วันเวลาปัจจุบัน 01 พ.ค. 2025, 23:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2013, 21:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ย. 2011, 16:15
โพสต์: 21


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าแม่ของเราทำผิดศีลข้อ 3 เราควรจะทำอย่างไรดีคะ คือทำมานานแล้วประมาณ 10 ปีเห็นจะได้ค่ะ ทั้งพี่สาวและดิฉันไม่มีใครเห็นชอบซักคน แต่แม่ก็พยายามจะทำให้พวกเรายอมรับมันน่ะค่ะ คือพยายามให้เราไปเที่ยวกับเขา ทานข้าวกับเขา ต้องยอมรับว่าฝืนมากๆ ทุกข์มากๆ ค่ะ มันคงเป็นเวรเป็นกรรมของดิฉันด้วยที่ต้องมาทนเจอกับอะไรแบบนี้ ดิฉันควรจะทำอย่างไรดีคะ เคยคุยกันแล้ว เหมือนเค้าก็รู้ว่าเค้าทำอะไรอยู่ เหมือนก็รู้ว่ามันผิด แต่เค้าก็ยังทำอยู่จนถึงทุกวันนี้ ไม่อยากจะคิดเลยว่าจะมีที่ไปอย่างไร แต่ก็ทำอะไรไม่ได้จริงๆ ถ้าเราทำเฉยๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และทำเป็นคุย ยิ้ม หัวเราะกับผู้ชายคนนั้นมันจะกลายเป็นว่าเรายอมรับมั้ยคะ ทั้งๆ ที่ต้องฝืนทำเพราะเหมือนตกอยู่ในภาวะจำยอม เราจะกลายเป็นว่ามีส่วนผิดในกรรมอันนี้มั้ย เครียดมากค่ะ ปัญหานี้ปรึกษาใครไม่ได้เลยนอกจากพี่สาวค่ะ เพราะอายคนอื่นเขา แต่แม่เค้ากลับไม่ค่อยจะแคร์สายตาคนอื่นเท่าไหร่ ทั้งที่ตัวเองทำผิด ทางฝ่ายภรรยาของทางนั้นก็ไ่ม่กล้ามีปากเสียงเพราะกลัวสามีค่ะ เรื่องมันถึงได้ล่วงเลยมาจนขนาดนี้ ขอคำแนะนำด้วยค่ะ ทุกวันนี้รู้สึกไม่ค่อยดีกับแม่ของตัวเองซักเท่าไหร่เลยค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2013, 01:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


"กัมมุนา วัตตติ โลโก".

สัตว์โลกทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม. วางใจเป็นกลาง แยกภาวะของกิเลส
ตัณหาออกจากตัวตนบุคคล เรื่องรักโลภโกรธหลง เป็นกิเลสร้อยรัดจิตใจของใคร
คนนั้นก็ต้องกระทำ กาย วาจา ใจไปด้วยความรักโลภโกรธหลงนั้นๆ จะพ่อคนแม่คน
จะเด็กสาวเด็กหนุ่ม จะวัยกลางคนทั้งหญิงชาย หรือแก่เฒ่า ถ้ามีกิเลสร้อยรัดแล้ว

กรรมก็ย่อมหมุนตาม เจตนาของบุคคลนั้นๆ ไปเหมือนเงาติดตามตัว ถ้าเราตระหนัก
ถึงความจริงที่พระองค์ทรงสอน ว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ไม่ว่าท่านจะผิด
อย่างไร ยังไงก็คือบุพการี อย่าได้ไปเข้าใจเสมอไปว่า การที่คนรอบตัวหรือคนสำคัญ
ในชีวิตของเรา ไปผิดลูกผิดเมีย(ผัว)ของคนอื่น ตายไปแล้วจะมีคติเป็นอย่างไร
เป็นเรื่อง อจินไตย คือไม่ต้องไปคิดให้เสียเวลา

เพราะคิดได้ เดาได้ แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้เรา โอบอ้อมอารีต่อบุพการีที่หลงผิด ไม่ได้
ช่วยให้เรา มีความเมตตากรุณา ตลอดจนมุฑิตายินดีไปกับบุพการีได้เลยแต่อย่างใด


เป็นเราเสียอีก ที่จิตเศร้าหมอง ทรงตรัสว่า ทุคติเป็นอันหวังได้ ดังนั้นปัญหานี้ไม่ใช่
ปัญหาเล็กน้อยที่จะวางใจ โดยขาด โยนิโสมนสิการ การพิจารณาโดยแยบคายได้เลย
ไม่ต้องถามถึงวิบากกรรมที่เราได้รับ ก็ถ้าบุพการี ทำดีคิดดีพูดดีมีศีลธรรม ก็เหมือน
เราเห็นพ่อเราแม่เรา ปลูกพืชผลแล้วมีกำไรงอกงาม(บุญ) เรา็ก็พลอยดีใจไปด้วย

เช่นกัน ถ้าบุพการี คิดไม่ดี ทำไม่ดี พูดไม่ดี ไม่มีศีลธรรม ก็เหมือนเราเห็นพ่อเราแม่เรา
ปลูกพืชผลแล้วไม่มีกำไร (บาป) เราก็พลอยทุกข์ใจไปด้วย

พ่อแม่ให้ชีวิต จิตใจมาครึ่งหนึ่ง ที่เหลือเราต่างคนต่างสร้าง กรรมดี กรรมชั่วกันเอง
กรรมดีก็เป็นบุญกุศลแก่ตัว มีสุคติเป็นที่หวังไ้ด้ เมื่อจิตผ่องใส กรรมไม่ีดีก็เป็นบาป
เป็นโทษแก่ตัว มีทุคติเป็นที่หวังได้ เมื่อจิตเศร้าหมอง สังขารร่างกายที่บุพการีให้ไว้
เป็นสมบัติเป็นทุน ให้สร้างบารมี ให้รู้ดีรู้ชั่ว ให้หนักแน่นและเ้ข้าใจ ว่าสัตว์โลกย่อม
เ็ป็นไปตาม(กิเลส)กรรม การที่มีคนรอบข้างหรือคนสำคัญในชีวิตเรา ไปทำเรื่อง
ที่ผิดเรื่องที่ไม่สมควร ทำให้เราเหมือนพลอยได้รับความละอายเกรงกลัวต่อบาป
ไปด้วย เป็นความรักความห่วงที่มีต่อบุพการีมากกว่า ไม่ใช่บาป ไม่ใช่อกุศลโดยตรง
ที่จะนำสุขหรือทุกข์ทางตรงมาให้แก่เรา เป็นเพียงผลทางอ้อม
คิดถูกเปลี่ยนวิธีคิด
ยอมรับความจริง ผ่อนผันบริหารจัดการต่อปัญหาที่เกิดขึ้นมายาวนาน ด้วยสติ

ทุกข์โทมนัสที่เกิดขึ้นกับจิตใจ ก็จะทุเลาเบาบางลงไปได้บ้าง เหมือนคนทำสวน
ปลูกพืชผลผลิต ต้องรู้จักคัดแยก ผลผลิตตามเกรด ที่ใช้ได้ก็เลือกใช้ ที่ใช้ไม่ได้
ก็ทิ้งไป หรือนำไปจัดการด้วยวิธีอื่นๆ

ฉันใดก็ฉันนั้นครับ สิบกว่าปีที่บุพการี พ่อคนแม่คนของใครก็ตาม บุตรหลาน
ไม่สมควรที่จะลืม ว่าลมหายใจ ไออุ่นวิญญาณที่มีอยู่ ได้มาจากบุพการี
ไม่ควรลืมว่า ผลบุญจากการให้ชีวิตแก่เรา ก็มากมายจนตอบแทนไม่หมด
หากจะต้องหักลบกลบหนี้ ด้วยเวลา ด้วยชีวิตที่เหลืออยู่ เพราะปมรักปม
กิเลสตัณหาระหว่างบุคคล
บุตรหลานสมควรแล้วหรือที่จะ ไม่รู้จักคัดแยก
จำแนก ไม่พิจารณาด้วยใจเป็นกลาง ด้วยเหตุด้วยผล ถ้าผลผลิตมีอยู่

สมมติว่ามีที่ดินอยู่ ห้าแปลง โดยแปลงที่ ๓ เสียไปหนึ่งแปลงไม่ทันเก็บเกี่ยว
เขาควรจะทิ้งทำลายที่ดินของพ่อของแม่ทั้งหมดเสีย ๕ แปลงเลยไหม?


เมื่อสำนึกถึงบุญคุณ ที่ดินทำกิน แปลงพ่อแปลงแม่ สมบัติพ่อแม่ที่ให้ชีวิตเรา
มาสร้างปัญญา สร้างบารมี สร้างความพยายาม สร้างความอดทน ถ้าท้อกับแม่
ถ้าแย่กับแม่ แล้วเราจะเอาแรงเอากำลังใจที่ไหนไปสู้ เรื่องจริงก็ต้องยอมรับ
ความจริง มีอะไรที่เราจะชดเชยความผิดของบุพการี ต่อครอบครัวของอีกฝ่าย
น้ำใจพระโพธิสัตว์มีไหม สำรวจ ไตร่ตรองดู


กับบุพการีเราก็ไม่ลำเอียงเพราะเกลียดเพราะโกรธ กับอีกฝ่ายเราก็ไม่ลำเอียง
เพราะกลัวเพราะละอาย ฝั่งอีกฝ่าย ถ้าน้อยเนื้อต่ำใจ พยาบาทผูกโกรธ ความโกรธ
ความไม่ชอบไม่พอใจนั่นแหละ ที่อาศัยบุพการีของเราเป็นชนวน อาศัยฝ่ายชาย
เป็นชนวน โทสะความเกลียดความโกรธนั้น จะติดตามให้ผล เป็นความทุกข์ทรมาน
จิตใจ หัวใจลูกผู้หญิงด้วยกัน เสมอเหมือนกัน ในทางกลับกัน

บุพการีของใครก็ตาม ถูกกิเลสตัณหาครอบงำแล้ว ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์มีขึ้นมีลง
มีการพบก็มีการจาก มีความรัก มีความสุขก็เฉพาะตอนที่ยังมี ความทุกข์ติดตาม
เป็นเงาอยู่ข้างหลัง ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก เหมือนชาย
ฉกรรจ์มีกำลัง ฉุดคร่า ทุกๆ คนไปสู่จุดหมายเดียวกัน มีความโศกเศร้า ความเสียใจ
ความคับแค้นใจ ประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักที่พอใจ รออยู่ด้วยกันทั้งนั้น


เมื่อเราเปลี่ยนใจบุพการีของเราไม่ได้ เหมือนภูเขาขวางหน้า ถ้าเราคิดจะเปลี่ยนใจท่าน
ก็เหมือนเราหวังจะย้ายภูเขาให้ได้ในทันที ความจริงถ้าเรา ปรับใจ ทำใจของเราเอง
เดินเลี่ยงเสียเอง อ้อมเสียหน่อย เราก็ไม่ต้องติดขัด เหมือนภูเขาบังอยู่ในภาวะแบบนี้


ชักชวนให้บุพการี ให้ทาน รักษาศีลตามที่รักษาได้ ไม่ประมาทว่า ศีลเป็นของน้อย
รักษาเพียงน้อย ก็ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย เพราะมีจิตเมตตา อายุยืนเพราะไม่ปลงชีวิตสัตว์อื่น
รักษาเพียงน้อย ก็ไม่ต้องจนไม่ต้องอาย กับคำว่าไม่มี เพราะมีน้ำใจไม่คิดอยากได้
เงินทองของใคร ไม่คิดเบียดเบียนเขา รักษาเพียงน้อย ก็มีแต่คนรักคนนับถือในคำพูด
ไม่โกหกหลอกลวง รักษาเพียงน้อย ก็ไม่มัวเมาประมาทขาดสติ ส่งเสริมสติปัญญาตน
ข้อที่รักษาไม่ได้ ในเวลาที่ไม่ได้รักษา ก็ปล่อยให้เป็นไปตามกรรมตัดสิน!

ในเวลาที่รักษาได้ ก็เรียกกลับเข้ารวมกับหมู่ เหมือนคัดเกรดผลไม้ ถ้าตอนไม่ได้ไม่ถึง
ก็ไม่เก็บก็ทิ้ง ถ้าตอนที่ได้ ที่ถึงเข้าเกณฑ์ (ตอนรักษาได้ บางเวลา) ก็เลือกเก็บเลือกรักษาฯลฯ



เราไม่อาจตามรักษา ประโยชน์ตนประโยชน์ท่านของใครต่อใครได้ไปเสียหมด เพราะ
แต่ละคนมีกรรมเป็นของตนเอง มีกิเลสพลักดัน มีผลของกรรมเป็นทายาทแห่งกรรม
เราไปคิดเองในเรื่องกรรมไม่ได้ ว่าบุพการี จะต้องจน ต้องขาดทุน เพราะแปลงที่ ๓
ของท่านไม่มีผลไม่มีกำไร ไปคิดเองไม่ได้ ว่าอดีตหลายสิบปีที่ผ่านไป จิตได้สั่งสม
ดีหรือชั่ว บาปหรือบุญเอาไว้กี่มากน้อย
พระท่านว่า จิตที่ฝึกดีแล้วนำสุขมาให้ จิตที่
ฝึกไม่ดี ทุคติเป็นอันหวังได้ ดังนั้น การวางใจ รู้จักผ่อนผัน ปล่อยวาง ยอมรับความจริง
ชดเชยส่วนขาด สร้างสรรค์สิ่งดีๆ ต่อบุคคลอื่นๆ รอบข้าง

ขัดเกลาตนเอง คิดดี พูดดี ทำดี อันนี่จะเป็นผลผลิต เป็นบุญแก่ตัวเราเอง เป็นประโยชน์
ในปัจจุบันและในอนาคตต่อๆ ไปได้ กลับมามองบุพการี ด้วยใจเป็นกลางใหม่
มองหัวใจผู้หญิงด้วยกันเสียใหม่ ชักชวนให้แม่มอง ชดเชยความพยาบาทความโกรธ
ของบุคคลอื่น ด้วยคำขอโทษ ด้วยคำว่าเสียใจ ชักชวนให้ฝ่ายชาย กล้าพูดกล้าเปิดเผย
ให้หันมามองหัวใจผู้หญิง มองหัวใจแม่ด้วยกัน ถ้าวันหนึ่งวันใด ลูกๆ เขาต้องตก
อยุ่ในสถานการณ์แบบนี้ ฝ่ายชายผู้เป็นพ่อ จะได้รับคำชื่นชม สรรเสริญเยินยอหรือ

คนๆ เดียวทำให้คนอีกหลายๆ คนต้องเสียใจ ทำให้เด็กอีกหลายคนต้องผิดหวัง
เป็นลูกผู้ชายหรือ​?​​ สิ่งเหล่านี้ ก็เป็นสัจจบารมี อธิษฐานบารมี ไม่ได้บังคับไว้ จะพูด
จะคิดก็สุดแท้ คิดดี ทำดี พูดดี มองโลกในแง่ดี ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว จัดการ
แก้ไขปัญหา ทางออกที่ควรแก้ และที่ๆ แก้ง่ายที่สุดคือใจเราเอง จะสุขก็ใจเรา
จะทุกข์ก็ใจเรา เปลี่ยนความคิด ชีวิตก็เปลี่ยนเขาว่ากัน

โม้ยืดยาวเลย เอาใจช่วยครับ เจริญพร.

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2013, 09:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ต.ค. 2008, 19:58
โพสต์: 294

โฮมเพจ: https://www.facebook.com/McDoorEdgeRubber
แนวปฏิบัติ: ตามหาพุทโธ
งานอดิเรก: ถ่ายภาพ สะสมพระเครื่องพระบูชา เลี้ยงปลา เลี้ยงแมว
ชื่อเล่น: Mc
อายุ: 0
ที่อยู่: สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม

 ข้อมูลส่วนตัว www


ถ้าเราทำเต็มที่แล้ว สงเคราะห์ท่านเต็มที่เท่าที่ผู้เป็นบุตรจะทำได้ ก็คงจำต้องวางอุเบกขาแล้วแหละครับ
และถอยออกมาอยู่ห่างๆ รอวันที่ท่านพร้อมค่อยเข้าไปช่วยดึงท่านออกมาใหม่
บางอย่างยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ให้เวลาเป็นสิ่งช่วยตัดสินใจครับ
หรือไม่งั้นก็ลองแนะนำให้ท่านปฏิบัติธรรม เผื่อว่าจะลดละได้ครับ
สุดท้ายก็ขอให้แก้ปัญหาได้สำเร็จนะครับ

.....................................................
ถ้าจะตาย จะเสียดายทำไมเล่าชีวี
ต้องรู้เท่าทันธาตุขันธ์นี้ ล้วนแต่มีอนิจจังทั้งหมด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2013, 17:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5113

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


โมทนาในคำตอบท่านพุทธฎีกาค่ะ


คุณเจ้าของกระทู้ต้องเข้าใจว่า กรรมใครกรรมมัน
แม้ท่านเป็นแม่ แต่ท่านก็ตกอยู่ในอำนาจกิเลส เป็นปุถุชนคนหนึ่ง
ย่อมทำผิดได้ ย่อมเห็นผิด คิดผิดได้
มองกันจริงๆแล้วก็ไม่ต่างจากเรา เราเองก็ทำผิดทำพลาดอยู่เสมอใช่ไหมคะ
เพียงแต่ต่างกันที่เราอาจทำผิดกันคนละเรื่องกับท่านเท่านั้นเอง

มองด้วยใจที่เป็นกลาง มีเมตตา แม้จะต้องจำใจ ฝืนทน
เพราะเราไม่ได้อดทนต่อการกระทำของแม่นะคะ
จริงๆแล้วสิ่งที่เราต้องอดทนให้ได้ คือ อดทนที่จะไม่ให้เกิดความคิดและการกระทำฝ่ายไม่ดี
เช่น โกรธ เกลียด ไม่พอใจ ใช้คำพูดไม่ดี ฯลฯ
การผิดศีลข้อ ๓ เป็นกรรมของแม่
แต่สิ่งต่างๆที่ว่าไป เช่น โกรธ เกลียด ฯลฯ พวกนี้แหล่ะเป็นกรรมของเรา

ให้ระวังตัวเราค่ะ เราระวังคนอื่นๆไม่ได้แม้ท่านจะเป็นแม่ของเรา

ทำหน้าที่ของเราให้ดี
มีโอกาสก็อาจจะโน้มน้าวใจท่านบ้าง
ทำแล้วก็ปล่อยวางค่ะ



.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ค. 2013, 22:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ย. 2011, 16:15
โพสต์: 21


 ข้อมูลส่วนตัว


ต้องขอขอบพระคุณทุกท่านที่มาช่วยตอบกระทู้นะคะ ทุกวันนี้ก็ยังต้องอดทน แต่จะพยายามไม่มีความคิดที่ไม่ดีค่ะ ซึ่งก็ค่อนข้างยากแต่ก็ต้องทำ เพราะมันจะกลายเป็นกรรมไป เมื่อเร็วๆ นี้ก็เพิ่งจะมีปัญหากันไประหว่างแม่กับลูก สาเหตุก็เกิดจากผู้ชายคนนี้แหล่ะค่ะ คือพอมีเรื่องขึ้นมาแม่ก็มาถามเราว่าไม่ชอบเค้าเหรอ เราก็เลยตอบไปประมาณว่าจะให้ชอบได้ยังไงล่ะ เรื่องอื่นยังพอทนไหว แต่เรื่องที่เราสองพี่น้องรับไม่ได้คือ เวลาแม่ชวนเราไปเที่ยวต่างจังหวัดแล้วต้องค้างคืน ซึ่งคนที่ไปก็จะมีแม่ ผู้ชายคนนั้น พี่สาว ดิฉันและหลานซึ่งเป็นลูกพี่สาว แม่จะจองห้องไว้ 2 ห้อง พอใกล้ถึงเวลาจะนอนแม่ก็จะมาบอกทุกทีว่าจะไปนอนห้องผู้ชายคนนั้น ซึ่งเจอมาครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 แล้ว และก็เป็นเรื่องทุกครั้ง เพราะพี่สาวและดิฉันรับไม่ได้ ถึงกับต้องร้องไห้และเป็นเรื่องกันทุกครั้งว่าทำไมแม่ไม่แคร์ความรู้สึกของพวกเราเลย และพี่สาวก็เป็นห่วงลูกกลัวว่าลูกสาวจะแยกแยะถูกผิดไม่ออก เพราะลูกสาวก็ใกล้จะเข้าวัยรุ่นแล้วด้วยคืออายุ 11 ขวบแล้วอ่ะค่ะ พอพวกเราแสดงความไม่พอใจ แม่ก็ทำเป็นไม่พอใจบ้าง แล้วก็มาถามว่ามันมีอะไรเหรอ เป็นอะไรกัน เค้าไม่มีความเป็นอิสระเลย เรากับพี่สาวก็หมดคำพูด พี่สาวก็เลยบอกว่าคราวหลังก็ไปเที่ยวกันสองคนแล้วกัน ไม่ไปด้วยแล้วถ้าเป็นอย่างงี้ วันนั้นแม่ก็เลยนอนกับพวกเรา แต่ตอนปิดไฟนอนกันไปพักนึงแล้ว เรายังไม่หลับดี ก็เห็นแม่ลุกไปแอบร้องไห้อยู่หลังม่านพักนึงแล้วก็ไปร้องไห้อยู่ในห้องน้ำพักใหญ่ พอตอนเช้าก็รีบตื่นแล้วรีบไปห้องผู้ชายคนนั้น อ้างว่าเค้าไม่สบาย จะพาเค้าไปโรงพยาบาลแต่จริงๆ เราก็ไม่เห็นเค้าเป็นอะไร ดิฉันเบื่อมากๆ แต่ก็จะพยายามไม่คิดให้ใจมันหม่นหมองอีก งงเหมือนกันว่าตัวเองและพี่สาวทำผิดอะไรเนี่ยที่รับมันไม่ได้ ที่ไม่ปล่อยให้เค้าทำตามใจต้องการ พี่สาวดิฉันบอกว่าเราทำดีที่สุดแล้ว ก็จะพยายามค่ะ จริงๆ ทั้งดิฉัน พี่สาวและแม่ก็อายุไม่ใช่น้อยกันแล้วนะคะ โดยเฉพาะแม่ก็อยู่ในวันเกษียณแล้ว อยากให้เค้่าคิดได้มากเลยแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะหยุด เค้ายังโทรคุยกันอยู่ทุกวัน พอดีแม่เพิ่งย้ายมาอยู่บ้านพี่สาวได้เกือบปีแล้วอ่ะค่ะ ซึ่งอยู่กันคนละจังหวัดกับผู้ชายคนนั้น ที่ย้ายมาเพราะตอนแรกเห็นแม่คุยกับเพื่อนเก่าแล้วเหมือนแม่จะชอบเค้าก็เลยย้ายมาอยู่นี่ซึ่งอยู่ใกล้กับเพื่อนแม่คนนี้ ตอนแรกเราก็งงเหมือนกันว่าทำไมอยู่ดีๆ ก็ย้ายมา ทั้งๆ ที่เดิมบอกว่าจะอยู่ที่นั่น(เพราะมีผู้ชายคนนั้นแล้วเค้าก็เจอกันทุกวัน) พอหลังๆ เหมือนเพื่อนแม่อาจจะไม่ชอบแม่ ก็เลยห่างๆ ไป สาเหตุเราว่าอาจจะเป็นที่ตัวแม่เอง เพราะแม่ชอบออกแนวบังคับเค้า(รวมทั้งบังคับพวกเราด้วย บังคับไปหมดแทบทุกเรื่องและเอาแต่ใจตัว อยากจะให้มันเป็นยังไงก็ต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่ทำตามก็จะโกรธและเป็นเรื่อง ซึ่งก็เป็นอีกเรื่องนึงที่มันทำให้ดิฉันรู้สึกอึดอัดเวลาอยู่กับแม่) แม่ชอบไปนั่งเบียดเค้าโดยทีไม่แคร์สายตาพวกเรา พี่สาวเราเคยได้ยินเพื่อนแม่พูดเบาๆ ว่าเดี๋ยวเด็กๆ มันเห็น แต่แม่กลับตอบไปว่ามันไม่เห็นหรอก ทั้งๆ ที่มันเห็นอยู่ทนโท่ ไม่ได้แคร์พวกเราเลย และเค้าก็รู้เรื่องผู้ชายคนนั้นด้วยเพราะแม่ไปเล่าให้เค้าฟังเองเนื่องจากเวลาอยู่กับเพื่อนคนนี้แล้วผู้ชายคนนั้นโทรมาแม่ก็จะชอบไปคุยไกลๆ แม่ก็เลยต้องเคลียร์มั้ง ?? แล้วถ้าอยู่กันมีพวกเรา มีผู้ชายแม่จะสนใจแต่ผู้ชาย จะไม่ค่อยสนใจพวกเรา เฮ้อ ระบายมาซะยืดยาว เก็บกดค่ะ เก็บกดมาก พูดอะไรมากก็ไม่ได้ เป็นเรื่อง ที่เล่ามาทั้งหมดมันก็เหมือนสาวไส้ให้กากิน แต่ดิฉันทนไม่ไหวจริงๆ อยากหาที่ระบาย ซึ่งนอกจากพี่สาวแล้วก็คงจะมีแต่ที่นี่แหล่ะค่ะ ถ้ามันทำให้ใครรู้สึกขัดเคืองใจหรืออย่างไรก็ต้องขออภัยด้วยนะคะ แต่ก็ต้องขอขอบพระคุณด้วยนะคะที่ช่วยรับฟัง พิมพ์ไปก็อยากจะร้องไห้ไป เฮ้อ ขอขอบพระคุณมากๆ อีกครั้งค่ะ จะพยายามทำให้ได้อย่างที่ทุกๆ ท่านได้แนะนำมา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร