วันเวลาปัจจุบัน 05 พ.ค. 2025, 04:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


Facebook ลานธรรมจักร - http://www.facebook.com/larndhammajak
ห้องแชดสนทนาธรรม - http://www.dhammajak.net/chat/



กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2009, 00:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ส.ค. 2009, 11:08
โพสต์: 23

แนวปฏิบัติ: พุทโธ
งานอดิเรก: รู้ลมหายใจ
ชื่อเล่น: แม่มดบี
อายุ: 0
ที่อยู่: ไม่รู้ที่มา และอาจไม่รู้ที่จะไป

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: จุดประสงค์ของการเข้าบ้านที่สาม เห็นช่องว่างเต็มจอของใจ หรือ เห็นความสงบของใจ เพราะเป็นขั้นตอนที่ต้องก้าวไปสู่บ้านที่สี่เพื่อการเห็นสัจธรรมอันสูงสุดหรือพระนิพพาน จึงจะเป็นการปฏิบัติที่ครบวงจร เป็นการปฏิบัติที่มีมรรคมีผล ถ้ายังเข้าบ้านที่สี่ไม่ได้ ก็ยังไม่ครบวงจร ยังไม่สมบูรณ์ จึงไม่ใช่เป็นเรื่องการให้นั่งจ้องความว่างอยู่ตลอดชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่คนมักถาม และมักกลัวโดยเฉพาะฝรั่งที่ไม่ชินกับเรื่องใจว่างจากจิต เมื่อได้ยินคำว่าช่องว่างของใจ มักคิดถึงคนสมองฝ่อเสมอ ถ้าคุณมองถูกต้องแล้ว มันไม่มีอะไรน่ากลัวเลย เพราะช่องว่างเต็มจอของใจนั่นแหละที่ทำให้ใจของคุณสุขสงบและไม่เป็นบ้า ความกลัวช่องว่างของคุณเป็นความคิด หรือ เจอรี่ที่เป็นมายา กำลังหลอกคุณ ความว่างที่แท้จริงจะไม่หลอกคุณ ถ้าคุณฟังแล้วกลัว แสดงว่า ขณะนั้น คุณกำลังถูกความคิดสุดท้ายหลอกอยู่ รีบพาตัวใจกลับบ้าน แล้วความกลัวนั้นจะหายไปเหมือนปลิดทิ้ง จำเอาไว้

:b42: การจะเข้าบ้านที่สี่ได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่คุณต้องเห็นช่องว่างของใจให้ชัดเจนเสียก่อน ขณะนั้นใจของคุณจะอยู่ในระนาบปกติ ไม่ขึ้นลง ไม่เคลื่อนไหว นี่เป็นสภาวะเหมาะเจาะที่จะเข้าบ้านที่สี่ หรือ รับผัสสะบริสุทธิ์ได้ ทำตัวกายให้ผ่อนคลาย ไม่ต้องเกร็ง เครียด หรือพยายามมากจนเกินไป ถ้าขณะนั้นยังหลับตาอยู่ ก็ขอให้เริ่มการรับผัสสะบริสุทธิ์ในเรื่องเสียงก่อน ฟังสักแต่ว่าฟัง ไม่ต้องเรียกชื่อหรือพูดอะไรในหัวทั้งสิ้น ขอให้เงียบกริบ ฟังเฉย ๆ แล้วก็เลื่อนมาฝึกเรื่องการรับผัสสะอย่างบริสุทธิ์ของกลิ่น รส และสัมผัส เช่น เอามือหนึ่งลูบอีกมือหนึ่ง ถูมือไปมา บีบนิ้ว แล้วก็รับรู้สิ่งเหล่านี้อย่างเฉย ๆ โดยที่ไม่มีเสียงพูดในหัวเลยแม้แต่คำเดียว เงียบกริบจริง ๆ นั่นคือการรับผัสสะอย่างบริสุทธิ์แล้ว จากนั้นก็ค่อย ๆ ลืมตาเนื้อขึ้นมา และฝึกการรับผัสสะบริสุทธิ์ของรูป มองไปเบื้องหน้าและรอบ ๆ มองทุกอย่างโดยไม่ต้องพูดอะไรในหัวทั้งสิ้น เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ทำได้เช่นนั้น ก็สามารถรับผัสสะบริสุทธิ์ทางตาแล้ว ใครทำได้เช่นนี้ก็เท่ากับถึงบ้านที่สี่แล้ว ถึงความจริงหรือสัจธรรมแล้ว ทุกอย่างที่คุณสัมผัสได้ในขณะนี้ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ เป็นของจริงหมด และของจริงเหล่านี้ก็กำลังเคลื่อนไปกับการรับผัสสะของคุณ ตราบใดที่คุณคงความเงียบในหัว ไม่ให้เจอรี่เข้าบ้านแล้ว ผัสสะของคุณย่อมบริสุทธิ์ เข้าถึงพระนิพพานแล้วทันที สามารถเอานิพพานเป็นที่พึ่งได้แล้ว เพียงแต่ยังไม่ถาวรเท่านั้น

:b42: หัดทำเช่นนี้บ่อย ๆ จนรู้แน่ชัดว่าประสบการณ์เช่นนี้ ๆ คือผัสสะบริสุทธิ์ ให้คะแนนตัวเอง ๐,๑,๒,๓ คะแนน ๐ คือ ไม่รู้เลยว่าผัสสะบริสุทธิ์คืออะไร เป็นอย่างไร ทำไม่ได้เลย ส่วนคะแนนเต็ม ๓ คือ รู้แน่ชัดว่าประสบการณ์นี้ ๆ คือ ผัสสะบริสุทธิ์ เป็นหน้าตาของบ้านที่สี่อย่างแน่นอน จำไว้ว่า คุณเท่านั้นที่จะให้คะแนนและรับประกันตัวคุณเองได้ เพราะเรื่องของประสบการณ์นั้น ไม่มีใครแชร์กับใครได้ เป็นเรื่องปัจจัตตัง ตัวเราเท่านั้นที่รู้ที่เห็นประสบการณ์ของเราเอง ยิ่งเรื่องของจิตใจด้วยแล้ว คนอื่นไม่เกี่ยวเลย ฉะนั้น หากต้องการรู้ว่าตนเองหมดทุกข์ไปมากน้อยแค่ไหน คุณต้องรับประกันตัวคุณเอง วิ่งหาคนอื่นไม่ได้แล้ว ตัวใครตัวมันแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคุณได้เดินมาถึงจุดที่ใจของคุณหลุดล่อนออกจากจิตอย่างสิ้นเชิงด้วยแล้ว พร้อมที่จะเป็นครูบาอาจารย์นำคนที่ยังทุกข์อยู่ด้วยแล้วละก็ คุณยิ่งวิ่งหาใครไม่ได้ คุณเท่านั้นที่จะต้องออกใบปริญญาบัตรสำเร็จการศึกษาด้วยตัวคุณเอง นอกจากพระพุทธเจ้าที่มีญาณตัดสินให้สาวกในขณะที่ท่านมีพระชนม์ชีพอยู่เท่านั้น ท่านจึงสามารถออกใบปริญญาบัตรให้สาวกผู้หลุดพ้นได้ แต่สาวกรุ่นหลังจะไม่มีโอกาสทอง โชคดีมากเช่นนั้นอีกแล้ว จึงต้องรับประกันตัวเองเท่านั้น จะทำได้อย่างไร ก็โดยการตรวจสอบกับตัวสัจธรรมนั่นเอง คนที่เข้าถึงสัจธรรมจริง ๆ แล้ว ประสบการณ์นั้นย่อมมีคำตอบที่เด็ดขาดอยู่ในตัวมันเอง จึงจะเป็นสัจธรรมอันสูงสุดของจักรวาลได้ คนฉลาดของชาวโลกโดยเฉพาะชาวตะวันตกมักชอบอวดความฉลาดของตนเองโดยถามครูบาอาจารย์อย่างท้าทายว่า “แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่า นั่นเป็นความจริงที่สุดแล้ว เป็นสัจธรรม เป็นนิพพานแล้ว คุณอาจจะหลงคิดไปเองหรือเปล่า ก็เห็นบอกว่าความคิดเป็นมายา ไม่ใช่หรือ” นี่เป็นคำถามที่สามารถต้อนคนไม่รู้จริงให้จนมุมได้ แต่หากไปถามผู้รู้จริงละก็ ผู้ถามจะเป็นฝ่ายถูกต้อนจนมุมเสียเอง คนฉลาดจริงจะไม่พูดท้าทายผู้รู้จริง

:b42: ผู้ปฏิบัติที่สามารถทำได้และรู้แน่ชัดว่าประสบการณ์นี้ ๆ คือ ผัสสะบริสุทธิ์แล้ว สิ่งที่จะต้องทำต่อไปคือ พยายามยืดสภาวะของผัสสะบริสุทธิ์ให้นานออกไป จากเสี้ยวหนึ่งของวินาทีในครั้งแรกที่เห็น ก็ยืดออกไปเป็น ๕ วินาที ๑๐ วินาที ๓๐ วินาที ๑ นาที ๓ นาที ๕ นาที ๑๐ นาที ฯลฯ ยืดออกไปเช่นนี้เรื่อย ๆ นี่ก็ยังเป็นขั้นตอนปฏิบัติที่พยายามทำจิตให้หลุดล่อน ออกจากใจ เป็นการหัดใช้ชีวิตอย่างเป็นอริยะอยู่ ผู้ที่ถึงภูกระดึงทางธรรมหรือพระนิพพานอย่างถาวรจะสามารถรับผัสสะอย่างบริสุทธิ์ได้ทั้ง ๆ ที่ยังใช้ความคิดอยู่ เพราะการรับผัสสะอย่างบริสุทธิ์ได้กลายเป็นธรรมชาติธรรมดาของชีวิตแล้ว สามารถใช้ความคิดอย่างเป็นอิสระ จะคิดก็ได้ ไม่คิดก็ได้ ผู้ปฏิบัติสามารถอ่านตนเองได้อย่างคร่าว ๆ ว่า ตนเองได้เดินทางมาถึงจุดไหนของทางทั้งหมดนี้ โดยตัดสินที่ช่วงเวลาของการรับผัสสะบริสุทธิ์ว่าทำได้ง่ายได้ยาก สั้นหรือยาวอย่างไร หรือจะตัดสินจากข้อเปรียบเทียบของจำนวนเกลียวของจิตใจที่พันกัน ตรงนี้ตัดสินเองได้ ถ้าอยากรู้ ตัวใครตัวมัน รู้กันเอง

:b42: ขอให้นึกถึงคำอธิบายของคำว่า สัจธรรม ทุกอย่างที่เห็นอยู่ สัมผัสได้อยู่ขณะนี้ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ คือ ของจริง คือ สัจธรรม คือ นิพพาน อะไรที่สัมผัสไม่ได้ในขณะนี้ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ แสดงว่าไม่จริง แม้จะเป็นข้อเท็จจริงของโลกก็ตาม สิ่งที่เราสัมผัสไม่ได้ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ล้วนเป็นอดีตและอนาคตที่ต้องสัมผัสผ่านความคิดทั้งสิ้น ล้วนเป็นสิ่งที่มากับความคิดที่เป็นมายาทั้งสิ้น จึงพึ่งพาไม่ได้ ฉะนั้น ที่นี่ เดี๋ยวนี้ หรือ ผัสสะบริสุทธิ์เท่านั้นที่เป็นของจริง ๆ ที่สุดเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่สมบูรณ์อยู่ในตัวมันเอง ไม่จำเป็นต้องคิด เพราะเห็น ๆ อยู่ นี่คือภูมิปัญญาที่ลึกซึ้งที่สุดของจักรวาล ซึ่งเห็นได้ว่าไม่มีความลึกอะไรเลย ตื้นที่สุด The most profound wisdom in the universe has no depth. จึงกลับกลายเป็นเรื่องยากมากที่สุดของจักรวาล ที่ต้องอาศัยภูมิปัญญาของผู้รู้จริงมาบอก มาชี้ให้ จึงรู้ตามได้

.....................................................
รูปภาพ

"...โลกสอนมนุษย์ว่าทุกสิ่งต้องมีการเปลี่ยนแปลง...แต่โลกก็กลับสอนให้มนุษย์ผูกพัน..."

อีกนับร้อยถ้อยคำจากใจ เก็บเอาไว้ให้เธอรับฟัง

รูปภาพ
รูปภาพ...พาตัวใจกลับบ้าน... รูปภาพ
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2009, 00:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ส.ค. 2009, 11:08
โพสต์: 23

แนวปฏิบัติ: พุทโธ
งานอดิเรก: รู้ลมหายใจ
ชื่อเล่น: แม่มดบี
อายุ: 0
ที่อยู่: ไม่รู้ที่มา และอาจไม่รู้ที่จะไป

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ไม่อยู่นิ่ง มันเคลื่อนตลอดเวลาเหมือนเข็มวินาทีของนาฬิกาบางชนิด เข้าใจได้เช่นนี้ ก็จะรู้ว่า ลมหายใจ การเคลื่อนไหวของกาย ความรู้สึกของกาย อันเป็นหน้าตาของบ้านที่หนึ่งและสองมาบัดนี้กลับกลายเป็นสัจธรรม เป็นที่นี่ เดี๋ยวนี้ เป็นนิพพานไปเสียแล้ว ใครที่สามารถรับผัสสะบริสุทธิ์หรือเข้าบ้านที่สี่ได้ ก็เท่ากับถึงบ้านใหญ่แล้ว บ้านทั้งสี่หลังถูกทำทะลุถึงกันหมดเป็นบ้านหลังใหญ่มากหลังเดียวแล้ว ใครที่เข้าบ้านที่สี่ได้แล้วละก็ ไม่จำเป็นต้องนั่งจ้องช่องว่างของใจก็ได้ สามารถใช้ชีวิตอย่างปกติ ธรรมดาเหมือนคนทั่วไปที่ไม่ได้ปฏิบัติสติปัฏฐานสี่ทั้งหลาย แตกต่างกันตรงที่ว่า คนที่ปฏิบัติธรรมจะใช้ชีวิตอย่างสว่าง เพราะตาใจหายบอดแล้ว ส่วนคนที่ไม่ได้ปฏิบัติย่อมใช้ชีวิตอย่างมืด ๆ เพราะตาใจยังบอดอยู่ คนตาใจหายบอดแล้ว จึงรู้ว่าสิ่งที่ทุกคนเห็น ๆ กันอยู่เบื้องหน้าคือสัจธรรม คือ พระนิพพานแล้ว

:b42: ในขณะที่รับผัสสะอย่างบริสุทธิ์ที่กำลังเกิดขึ้นที่นี่ เดี๋ยวนี้นั้น ทั้งผู้รู้ หรือ ตัวใจ และสิ่งที่ถูกรู้จะอันตรธานหายไปหมด เหลือเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่พระพุทธเจ้าใช้คำว่า “อายตนะนั้น” ในขณะนั้น ร่างกายที่มีจิตใจนี้จะหลอมรวมกลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลที่เคลื่อนไปอย่างคงที่ ไม่หยุดยั้ง เป็นชีวิตอมตะ Eternal life ในขณะนั้นเอง เปรียบเหมือนรถไฟสองขบวนกำลังวิ่งด้วยความเร็วเท่ากัน รถไฟขบวนชีวิตวิ่งได้ระดับเดียวกับรถไฟขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้ หรือ ขบวนพระนิพพาน จึงเข้าชีวิตอมตะ ถึงพระนิพพานในลักษณะเช่นนี้[1]

.....................................................
รูปภาพ

"...โลกสอนมนุษย์ว่าทุกสิ่งต้องมีการเปลี่ยนแปลง...แต่โลกก็กลับสอนให้มนุษย์ผูกพัน..."

อีกนับร้อยถ้อยคำจากใจ เก็บเอาไว้ให้เธอรับฟัง

รูปภาพ
รูปภาพ...พาตัวใจกลับบ้าน... รูปภาพ
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2009, 00:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ส.ค. 2009, 11:08
โพสต์: 23

แนวปฏิบัติ: พุทโธ
งานอดิเรก: รู้ลมหายใจ
ชื่อเล่น: แม่มดบี
อายุ: 0
ที่อยู่: ไม่รู้ที่มา และอาจไม่รู้ที่จะไป

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: ใครที่ทำได้ถึงจุดนี้ จะไม่คุยทับหรือโอ้อวดภูมิธรรมของตนเองกับใคร จะพูดน้อยลงมาก เพราะทุกครั้งที่คำพูดหรือความคิดเข้ามาในหัว ความคิด (จิต) นั้นจะหลุดล่อนออกจากใจเองอันเป็นสัญญาณของการเดินถูกทาง ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม จึงไม่มีคำพูดหรือคำโอ้อวดอะไรโม้ให้ใครฟัง เมื่อสามารถรับผัสสะบริสุทธิ์หรืออยู่ติดบ้านที่สี่ได้แล้ว ใจจะปกติและรู้สึกธรรมดามาก ธรรมดาอย่างสุด ๆ ไม่มีอะไรตื่นเต้น หวือหวาที่ต้องคุยอวดแม้แต่สิ่งเดียว ใครพูดมาก โม้มาก โอ้อวดมาก ขอให้รู้ว่าเป็นผลงานมายาของเจอรี่ กำลังติดอยู่กับ “ความคิดสุดท้าย” กำลังถูกหลอก วิปัสนูเหมือนขวดใส ๆ ที่เหมือนไม่มีอะไร แต่มันก็ยังเป็นขวดสีขาวใสครอบตัวใจอยู่ จำไว้เสมอว่า เจอรี่มีเล่ห์เหลี่ยมที่แพรวพราวมาก ไม่ยอมลดละ จะหาวิธีการใหม่ ๆ หลอกตัวใจเราอยู่เสมอ ต้องฟังผู้รู้จริงที่มีประสบการณ์ต่อกรกับเจอรี่มามากกว่า จึงจะเอาชนะเจอรี่ได้ง่ายขึ้น ฉะนั้น ขอให้จับหลักเรื่องการพูดน้อยไว้ จะปลอดภัยกว่า

:b42: การแบ่งแยกระดับของพระอริยเจ้าทั้งสี่ระดับ คือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์นั้น เป็นสิ่งที่ต้องบันทึกไว้เพื่อเป็นแนวทางและหลักการเท่านั้นโดยตัดสินจากการละกิเลสที่เรียกสังโยชน์ ๑๐ ตามที่บันทึกในพระไตรปิฎก นี่เป็นหัวข้อของผู้ที่ยังถูกความคิดที่อยากรู้อยากเห็นรุมเร้าอยู่ คนที่ยิ่งคิดเพื่อต้องการหาคำตอบก็ยิ่งไม่รู้ แต่เมื่อหยุดคิดหาคำตอบก็จะได้คำตอบทันที ต้องอย่าลืมว่าแม้พระไตรปิฎกก็ยังเป็นเพียงแผนที่ชีวิตเท่านั้น ไม่ใช่ตัวสัจธรรมที่แท้จริง ตัวพระนิพพานจริง ๆ คือ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ที่เคลื่อนตลอดเวลา จึงพูดหรืออ้างถึงด้วยคำพูดและภาษาไม่ได้ ฉะนั้น เมื่อผู้ปฏิบัติเข้าบ้านที่สี่ รับผัสสะบริสุทธิ์ได้ ในขณะนั้น ๆ สภาวธรรมของพระอริยเจ้าทั้ง ๔ ระดับจะเท่าเทียมกันหมด ไม่มีการแบ่งแยกว่าเธอเป็นแค่โสดาบันนะ ฉันเป็นอนาคามีหรืออรหันต์แล้วนะ ไม่ใช่เช่นนั้น นั่นเป็นอภาวะ เป็นสิ่งที่ไม่เกิด ผู้รู้จริงทุกท่านจึงไม่สนใจเน้นแยกแยะว่าใครเป็นอะไร ขอให้ปฏิบัติเข้าถึงตัวสัจธรรมเท่านั้น เพียงพอแล้ว แต่ก็อีกนั่นแหละ เมื่อความคิดที่สงสัยเกิดแก่ใครแล้ว หากไม่ได้คำตอบที่อยากได้ ก็มักวางความคิดไม่ลงเสียที ความคิดนั้นจึงกลายเป็นสิ่งกีดขวางทาง ไม่ให้เข้าถึงพระนิพพานด้วยตนเองเสียที จะได้พบคำตอบที่แท้จริงให้รู้แล้วรู้รอดไปเสียเลย ปัญหาจึงวนอยู่เช่นนั้น เพื่อการประนีประนอมและพบกันที่ครึ่งทาง ดิฉันจึงให้หลักกว้าง ๆ เช่นนี้ว่า คนที่สามารถทำตามทุกอย่างที่ดิฉันได้พูดแล้วในคู่มือชีวิตภาคศีลธรรมและภาคกฎแห่งกรรมนั้น คนผู้นั้นได้เดินละจากโคตรปุถุชนมาเป็นอริยะโคตรแล้ว เลือกโคตรที่จะอยู่อย่างอริยะแล้ว จะเรียกว่าเป็นพระโสดาบันแล้วก็ได้ แต่ไม่ต้องไปจัดงานเลี้ยงฉลองความสำเร็จอะไรทั้งสิ้น เพราะนั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสงครามมหาภารตะในจิตใจของเราเท่านั้นเอง การต่อสู้อย่างดุเดือดระหว่างทอมกับเจอรี่กำลังจะเกิดเท่านั้นเอง ความทุกข์ยังมีอีกมากโขอยู่ อาจจะมากกว่าปุถุชนที่ตาใจมืดบอดอยู่ด้วยซ้ำไป คนอยู่อย่า่งมืด ๆ เขาก็ถูกความมืดดำคุ้มครองอยู่ คือไม่เห็นอะไรเลย แต่คุณผู้อยากรู้ว่าตนเองเป็นโสดาบันหรือไม่นี่ จะเริ่มเห็นรอยแผล ขูด ขีด ข่วน ฟกช้ำดำเขียว ช้ำเลือดช้ำหนองของตัวใจอย่างชัดเจนทุกแผล เพราะเห็นแผล คุณจึงอยากหายจากแผล จึงเริ่มเททิงเจอร์ใส่แผลสดของใจโดยการพาตัวใจกลับบ้าน เพื่อให้แผลใจหายเป็นปกติ ฉะนั้น คุณจะผ่านความเจ็บปวดอย่างมากมายมหาศาล ในช่วงที่คุณกำลังต่อสู้กับเจอรี่อย่างเหน็ดเหนื่อยอยู่นั้นแหละ คุณกำลังค่อย ๆ เลื่อนชั้นขึ้นมาเป็นพระอริยเจ้าในระดับสูงขึ้นไปแล้วโดยสมมุติ แต่คุณไม่รู้สึกว่าอยากจะฉลองความสำเร็จเหมือนที่เคยถูกหลอกให้คิดว่าต้องเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก เมื่อคุณเข้าบ้านที่สี่ได้คราใด คุณจะเข้าถึงความเป็นธรรมดาของชีวิตอย่างสุด ๆ คุณก็จะยิ่งได้คำตอบที่ชัดเจนแก่ตนเองว่า มันไม่มีอะไรที่มาแยกแยะเป็นระดับ ๆ เลย คำถามเรื่องพระอริยเจ้าจะหายไป และจะหยุดถามเอง คนที่ยังเฝ้าถามถึงสภาวะของพระอริยเจ้าอยู่นั้น จึงขอให้ใช้หลักของปัญญานี้คือ ยิ่งถามยิ่งไม่รู้ หยุดถามแล้วจะได้คำตอบ ดีกว่า ฉะนั้น ใครมาถามเรื่องการกำหนดตาใจ ตัวใจ เพื่อนำไปใช้งานพ้นทุกข์ละก็ ดิฉันจะตอบให้ แต่หากถามเรื่องสภาวะของพระอริยเจ้าแล้วจะไม่ตอบอีก ตอบเท่านี้เพียงพอแล้ว

:b42: จึงขอให้พาตัวใจกลับบ้านเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และยืดระยะเวลาของการอยู่บ้านที่สี่ให้นานมากขึ้นเรื่อย ๆ นี่คือสิ่งที่ดิฉันเรียกว่า มานั่งกางเต็นท์อยู่หน้าบ้านพระนิพพาน และคอยวันดีคืนดีเท่านั้น คอยแบบไม่ต้องคอย วันไหนบารมีสุกงอมเต็มที่ ประตูบ้านนิพพานก็จะเปิดให้เราเอง พลังสนามแม่เหล็กระหว่างจิตกับใจจะหลุดล่อนออกจากกันอย่างสิ้นเชิง เป็นประสบการณ์ชีวิตหนึ่งที่ไม่มีอะไรเหมือน และไม่เหมือนอะไรทั้งสิ้น ขณะนั้น จะร้องอ๋อออกมาเองว่า “ฉันรู้แล้ว” ทุกคนจะต้องผ่านขั้นตอนของการตรัสรู้ด้วยตนเองทั้งสิ้น จึงจะจบปริญญาของชีวิตอย่างแท้จริง

.....................................................
รูปภาพ

"...โลกสอนมนุษย์ว่าทุกสิ่งต้องมีการเปลี่ยนแปลง...แต่โลกก็กลับสอนให้มนุษย์ผูกพัน..."

อีกนับร้อยถ้อยคำจากใจ เก็บเอาไว้ให้เธอรับฟัง

รูปภาพ
รูปภาพ...พาตัวใจกลับบ้าน... รูปภาพ
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2009, 07:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 เม.ย. 2009, 06:18
โพสต์: 731

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อันทุกข์สุขอยู่ที่ใจมิใช่หรือ
ถ้าใจถือก็เป็นทุกข์ไม่สุขใส
ถ้าไม่ถือก็เป็นสุขไม่ทุกข์ใจ
เราอยากได้ความทุกข์หรือสุขนา

ขอกราบอนุโมทนาบุญ สาธุ........... :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2009, 16:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ส.ค. 2009, 11:08
โพสต์: 23

แนวปฏิบัติ: พุทโธ
งานอดิเรก: รู้ลมหายใจ
ชื่อเล่น: แม่มดบี
อายุ: 0
ที่อยู่: ไม่รู้ที่มา และอาจไม่รู้ที่จะไป

 ข้อมูลส่วนตัว




2095927747_e40301f584.jpg
2095927747_e40301f584.jpg [ 59.1 KiB | เปิดดู 3084 ครั้ง ]
ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ ของท่านติช นัท ฮันห์
ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ดั่งดอกไม้บาน ภูผาใหญ่กว้าง ดั่งสายน้ำฉ่ำเย็น ดั่งนภากาศอันบางเบา



:b44: การรู้เท่าทัน

บางคนอาจจะถามว่า การบำเพ็ญสมาธินั้นมีเป้าหมายที่ความผ่อนคลายเท่านั้นหรือ
ความจริง เป้าหมายของการบำเพ็ญสมาธินั้น ไปไกลและลึกซึ้งกว่านั้นมาก
แต่ความผ่อนคลายเป็นช่วงผ่านที่จำเป็น
ถ้าเราเข้าถึงความผ่อนคลายได้แล้ว ก็เป็นไปได้ที่เราจะเข้าถึงใจที่สงบ และจิตที่แจ่มใส
การเข้าถึงใจที่สงบและจิตที่แจ่มใสนั้น นับว่าการบำเพ็ญสมาธิของเราไปไกลโขแล้วทีเดียว

เราควรจำไว้ว่า การมีสติที่ลมหายใจนี้เป็นวิธีการที่มีอานิสงส์มากในทุกขั้นตอน
มิใช่เป็นวิธีการของผู้เริ่มต้นเท่านั้น
ในพุทธศตวรรษที่ 8 อาจารย์เซน เดื่อง เจียว เขียนอรรถาธิบายในเรื่องอานาปานสติสูตร
ไว้ว่า
"การมีสติที่ลมหายใจของคนเรานี้ เป็นญาณอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์
ที่จะช่วยสัตว์ทั้งหลายที่ติดอยู่ในวัฏจักรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด"
การนับตามและบังคับบัญชาลมหายใจ เป็นวิธีการอันมหัศจรรย์
ที่จะทำให้เราบังคับบัญชาตนเองได้

แน่นอนว่าการที่เราจะบังคับบัญชาจิตใจ และทำความคิดให้สงบได้นั้น เราจะต้องเจริญสติ
ที่จิตใจด้วย ไม่ใช่ที่ลมหายใจอย่างเดียว นั่นคือ ต้องฝึกมีสติให้รู้พร้อมถึงความรู้สึกต่าง ๆ
(เวทนานุปัสสนา) และรู้พร้อมถึงความคิดต่าง ๆ (จิตตานุปัสสนา) ด้วย
เราต้องรู้วิธีสังเกต และรู้เท่าทันความรู้สึกและความคิดทุก ๆ อย่างที่เกิดขึ้นในจิตใจของเรา
ท่านอาจารย์เซน เดื่อง เจียว ซึ่งอยู่ในช่วงสุดท้ายของราชวงศ์ลี เขียนไว้ว่า

"ถ้าผู้ปฏิบัติธรรมรู้จักจิตใจของตนเองอย่างถ่องแท้ ก็จะเข้าถึงธรรมโดยไม่ต้องใช้ความ
พยายามมาก แต่ถ้าไม่รู้จักจิตใจของตนเองเลย ความพยายามทั้งหมดของเขาก็จะสูญเปล่า"

มีหนทางเดียวเท่านั้นที่เธอจะรู้จักจิตใจของเธอเองได้ นั่นก็คือการสังเกตและรู้เท่าทัน
ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับจิตใจ และต้องฝึกปฏิบัติอยู่ตลอดเวลาทั้งในชีวิตประจำวัน
และในเวลาของการฝึกสมาธิ

-------------
บางคราวที่รู้สึกว่ากำลังปฏิบัติอย่างแห้งแล้ง เมื่อได้อ่านบทธรรมของท่านติช นัท ฮันห์
แล้วก็ทำให้จิตใจชุ่มชื่นมากขึ้น เลยนำมาฝากเพื่อน ๆ ที่ลานธรรมค่ะ เผื่อว่าถ้าใครกำลังมีความรู้สึกอย่างเดียวกัน จะได้เบิกบานขึ้นบ้าง สักนิด สักหน่อยก็ยังดี
http://202.44.204.76/cgi-bin/kratoo.pl/000723.htm

.....................................................
รูปภาพ

"...โลกสอนมนุษย์ว่าทุกสิ่งต้องมีการเปลี่ยนแปลง...แต่โลกก็กลับสอนให้มนุษย์ผูกพัน..."

อีกนับร้อยถ้อยคำจากใจ เก็บเอาไว้ให้เธอรับฟัง

รูปภาพ
รูปภาพ...พาตัวใจกลับบ้าน... รูปภาพ
รูปภาพ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2009, 16:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ส.ค. 2009, 11:08
โพสต์: 23

แนวปฏิบัติ: พุทโธ
งานอดิเรก: รู้ลมหายใจ
ชื่อเล่น: แม่มดบี
อายุ: 0
ที่อยู่: ไม่รู้ที่มา และอาจไม่รู้ที่จะไป

 ข้อมูลส่วนตัว




2490156899_b5d6598d1d.jpg
2490156899_b5d6598d1d.jpg [ 41.52 KiB | เปิดดู 3085 ครั้ง ]
:b42:.. ความสงบ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี) ..:b42:


พากันตั้งใจฝึกหัดปฏิบัติตามความสามารถของตน ถ้าหากคนเราไม่ปฏิบัติธรรมะ ก็จะไม่รู้จักธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า ความสุขอันใดจะเสมอเหมือนความสงบไม่มี คำนั้นเป็นคำจริง


ถ้าหากปฏิบัติไม่ถึง พอจะเดาๆ คิดนึกเอาเฉยๆ ก็เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง อันความที่จะเชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆ จัง นี่เป็นของยากมาก ถึงหากเราเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง ถ้าหากปฏิบัติลงไปถึงตรงนั้นแล้วจะเชื่อขึ้นมา อ๋อ! ตรงนี้หรอกคำที่พระพุทธเจ้าทรงเทศนาไว้นั้นว่ามีความสุข ความสงบ อย่างนี้เป็นต้น

ความสงบนั้นมันมีจากไหน คนเราโดยส่วนมากมันยุ่งมันวุ่นวายสารพัดทุกสิ่งทุกอย่าง แส่ส่ายไปในที่ต่างๆ มันหาความสงบไม่ได้

เหตุนั้นคนที่เชื่อว่า ความสงบเป็นความสุข จึงค่อยมีน้อยนัก เพียงแต่เดาๆ คิดๆ นึกๆ ไปเฉยๆ ที่จะให้ถึงความสงบจริงๆ จังๆ มันต้องละทุกสิ่งทุกประการ อารมณ์ทั้งปวงวุ่นวี่วุ่นวายอยู่ในใจของตนหายหมด ไม่มีเกี่ยวข้อง ถึงซึ่งความสงบจริงๆ จังๆ

ถ้ายังไปเกี่ยวข้องเรื่องต่างๆ อยู่มันยังไม่ถึงความสงบขึ้นมาได้
ความตรงนี้ละที่ไม่เชื่อพระพุทธเจ้าไม่เชื่ออย่างจริงๆ จัง
เราฝึกหัดนี้ฝึกหัดหาความสงบ
ทุกอย่างทุกประการที่อบรมมาก็เข้าหาความสงบอย่างเดียว
ความไม่สงบมันมีมาก อย่างเราตั้งแต่เกิดขึ้นมาก็หาความสงบไม่ได้

จนกระทั่งวันหนึ่งๆ ๒๔ ชั่วโมงจะเอาความสงบจริงๆ จังๆ สัก ๕ นาทีก็ยังดี ๑๐ นาทีก็ยังดี นั่นล่ะเห็นแจ้งความจริงของพระพุทธเจ้าที่ทรงเทศนาไว้จริงในใจของเราเลย

.....................................................
รูปภาพ

"...โลกสอนมนุษย์ว่าทุกสิ่งต้องมีการเปลี่ยนแปลง...แต่โลกก็กลับสอนให้มนุษย์ผูกพัน..."

อีกนับร้อยถ้อยคำจากใจ เก็บเอาไว้ให้เธอรับฟัง

รูปภาพ
รูปภาพ...พาตัวใจกลับบ้าน... รูปภาพ
รูปภาพ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 13:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ส.ค. 2009, 11:08
โพสต์: 23

แนวปฏิบัติ: พุทโธ
งานอดิเรก: รู้ลมหายใจ
ชื่อเล่น: แม่มดบี
อายุ: 0
ที่อยู่: ไม่รู้ที่มา และอาจไม่รู้ที่จะไป

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
:b44: :b44: :b44:

ความอยากอย่างแรงกล้าที่จะหลุดพ้นหรือรู้แจ้งนั้น จะเป็นความอยากที่ขวางกั้นการหลุดพ้น
พยายามมากเกินไปแต่ขาดปัญญา เป็นการเคี่ยวเข็ญตนเองไปสู่ความทุกข์ยากโดยไม่จำเป็น
เดินทางสายกลาง คือ… สงบ วางสุข วางทุกข์

"หน้าที่ของเรานั้น ทำเหตุให้ดีที่สุดเท่านั้น ส่วนผลที่จะได้รับเป็นเรื่องของเขา"

ถ้าเราดำเนินชีวิตโดยมีการปล่อยวางเช่นนี้แล้ว ทุกข์ก็ไม่รุมล้อมเรา
จิตของคนตามธรรมชาตินั้นไม่มีความดีใจเสียใจ ที่มีความดีใจเสียใจนั้นไม่ใช่จิต
แต่เป็นอารมณ์ที่มาหลอกลวง จิตก็หลงไปตามอารมณ์โดยไม่รู้ตัว
แล้วก็เป็นสุขเป็นทุกข์ไปตามอารมณ์

ผู้ใดตามดูจิต ผู้นั้นจักพ้นจากบ่วงของมาร การกระทำจิตให้สงบนั้น
อย่าเพิ่งเข้าใจว่ามาทำวันเดียว หรือสองวันมันจะสงบได้ จะต้องพยายามทำเรื่อย ๆไป
ให้เห็นความสงบเกิดขึ้นมา ต้องพยายาม ทำให้มาก ทำบ่อย ๆ
ยืน เดิน นั่ง นอน ต้องมีสติอยู่เสมอ




พระโพธิญาณเถระ (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี

.....................................................
รูปภาพ

"...โลกสอนมนุษย์ว่าทุกสิ่งต้องมีการเปลี่ยนแปลง...แต่โลกก็กลับสอนให้มนุษย์ผูกพัน..."

อีกนับร้อยถ้อยคำจากใจ เก็บเอาไว้ให้เธอรับฟัง

รูปภาพ
รูปภาพ...พาตัวใจกลับบ้าน... รูปภาพ
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ส.ค. 2009, 19:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 พ.ค. 2009, 15:08
โพสต์: 162

ที่อยู่: ปราจีนบุรี

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับ :b8: คุณแม่มด

ใช่แล้วครับโลกสอนให้เราไม่ผูกพันธ์

แต่ใจเราไม่ฟัง เพราะเราหาใจเราไม่เจอ

เจอทีไรก็กลายเป็นผูกพันธ์ไปแล้วทุกทีแหละครับ :b11:

.....................................................
สติคือธรรมคุ้มครองโลก

มีสติรู้กายและใจลงเป็นปัจจุบัน

เมื่อใดมีสติเมื่อนั้นมีความเพียร


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร