วันเวลาปัจจุบัน 21 พ.ค. 2025, 16:11  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มิ.ย. 2010, 01:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 มิ.ย. 2010, 23:32
โพสต์: 1

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรากับเขาเคยคบกัน ผูกพันกัน อยู่ด้วยกันเกือบทุกวัน ด้วยสถานะที่แตกต่างกัน มีหลายคนพยายามทักท้วงเราทั้งสองคนไม่ให้คบกัน เขาดูเหมือนจะเชื่อ แต่เราไม่ยอม เราบอกเขาว่าถ้าเราเลิกคบกัน คำว่าเพื่อนระหว่างเรากับเขาก็ไม่มีความหมายเลย แต่จริง ๆ คือเราผูกพันทางใจกับเขามาก มากจนเห็นแก่ตัวกับความสุขที่เรามีระหว่างอยู่กับเขา ความเอาใจใส่ ความจริงใจ ความช่วยเหลือ ทำให้เรารักเขามาก เรายอมรับกับตัวเองเสมอว่า เรากับเขาไม่สามารถจะเป็นคู่ที่อยู่ด้วยกัน แต่งงานกันได้ แต่เราก็ไม่ยอมตัดขาดกับเขา พยายามบอกกับตัวเองว่าวันนี้จะขอมีความสุข ถึงรู้ว่าพรุ่งนี้ต้องทุกข์ก็ยอม เราพยายามทำทุกอย่างให้เขาอยู่กับเรา ไม่ว่าดีหรือไม่ดีถ้าเขาอยู่ใกล้กับเราได้ เราทำ แต่เราทำได้ระดับหนึ่งเท่านั้น เขาพยายามตัดเราโดยกลับไปคบหากับแฟนเก่าที่เขาบอกว่ารอเขาอยู่เสมอ เพื่อนเขาแอนตี้เรา หาว่าเราทำเสน่ห์เขา เรื่องของเราเป็นเรื่องที่ถูกนินทาอยู่ทั่วไป เพราะเรากับเขาทำงานที่เดียวกัน จนวันหนึ่งเรากับเขามีเรื่องผิดใจกันอย่างรุนแรง โดยการสนับสนุนของเพื่อนเขา เรากับเขากลายเป็นคนไม่รู้จักกัน เขาเกลียดเรามาก แต่เรายังรู้สึกรักเขาเหมือนเดิม พยายามขอให้เขาคืนดีกับเรา แต่เขาไม่พอใจและบอกว่าเราบังคับเขาไม่ได้ จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นกับเรา เราได้หยุด ได้คิด และได้ใกล้ชิดธรรมมะมากขึ้น เราเริ่มคิดได้ว่า แม้กระทั่งตัวเราเรายังบังคับไม่ได้เลย แล้วเราจะไปบังคับให้เขารักเรา ดีกับเรา ไม่โกรธเราได้อย่างไร ถึงวันนี้เขาไม่ได้ดีกับเราแล้ว เกลียดเรา แต่สำหรับเรา เขาเป็นเพื่อนที่ดีต่อเราเสมอ ความดีของเขายังคงอยู่ในความทรงจำของเรา เราตั้งใจจะขอพบและบอกกับเขาว่า เราขอโทษสำหรับเหตุการณ์ทุกอย่างที่เราผิดพลาด ขออโหสิกรรม และถ้าหากเป็นไปได้ก็ขอให้เขาให้อภัยกับเราด้วย เพื่อจะได้ไม่ต้องมีเวรกรรมตามกันไปในภายภาคหน้า แต่เรายังไม่ได้ทำ ก็ได้ทราบข่าวว่าเขากำลังจะแต่งงาน วูบแรกเราก็รู้สึกเสียใจ อยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก แต่ต่อมาเราก็อยากขออโหสิกรรมกับเขา และอยากอวยพรให้เขา แสดงความยินดีกับเขา แต่เราไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี เราควรไปงานแต่งงานของเขามั้ย ควรอวยพรให้เขา แสดงความยินดีกับเขา ขออโหสิกรรมกับเขาหรือเปล่า ช่วยเราทีว่าควรปฏิบัติอย่างไรดี ขอบคุณมากค่ะ


แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 12 มิ.ย. 2010, 07:38, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มิ.ย. 2010, 23:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มิ.ย. 2010, 12:05
โพสต์: 282

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าเป็นดิฉันจะดูใจตัวเองก่อนค่ะ
ถ้าเห็นว่ามันยังยึดกับเขาอยู่ ก็ไม่ไป
ไม่แสดงความยินดีทั้งที่ใจไม่ยินดี ไม่ขออโหสิทั้งที่ใจไม่อภัย
รอให้ใจนิ่งๆก่อนค่อยตัดสินใจอีกทีดีกว่าค่ะ
ช่วงนี้หากทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับเขาจะทำให้เรารู้สึกผูกพันสืบเนื่องไปได้

จริงๆเราอาจรักตัวเองมากที่สุด เพราะหากรักเขาจริงย่อมอยากเห็นเขาสบายใจและมีความสุข
(ขออภัยที่พูดตรงๆนะคะ)
ที่เราเป็นทุกข์ เพราะติดกับดักของความรู้สึกที่สวยงามในอดีต
พอไปอยากให้มันอยู่กับเราตลอดไป มันก็ยิ่งทุกข์
แม้เหตุการณ์นี้ไม่เกิดวันนี้ แม้จะได้เขากลับคืนมา
แต่วันนึงเราก็ต้องเจอกับความจริงของกฎไตรลักษณ์นั้นอยู่ดี
ที่เราทุกข์อยู่ตอนนี้ เพราะเราอยากหายทุกข์
อยากในสิ่งที่ขัดกับความจริง จึงเกิดทุกข์ซ้อนเข้าไปอีก
ถ้าเรายอมรับความจริงนี้ได้ ใจจะไม่ดิ้นรนมาก ไม่ทุกข์มาก

หากเราตระหนักถึงความจริงของการเปลี่ยนแปลงและพลัดพราก
หากเรายอมรับได้ว่าทุกอารมณ์ ผ่านมา แล้วเดี๋ยวก็จะผ่านไป
ความรู้สึกคิดถึง ก็แค่ธรรมชาติของจิตที่คิดปรุงแต่ง
เพียงเรากล้าที่จะเผชิญกับมันตรงๆ โดยไม่ไปช่วยจิตมันคิดอีกชั้นให้ทุกข์ซ้ำซ้อน
เราก็จะไม่เจ็บปวดเท่าไรนัก

เราเป็นคนสร้างความเคยชินให้กับตัวเอง
เมื่อก่อนเราอาจเคยชินกับการที่มีเขาอยู่ และใจคุ้นเคยที่จะย้อนคิดถึงเรื่องราวดีดีที่ผ่านมาร่วมกัน
ดังนั้น เราจะพ้นจากความเคยชินเก่าๆที่ทำให้เจ็บปวดได้
ก็ด้วยการสร้างเหตุให้จิตมีความเคยชินใหม่ๆที่ดีกว่าเดิม
โดยให้จิตคุ้นเคยกับการรู้สึกตัว
ใจเราจะค่อยๆคลายความยึดจากเค้า

คอยรู้สึกตัวเอาไว้นะคะ
มันฟุ้งซ่าน ก็รู้ว่าฟุ้งซ่าน ไม่ชอบ รู้ว่าไม่ชอบ อยากหาย รู้ว่าอยาก

มันซัดส่าย คิดหาทางแก้ ก็รู้ทันว่าคิด (แต่ไม่ไปจมอยู่ในเรื่องนั้นนะคะ แค่รู้ว่าจิตมันคิดขึ้นมา)
คอยดูจิตใจที่เคลื่อนไหว ไม่อยู่นิ่งนั่นแหละค่ะ
แล้วจิตมันจะค่อยๆสงบของมันเอง

เอาตัวช่วยเพิ่มหน่อย ก็ให้สวดมนต์ ด้วยความรู้สึกตัว
สวดแล้วคอยสังเกตจิตใจตัวเอง
มันจะแว่บไปคิดโน่น คิดนี่ ก็คอยรู้ทัน
คนเรามีทุกข์ เพราะจิตคิด
ถ้ารู้ทันว่าจิตแอบไปคิด ทุกข์จะหล่นหายไปเยอะเลย

แล้ววันนึงเราจะลืมนับไปเลยว่า เราเลิกกับเขามากี่วันกี่เดือนกี่ปีแล้ว

วันนึงหากเรามองย้อนกลับมา อาจรู้สึกขอบคุณเขาด้วยใจจริง
ที่ทำให้เราได้พบสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในชีวิต ที่มนุษย์สมควรจะได้รับในชีวิตนี้

ขอให้ทุกข์ที่คุณพบในครั้งนี้ เป็นต้นทางของการพ้นทุกข์นะคะ
เข้มแข็งเจริญในธรรมค่ะ :b8:

ป.ล. คุณ sunblindคะ รบกวนขอที่อยู่ได้มั้ยคะ ช่วยส่งไปที่ t.jannapat@gmail.com ค่ะ
อยากจะส่งหนังสือเล่มนึงไปให้ค่ะ (ยิ่งกว่าสุขเมื่อจิตเป็นอิสระ-ดร.สนอง วรอุไร)
เป็นหนังสือที่เมื่อดิฉันอ่านจบก็ตัดสินใจก้าวออกมาจากเหตุแห่งทุกข์ได้ด้วยตัวเอง
อยากให้ได้อ่านค่ะ ถ้าอ่านจบแล้วจะส่งต่อให้ใครที่มีความทุกข์ก็ได้ค่ะ

ขออนุญาตนำธรรมของหลวงพ่อประสิทธิ์ วัดถ้ำยายปริก เกาะสีชังมาแสดงไว้ด้วยนะคะ

"ความรัก"
เกี่ยวกับเรื่องนี้ หลวงพ่อประสิทธิ์เคยให้ข้อคิดกับผมและเพื่อน ๆ ไว้ว่า

“เรื่องพวกนี้มันเป็นของมายาดี ๆ นี่เอง ไอ้ความรู้สึกของเรานี้แหละมันคอยกระซิบบอกว่า
เออ อยู่ใกล้เขาแล้วเราอบอุ่นนะ เรารู้สึกสบายใจนะ เขารูปหล่อนะ เธอสวยนะ
หรือเขาอาจเป็นเนื้อคู่กับเราบ้างล่ะ เขาเป็นคนดีและจะเป็นที่พึ่งให้เราได้บ้างล่ะ
ไปแม้กระทั่งเขาคงจะเป็นเพื่อนกับเราเพื่อปฏิบัติธรรมร่วมกันไปไกลถึงโน่น
ก็แล้วทำไมไม่พิจารณาบ้างว่า เราก็ขันธ์ ๕ เขาก็ขันธ์ ๕ หามาเพิ่มเป็น ๑๐ ขันธ์
(ไม่รวมลูกที่จะตามมาอีก)
อย่างนี้ยิ่งลำบากขึ้นไปอีก บริหารกายใจของตัวเองก็ลำบากพอตัวอยู่แล้ว
ยังจะต้องมารับเรื่องราวของคู่ครองเราอีกแน่ะ

โลกนี้น่ะมันสารพัดจะหลอกลวง เป็นมายาทั้งนั้น
เหมือนละครน่ะ เขาเล่นผสมโรงให้ดู มีแต่ร้องรำทำเพลงสนุกสนานชั่วครู่ชั่วยาม
แต่พอละครเลิกก็ต้องมาเจอของจริง ของจริงที่ว่าคืออะไร
ก็กิน ถ่าย หลับ ตื่น ยืน เดิน นั่ง นอน เจ็บไข้ได้ป่วย แก่หง่อม และล้มตายไป
เพราะไม่ว่าทั้งคนดูหรือดาราก็ต้องกินข้าว ต้องหลับนอน
ต้องถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ต้องเจ็บป่วย ต้องแก่ชราไปตามสังขารวัย และสุดท้ายก็ต้องตายเหมือนกัน”

“นี้แหละ หญิงหรือชายก็เหมือนกัน มันเหมือนกันตรงที่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกัน
พิจารณาดูซิ ตายไปถูกเผาแล้วเหลือแต่ขี้เถ้ากับเศษผงกระดูก ลองเอามือไปกอบขึ้นมาดูสิ
ไหนล่ะชายหญิงมันไปไหนหมด ไอ้ความรู้สึกของเราที่มันเคยมากระซิบบอกให้เอาคนโน้นคนนี้
ทำไมไม่มาบอกให้เรากอดจูบกับขี้เถ้ากองกระดูกนี้เล่า
แล้วไอ้ที่ว่าจะเป็นที่พึ่งของเราได้นั้น ก็มองเอาสิ
สุดท้ายทั้งเขาและเราก็ฉิบหายตายเหมือนกัน แล้วมันเป็นที่พึ่งให้กันได้ตรงไหน”

"ควรหรือจะปล่อยให้ความรู้สึกเข้ามาครอบงำ
แล้วปล่อยตัวปล่อยใจไปตามอารมณ์ปรารถนาที่มีแต่จะนำมาซึ่งความทุกข์
อย่างพุทธพจน์ตรัสนั่นแหละว่า มีรักที่ไหนก็มีทุกข์ที่นั่น มันทุกข์อยู่ทุกขณะ
ทั้ง ๆ ที่รักกันนั่นแหละ แต่พอเขาไม่เอาอกเอาใจหน่อยก็ทุกข์แล้ว
เขาเอาใจเราแต่ก็เอาใจคนอื่นด้วยก็ทุกข์อีกแน่ะ หรือต่อให้เขาเอาใจเราเต็มที่
แต่แล้วไอ้ความรู้สึกมันบอกว่า สักวันหนึ่งเขาอาจเปลี่ยนไป
เอ้าทุกข์อีก...นั่นแหละทุกข์ๆ ทุกข์ อยู่อย่างนั้น แล้วยังจะเอากับมันอีกเหรอ”

"คนเรานี่นะ เกิดมาก็เกิดมาคนเดียว ตายก็ตายคนเดียว
เรามาตามกระแสกรรมแล้วก็ไปตามกระแสกรรมที่เราทำไว้แต่ผู้เดียว
แล้วเอ็งจะไปหาคู่ทำไมให้มันวุ่นวายล่ะวะ อยู่คนเดียวนี้แหละดี
จะได้บริหารตัวเองได้เต็มที่ อยากดีแค่ไหนก็ไปได้เต็มเหนี่ยวไม่ต้องพะวักพะวนกับคู่ครอง”

"โลกนี้มันอะไรของมัน ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ให้ชื่นชมสักอย่าง
เดี๋ยวสะอาด เดี๋ยวสกปรก เดี๋ยวเพลิดเพลินสนุกสนาน เดี๋ยวเศร้าโศกทุกข์ระทมใจ
นั่นแหละมันมีแต่สุขและทุกข์เกิดดับ เกิดดับ อยู่อย่างนั้น
แล้วหมั่นถามตัวเองสิว่า แล้วเราจะเอาอะไร ?
จะเอาไอ้ความไม่เที่ยงแท้นี้หรือ ดูมันไปเลย
ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ ทั้งเรื่องคู่ครอง เรื่องหน้าที่การงาน เรื่องอะไรต่อมิอะไร
มันสุขหรือทุกข์มันก็ไม่จีรังยั่งยืนสักอย่างหรอก
สุดท้ายคนเราทุกคนก็เข้าเชิงตะกอนหมด ไอ้ที่ผ่านมาก็สูญสลายหายไปเหมือนสายลม
นั่นแหละ จึงว่าผู้ที่หลงกับความสุขทางกามา
และไหลไปกับความทุกข์ที่เจือมาพร้อมกับความสุขชั่วครู่ชั่วยามนั้น
ก็เหมือนกับผู้ที่เที่ยวคว้าจับสายลมและอากาศ
กำไว้เท่าใดสุดท้ายมันเมื่อยก็ต้องแบออก (หลวงพ่อพูดพลางกำและแบมือออกไปด้วย)
แบออกก็เห็นแต่มือเปล่า ๆ นั่นแหละ ไม่มีอะไรเหลือไว้ให้สักหน่อยเลย”


ครั้งหนึ่งเพื่อนผมที่ไปวัดด้วยกันทั้งชายและหญิงหลายคน ได้เรียนถามหลวงพ่อโดยมีใจความว่า
“สำหรับการที่เรายังรักใคร กรณีที่ไม่ได้แต่งงานกัน แค่ชอบพอกัน แต่เราผิดหวังกับเขา
บางครั้งเราก็ตัดใจไม่ได้ เห็นหน้าเขาครั้งใดก็อ่อนระทวย
มันเฝ้าแต่ห่วงหาอาทร อยากอยู่ใกล้ไปตลอด ยิ่งในกรณีที่เราไม่ได้ใจเขามาไว้กับเรา
พูดง่าย ๆ ว่ารักเขาข้างเดียว มันเจ็บปวดใจจริง ๆ จะทำอย่างไรดี”

ท่านแนะนำว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องใช้วิธีที่พุทธองค์ท่านตรัสสอน ว่า
ไม่เห็นเสียได้เป็นดี! เพราะเรายังมีความรู้สึกปรุงแต่งอยู่ มันร้ายนะ ร้ายจริง ๆ ไอ้ตัวรู้สึกนี่
พอสติตามตะครุบมันไม่ทันก็ต้องตกเป็นทาสของมันร่ำไป
จึงว่า สติเรามันยังอ่อนนักก็อย่าไปเห็นเขาซะ
เมื่อไม่เห็นกันนาน ๆ เข้า ไอ้ตัวอนิจจังมันก็จะช่วยเราเองหรอก
สักวันความห่วงหานั้นมันก็จะจางหายไป
แม้นานสักหน่อยมันก็ต้องมาถึงสักวันนั่นแหละ
มันจะคิดถึงเขาสักแค่ไหน ก็อย่าไปมองไปเห็นไปดูเขา
รูปถ่ายอะไรต่ออะไรก็อย่าไปมอง อย่าไปข้องแวะ วันหนึ่งมันก็จะทุเลาไปเอง

ปัญหาต่อมาว่า ถ้าต้องเห็นล่ะ จะเนื่องด้วยเหตุความจำเป็นอะไรก็แล้วแต่ ก็อย่าพูด !
ทำหุบปากนิ่งเสีย ทำเหมือนปากเอาเชือกร้อยไว้เป็นเตมีย์ใบ้ก็ได้
เมื่อไม่พูดซะ มันก็ไม่ต่อความยาวสาวความยืด นั่นแหละ เกิดแล้วก็มาดับล่ะ

แต่...ถ้าจำเป็นต้องพูดอีกล่ะ ถ้ามันมีธุระต้องพูดจริงๆไม่พูดไม่ได้ ต้องทำไง
ก็ต้องพูดด้วยสติ ! อย่าพูดด้วยความรู้สึก
พูดด้วยสติก็คือ กำหนดสติให้มั่นก่อนพูด แล้วก็พูดด้วยคำสัตย์คำจริง
ด้วยเหตุด้วยผล จบแล้วก็จบกัน ไม่ต้องปรุงแต่งต่อให้มันยืดยาว
ถ้าพูดด้วยความรู้สึก มันก็จะมีความห่วงใย ความกังวล ความน้อยเนื้อต่ำใจ ความโกรธ อะไรต่ออะไรสารพัด
มันไม่ได้เรื่องเลยนะของพวกนี้ รังแต่จะก่อปัญหาให้ยืดยาวไม่มีที่สิ้นสุด”

หลวงพ่อสรุปให้ฟังว่า “นั้นแหละคนเรา ตลอดจนหมู่สัตว์ในโลกสาม
ไล่ตั้งแต่สัตว์เดรัจฉานไปจนถึงเทวดาชั้นฟ้า
ก็ล้วนต้องประสบพบเจอพิษร้ายแห่งความรู้สึกเหล่านี้โดยถ้วนหน้าเสมอเหมือนกัน
นั่นเป็นเพราะความรู้สึกตัวเดียวที่ขาดการควบคุมและพิจารณาไตร่ตรอง
ไม่ได้ยอมรับความจริงว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของไม่เที่ยง ไม่ได้ยั่งยืนคงทนอะไรเลย
หากกาลเวลาผ่านไปก็ต้องดับสูญสลายไปหมด หาสาระแก่นสารไม่มี
ย้อนมาที่คนเรากันเอง ที่เรายังคงหลงใหลหรือเป็นทุกข์ระทมใจกับผู้อื่นเนื่องด้วยความรักเป็นเหตุ
ก็เป็นเพราะเราไม่ยอมรับความจริงเช่นเดียวกัน ความจริงที่เราเขาก็มีเหมือนกันคือ
เราเขาล้วนมีกรรมเป็นแดนเกิด เป็นที่พึ่ง และเป็นที่ติดตาม
ไม่ได้มีใครมาเป็นที่พึ่งของเราได้อย่างแท้จริงเท่าตัวเราเอง
และเรายังเห็นเขาดี น่ารักใคร่ชื่นชมเพราะไม่ได้มองให้ถ้วนทั่วว่า
เขาก็ต้องกิน ต้องถ่าย ต้องเจ็บต้องไข้ ต้องอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน ซักเสื้อผ้าเหมือนกัน
ต้องทำมาหากิน ต้องเลี้ยงชีพด้วยปัจจัย ๔ เหมือนเรา
และมองให้ลึกเข้าไปก็คือ เขายังมีความรู้สึกคิดนึกปรุงแต่ง
มีกิเลสตัณหาเหมือนเรา มีสุขมีทุกข์ ขึ้นลงสับเปลี่ยนเหมือนกันกับเรา
แล้วเราจะไปเอากับเขาเพื่ออะไร

ส่วนเราก็ต้องมามองตัวเองว่ายังอยากจะเกิดมาอีกเหรอ เกิดอีกก็ทุกข์อีกอย่างนี้แหละ
มาเกิดใหม่ก็เอาอีก เจอความรู้สึกมันเล่นงานอีก
มาก็มาหยิบมาคว้าเอาของเก่า ๆ เหล่านี้ ขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ยอมเข็ดหลาบเสียที
เปรียบเหมือนผู้ที่ตกไปในห้วงกระแสน้ำคือความรู้สึกปรุงแต่งหรือโลกธรรม ๘
ที่มันมีอยู่ประจำโลกนี้ตลอดเวลาทุกภพทุกชาติ
หากไม่มีผู้คอยชี้แนะย้ำเตือน และตัวเราเองไม่ช่วยตัวเอง
ก็มีแต่จะจมดิ่งถูกดูดกลืนหายไปสู่ห้วงลึกแห่งความมืดมิดนั่นแหละ”

.....................................................
อย่ามัวเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมา อย่าปล่อยให้ชราแล้วตายไปเปล่า อย่ามัวแต่ตำหนิตนเองหรือผู้อื่นอยู่ คิดอยู่เสมอว่าจะพัฒนาจิตใจตน และทำประโยชน์ให้ผู้อื่นอย่างไร แล้วเร่งกระทำทันที อย่ามัวรีรอ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มิ.ย. 2010, 23:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


การทำความดีต้องยังประโยชน์ให้กับทั้งตัวเรา
และผู้อื่นด้วย หากต้องการการอโหสิกรรมจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องทำในวัน
ที่เขากำลังมีความสุข กับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ หากคุณโผล่ไปในวันของเขา
นอกจากเขาจะไม่อโหสิกรรมแล้ว ยังอาจเป็นการสร้างอกุศลกรรมใหม่
ให้เกิดขึ้นกับคุณและเขาอีกด้วย

รอให้วันเวลาผ่านไป วันข้างหน้าหากมีโอกาสค่อยพูด และขออโหสิกรรมกัน
คงยังไม่สาย ถ้าอยากอวยพรให้เขา มีวิธีที่จะทำมากมาย ส่งการ์ด ข้อความ
หรือของขวัญไปให้เขาก็ได้ ทุกอย่างสำคัญที่เจตนา

ขอให้คุณมีความสุขอยู่กับปัจจุบันนะค่ะ :b1:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2010, 09:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปล่อยวาง....รู้ก็เพียงแต่ได้รู้..เห็นก็เพียงแต่ได้เห็น
ที่ผ่านมา..กิเลส มันหลอกล่อเราจนหลง..ไม่ลืมหูลืมตา
ถ้าลองได้เล่นกับไฟแล้ว..มันก็จะแผดเผาร้อนรนไปทั่วทั้งกายใจ
ปล่อยให้งานเขาดำเนินไปโดยปราศจากเราเถอะนะ
ถ้ายังมีใจ..ก็สวดมนต์ ภาวนา แผ่เมตตาไปแต่จิตดีกว่า..
ปล่อยวางมันลง...ไม่มีอะไรที่น่า ยึด เป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นเขา
ขอเจริญในธรรม :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2010, 21:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ม.ค. 2010, 21:56
โพสต์: 92

แนวปฏิบัติ: ดูจิต
งานอดิเรก: ทำตัวน่ารักไปวัน ๆ
สิ่งที่ชื่นชอบ: คู่มือสะกดใจคน - เดวิด เจ.ไลเบอร์แมน
ชื่อเล่น: นุช
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


cool สวัสดีคร๊า ..

คุณได้รับการ์ดเชิญหรือเปล่าคะ อ่านคร่าว ๆ คุณคงยังไม่ได้รับการ์ดเชิญ เรื่องของคุณนั้น
ตัวเขาจบนานแล้ว คุณก็ควรนิ่งได้แล้วค่ะ แต่ถ้าได้รับการ์ดเชิญนั้น ค่อยมาคิดอีกที ว่าจะไป
หรือ ว่าไม่ไป ทั้งนี้ต้องดูความเหมาะสม ดูสถานการณ์ และที่สำคัญดูใจของตัวเราเอง ว่าสภาพจิตใจนั้นแข็งแรงหรือยัง ถ้ายังไม่แข็งแรงพอ แต่ไปร่วมงาน ด้วยสีหน้าเศร้า หรือแม้กระทั่งปากยิ้มแต่ใจร้องไห้ ยังอาลัยอาวรณ์ คงจะเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควรเป็นแน่ ...ต่อให้ไปร้องไห้ ไปยิ้มเริงร่า งานเขาก็ไม่มีวันเปลี่ยนตัวเจ้าสาวเป็นแน่แท้ เพราะฉะนั้นให้งานแต่งงานของคนที่เรารักเป็นไปได้ด้วยดีจะดีกว่านะคะ

ส่วนเรื่องการอโหสิ เห็นด้วยกับพี่ ๆ ท่านบนนะคะ เขาแนะนำได้ดีแล้ว ไว้อโหสิตอนนี้จิตใจเราพร้อมเรานิ่งก่อนจะเป็นการดีกว่า ปล่อยให้เวลาผ่านไประยะหนึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะดูลักษณะการพิมพ์แล้วคุณยังทำใจอะไรไม่ค่อยไจได้เลย ยังไงก็เอาใจช่วยค่ะ

*** ถ้าเป็นตัวนุชเอง ซึ่งจะได้รับการ์ดหรือว่าไม่ได้ ในส่วนตัวนุชคงจะไม่ไปร่วมงาน
เพียงแค่ฝากซองและส่ง SMS ไปร่วมยินดีก็เพียงพอแล้วสำหรับฐานะคนรักเก่า ... !!

.....................................................
กฏเหล็กข้อแรกสุด ทุกสิ่งต้องเปลี่ยนแปลงไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2010, 11:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7513

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b1:
...จงเลือกทำสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดแบบรักตัวเองและไม่ทำร้ายจิตใจใคร...
...เพราะท้ายที่สุดก็ตัวเรานั่นเองจะต้องรับทั้งทุกข์และสุขที่เกิดในใจ...
...สิ่งที่เลือกแล้วให้เป็นไปโดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นให้ทุกข์ค่ะ...
:b16:
:b4: :b4:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร