วันเวลาปัจจุบัน 04 พ.ค. 2025, 07:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 50 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2013, 20:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
สิ่งที่ถูกรู้นั้นไม่ว่าจะจริงหรือไม่ แต่ก็ทำให้เราเกิดพลังศรัธทรา :b8: และอยากจะทำความดีต่อไป เพื่อประโยชน์ตนเองและผู้อื่น


smiley smiley smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2013, 11:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ม.ค. 2010, 13:41
โพสต์: 57

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
คุนน้องก็มีประสบการณ์แปลกๆค่ะ แต่เวลานั่งกรรมฐานหรือจะเรียกบำเพ็ญภาวนาทางจิตก็ได้ คุณน้องไม่เคยเห็นหรือได้ยินเสียงอะไร ยกเว้นเสียงวิ้งๆ คุนน้องระลึกถึงแต่พระพุทธองค์ :b8: แต่มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นคือ คุนน้องตั้งใจจะไปเจอลูก สมมุตติตั้งใจวันนี้ว่าพรุ้งนี้จะไปเจอลูกและจะไปดูหน้าตาพี่เลี้ยงเด็กคนนั้น แต่พอคุนน้องสวดมนทำสมาธิหลับฝัน คุนน้องก็ฝันว่าไปหาลูกและเห็นพี่เลี้ยงซึ่งอายุแก่มากแล้วน่าจะ50+และคุนน้องจำหน้าตาเค้าได้แม่นยำมาก แต่คุนน้องไม่เคยเห็นหน้าตาเค้ามาก่อนพอคุนน้องไปเจอแค่นั้นแหละ wink เค้าหน้าตาเหมือนที่คุนน้องฝันเห็น ผมหยักโซก แก่ๆหน้าตา เหมือนในฝันเดะ แต่คุนน้องก็เฉยๆเพราะพูดหรือบอกใครไปเค้าก็หาว่าเราโม้ คุนน้องไม่อยากมีอัตตากับคนพวกนี้เด่วได้ท้าฟ้าท้าดินเป็นพยานในสิ่งที่คุนน้องพูดจริงอีก เด่วงานจะเข้ากับคนพวกนั้น :b32:


:b8: :b8: :b8: เสียงวิ๊งๆทีได้ยินนั้น เกิดเมื่อยามที่จิตเริ่มสงบได้ระดับหนึ่ง เป็นเสียงของกายของท่านเองครับ เป็นเสียงเหมือนกับเราเข้าไปในป่าลึก หรือเวลามืดสงัดแล้วเราจะได้ยินเสียงเหมือนจิ้งหรีด หรือพวกหริ่งเรไร แต่ที่เราได้ยินนั้นจะเป็นเสียงที่ละเอียดกว่ามาก ไม่มีทิศทางของเสียง นั่นคือเสียงในภายในครับผม ขอท่านมีความเพียรขึ้นไปอีก จะได้ยินเสียงที่ไกลออกไปอีก ขออนุญาตไม่กล่าว เกรงจะเกิดอุปาทาน ดีแล้วครับ :b8: สาธุ สาธุ สาธุ :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2013, 11:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ม.ค. 2010, 13:41
โพสต์: 57

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
ที่ท่านฉันทะเล่ามาคุนน้องเคยเป็นเกือบหมดค่ะ คุนน้องยังเอาไปเล่าในกระทู้ เล่าสู่กันฟัง ให้พี่ๆกัลยามิตรอ่านเล่นขำๆเลย เคยแม้กระทั่งอธิษฐานว่าจะไม่เกิดอีกจะตั้งใจปฏิบัติเพื่อให้บรรลุ มรรค ผลในชาติปัจจุบันแต่คืนนั้นก็เจริญภาวนาจนฝัน ก็เห็นนิมิตว่าตนเองอยู่ดินแดนแห่งหนึ่ง และที่ต้องมาเกิดไม่ได้มีคนบังคับหรือถีบลงมา แต่สมัครใจมาเกิดเองเพราะเหมือนกับว่ามันคือภาระหน้าที่ของเรา และเวลาสื่อสารกันไม่ได้พูดคุยแบบมนุษย์ทั่วไป แต่สื่อกันทางจิตและรู้กันได้เลย อัศจรรย์มากค่ะ แต่คุนน้องตื่นก็สงสัยว่าทำไมท่านคนนั้นถึงไม่ยอมเปิดเผยตนเองว่าคือใคร คนที่ถามคุนน้องในฝันที่เค้าให้พลังแสงสีแดงให้คุนน้อง จิตคุนน้องก็รู้ได้เองว่า กฏของสวรรค์บางครั้งก็เปิดเผยไม่ได้ และไม่ใช่วิสัยทัศของอริยเจ้าถ้าจะแสดงตนมาบอก ท่านจะไม่เปิดเผยตนเองถ้าไม่จำเป็นจริงๆคือคุนน้องรู้ในสิ่งที่เป็นปัตจัตตังของตน :b32:

ครับผม นั่นคือปัจจัตตังของท่านครับ ซึ่งเรื่องนั้นเป็นเรื่องของเราเอง ท่านที่เจริญความเพียรมากๆ มันจะย้อนไปในเรื่องเก่าๆก่อน เมื่อเราไม่ยึดมั่นในอดีตนั้นแล้ว เพียรต่อไป จิตจะเดินหน้าครับผม
:b8: สุภาษิตเกี่ยวกับการฝึกจิต
แต่ก่อน จิตนี้เคยจาริกไปในอารมณ์ต่างๆ ตามความปรารถนา ตามความ
ต้องการ ตามความสบาย วันนี้ เราจักข่มจิตนั้นโดยอุบายอันชอบ
เหมือนนายควาญช้างผู้ฉลาด ข่มขี่ช้างผู้ซับมันไว้ได้ด้วยขอ ฉะนั้น. :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2013, 11:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ม.ค. 2010, 13:41
โพสต์: 57

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เยอะแยะ ที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ฯลฯ ตัวอย่างหนึ่ง

อ้างคำพูด:
เพิ่งเริ่มนั่งสมาธิได้สองเดือนกว่า ช่วงแรกที่นั่งก็ใช้อานาปานสติ และพุทโธค่ะ ก็จะเอาจิตแนบกับลมหายใจตอนเข้าออก
ตอนแรกที่นั่งไม่มีความรู้อะไรเลยค่ะ ปรากฎว่านั่งได้นานกว่า ช.ม. มีอยู่ครั้งนึงเหมือนสัปหงก รู้สึกตัวอีกทีก็เห็นหัวตัวเอง และช่วงบ่าจากด้านซ้ายมือ ทั้งที่นั่งตอนเย็นกลับรู้สึกเหมือนกลางวันค่ะ ก็แปลกใจระคนตกใจนิดหน่อย มีความรู้สึกว่ามีตัวตนอีกคนดูตัวเราที่นั่งสมาธิอยู่


:b8: :b8: :b8: ในบทสวดมนต์ทำวัตรที่พระท่านสวดแปล
ขันธ์ันห้าขันธ์ ขันธ์สี่ขันธ์ ขันธ์ขันธ์เดียวกำลังท่องเที่ยวไป :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2013, 11:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ม.ค. 2010, 13:41
โพสต์: 57

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
ด.ช. ฉันทะ เขียน:
น้ำตาจะไหล นานแล้ว นานนักที่จักได้ยินสิ่งนี้อธิษฐานว่าจะไม่เกิดอีก
:b8: :b8: :b8: ขอท่านจงสู่จุดหมายปลายทางแห่งอริยวินัยนี้ได้สำเร็จ สมดังหวังเทอญ :b8: :b8: :b8:


:b1:

:b41: ......... :b41:

อืมมมม์ ....

ผู้ปฏิบัติธรรมต่างก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับสภาวะธรรมหลายอย่างที่
จริง ๆ ก็อยากจะแบ่งปัน แต่ก็เก็บไว้ในใจ...
ไม่อาจจะพูดเล่าออกมาได้เยอะเหมือนกันนะ...

:b8: :b8: :b8:


. :b8: :b8: :b8: สุภาษิตสรรเสริญพระพุทธองค์
เมื่อใด เราได้ฟังธรรมของพระศาสดาผู้ทรงแสดงอยู่
เมื่อนั้น เราไม่รู้สึกความสงสัยในพระศาสดาผู้รู้ธรรมทั้งปวง
ผู้อันใครๆ ชนะไม่ได้ ผู้นำหมู่แกล้วกล้าเป็นอันมาก
ประเสริฐสุดกว่าสารถีทั้งหลาย
หรือว่าความสงสัยในมัคคปฏิปทา ย่อมไม่มีแก่เรา. :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2013, 12:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ม.ค. 2010, 13:41
โพสต์: 57

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ป้ายบอกทาง
ที่กระผมนำเรื่องนี้มาตั้งหัวข้อ กระทู้นั้น เพียงเพื่อต้องการที่จะรวบรวมประสบการณ์ (เปรียบเหมือนการปักป้ายบอกทางที่เป็นภาษาไทยพิ่มเติม)ที่แต่ละท่านได้ประสบมา นำมาบอกเล่า ให้เหล่ากัลยาณมิตรอีกหลายต่อหลายท่าน ที่ยังไม่ได้ลงมือประพฤติ ปฏิบัติ จะได้เริ่มปฏิบัติ เมื่อท่านที่ปฏิบัติแล้วได้มีโอกาสเข้าไปประสบในเหตุการณ์คล้ายๆกัน หรือเหตุการณ์ที่เหมือนกัน จะได้ไม่เกิดความฟุ้งซ่าน ไม่เกิดความลังเลสงสัย เพราะเขาจะได้ระรึกได้ว่า โอหนอเราทำมาก็เพิ่งได้ประสบ แต่เหล่าท่านกัลยาณมิตรใน ธรรมจักร อีกมาก ได้รู้ได้เห็น ได้ประสบมาก่อน แล้วป่านนี้ท่านเหล่านั้นคงไปได้ไกลแล้ว เราอย่าได้ทำตัวเป็นเหมือนทัพพีที่ไม่รู้รสแกงเลย อย่ากระนั้นเลย เราต้องพากเพียรให้มาก เราทำแค่นี้ยังได้รู้ได้เห็นปานนี้ หากเพียรมากกว่านี้เล่า …?
:b8: :b8: ขอยกอุปมานะครับผม เช่นว่ามีกัลยาณมิตรท่านหนึ่งมีที่พำนักที่ กทม. ได้ขับรถไปเที่ยวพัทยาเนื่องด้วยไปบ่อยครั้ง จึงชำนาญเส้นทางเป็นอย่างดี จึงไปถึงได้โดยสะดวก และปลอดภัยทุกครั้ง ไม่จำเป็นต้องสอบถามเส้นทางใครเลย
เที่ยวพัทยาเสร็จก็นึกอยากจะไปเที่ยวที่ชายหาดจอมเทียนดูบ้าง แต่ยังไม่เคยไปมาก่อนเลย จึงจำเป็นต้องศึกษาเส้นทาง ที่ง่ายที่สุดคือ การถามทาง จึงได้สอบถามเส้นทางกับกับคนที่ได้พบคนที่หนึ่งว่า
ผมจะไปที่หาดจอมเทียนไปทางไหนครับ คนที่ถูกถามตอบมาว่า ไปทางนู้นครับ พร้อมทั้งชี้มือไปทางด้านทิศตะวันออก
ผู้ที่ถามทางจึงได้คิดว่า เอ อย่างนี้เราไปหาดจอมเทียนไม่ได้แน่ เขาจึงได้ไปสอบถามเส้นทางกับอีกคนหนึ่ง
คนที่ถูกถามจึงตอบบอกเส้นไปว่า ตอนนี้ท่านอยู่ที่ตรงนี้นะ จงขับรถไปตามทางเส้นนี้นะเขาเรียกถนนสายชายหาดพัทยา ตรงไปเรื่อยๆจนถึงปากทางเข้าวอล์คกิ้งสตรีท แล้วให้เลี้ยวซ้ายแล้วจะเจอสี่แยกไฟแดงเรียกว่าแยกวัดชัย แล้วให้เลี้ยวขวาเขาเรียกถนนพระตำหนัก รถค่อนข้างเยอะถนนเส้นนี้ขับรถให้ระมัดระวังด้วย เมื่อไปเจอทางเป็นสามแยกที่นั่นเขาเรียกแยกจัมโบ้ให้ขับรถไปเส้นทางซ้าย แล้วจะเจอทางยกระดับ เราก็ขับตรงลอดทางนั้นไปตามเส้นที่อยู่ตรงหน้า จนเจอแยกไฟแดง ที่แยกนั้นเขาเรียกว่าแยกหลังเขา จากนั้นก็ให้ขับตรงไปอีกไม่ไกลกันนัก จนเจอแยกไฟแดงอีกเขาเรียกว่าแยกแกรนด์ตัดถนนเทพประสิทธิ์ แล้วให้ท่านขับตรงไปอีกจนเจอวงเวียนเล็กๆที่มีรูปปั้นคล้ายๆหนุมาน นั่นเขาเรียกว่า แยกมัจฉานุแล้วให้ท่านระมัดระวังเพราะตรงนั้นรถชนกันบ่อย ถนนเส้นที่ตรงเขาเรียกถนนจอมเทียนสายสอง เมื่อเห็นว่าปลอดภัยให้ท่านเลี้ยวขวาไปได้เลย ขับตรงไปประมาณ 300 เมตรเป็นทางโค้งนั่นเขาเรียกว่าโค้งดงตาล แล้วท่านเลี้ยวซ้ายนั่นแหละครับถนนชายหาดจอมเทียนจะมองเห็นชายหาด ชายหาดสวยมากๆ น้ำทะเลก็น่าลงเล่น เห็นนักท่องเที่ยว ที่จอดรถก็มีเยอะ ร้านขายอาหารทะเลก็มีแยะ …
เมื่อได้รู้เส้นทางแล้วจึงได้เริ่มขับรถไปตามเส้นทางที่รู้มา เมื่อได้รู้ได้เห็นความจริง ตามเส้นทางที่ได้รับฟังมา จนกระทั่งเขาถึงหาดจอมเทียนโดยสวัสดิภาพ เขาจะระรึกถึงคุณของผู้บอกเส้นทางอันแจ่มแจ้งนั้นอย่างมากล้น
หากเขาเอาประสบการณ์นั้นมาใช้ในอรรถ ในธรรม เขาอาจจะกล่าวว่า
โอหนอ :b8: :b8: :b8: พระพุทธองธ์ประดุจ ผู้หงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด ตามประทีปตามทางที่มืด เป็นผู้บอกทางแก่ผู้หลงทาง .อย่างนี้นี่เอง :b8: :b8: :b8: :b8:
อุปมานี้ฉันใด อุปมัย ก็ฉันนั้นแล .


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2013, 21:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อคืน เอกอนได้ไป เมืองแก้ว
นึกว่าจะไม่ได้กลับมาซะแล้ว เพราะตอนที่อยู่ที่นั่นรู้สึกว่าจะต้องอยู่ที่นั่น และจะไม่ได้กลับมา
ร่างกายบนโลกจะถูกทิ้งไว้ให้ตาย

อาคารสิ่งก่อสร้าง ปราสาท รูปปั้น ล้วนเป็นเซรามิกสีเงินยวง
งานฉาบงานปั้น เป็นเกล็ดทรายขาวใสเหมือนเพ็ชรละเอียดสุกสว่างแต่นวลตา
กำแพงแก้วที่ล้อมรอบเมืองเป็นพระพุทธรูปปางปรินิพพานเรียงต่อกัน

เมืองนั้นเป็นเมืองกำลังก่อสร้างอยู่ ของใครบางคน ที่เอกอนรู้จัก
จากการที่ได้ไปเห็น พอจะได้รับรู้เรื่องความเป็นไปของเมืองแก้ว
ว่าปรากฏได้ย่างไร

วันนี้ก็เลยได้ลองไปอ่านที่หลวงพ่อฤษีลิงดำ ที่กล่าวถึงเมืองแก้ว
คือเอกอนไม่เคยอ่านหนังสือของท่าน เกี่ยวกับเรื่องเมืองแก้ว
วันนี้ก็เลยได้อ่าน ที่เข้าใจตามที่เห็นมา มันตรงกับที่ท่านเล่า

คือเมืองแก้วในลักษณะนี้จะปรากฎได้ กรณีกลุ่มปราถนาพุทธภูมิ
เป็นการสร้างเมืองของเหล่าอริยะบุคคล โสดาบันขึ้นไปปุ๊บ
จะปรากฎเมืองแก้ว รองรับ แม้ตัวยังอยู่บนโลกก็ตาม
เมื่อละจากโลกก็ ก็จะไปอยู่ที่เมืองแก้ว ไม่ไปอบาย
...

ยังไม่รู้ ยังอยู่ในขั้นต้องศึกษาพิจารณาต่อไป ... :b32: :b32:

คือ มันจะจริงหรือไม่ ยังไม่รู้ เอกอนก็เพิ่งได้เห็นนี่ล่ะ...

รู้แต่ว่า ... มันเป็นการเห็นที่น่าประทับใจ

แม้จะเป็นฝันไป ก็เป็นฝันดี


:b30: :b30: :b30:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2013, 21:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


อ๊บซ์ อ๊บซ์ ศิษย์หลวงพ่อฤษี ... :b32:

มาเล่าเรื่องเมืองแก้วหน่อยจิ่...เอกอนขี้เกียจถามกูเกิ้ล... :b4:



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2013, 22:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


เชื่อมั้ยค่ะ คุนน้องรู้สึกตื่นเต้นจัง ยิ่งชีวิตหลังความตาย มันเป็นอะไรที่น่าลุ้นดีนะค่ะ มันทำให้คุนน้องรู้สึกเหมือนกับว่าทำไมเราโชคดีที่ได้ลงมาสร้่งบุญสร้างกุศลตอนที่เป็นมนุษย์ซึ่งคุนน้องสามารถสร้างบารมีได้ตอนที่เป็นมนุษย์นี่แหละ :b1: แถมยังได้มีโอกาสได้มาปฏิบัติธรรมทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจเล้ยให้ตายเหอะ :b32: แต่เหตุปัจจัยมันประจวบเหมาะ เหมือนมีใครลิขิตให้มันเป็นไปเอง :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.พ. 2013, 08:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ม.ค. 2010, 13:41
โพสต์: 57

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
เชื่อมั้ยค่ะ คุนน้องรู้สึกตื่นเต้นจัง ยิ่งชีวิตหลังความตาย มันเป็นอะไรที่น่าลุ้นดีนะค่ะ มันทำให้คุนน้องรู้สึกเหมือนกับว่าทำไมเราโชคดีที่ได้ลงมาสร้่งบุญสร้างกุศลตอนที่เป็นมนุษย์ซึ่งคุนน้องสามารถสร้างบารมีได้ตอนที่เป็นมนุษย์นี่แหละ :b1: แถมยังได้มีโอกาสได้มาปฏิบัติธรรมทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจเล้ยให้ตายเหอะ :b32: แต่เหตุปัจจัยมันประจวบเหมาะ เหมือนมีใครลิขิตให้มันเป็นไปเอง :b6:


:b8: :b8: :b8: คาถาสุภาษิตของพระตาลปุฏเถระ
เมื่อไรหนอ เราจึงจักได้อยู่แต่ผู้เดียว ไม่มีตัณหาเป็นเพื่อนสอง ณ
ภูเขาและซอกเขา เมื่อไรหนอ เราจึงจักพิจารณาเห็นแจ้งภพทั้งปวง
โดยความเป็นของไม่เที่ยง ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ
เมื่อไรหนอ เราจึงจักได้เป็นนักปราชญ์ นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์อัน
เศร้าหมอง ไม่มีความยึดมั่น ไม่มีความหวัง เป็นผู้ฆ่าราคะ โทสะ
และโมหะได้แล้ว เที่ยวไปตามป่าใหญ่อย่างสบาย ความตรึกเช่นนี้
ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ เมื่อไรหนอ เราจึงจักได้เห็นแจ้งซึ่งร่างกายนี้
อันเป็นของไม่เที่ยง เป็นรังแห่งโรค คือความตาย ถูกความตายและความ
เสื่อมโทรมบีบคั้นแล้ว เป็นผู้ปราศจากภัย อาศัยอยู่ในป่าแต่ผู้เดียว
ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ เมื่อไรหนอ จักเราจึงได้ถือ
เอาซึ่งดาบอันคมกริบ คืออริยมรรคอันสำเร็จด้วยปัญญา แล้วตัดเสีย
ซึ่งลดาชาติ คือ ตัณหาอันก่อให้เกิดภัย นำมาซึ่งทุกข์ เป็นเหตุให้คิด
วนเวียนไปในอารมณ์ภายนอก ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ
เมื่อไรหนอ เราจึงจักได้ถือเอาซึ่งศาตราอันสำเร็จด้วยปัญญา มีเดชานุภาพ
มากของฤาษี คือ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอริยสาวก แล้ว
หักราญเสียซึ่งกิเลสมารพร้อมทั้งเสนาโดยเร็วพลัน เหนือเถรอาสน์มี
ลีลาศดังราชสีห์ ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ เมื่อไรหนอ
นักปราชญ์มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ผู้มีความหนักแน่นในธรรม ผู้คงที่มีปกติ
เห็นตามความเป็นจริง มีอินทรีย์อันชนะแล้ว จักเห็นว่าเราบำเพ็ญเพียร
ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ เมื่อไรหนอ ความเกียจคร้าน
ความหิวกระหายลม แดด เหลือบ ยุง และสัตว์เสือกคลานทั้งหลาย
จึงจักไม่เบียดเบียนเรา ตามซอกเขา ข้อนั้นเป็นความประสงค์ของเรา
ความตรึกเช่นนี้ของเราสำเร็จเมื่อไรหนอ เมื่อไรหนอ เราจึงจักเป็นผู้มี
จิตมั่นคง มีสติ ได้บรรลุอริยสัจ ๔ ที่เห็นได้แสนยาก อันพระผู้มี
พระภาคผู้ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ทรงทราบแล้วด้วยปัญญา ความตรึก
เช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ เมื่อไรหนอ เราจึงจักประกอบด้วย
ความสงบระงับ จากเครื่องเร่าร้อนใจในเพราะรูป เสียง กลิ่น รส
โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ ที่เรายังไม่รู้เท่าถึง พิจารณาเห็นด้วยปัญญา
ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ เมื่อไรหนอ เราเมื่อถูก
ว่ากล่าวติเตียนด้วยถ้อยคำชั่วหยาบแล้ว จักไม่เดือดร้อนใจเพราะถ้อยคำ
ชั่วหยาบนั้น อนึ่ง ถึงเขาจะสรรเสริญก็จักไม่ยินดี เพราะถ้อยคำ
เช่นนั้น ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ เมื่อไรหนอ
เราจึงจักพิจารณาเห็นสภาพภายใน กล่าวคือ เบญจขันธ์และรูปธรรม
เหล่าอื่น ที่ยังไม่รู้ทั่วถึง และสภาพภายนอก คือ ต้นไม้ หญ้า และ
และลดาชาติ ว่าเป็นสภาพเสมอกัน ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จ
เมื่อไรหนอ เมื่อไรหนอ ฝนที่ตกในเวลาปัจจุสมัย จักตกรด
เราผู้นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ผู้ปฏิบัติอยู่ในมัคคปฏิปทาที่นักปราชญ์มี
พระพุทธเจ้าเป็นต้น ดำเนินไปแล้วด้วยน้ำใหม่อยู่ในป่า ความตรึกเช่น
นี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ เมื่อไรหนอ เราจึงจักได้ฟังเสียงร่ำ
ร้องแห่งนกยูง และทิชาชาติในป่าและซอกเขา ลุกขึ้นจากการนอน
แล้ว พิจารณาธรรมโดยความไม่เที่ยงเพื่อบรรลุอมตธรรม ความตรึก
เช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ เมื่อไรหนอ เราจึงจักข้ามพ้นแม่
น้ำคงคา ยมุนา สรัสสดี ที่ไหลไปกระทั่งถึงบาดาล เป็นปาก
น้ำใหญ่น่ากลัวนัก ไปได้ด้วยฤทธิ์โดยไม่ติดขัด ความตรึกเช่นนี้
ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ เมื่อไรหนอ เราจึงจักงดเว้นความเห็น
ว่านิมิตงามทั้งปวงเสียโดยเด็ดขาด ขวนขวายอยู่ในฌาน แล้วทำ
ลายความพอใจในกามคุณทั้งหลายเสียได้ เหมือนช้างทำลายเสาตลุง
และโซ่เหล็กแล้ว เที่ยวไปในสงคราม ฉะนั้น ความตรึกเช่นนี้ของ
เราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ เมื่อไรหนอ เราจึงจักละความพอใจในกาม
คุณ ได้บรรลุคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
แล้วเกิดความยินดีเปรียบเหมือนลูกหนี้ผู้ขัดสน เมื่อถูกเจ้าหนี้บีบคั้น
แล้ว แสวงหาทรัพย์มาได้และชำระหนี้เสร็จแล้ว พึงดีใจ ฉะนั้น
ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ ดูกรจิต ท่านได้อ้อน
วอนเราเป็นเวลาหลายปีแล้ว ว่าท่านไม่สมควรอยู่ครองเรือนเลย บัด
นี้เราก็ได้บวชสมประสงค์แล้ว เหตุไฉนท่านจึงละทิ้งสมถะวิปัสสนา
มัวแต่เกียจคร้านอยู่เล่า ดูกรจิต ท่านได้อ้อนวอนเรามาแล้วมิใช่หรือว่า
ฝูงนกยูงมีขนปีกอันแพรวพราว และเสียงกึกก้องแห่งธารน้ำตกตาม
ซอกเขา จักยังท่านผู้เพ่งฌานอยู่ในป่าให้เพลิดเพลิน เรายอมสละญาติ
และมิตรที่รักใคร่ในตระกูล สลัดความยินดีในการเล่นและกามคุณในโลก
ได้หมดแล้ว ได้เข้าถึงป่าและบรรพชาเพศนี้แล้ว ดูกรจิต ส่วน
ท่านไม่ยินดีต่อเราผู้ดำเนินตามเสียเลย เมื่อเราพิจารณาเห็นว่าจิตนี้เป็น
ของเรา ไม่ใช่ของผู้อื่น จะประโยชน์อะไรด้วยการร้องไห้ร่ำพิไร
ในเวลาทำสงครามกับกิเลสมาร เพราะจิตทั้งหมดนี้เป็นธรรมชาติหวั่น
ไหว ดังนี้ จึงได้ออกบวช แสวงหาทางอันไม่ตาย พระสัมมาสัม-
พุทธเจ้าผู้ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นจอมท้าวสักกเทวราช เป็น
จอมสารถีฝึกนระ ตรัสสุภาษิตไว้ว่า จิตนี้กวัดแกว่งเช่นวานร ห้าม
ได้แสนยาก เพราะยังไม่ปราศจากความกำหนัด ปุถุชนทั้งหลายผู้ไม่รู้
เท่าทัน พัวพันอยู่ในกามทั้งหลายอันล้วนแต่เป็นของงดงาม มีรส
อร่อย น่ารื่นรมย์ใจ เขาเหล่านั้นเป็นผู้แสวงหาภพใหม่ กระทำ
แต่สิ่งไร้ประโยชน์ ชื่อว่าประสงค์ทุกข์ ย่อมถูกจิตนำไปสู่นรกโดย
แท้ ดูกรจิต แต่ก่อนท่านเคยแนะนำเราไว้ว่า ท่านจงเป็นผู้แวด
ล้อมด้วยเสียงร่ำร้องแห่งนกยูง และนกกะเรียน อีกทั้งเสือเหลือง
และเสือโคร่งอยู่ในป่า ท่านจงสละความห่วงใยในร่างกาย อย่ามีความ
อาลัยเลย ดูกรจิต แต่ก่อนท่านเคยแนะนำเราว่า จงอุตส่าห์เจริญ
ฌาน อินทรีย์ พละ โพชฌงค์ และสมาธิภาวนา จงบรรลุ
วิชชา ๒ ในพระพุทธศาสนา ดูกรจิต แต่ก่อนท่านเคยแนะนำเรา
ว่า จงเจริญอัฏฐังคิกมรรคเพื่อบรรลุนิพพาน อันเป็นทางนำสัตว์ออก
จากโลก ให้ถึงความสิ้นทุกข์ทั้งปวง เป็นเครื่องชำระล้างกิเลส
ทั้งปวง ดูกรจิต แต่ก่อนท่านเคยแนะนำเราว่า จงพิจารณาเห็นเบญจ-
ขันธ์โดยอุบายอันแยบคายว่า เป็นทุกข์ จงละเหตุอันก่อให้เกิดทุกข์ จง
ทำที่สุดแห่งทุกข์ในอัตภาพนี้เถิด ดูกรจิต แต่ก่อนท่านเคยแนะนำเรา
ว่า จงพิจารณาเบญจขันธ์โดยอุบายอันแยบคายว่า เป็นของไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นของว่างเปล่า หาตัวตนมิได้ เป็นของวิบัติและว่า
เป็นผู้ฆ่า จงดับมโนวิจารณ์เสียโดยแยบคายเถิด ดูกรจิต แต่ก่อน
ท่านเคยแนะนำเราว่า จงปลงผมและหนวดแล้ว ถือเอาเพศสมณะมี
รูปลักษณะอันแปลก ต้องถูกเขาสาบแช่ง ถือเอาบาตรเที่ยวภิกษา
ตามตระกูล จงประกอบตนอยู่ในคำสอนของพระบรมศาสดาผู้แสวงหา
คุณอันยิ่งใหญ่เถิด ดูกรจิต แต่ก่อนท่านเคยแนะนำเราว่า จงสำรวม
ระวังเมื่อเวลาเที่ยวไปบิณฑบาตตามระหว่างตรอก อย่ามีใจเกี่ยวข้อง
ในตระกูลและกามารมณ์ทั้งหลาย เหมือนพระจันทร์ในวันเพ็ญเว้นจาก
โทษฉะนั้น ดูกรจิต แต่ก่อนท่านเคยแนะนำเราว่า จงยินดีใน
ธุดงคคุณทั้ง ๕ ถืออยู่ในป่าเป็นวัตร ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร
ถืออยู่ป่าช้าเป็นวัตร ถือนุ่งห่มผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ถือการไม่นอน
เป็นวัตร ตลอดกาลทุกเมื่อเถิด บุคคลผู้ต้องการผลไม้ ปลูกต้นไม้
ไว้แล้ว เก็บผลไม่ได้ ก็ประสงค์จะโค่นต้นไม้นั้นเสีย ฉันใด ดูกร
จิต ท่านแนะนำเราผู้ใดให้หวั่นไหวในความไม่เที่ยง ท่านจงทำเราผู้นี้
ให้เหมือนกับบุคคลผู้ปลูกต้นไม้ไว้ฉะนั้นเถิด ดูกรจิตผู้หารูปมิได้ ไป
ได้ในที่ไกล เที่ยวไปแต่ผู้เดียว บัดนี้เราจักไม่ทำตามคำของท่านแล้ว
เพราะว่ากามทั้งหลายล้วนเป็นทุกข์ มีผลเผ็ดร้อน เป็นภัยใหญ่หลวง
เราจักมีใจมุ่งนิพพานเท่านั้น เราไม่ได้ออกบวชเพราะหมดบุญ เพราะ
ไม่มีความละอาย เพราะเหตุแห่งจิต เพราะเหตุแห่งการทำผิดต่อชาติ
บ้านเมือง หรือเพราะเหตุแห่งอาชีพ ดูกรจิต ท่านได้รับรองกับเรา
ไว้ว่า จักอยู่ในอำนาจของเรามิใช่หรือ ดูกรจิต ท่านได้แนะนำเราไว้
ในครั้งนั้นว่า ความเป็นผู้มักน้อย การละความลบหลู่คุณท่าน และ
ความสงบระงับทุกข์ สัตบุรุษทั้งหลายสรรเสริญ แต่บัดนี้ ท่านกลับเป็น
ผู้มีความมักมากขึ้น เราไม่อาจกลับไปสู่ตัณหา ราคะ ความรัก ความ
ชัง รูปอันสวยงาม สุขเวทนา และเบญจกามคุณ อันเป็นของ
ชอบใจที่เราคายเสียแล้วอีก ดูกรจิต เราได้ปฏิบัติตามถ้อยคำของท่าน
ในภพทั้งปวงแล้ว เราไม่ได้มีความขุ่นเคืองต่อท่านหลายชาติมาแล้ว
เพราะความที่ท่านมีความกตัญญู จึงปรากฏมีอัตภาพนี้ขึ้นอีก ท่านทำ
ให้เราต้องท่องเที่ยวไปในกองทุกข์มาช้านานแล้ว ดูกรจิต ท่านทำเรา
ให้เป็นพราหมณ์ก็มี เป็นพระราชามหากษัตริย์ก็มี เพราะอำนาจแห่งท่าน
บางคราวเราเป็นแพทย์ เป็นศูทร เป็นเทพเจ้าก็มี เพราะอำนาจแห่งท่าน
เพราะเหตุแห่งท่าน มีท่านเป็นมูลเหตุ เราเป็นอสูร บางคราวเป็น
สัตว์นรก บางคราวเป็นสัตว์ดิรัจฉาน บางคราวเป็นเปรต ท่านได้ประทุษ
ร้ายเรามาบ่อยๆ มิใช่หรือ บัดนี้ เราจักไม่ให้ท่านทำเหมือนกาลก่อนอีก
ละ แม้เพียงครู่เดียว ท่านได้ล่อลวงเราเหมือนกับคนคนบ้าได้ทำความผิด
ให้แก่เรามาแล้วมิใช่หรือ จิตนี้แต่ก่อนเคยเที่ยวจาริกไปในอารมณ์ต่างๆ
ตามความประสงค์ ตามความใคร่ ตามความสบาย วันนี้ เราจักข่มจิตนั้นไว้
โดยอุบายอันชอบดังนายหัตถาจารย์ข่มช้างตัวตกมันไว้ด้วยขอ ฉะนั้น พระ
ศาสดาของเราได้ทรงตั้งโลกนี้ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน
ไม่เป็นแก่นสาร ดูกรจิต ท่านจงพาเราบ่ายหน้าไปในศาสนาของพระ
ชินสีห์ จงพาเราข้ามจากห้วงใหญ่ที่ข้ามได้แสนยาก ดูกรจิต เรือน
คืออัตภาพของท่านนี้ ไม่เป็นเหมือนกาลก่อนเสียแล้ว เพราะเราจัก
ไม่เป็นไปตามอำนาจของท่านอีกต่อไป เราได้บวชในศาสนาของพระ
พุทธเจ้าผู้แสวงหาประโยชน์อันยิ่งใหญ่แล้ว สมณะทั้งหลายผู้ทรงความ
พินาศไม่เป็นเช่นเรา ภูเขา มหาสมุทร แม่น้ำคงคาเป็นต้น แผ่นดิน
ทิศใหญ่สี่ ทิศน้อยสี่ ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และภพสาม ล้วน
เป็นสภาพไม่เที่ยง มีแต่ถูกเบียดเบียนอยู่เสมอ ดูกรจิต ท่านจะไป ณ
ที่ไหนเล่าจึงจะมีความสุขรื่นรมย์ ดูกรจิต เบื้องหน้าแต่จิตของเราตั้งมั่น
แล้ว ท่านจักทำอะไรแก่เราได้ เราไม่เป็นไปตามอำนาจของท่านแล้ว
บุคคลไม่ควรถูกต้องไถ้สองปาก คือร่างกายอันเต็มไปด้วยของไม่สะอาด
มีช่อง ๙ แห่ง เป็นที่ไหลออก น่าติเตียน ท่านผู้ไปสู่เรือนคือถ้ำที่เงื้อม
ภูเขาอันสวยงามตามธรรมชาติ เป็นที่อาศัยอยู่แห่งสัตว์ป่า คือ หมูและ
กวาง และในป่าที่ฝนตกใหม่ๆ จักได้ความรื่นรมย์ใจ ณ ที่นั้น ฝูงนกยูง
มีขนที่คอเขียว มีหงอนและปีกงาม ลำแพนหางมีแวววิจิตรนัก ส่ง
สำเนียงก้องกังวาลไพเราะจับใจ จักยังท่านผู้บำเพ็ญฌานอยู่ในป่าให้
ร่าเริงได้ เมื่อฝนตนหญ้างอกยาวประมาณ ๔ นิ้ว ท้องฟ้างามแจ่มใส
ไม่มีเมฆปกคลุม เมื่อท่านทำตนให้เสมอด้วยไม้แล้ว นอนอยู่เหนือหญ้า
ระหว่างภูเขานั้น จะรู้สึกอ่อนนุ่มดังสำลี เราจักกระทำให้เหมือนผู้ใหญ่
จะยินดีด้วยปัจจัยตามมีตามได้ บุคคลผู้ไม่เกียจคร้าน ย่อมกระทำจิต
ของตนให้ควรแก่การงาน ฉันใด เราจักกระทำจิต ฉันนั้น เหมือน
บุคคลเลื่อนถุงใส่แมวไว้ ฉะนั้นเราจักทำให้เหมือนผู้ใหญ่ จักยินดีด้วย
ปัจจัยตามมีตามได้ จักนำท่านไปสู่อำนาจของเราด้วยความเพียรเหมือน
นายหัตถาจารย์ผู้ฉลาด นำช้างที่ซับมันไปสู่อำนาจของตนด้วยขอ ฉะนั้น
เราย่อมสามารถที่จะดำเนินตามหนทางอันเกษมสุข ซึ่งเป็นทางอันบุคคล
ผู้ตามรักษาจิต ได้ดำเนินมาแล้วทุกสมัย ด้วยหทัยอันเที่ยงตรงที่ท่านฝึกฝน
ไว้ดีแล้ว มั่นคงแล้ว เปรียบเหมือนนายหัตถาจารย์ สามารถจะดำเนินไป
ตามภูมิสถานที่ปลอดภัย ด้วยม้าที่ฝึกดีแล้ว ฉะนั้น เราจักผูกจิตไว้ใน
อารมณ์ คือ กรรมฐานด้วยกำลังภาวนา เหมือนนายหัตถาจรรย์ มัดช้างไว้
ที่เสาตลุงด้วยเชือกอันมั่นคง ฉะนั้น จิตที่เราคุ้มครองดีแล้ว อบรมดีแล้ว
ด้วยสติ จักเป็นจิตอันตัณหาเป็นต้น ไม่อาศัยในภพทั้งปวง ท่านจงตัด
ทางดำเนินที่ผิดเสียด้วยปัญญา ข่มใจให้ดำเนินไปในทางที่ถูกด้วย
ความเพียร ได้เห็นแจ้งทั้งความเกิดขึ้นและความเสื่อมไป แล้วจัก
ได้เป็นทายาทของพระพุทธเจ้า ผู้มักแสดงธรรมอันประเสริฐ ดูกรจิต
ท่านได้นำเอาให้เป็นไปตามอำนาจของความเข้าใจผิด ๔ ประการ เหมือน
บุคคลจูงเด็กชาวบ้านวิ่งวนไป ฉะนั้น ท่านควรคบหาพระสัมมาสัม-
พุทธเจ้า ผู้ตัดเครื่องเกาะเกี่ยวและเครื่องผูกเสียได้ เพียบพร้อมด้วย
พระมหากรุณา เป็นจอมปราชญ์มิใช่หรือ มฤคชาติเข้าไปยังภูเขาอันน่า
รื่นรมย์ ประกอบด้วยน้ำและดอกไม้ เที่ยวไปในป่าอันงดงามตามลำพัง
ใจ ฉันใด ดูกรจิต ท่านก็จักรื่นรมย์อยู่ในภูเขาที่ไม่เกลื่อนกล่น ด้วย
ผู้คนตามลำพังใจ ฉันนั้น เมื่อท่านไม่ยินดีอยู่ที่ภูเขานั้น ท่านก็จักต้อง
เสื่อมโดยไม่ต้องสงสัย ดูกรจิต หญิงชายเหล่าใดประพฤติตามความ
พอใจ ตามอำนาจของท่านแล้วเสวยความสุขใดอันอาศัยเบญจกามคุณ
หญิงชายเหล่านั้นชื่อว่าเป็นผู้โง่เขลา ตกอยู่ในอำนาจของมาร เป็นผู้
เพลิดเพลินอยู่ในภพน้อย ภพใหญ่ และชื่อว่าเป็นสาวกของท่าน
. :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2013, 08:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ด.ช. ฉันทะ เขียน:
คุนน้องก็มีประสบการณ์แปลกๆค่ะ แต่เวลานั่งกรรมฐานหรือจะเรียกบำเพ็ญภาวนาทางจิตก็ได้ คุณน้องไม่เคยเห็นหรือได้ยินเสียงอะไร ยกเว้นเสียงวิ้งๆ คุนน้องระลึกถึงแต่พระพุทธองค์ แต่มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นคือ คุนน้องตั้งใจจะไปเจอลูก สมมุตติตั้งใจวันนี้ว่าพรุ้งนี้จะไปเจอลูกและจะไปดูหน้าตาพี่เลี้ยงเด็กคนนั้น แต่พอคุนน้องสวดมนทำสมาธิหลับฝัน คุนน้องก็ฝันว่าไปหาลูกและเห็นพี่เลี้ยงซึ่งอายุแก่มากแล้วน่าจะ50+และคุนน้องจำหน้าตาเค้าได้แม่นยำมาก แต่คุนน้องไม่เคยเห็นหน้าตาเค้ามาก่อนพอคุนน้องไปเจอแค่นั้นแหละ เค้าหน้าตาเหมือนที่คุนน้องฝันเห็น ผมหยักโซก แก่ๆหน้าตา เหมือนในฝันเดะ แต่คุนน้องก็เฉยๆเพราะพูดหรือบอกใครไปเค้าก็หาว่าเราโม้ คุนน้องไม่อยากมีอัตตากับคนพวกนี้เด่วได้ท้าฟ้าท้าดินเป็นพยานในสิ่งที่คุนน้องพูดจริงอีก เด่วงานจะเข้ากับคนพวกนั้น
:b8: :b8: :b8: เสียงวิ๊งๆทีได้ยินนั้น เกิดเมื่อยามที่จิตเริ่มสงบได้ระดับหนึ่ง เป็นเสียงของกายของท่านเองครับ เป็นเสียงเหมือนกับเราเข้าไปในป่าลึก หรือเวลามืดสงัดแล้วเราจะได้ยินเสียงเหมือนจิ้งหรีด หรือพวกหริ่งเรไร แต่ที่เราได้ยินนั้นจะเป็นเสียงที่ละเอียดกว่ามาก ไม่มีทิศทางของเสียง นั่นคือเสียงในภายในครับผม ขอท่านมีความเพียรขึ้นไปอีก จะได้ยินเสียงที่ไกลออกไปอีก ขออนุญาตไม่กล่าว เกรงจะเกิดอุปาทาน ดีแล้วครับ :b8: สาธุ สาธุ สาธุ :b8: :b8: :b8:


ทำไมผมมีความเห็นว่า ไม่ใช่เสียงครับ แต่เป็นกาย คือ มีอารมณ์อยู่ที่กายวิญญาณนั่นเอง ไม่ใช่โสตวิญญาณ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2013, 10:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 เม.ย. 2010, 10:41
โพสต์: 114

แนวปฏิบัติ: ลัทธินิยมความจริง
สิ่งที่ชื่นชอบ: เฒ่าทะเล
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เปรตปากเท่ารูเข็ม รูเข็มเล็กมากๆ
เสียงที่รอดจากรูเข็มจะดังได้มากขนาดไหนกัน?

เสียงอะไรที่ได้ยิน?
ต้นเสียงมาจากไหน?
จากภายนอกหรือภายในจิต(จิตหลอน)

เราจะทำอย่างไรจึงจะไม่เกิด"กลลวงของสมอง"?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.พ. 2013, 09:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ม.ค. 2010, 13:41
โพสต์: 57

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
ด.ช. ฉันทะ เขียน:
คุนน้องก็มีประสบการณ์แปลกๆค่ะ แต่เวลานั่งกรรมฐานหรือจะเรียกบำเพ็ญภาวนาทางจิตก็ได้ คุณน้องไม่เคยเห็นหรือได้ยินเสียงอะไร ยกเว้นเสียงวิ้งๆ คุนน้องระลึกถึงแต่พระพุทธองค์ แต่มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นคือ คุนน้องตั้งใจจะไปเจอลูก สมมุตติตั้งใจวันนี้ว่าพรุ้งนี้จะไปเจอลูกและจะไปดูหน้าตาพี่เลี้ยงเด็กคนนั้น แต่พอคุนน้องสวดมนทำสมาธิหลับฝัน คุนน้องก็ฝันว่าไปหาลูกและเห็นพี่เลี้ยงซึ่งอายุแก่มากแล้วน่าจะ50+และคุนน้องจำหน้าตาเค้าได้แม่นยำมาก แต่คุนน้องไม่เคยเห็นหน้าตาเค้ามาก่อนพอคุนน้องไปเจอแค่นั้นแหละ เค้าหน้าตาเหมือนที่คุนน้องฝันเห็น ผมหยักโซก แก่ๆหน้าตา เหมือนในฝันเดะ แต่คุนน้องก็เฉยๆเพราะพูดหรือบอกใครไปเค้าก็หาว่าเราโม้ คุนน้องไม่อยากมีอัตตากับคนพวกนี้เด่วได้ท้าฟ้าท้าดินเป็นพยานในสิ่งที่คุนน้องพูดจริงอีก เด่วงานจะเข้ากับคนพวกนั้น
:b8: :b8: :b8: เสียงวิ๊งๆทีได้ยินนั้น เกิดเมื่อยามที่จิตเริ่มสงบได้ระดับหนึ่ง เป็นเสียงของกายของท่านเองครับ เป็นเสียงเหมือนกับเราเข้าไปในป่าลึก หรือเวลามืดสงัดแล้วเราจะได้ยินเสียงเหมือนจิ้งหรีด หรือพวกหริ่งเรไร แต่ที่เราได้ยินนั้นจะเป็นเสียงที่ละเอียดกว่ามาก ไม่มีทิศทางของเสียง นั่นคือเสียงในภายในครับผม ขอท่านมีความเพียรขึ้นไปอีก จะได้ยินเสียงที่ไกลออกไปอีก ขออนุญาตไม่กล่าว เกรงจะเกิดอุปาทาน ดีแล้วครับ :b8: สาธุ สาธุ สาธุ :b8: :b8: :b8:


ทำไมผมมีความเห็นว่า ไม่ใช่เสียงครับ แต่เป็นกาย คือ มีอารมณ์อยู่ที่กายวิญญาณนั่นเอง ไม่ใช่โสตวิญญาณ


อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา
:b8: ท่านที่ได้เจริญกัมมัฏฐาน ในระยะแรกที่จิตกำลังสงบ หรือเมื่อจิตสงบสิ่งที่เป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการเจิญกัมมัฏฐาน คือเสียง เมื่อจิตสงบนั้นเสียงที่เกิดจากภายนอกจะเป็นเสียงที่ดังมาก เช่น เสียงใบไม่ร่วงลงกระทบหลังคา เสียงคนทำของหล่น เสียงคนพูดคุยกัน
ท่านที่เคยไปเจริญสมาธิในที่ๆมีคนมากๆจะรู้ดีครับ บางท่าน หรือหลายท่านถึงกับไม่มีสมาธิเลย
หากอยากเจริญก้าวหน้า ได้ยินจงสักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นจงสักแต่ว่าได้กลิ่น
ได้เห็นจงสักแต่ว่าได้เห็น เกิดอะไรขึ้นก็จงสักแต่ว่า
:b8: :b8: :b8: ชัมพุคามิกปุตตเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับศีล

ท่านเป็นผู้ขวนขวายในเรื่องผ้าหรือไม่
ยินดีในเครื่องประดับหรือไม่
ท่านทำกลิ่นอันสำเร็จด้วยศีลฟุ้งไปใช่ไหม?
หมู่ชนนอกนี้ ไม่อาจทำกลิ่นให้สำเร็จด้วยศีลฟุ้งไปได้. :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.พ. 2013, 09:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ม.ค. 2010, 13:41
โพสต์: 57

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แกงได เขียน:
เปรตปากเท่ารูเข็ม รูเข็มเล็กมากๆ
เสียงที่รอดจากรูเข็มจะดังได้มากขนาดไหนกัน?

เสียงอะไรที่ได้ยิน?
ต้นเสียงมาจากไหน?
จากภายนอกหรือภายในจิต(จิตหลอน)

เราจะทำอย่างไรจึงจะไม่เกิด"กลลวงของสมอง"?


:b8: :b8: :b8: เสตุจฉเถรคาถา
ชนทั้งหลายถูกมานะหลอกลวงแล้ว เศร้าหมองอยู่ในสังขารทั้งหลาย
ถูกความมีลาภและความเสื่อมลาภย่ำยีแล้ว ย่อมไม่ได้บรรลุสมาธิเลย.
:b8: :b8: :b8: มาตังคปุตตเถรคาถา
สุภาษิตชี้โทษความเกียจคร้าน

ขณะทั้งหลายย่อมล่างพ้นบุคคล ผู้สละการงานโดยอ้างเลศว่า
เวลานี้หนาวนัก ร้อนนัก เย็นนัก
ก็ผู้ใดเมื่อทำกิจของลูกผู้ชาย ไม่สำคัญ ความหนาวและร้อนยิ่งไปกว่าหญ้า
ผู้นั้นย่อมไม่เสื่อมจากความสุข
เราจักแหวกหญ้าแพรก หญ้าคา หญ้าดอกเลา แฝก หญ้าปล้อง และ
หญ้ามุงกระต่ายด้วยอก พอกพูนวิเวก. :b8: :b8: :b8:

ครับผม นี่คือปฏิปทาเล็กๆ ที่นำทางสู่การกำจัด วิจิกิจฉาครับผม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.พ. 2013, 20:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 50 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร