดาย่อมเอ็นดูแก่เรานั่นเทียว .....และเราย่อมประจักษ์แก่ใจของเราว่า ก็บรรดากุศลใดๆ ที่เราทำไว้อย่างต่อเนื่องนั่นแหละ จะคุ้มครองเรา ปกป้องเรา....การคิดอย่างนี้ไม่ เป็นความเห็นผิด

แต่การยึดถือใส่ใจเรื่ององค์นั้น เป็นเรื่องที่หาความเป็นกุศลได้ยาก เพราะแม้ความคิดก็ผิดไปแล้ว ต่อไปจะทำถูกได้อย่างไรกัน?

จงเป็นอิสระจากคำพยากรณ์ใดๆ ของใครๆในโลกนี้เถิด..... แต่จงมีศรัทธาในคำสอนที่ทำให้เกิดปัญญาของพระพุทธเจ้าเถิด ท่านจงมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไว้เป็น”องค์” รักษาใจอยู่ทุกเมื่อเถิด ...หากเป็นไปอย่างนี้ ท่านย่อมร่าเริงบันเทิงใจ และเป็นอิสระจากการยึดมั่นใน “ตัวตน” บางอย่างได้ ด้วยการศึกษาคำสอนของพระองค์ จนได้เกิดปัญญามาตัดสินความจริง ให้เหตุึผลแก่ตนเองได้...ท่านย่อมเป็นอิสระจากความยึดถือในเรื่องไม่ควร

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2009, 16:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอเพิ่มเติมอีกนิดนึง.......... :b12:

ทั้งสามโลกนั้น หามีสิ่งใดที่เป็นที่พึ่งอันสูงสุด เท่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ได้เลย
ผลทั้งหลาย ต้องตรงกับเหตุเสมอ

การเสริมขันธ์ รับขันธ์ นั้น.... เป็นเรื่องของ "มิจฉาทิฏฐิ " คือ ความเห็นผิดว่ามีตัว มีตน กำลังมีอำนาจครอบงำพวกเขาอยู่ หากไม่ปฏิบัติตาม ก็จะเป็นเหตุแห่งความหายนะนั่นเทียว
นี่...พวกเขากล่าวกันอย่างนี้เสมอ
ก็หากใครสักคนในโลกนี้ จะเข้าถึงความหายนะแล้วไซร้ ก็เพราะเหตุแห่งการล่วงศีล ประพฤติผิดศีล ศีลทะลุของเขา นั่นแหละ .....หาได้เกิดจากใครจะมามีอำนาจบันดาลให้ใครคนนั้น ประสบความเดือดร้อนเพราะ สิ่งนั้นไม่ถูกใจ ไม่ชอบใจแก่เขาผู้มีอำนาจ ก็หาไม่
หากใครคนนั้น รักษาศีลด้วยดี ตั้งมั่นเดินทางแห่งชีวิต มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เข้าถึงการเป็นผู้ประพฤติธรรมด้วยดีแล้วไซร้...เหตุแห่งการไม่รับขันธ์ ไม่เสริมขันธ์ของคนๆนั้น ก็หาได้ทำให้คนๆนั้นเข้าถึงความหายนะไม่
เขาคนนั้นย่อมร่าเริงบันเทิงใจ อยู่ด้วยบุญทั้งหลายที่เขาเพียรปฏิบัติ และพระธรรมย่อมคุ้มครองเขาคนนั้นให้ปลอดภัย
พิจารณาเหตุตามเหตุผลแห่งกรรม ให้ดี ท่านจะรู้ว่าท่านจะพบกับความสุขสงบเป็นอันมาก สามารถมีชีวิตอยู่ความปราศจากเครื่องเดือดร้อนนานาประการ
และคนทรง ร่างทรงทั้งหลายนั้น ตกนรกเป็นอันมาก เพราะเป็นคนที่เผยแพร่ "มิจฉาทิฏฐิ" แก่บุคคลอื่น....เป็นไป เพื่อลาภบ้าง เพื่อสักการะบ้าง หรือเพราะกลัว หรือเพราะไม่รู้ ก็ตามที....แต่หนทางเบื้องหน้าของพวกเขาเหล่านั้น ย่อมมีทุคติเป็นที่หวังได้
ในโลกนี้ไม่มีสิ่งศักดิ์ที่จะบันดาลผลหรอก ก็เทวดาทั้งหลายที่ปกปักรักษาโลกมนุษย์นั้นมีอยู่ แต่ท่านก็หาได้สามารถบันดาลให้เกิด "ผล "คือ ความเป็นไป ตามใจท่านก็หาไม่ ....เพียงแต่ท่านอาจจะดลใจให้ชนทั้งหลายระลึกนึกถึง เข้าหาที่พึ่งอันเป็นคุณงามความดี เพื่อผลอันดีจะบังเกิดแก่ชนเหล่านั้นได้ หากผู้ใดไม่ทำให้ถูกทาง....ผลอันน่าชื่นใจก็หาได้เกิดแก่เขาเหล่านั้นไม่ พวกเขาก็ยังเป็นทุกข์เดือดร้อนใจอยู่นั่นแหละ

เพราะชนทั้งหลายเป็นอันมาก ขาดที่พึ่งทางใจ.... พวกเขาเหล่านั้นหวาดกลัวต่อมรณะภัย ความทุกข์ ความเดือดร้อนอันจะพึงมีพึงเป็นในวันข้างหน้า..... หรือไม่ก็เดือดร้อนเพราะอยากได้กุศลวิบากมาเชยชม พวกเขาก็วิ่งเข้าหาคนทรงบ้าง หมอดูบ้าง.. ดังนั้น การสะเดาะห์เคราะห์ ก็เกิดขึ้น เป็นวิธีกำจัดความหวาดกลัวของพวกเขาเหล่านั้น

หากการสะเดาะห์เคราะห์ จะทำให้คนทั้งหลายหลีกพ้นกรรมของตนได้จริงแล้วไซร้ ประโยชน์อะไรแก่การกระทำความดีด้วยเล่า?... พอทำผิดก็เอายางลบมาลบความผิดด้วยการสะเดาะห์เคราะห์!
หากการสะเดาะห์เคราะห์ คือการทำบุญใส่บาตร ..จริงอยู่ นั้น...เป็นเรื่องดี แต่ก็เป็นไปด้วยกิเลสล้อมหน้าล้อมหลัง ทำเพราะกลัวบ้าง ว่าตนนั้นมีเคราะห์ ทำเพราะอยากได้ในลาภ ยศบ้าง จึงทำ....
น่าแปลกไหม?...พวกเขาก็รู้ว่าบุญนั้นดี...แต่จะมีสักกี่คนที่ ตั้งใจเดินหน้า มุ่งหน้าทำกุศล ทำความดีอยู่อย่างนั้น...พวกเขาอยากได้ผลมาก แต่เวลาทำเหตุก็ทำเพียงเล็กน้อยแล้วปรารภผลมาก เป็นอย่างนี้เสมอ
ดังนั้นชนทั้งหลาย พึงเลิกหวั่นไหวกับสิ่งไม่เป็นสาระ สิ่งไม่เป็นที่พึ่ง ไม่เป็นไปเพื่อความสวัสดีเหล่านั้นเสีย...



พึงศึกษาคำสอน แล้วเดินหน้าปฏิบัติตามแผนที่ที่พระพุทธองค์ทรงมอบให้ อันปรากฏได้ยากในโลกนี้เป็นอย่างยิ่ง เพื่อเป็นปัจจัยแก่"ปัญญา" เป็นยานพาหนะให้เราทั้งหลายเดินถูกทาง เพื่อความพ้นจากทุกข์ในที่สุด

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2009, 21:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอคุยเรื่องนี้ด้วยนะค่ะ
คือเรามีเพื่อนผู้หญิงรุ่นพี่นะ นิสัยปรกติของเค้าคือขี้อาย
เค้ามีองค์เทพ แต่เค้าจะไม่ดูให้ใครทั้งนั้น เค้าบอกว่าเค้าไม่ชอบเลยเวลาที่ท่านมา
พี่ผู้หญิงบอกว่าองค์เทพที่มาเข้าเค้า เป็นเจ้าที่ลพบุรี
เวลาท่านมา ท่านจะต้องดื่มเหล้าดื่มเบียร์ จะสูบบุหรี่สูบครั้งเดียวจะเป็น10มวโดยที่พี่เค้าจะไม่รู้สึกตัวสามีของพี่ผู้หญิงเค้า จะต้องคอยเทเหล้าให้แล้วก็ส่งบุหรี่ให้
ส่วนพวกลูกๆของพี่เค้า เวลาแม่เค้ามีองค์เทพเข้า เค้าจะสงสารแม่ของเค้ามาก
เสียงของพี่เค้าจะเปลี่ยน เป็นเสียงคนแก่ผู้ชาย คือเ็ป็นเสียงคนแก่แก่มากๆเวลาพูดเสียงจะสั่นๆมือก็สั่นๆ
เราเชื่อมากๆว่าเค้ามีจริง เพราะเค้าเป็นคนเรียบร้อย เหล้าไม่เคยดื่มแล้วฐานะของเค้าก็ดี
ตัวของเค้าเองก็งงๆทำไมเค้ามีองค์เทพเพราะพี่เค้าไม่ชอบ
เวลาที่พี่เค้านอน พี่เค้าจะบอกกับองค์เทพ
อย่ามาเข้าร่างเค้าเลยเค้าไม่ชอบ เค้าจะรู้สึกแน่นหน้าอกเหมือนมีเท้ามาเหยียบที่หน้าอกเค้า
เค้าจะหายใจไม่ออก เหมือนเป็นลักษณะกระทืบ พอเค้าบอกว่ายอมๆแล้ว
เค้าเชื่อแล้วอาการนั้นจะหายทันที
มีใครพอจะตอบให้ทราบบ้างได้ไม๊ค่ะ
ทำไมต้องมาเข้าร่างของพี่เค้า องค์เทพกับพี่เค้าผูกพันธ์กันมายังไงค่ะ
เวลาที่เราไปเห็น คนที่บอกมีองค์เทพเราจะไม่เชื่อเพราะแตกต่างกับพี่เค้ามากๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2009, 14:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b40: องค์เทพที่เข้าร่างแบบนี้ดูให้ดีจะเรียกว่า ความงมงายก็ได้ ควรจะยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่แท้จริงย่อมดีกว่า เจ้าที่มาเข้า เค้าทำเช่นนี้ย่อมเป็นบาป หวังแก่ความสบาย ความอยาก(ความหิว) และลาภยศ ที่คนนำมาปรนเปรอให้ คนที่พูดถึงคงไปทำพิธีรับเจ้าเข้าทรงเทพ(เทพปลอม) องค์นี้มา ก็ถือเปนความทุกข์ของผู้หญิงท่านนี้ ในตัวเรามีเทวดาและเทพรักษาประจำตัวด้วยกันทุกคนอยู่แล้ว ไม่ต้องให้เทพองค์อื่นมาสถิตย์หรือเจ้าพ่อไหนๆมาประทับร่างเราหรอก หากทุกคนยึดถือ พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ด้วยใจเต็มเปี่ยมเรื่องที่เล่าในลักษณะนี้จะไม่เกิดขึ้นเลย :b40:

.....................................................
"มีสติเป็นเรือนจิต ใช้ชีวิตเป็นเรือนใจ ใช้ปัญญาเป็นแสงสว่างส่องทางเดินไปเถิด จะได้ล้ำเลิศในชีวิตของท่าน มีความหมายอย่างแท้จริง"
ในการปฏิบัติธรรม หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้ตัดปลิโพธกังวลใจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ลูก สามี ภรรยา ความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวง อย่าเอามาเป็นอารมณ์ จากหนังสือ: เจริญกรรมฐาน7วันได้ผลแน่นอน หัวข้อ12: ระงับเวรด้วยการแผ่เมตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2011, 12:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.พ. 2011, 11:47
โพสต์: 50


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอคุยเรื่องนี้ด้วยนะคะ มีเพื่อนหลายคนที่บอกว่าตัวเองมีองค์ แต่ก็ไม่เห็นว่าเขาจะสามารถช่วยอะไรใครได้ ตัวเองยังแทบไม่รอด เป็นอีกคนหนึ่งค่ะที่ถูกทักว่ามีองค์ วางเฉยกับเรื่องนี้ค่ะ เพราะทุกวันใช้ชีวิตด้วยความปกติ และทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ไม่ได้ลบหลู่นะคะ แล้วอีกเรื่องคือคุณแม่เป็นคนชอบดูหมอมาก ชอบเอาดวงของลูกไปดูค่ะ พอถูกทักว่ามีเคราะห์ก็ต้องเสดาะเคราะห์ บอกเลยว่าไม่เชื่อแต่ก็ยอมให้คุณแม่ทำเพื่อความสบายใจของท่านค่ะ ใครที่มีประสบการณ์ตรงนี้ขอร่วมแบ่งปันนะคะ ขอบคุณค่ะ :b1: :b10: :b6:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร