วันเวลาปัจจุบัน 24 พ.ค. 2025, 00:21  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 400 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 10, 11, 12, 13, 14, 15, 16 ... 27  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2014, 14:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กล้วยไม้ม่วง เขียน:



เขาคิก ปรุงแต่ง ตามความคิดเขา เอง เชื่อมั่น....ตามมุมมองเขาเอง ไม่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงค่ะ...จึงประเมินว่าป่วยเป็นโรคจิตค่ะ...... :b34:


เขาเป็นโรคจิตโรคใจอะไรก็ปล่อยเขาไป (ถ้าไม่มีอะไรมากกว่านี้) ให้เขาบ้าสะให้พอ :b1: หากคุณต้องเก็บความเครียดเก็บความกดดันไว้ ต่อไปคุณนั่นล่ะ จะเ็ป็นโรคจิตสะเอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2014, 14:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2013, 11:12
โพสต์: 421

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
ค่ะ....ใช่ค่ะ....
จึงปล่อย ๆวาง ๆ ๆเขาไว้ เพียงแต่หากว่าง ๆก็คิดเตรียมรับสถานการณ์ไว้บ้างเท่านั้นเองค่ะ.....

ไม่งั้นเดียวจะคิด เตรียมไม่ทัน เพราะเขา เหมือนผี แว๊บไป แว๊บมา เร็ว ไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ....และมาแบบไม่รู้เหนือ ใต้ ว่าจะทำอะไร ต้องการอะไร เขาเปลี่ยน ความคิด ความรู้สึกเร็วมากกกก.....จึงต้องเตรียมไว้บ้างค่ะ.......

แต่ขณะนี้ ก็ ...เรื่อย ๆ ๆ อยู่แล้วค่ะ ...คิดว่าอยู่ ๆ ๆ ไป เรามีงาน มีเงิน จะเที่ยว จะทำบุญ ปฏิบัติธรรม หรือทำอะไรก็ได้ ไม่เดือดร้อน...ไม่แคร์ใคร ..เรามีคุณค่าอยู่ที่ตัวเราเองทุกวันได้ทำงานช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ไป....เรื่องเขาจะจบอย่างไร...ก็ช่างมัน.....
ฝึก...ควบคุมจิตใจ วางใจไป ได้บ้างไม่ได้บ้างก็ไม่เป็นไร.....ไม่เสียหาย ดีกว่าไม่ฝึกอะไรเลย....ไม่ได้วาง ไม่ว่างเลย......

ดีที่ได้เข้ามาในลานธรรมแห่งนี้ค่ะ .....ก็ได้พูด ได้เขียนระบาย ก็ดีมากค่ะ เบาบางไปเยอะ..... :b29: :b29: :b32: :b32:
ขอบพระคุณทุกท่านที่ช่วยเหลือจริง ๆ ๆ ช่วยได้เยอะเลยค่ะ........


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2014, 19:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หน้าที่ 1 เห็นพูดเรื่องกรรม,แก้กรรม กัน จึงขอนำวิธีแก้กรรม (แม้ไม่ตรงใจคนไทยนัก) ตามหลักพระพุทธศาสนาให้ดู จากพุทธธรรมหน้า 290 พิจารณาดูครับ


แก้กรรม ด้วยปฏิกรรม

ปฏิกรรม เป็นคำสอนสำคัญส่วนหนึ่งของหลักกรรม คำว่า "ปฏิกรรม" นิยมแปลกันมาในภาษาพระว่า "การทำคืน" ถ้าแปลให้เห็นศัพท์เดิม หรือล้อคำเดิม ก็คือ "การแก้กรรม" หมายถึงการแก้ไข การทำให้กลับคืนดี การทำใหม่ให้เปลี่ยนเป็นดี การเลิกละกรรมชั่วหันมทาทำกรรดี หรือการกลับตัว

ปฏิกรรม หรือแก้กรรมนี้ แต่เดิมเป็นคำพื้นๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน มีความหมายว่า ถ้าอะไรเสียหายเสื่อมโทรมไป ก็แก้ไขให้กลับคืนดี หรืออะไรที่ทำไปขาดตกบกพร่อง ก้ปรับก็แก้ใหม่ ให้เต็๋ม ให้บริบูรณ์ การจัดการ แก้ไขความผิดพลาดต่างๆ เพื่อพลิกกลับให้เป็นไปในทางที่ดี รวมทั้งการเยียวยาแก้ไขบำบัดโรค ก๋็เรียกว่าเป็นปฏิกรรมทั้งนั้น

เมื่อใช้เป็นศัพท์ในทางธรรม ปฏิกรรมมีสาระสำคัญ คือ ยอมรับความผิดพลาดที่ได้ทำไปแล้ว ละเลิกบาปอกุศล หรือการกระทำผิดพลาดเสียหายที่เคยทำนั้น เปลี่ยนไปทำกรรมที่ดีแทน หรือหันกลับจากความชั่วร้าย มาทำความดีงามถูกต้อง ทำบุญกุศล แก้ไขปรับปรุงตน เปลี่ยนแปรกรรมจากการทำความชั่วมาทำความดี ตลอดจนแก้ไขข้อบกพร่อง เพื่อก้าวขึ้นไปสู่ความถูกต้องสมบูรณ์

ในธรรมวินัยนี้ สำหรับพระสงฆ์ พระพุทธเจ้าทรงนำหลักปฏิกรรมมาวางเป็นพุทธบัญญัติ ซึ่งกำหนดเป็นวินัยที่มีผลบังคับให้ต้องปฏิบัติ จัดเป็นวินัยบัญญัติ ๒ เรื่อง คือ อาปัตติปฏิกรรม และปวารณากรรม พร้อมกันนั้น ในวงกว้างออกไป สำหรับทุกคน ไม่ว่าบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ ทรงเน้นย้ำให้บำเพ็ญปฏิกรรม ที่มากับความสำนึกและสารภาพความผิด (เรียกว่า อัจจยเทศนา) ถือว่าเป็นหลักปฏิบัติในแบบแผนของอารยชน (อริยวินัย)

(มีต่อ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2014, 20:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ


รวมเป็นหลักปฏิกรรม ที่เป็นระบบปฏิบัติทางสังคมขั้นพื้นฐานในพระธรรมวินัยนี้ ๓ ประการ คือ


๑. อาปัตติปฏิกรรม ซึ่งแปลว่า การทำคืนอาบัติ หรือปลงอาบัติ เป็นวินัยบัญญัติ (สำหรับพระสงฆ์) มีสาระสำคัญว่า ทำความผิดแล้ว ก็รู้ตัวเปิดเผยความผิดนั้น และบอกว่าเิลิกละ จะไม่ทำอีก คือการที่ภิกษุหรือภิกษุณีบอกแจ้งความผิดของตน เพื่อจะสังวรต่อไป

ทั้งนี้ แม้แต่แค่สงสัย ท่านก็วางวิธีปฏิบัติไว้ให้ ดังเช่น เมื่อถึงวันอุโบสถ ภิกษุรูปหนึ่งเกิดความสงสัยว่า ตนอาจจะได้ต้องอาบัติ ก็บอกแจ้งแก่ภิกษุอื่น รูปหนึ่งว่า (เช่น วินย. ๔/๑๘๖/๒๔๖) "อหํ อาวุโส อิตฺถนฺนามาย อาปตฺติยา เวมติโก ยทา นิพฺเพมติโก ภวิสฺสามิ ตทา ตํ อาปตฺตึ ปฏิกริสฺสมิ" (ท่านครับ ผมมีความสังสัยในอาบัติชื่อนี้ หายสงสัยเมื่อใด จักปฏิกรรมอาบัตินั้น เมื่อนั้น... รูปกริยาของปฏิกรรม คือ "ปฏิกร" นิยมแปลกันว่า "ทำคืน" ในที่นี้ แปลทับศัพท์ว่า "ปฏิกรรม" เพื่อให้เห็นชัด)

๒. ปวารณากรรม คือ การบอกเปิดโอกาสเชื้อเชิญให้ว่ากล่าวตักเตือน เป็นวินัยบัญญัติ (สำหรับพระสงฆ์) เป้นสังฆกรรมประจำปี ตอนจบการจำพรรษา เรียกสั้นๆว่า "ปวารณา" มีหลักการว่า หลังจากอยู่ร่วมกันมาตลอดพรรษา ภิกษุหรือภิกษุณีทั้งหลายประชุมกัน และแต่ละรูปกล่าวคำเปิดโอกาสหรือเชิญชวนแก่ที่ประชุม โดยมีสาระว่า ตามที่ได้อยู่ร่วมกันมาถึงบัดนี้ ถ้าได้เห็น ได้ยิน หรือมีเหตุให้น่าระแวงสงสัยว่าตนได้ผิดพลาด บกพร่องทำอะไรเสียหาย ก็ขอให้บอก ขอให้่ว่ากล่าว เมื่อมองเห็นแล้ว ก็จะได้ ปฏิกรรม ทำการแก้ไข



เริ่มด้วยรูปที่เป็นผู้ใหญ่ที่สุดว่า "สงฺฆํ อาวุโส ปวาเรมิ ทิฏฺเฐน ว่า สุเตน วา ปริสงฺกาย วา วทนฺตุ มํ อายสฺมนฺต อนุกมฺปํ อุปาทาย ปสฺสนฺโต ปฏิกริสฺสมิ" (เธอทั้งหลาย ฉันปวารณาต่อสงฆ์ ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี ขอเธอทั้งหลาย จงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวฉัน ฉันเห็นอยู่ จักปฏิกรรม)


๓. อัจจยเทศนา เป็นหลักปฏิบัติอย่างหนึ่งในอริยวินัย (สำหรับทั้งพระสงฆ์ และคฤหัสถ์) มีสาระสำคัญว่า เมื่อใดก็ตาม ถ้ามีใครทำการละเมิด ล่วงเกิน เข้าใจผิด หรือทำอะไรไม่ดีต่อผู้อื่น ต่อมา รู้ตัวว่า หรือสำนึกได้ จะปฏิกรรมแก้ไขกลับตัว ก็ไปขอขมาอภัยเขา การแสดงความยอมหรือสำนึกผิดในการที่ตนได้ทำความผิดละเมิดหรือล่วงเกินผู้อื่น และมาบอกขอให้เขายอมรับความสำนึกของตน เพื่อที่ตนจะได้ปฏิกรรม และสำรวมระวังต่อไปนั้น เป็นความเจริญงอกงามในอริยวินัย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2014, 20:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ


ในพระไตรปิฎก มีเรื่องราวหลายกรณี ที่ชาวบ้านบางคน และพระบางรูปก็มี ทำผิดล่วงเกินแม้กระทั่ง่ต่อพระพุทธเจ้า เมื่อสำนึกได้ ก็ไปสารภาพผิด กราบทูลขอขมาต่อพระองค์ พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า เมื่อได้ทำผิดพลาดล่วงเกินไปเพราะความหลงความเขลา มองเห็นโทษแล้ว แก้ไขเสีย ก็ทรงรับขมา การที่ใครก็ตามทำผิดพลาดแล้ว มองเห็นโทษ มาปฏิกรรม กลับตัวแก้ไข ทำความสังวรต่อไปนั้น เป็นความเจริญงอกงามในวินัยของอารยชน

ดังเช่นในการณีนายขมังธนูที่รับจ้างมาเพื่อสังหารพระพุทธเจ้า แล้วสำนึกผิด และเข้ามากราบทูลความสำนึกผิดของตน พระพุทธเจ้าได้ตรัสข้อความที่เป็นหลักในเรื่องนี้ว่า (วินย. ๗/๓๖๙/๑๘๐) "ยโต จ โข ตฺวํ อาวุโส อจฺจยํ อจฺจยโต ทิสฺวา ยถาธมฺมํ ปฏิกโรสิ ตนฺเต มยํ ปฏิคฺคณฺหาม วุทฺธิ เหสา อาวุโส อริยสฺส วินเย โย อจฺจยํ อจฺจยโต ทิสฺวา ยถาธมฺมํ ปฏิกโรติ อายตึ สํวรํ อาปชฺชติ" (เพราะการที่เธอมองเห็นโทษ โดยความเป็นโทษ แล้วทำคืนตามธรรม เราจึงยอมรับโทษนั้นของเธอ การที่ผู้ใดเห็นโทษโดยความเป็นโทษ แล้วปฏิกรรมตามธรรม ถึงความสังวรต่อไป ข้อนั้น เป็นความเจริญในอริยวินัย)


ปฏิกรรมนี้ เป็นการนำหลักกรรมมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาคน ด้วยการให้เขาพัฒนากรรมของเขาเอง โดยอย่่างน้อยให้ปฏิกรรม คือแก้ไข เพื่อให้การกระทำครั้งต่อไปดียิ่งขึ้น หรือกลับร้ายกลายดี มิใช่ว่ากลัวจะมีกรรม ก็เลยไม่ทำอะไร เหมือนอย่างลัทธินิครนถ์ และที่สำคัญ คือ ไม่ใช่ว่า ทำผิดพลาดไปแล้ว ก็มัวครุ่นคิดหม่นหมอง ขุ่นข้อง คร่ำครวญ หวนละห้อย จมอยู่กับอดีต ซึ่งทางธรรมถือว่าเป็นการเสริมซ้ำบาปอกุศล และกีดกั้นกุศลให้เสียโอกาส เป็นการเพิ่มทุกข์ให้แก่ตนเอง


การที่ว่าเมื่อทำอะเไรผิดพลาดไปแล้่ว ตนมาตระหนักรู้ความผิดพลาดนั้น ก้ไม่มัวอยู่กับความรู้สึก ทั้งไม่มัวทุกข์ และัทั้งไม่มัวนิ่งนอนใจ แต่หันไปหาความรู้ คือไปอยู่กับปัญญา ค้นหาพบข้อบกพร่องแล้ว คิดที่จะแก้ไขปรับปรุง หรือคิดกลับตัวใหม่ ก็จะได้ปฏิกรรม กลับจากร้ายกลายเป็นดี เข้าหลักที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญนี้ อีกทั้งเข้าหลักเป็นความไม่ประมาทด้วย เท่ากับว่าปฏิกรรมมาหนุนย้ำความไม่ประมาท ที่เป็นหลักธรรมใหญ่ ทำให้บุคคลนั้นงอกงาม มีแต่ความก้าวหน้า พัฒนาสู่ความสมบูรณ์

ขอนำพุทธภาษิต ในพระธรรมบท ซึ่งพระองคุลิมาล เมื่อกลับตัวกลับใจมาเกิดใหม่ในอริยวินัยแล้ว ครั้นบรรลุอรหัตผล เสวยวิมุตติสุขอยู่ ก็ได้นำมากล่าว เท่ากับเป็นการเสริมย้ำความในเรื่องปฏิกรรม ดังนี้


"ผู้ใด ประมาทพลาดไปแล้วในกาลก่อน ครั้นภายหลัง (กลับตัวได้) ไม่ประมาัท ผู้นั้น ย่อมทำโลกนี้ให้สว่างสดใส ดุจดังดวงจันทร์อันพ้นไปแล้วจากเมฆหมอก

"ผู้ใด ได้ทำบาปกรรมไว้ มาปิดเลิกเสียได้ด้วยกุศล ผู้นั้น ย่อมทำโลกนี้ให้สว่างสดใส ดุจดังดวงจันทร์อันพ้นไปแล้วจากเมฆหมอก"

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2014, 10:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2013, 11:12
โพสต์: 421

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ต่อ
๓. อัจจยเทศนา เป็นหลักปฏิบัติอย่างหนึ่งในอริยวินัย (สำหรับทั้งพระสงฆ์ และคฤหัสถ์) มีสาระสำคัญว่า เมื่อใดก็ตาม ถ้ามีใครทำการละเมิด ล่วงเกิน เข้าใจผิด หรือทำอะไรไม่ดีต่อผู้อื่น ต่อมา รู้ตัวว่า หรือสำนึกได้ จะปฏิกรรมแก้ไขกลับตัว ก็ไปขอขมาอภัยเขา การแสดงความยอมหรือสำนึกผิดในการที่ตนได้ทำความผิดละเมิดหรือล่วงเกินผู้อื่น และมาบอกขอให้เขายอมรับความสำนึกของตน เพื่อที่ตนจะได้ปฏิกรรม และสำรวมระวังต่อไปนั้น เป็นความเจริญงอกงามในอริยวินัย

:b8: :b8:

ได้ข้อคิดที่ดีมากเลยค่ะท่าน........
กราบขอบพระคุณค่ะ......
...ณ วันนี้ จึงได้รับรู้ว่าเราโชคดีมาก มากจริง ๆ ๆ กราบขอบพระคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ครูบาอาจารย์ องค์เทพ องค์พรหม ที่ปกปักษ์ รักษา กาย สังขาร วิญญาณ ลูกอยู่....ที่ดลบันดาล และ อภิบาล ให้ลูก รอดพ้นเหตุการณ์ เป็นทุกข์ ได้อย่างเนียบเนียน.......จริง ๆ ๆ
.......ปิดหู-ตา มีความสุข ชื่นชมสามี ว่าดี ดูแลซึ่งกันและกัน สุขจริง ๆ 8 ปี.....
.......พอเริ่มจะทุกข์ ก็มาพร้อมกัน พ่อ -สามี วางเขาไว้ ดูแลพ่อ ทุกข์กับการดูแล อิ่มบุญที่ได้ปรนนิบัติ จนเสร็จสิ้น พอจะหยิบเรื่องสามีมาจัดการ ก็มีเรื่องงานให้ยุ่ง ต้องวางเขาไว้เหมือนเดิม ไม่รับรู้จึงไม่ทุกข์
......พอเราเข้มแข็ง และเขามาให้เห็นหน้า จึงเริ่มจะทุกข์ และคิดจะจัดการอย่างไรที่เหมาะสม ถึงจะทุกข์ ก็จางคลายแล้วที่เรารับรู้ว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนจริง ๆ เขาไม่อยู่เคียงข้างยามเราต้องการกำลังใจดูแลพ่อ จัดงานศพพ่อ..เพียงลำพัง....จึงคลายรักลงมากมาย.....มียึดบ้าง...บางครั้งว่าเป็นสามี.....10-.20 % ได้
.......พอ ตอนนี้ จะวางอย่างไร...สถานะไหน แค่ไหน.....แล้วแต่เหตุปัจจัย......
.......เริ่ม มีเพื่อนร่วมงาน ที่เขาโทรฯติดต่อ มาให้ข้อมูลว่า เขาโทรฯมาหา......เพราะเราไม่รับสายเขา ....จะตีกรอบเข้ามาแล้วล่ะ....... :b29: :b29:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2014, 13:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2013, 11:12
โพสต์: 421

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ปฏิกรรมนี้ เป็นการนำหลักกรรมมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาคน ด้วยการให้เขาพัฒนากรรมของเขาเอง โดยอย่่างน้อยให้ปฏิกรรม คือแก้ไข เพื่อให้การกระทำครั้งต่อไปดียิ่งขึ้น หรือกลับร้ายกลายดี มิใช่ว่ากลัวจะมีกรรม ก็เลยไม่ทำอะไร เหมือนอย่างลัทธินิครนถ์ และที่สำคัญ คือ ไม่ใช่ว่า ทำผิดพลาดไปแล้ว ก็มัวครุ่นคิดหม่นหมอง ขุ่นข้อง คร่ำครวญ หวนละห้อย จมอยู่กับอดีต ซึ่งทางธรรมถือว่าเป็นการเสริมซ้ำบาปอกุศล และกีดกั้นกุศลให้เสียโอกาส เป็นการเพิ่มทุกข์ให้แก่ตนเอง


ค่ะ...น้อมรับ ...นำไปฝึกปฏิบัติ....ริ่มที่ตัวเราก่อน....ซึ่งบางครั้ง เรามักจะเข้าข้างตัวเราว่าฉันถูก ฉันดี ...หากพบว่าไม่เหมาะสมต้องรีบแก้ไข...ที่ผ่านไป ก็ทิ้งไป ไม่กังวล ไม่พะวงกับอดีต อนาคต อยู่กับปัจจุบัน ว่าง่ายทำยาก ......แต่ก็ยังดีที่ยังได้รู้ ได้คิด ..และตั้งใจว่าจะทำ ดีกว่ามืดบอด ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่สนใจ ไม่ยอมรับ .......


นิ้วมือไม่เท่ากัน.....ความคิด ความรู้สึกเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา....... :b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2014, 00:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ม.ค. 2014, 10:27
โพสต์: 61

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b5: :b5: :b5: อยากเล่าให้คุณกล้วยไม้ม่วงฟังค่ะในสิ่งที่จำได้ เผื่อจะได้รับคำแนะนำบ้าง :b20: :b20: :b20:

ขอเรียกเขาว่าแฟนนะคะ เป็นความเข้าใจของฉันคนเดียว :b6: :b6: :b6:

แฟนฉันก็เป็นผู้ชายอีกคนหนึ่งที่ชอบเอาเงินจากผู้หญิง จำได้ตั้งแต่คบกันมาเขาก็ไม่เคยให้เงินฉันเลยแบบให้เปล่าๆ ทุกครั้งที่ให้ก็คือยืมฉันต้องใช้คืนทุกครั้ง แต่เขาเอาจากฉันไม่เคยยืม และไม่ยอมใช้คืน
ครั้งแรกเลยที่เราคบกันใหม่ๆ ฉันต้องขับรถไปหาเขา พูดคุยกันเขาก็บอกไม่มีเงิน เราต้องจ่ายค่ากิน พาเราไปวัดทำบุญ ก่อนกลับเขาถามเรื่องเงินฉันบอกมี 2000 บาท เขายังแบ่งไป 1000 บาทเลย ฉันไม่คิดมากกลับสงสารเห็นใจเขา :b7:

ครั้งที่สอง ถือไป 10000 เติมน้ำมันทานข้าว 2000 เหลือ 8000 บาทเขายังแบ่งไป 4000 บาท
และยังซื้อของฝากให้เพื่อน ฝากคนรู้จัก ฝากเจ้ (ตอนนั้นเชื่อว่าเป็นเพื่อนจริงๆ) แต่ให้เราจ่าย เราก็จ่าย เพราะคิดว่าเป็นแฟนกันก็ต้องช่วยเหลือกันมีความสุขที่ได้ช่วยที่ได้ให้ เงินเราหมด แต่เขายังเหลือติดตัวไป

เขานิสัยดีพูดดี เป็นลูกกตัญญู ฉันก็บอกเขาว่าจนไม่เป็นไร ขอให้จริงใจมีอะไรก็บอกไม่มีอะไรก็บอก ฉันต้องการอยู่เป็นครอบครัว มาอยู่ด้วยกันขอให้มีมา 2 อย่าง คือ ตัว กับ หัวใจ

อยู่ด้วยกันเวลาสั้นแต่เรื่องมันยาวค่ะ huh huh huh เล่าให้ฟังก็เหมือนประจานตัวนะคะ :b10: :b10: :b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2014, 08:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จริงไม่จริงพิจารณาดูนะครับ :b1:

มีคำพระท่านกล่าวไว้ประมาณว่า คนเรา เมื่อ (ช่วง) ชีวิตประสบสุขคล่องสะดวกสบาย จิตใจก็ประมาทขาดสติหมกจมอยู่กับสุขนั้น เมื่อช่วงชีวิตถูกทุกข์บีบคั้น ก็แสวงหาทางออกจากทุกข์ทีหนึ่ง ...เมื่อพ้นจากทุกข์ไปได้ครั้งหนึ่ง ชีวิตคล่องสะดวกสบายมีความสุขอีก ก็เมาประมาทขาดสติอีก สรุปก็คือแก้ปัญหาเป็นครั้งเป็นราวไป ชีวิตทั้งชีวิตของเขาจึงวนๆอยู่กับสุขบ้าง ทุกข์บ้าง หัวเราะ :b32: บ้าง ร้องไห้ :b2: บ้าง

ก่อนพุทธกาลเมื่อมนุษย์ถูกทุกข์บีบคั้นแล้ว ก็ไปพึ่งแม่น้ำ ต้นไม้ ภูเขา ฯลฯ ครั้นเมื่อพุทธศาสนาอุบัติขึ้นแล้ว พระพุทธเจ้าดึงเขาเข้าหาพระรัตนตรัย แต่พระรัตนตรัยก็มีหลายระดับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2014, 09:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2013, 11:12
โพสต์: 421

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


cool คุณบัวฟ้าค่ะ........

คงไม่มีใครรู้สึกหรือตำหนิเราว่าเราประจานตนเอง....

...แต่ที่เล่ามาเพื่อคุณต้องการให้ฉันรับรู้และรู้สึกว่าฉันไม่ได้โง่คนเดียวที่เลี้ยงดูสามีและครอบครัว
ฉัน ขอ.. ขอบคุณ คุณจริง ๆ ด้วยซ้ำที่กล้าจะยอมรับความผิดพลาดของตนเอง เช่นเดียวกับฉันที่ยอมรับข้อผิดพลาดของตนเอง เพราะฉันรัก เชื่อใจสามีฉันมากกกจริง ๆ คาดหวังว่าจะอยู่ครองคู่จนแก่เฒ่าตายไป เมื่อมีเหตุ ก็ตามผล ตามปัจจัย เราทำเหตุไม่ดี เมื่อชาติใด ก็ตาม ก็อโหสิกรรมให้พ้นผ่านไป ตั้งจิตว่านับตั้งแต่ วินาทีนี้ไป จะครองสติ ทำดีเท่านั้น ก็บังเกิดผลแล้วค่ะ....

.....ผู้หญิงอย่างเรา ที่ซื่อ บูชารัก ก็มักจะตกเป็นเหยื่อของชาย ที่เขามีแผน วางแผนในใจมาแล้ว เพราะเขาเป็นคนพาล........เพียงแต่ต้องมั่นคงต่อการตั้งมั่น ตั้งใจว่าจะไม่ผิดบาปอีก ชีวิตเราก็จะดีขึ้นค่ะ....

ไม่รู้ว่าจะทำให้คุณสบายใจขึ้น...หรือว่าทุกข์หนักขึ้น...หากเป็นประการหลังก็ขอโปรดอย่าถือสาเลยค่ะ

ขอให้คุณพ้นทุกข์ในใจโดยเร็วพลัน..... :b41: :b36: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2014, 15:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


บัวฟ้า เขียน:
:b5: :b5: :b5: อยากเล่าให้คุณกล้วยไม้ม่วงฟังค่ะในสิ่งที่จำได้ เผื่อจะได้รับคำแนะนำบ้าง :b20: :b20: :b20:

ขอเรียกเขาว่าแฟนนะคะ เป็นความเข้าใจของฉันคนเดียว :b6: :b6: :b6:

แฟนฉันก็เป็นผู้ชายอีกคนหนึ่งที่ชอบเอาเงินจากผู้หญิง จำได้ตั้งแต่คบกันมาเขาก็ไม่เคยให้เงินฉันเลยแบบให้เปล่าๆ ทุกครั้งที่ให้ก็คือยืมฉันต้องใช้คืนทุกครั้ง แต่เขาเอาจากฉันไม่เคยยืม และไม่ยอมใช้คืน
ครั้งแรกเลยที่เราคบกันใหม่ๆ ฉันต้องขับรถไปหาเขา พูดคุยกันเขาก็บอกไม่มีเงิน เราต้องจ่ายค่ากิน พาเราไปวัดทำบุญ ก่อนกลับเขาถามเรื่องเงินฉันบอกมี 2000 บาท เขายังแบ่งไป 1000 บาทเลย ฉันไม่คิดมากกลับสงสารเห็นใจเขา :b7:

ครั้งที่สอง ถือไป 10000 เติมน้ำมันทานข้าว 2000 เหลือ 8000 บาทเขายังแบ่งไป 4000 บาท
และยังซื้อของฝากให้เพื่อน ฝากคนรู้จัก ฝากเจ้ (ตอนนั้นเชื่อว่าเป็นเพื่อนจริงๆ) แต่ให้เราจ่าย เราก็จ่าย เพราะคิดว่าเป็นแฟนกันก็ต้องช่วยเหลือกันมีความสุขที่ได้ช่วยที่ได้ให้ เงินเราหมด แต่เขายังเหลือติดตัวไป

เขานิสัยดีพูดดี เป็นลูกกตัญญู ฉันก็บอกเขาว่าจนไม่เป็นไร ขอให้จริงใจมีอะไรก็บอกไม่มีอะไรก็บอก ฉันต้องการอยู่เป็นครอบครัว มาอยู่ด้วยกันขอให้มีมา 2 อย่าง คือ ตัว กับ หัวใจ

อยู่ด้วยกันเวลาสั้นแต่เรื่องมันยาวค่ะ huh huh huh เล่าให้ฟังก็เหมือนประจานตัวนะคะ :b10: :b10: :b10:



สวัสดีค่ะ เิลิกกันแล้วใช่มั้ยคะ ดีแล้วค่ะ

ไม่ประจานตนเองหรอกค่ะ ถือเป็นการเตือนสติเพื่อนๆ ผู้หญิงด้วยกันค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2014, 15:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


กล้วยไม้ม่วง เขียน:
cool คุณบัวฟ้าค่ะ........

คงไม่มีใครรู้สึกหรือตำหนิเราว่าเราประจานตนเอง....

...แต่ที่เล่ามาเพื่อคุณต้องการให้ฉันรับรู้และรู้สึกว่าฉันไม่ได้โง่คนเดียวที่เลี้ยงดูสามีและครอบครัว
ฉัน ขอ.. ขอบคุณ คุณจริง ๆ ด้วยซ้ำที่กล้าจะยอมรับความผิดพลาดของตนเอง เช่นเดียวกับฉันที่ยอมรับข้อผิดพลาดของตนเอง เพราะฉันรัก เชื่อใจสามีฉันมากกกจริง ๆ คาดหวังว่าจะอยู่ครองคู่จนแก่เฒ่าตายไป เมื่อมีเหตุ ก็ตามผล ตามปัจจัย เราทำเหตุไม่ดี เมื่อชาติใด ก็ตาม ก็อโหสิกรรมให้พ้นผ่านไป ตั้งจิตว่านับตั้งแต่ วินาทีนี้ไป จะครองสติ ทำดีเท่านั้น ก็บังเกิดผลแล้วค่ะ....

.....ผู้หญิงอย่างเรา ที่ซื่อ บูชารัก ก็มักจะตกเป็นเหยื่อของชาย ที่เขามีแผน วางแผนในใจมาแล้ว เพราะเขาเป็นคนพาล........เพียงแต่ต้องมั่นคงต่อการตั้งมั่น ตั้งใจว่าจะไม่ผิดบาปอีก ชีวิตเราก็จะดีขึ้นค่ะ....

ไม่รู้ว่าจะทำให้คุณสบายใจขึ้น...หรือว่าทุกข์หนักขึ้น...หากเป็นประการหลังก็ขอโปรดอย่าถือสาเลยค่ะ

ขอให้คุณพ้นทุกข์ในใจโดยเร็วพลัน..... :b41: :b36: :b48:



:b27: เห็นด้วยค่ะ เราต้องรักตัวเราเองไว้ ด้วยการรักษาสติและทำกุศลค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2014, 03:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ม.ค. 2014, 10:27
โพสต์: 61

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กล้วยไม้ม่วง เขียน:
cool คุณบัวฟ้าค่ะ........

คงไม่มีใครรู้สึกหรือตำหนิเราว่าเราประจานตนเอง....

...แต่ที่เล่ามาเพื่อคุณต้องการให้ฉันรับรู้และรู้สึกว่าฉันไม่ได้โง่คนเดียวที่เลี้ยงดูสามีและครอบครัว
ฉัน ขอ.. ขอบคุณ คุณจริง ๆ ด้วยซ้ำที่กล้าจะยอมรับความผิดพลาดของตนเอง เช่นเดียวกับฉันที่ยอมรับข้อผิดพลาดของตนเอง เพราะฉันรัก เชื่อใจสามีฉันมากกกจริง ๆ คาดหวังว่าจะอยู่ครองคู่จนแก่เฒ่าตายไป เมื่อมีเหตุ ก็ตามผล ตามปัจจัย เราทำเหตุไม่ดี เมื่อชาติใด ก็ตาม ก็อโหสิกรรมให้พ้นผ่านไป ตั้งจิตว่านับตั้งแต่ วินาทีนี้ไป จะครองสติ ทำดีเท่านั้น ก็บังเกิดผลแล้วค่ะ....

.....ผู้หญิงอย่างเรา ที่ซื่อ บูชารัก ก็มักจะตกเป็นเหยื่อของชาย ที่เขามีแผน วางแผนในใจมาแล้ว เพราะเขาเป็นคนพาล........เพียงแต่ต้องมั่นคงต่อการตั้งมั่น ตั้งใจว่าจะไม่ผิดบาปอีก ชีวิตเราก็จะดีขึ้นค่ะ....

ไม่รู้ว่าจะทำให้คุณสบายใจขึ้น...หรือว่าทุกข์หนักขึ้น...หากเป็นประการหลังก็ขอโปรดอย่าถือสาเลยค่ะ

ขอให้คุณพ้นทุกข์ในใจโดยเร็วพลัน..... :b41: :b36: :b48:



ขอบคุณนะคะ เป็นคำปลอบที่ดีมากอ่านแล้วสบายใจอย่างมาก ...เหมือนกับมีคนรับรู้อย่างแท้จริงว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ... ไม่ได้ตั้งใจทำผิด ...ไม่มีเจตนาทำผิด...แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่ทำผิด...ผู้ชายคงไม่เลวทุกคนหรอกนะคะ :b15: :b15: :b15:

ขอบคุณอีกครั้งค่ะผ่านกลางคืนก็ผ่านพ้นทุกข์ค่ะ :b17: :b17: :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2014, 03:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ม.ค. 2014, 10:27
โพสต์: 61

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


SOAMUSA เขียน:


สวัสดีค่ะ เิลิกกันแล้วใช่มั้ยคะ ดีแล้วค่ะ

ไม่ประจานตนเองหรอกค่ะ ถือเป็นการเตือนสติเพื่อนๆ ผู้หญิงด้วยกันค่ะ


:b6: :b6: :b6: ขอบคุณมากนะคะ มีความสุขเล็กๆ ไม่คิดว่าเรื่องไม่ดีของตัวเองยังเป็นประโยชน์ให้เพื่อนๆได้ บัวฟ้าเลิกเด็ดขาดทั้งชาตินี้ ชาติหน้าและชาติต่อๆไป ของแถม คือ เข็ด ขยาด คนตัวผู้น่ากลัว :b7:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2014, 16:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2013, 11:12
โพสต์: 421

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


onion
คุณบัวฟ้า.....
อะไรจะขนาดนั้นค๊า......
บัวฟ้า เขียน:
ของแถม คือ เข็ด ขยาด คนตัวผู้น่ากลัว



ท่านผู้รู้ก็เตือนอยู่ว่า......พอมีสุขก็ใช้ชีวิตอย่างประมาท....พอทุกข์ก็จะระวัง บอกว่าจะเฝ้าระวังสติ อยู่กับปัจจุบัน พอผ่านไปก็หลงลืม ละ กลับไปใช้ชีวิตอย่าง.....ตามความเคยชิน.....ร่องเดิม......

ต้องคอยระวังอยู่เสมอ...ตักเตือนตนเองเสมอ และข้อสำคัญ ต้องมีกัลยาณมิตรเช่นพวกเราที่ผ่านความทุกข์ มาด้วยกัน คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันนะค๊า........

คุณโสมฯ ไม่ช่วยชี้แนะหน่อยเหรอค่ะ.....บางครั้งก็อภัย.....บางขณะจิตก็คับแค้นใจ ไม่เข้าใจ งง..ดึงกันอย่างแรง จิตของเราเป็นสมรภูมิรบฉันนั้นเชียวค่ะระหว่าง กุศลกรรม-อกุศลกรรม

แต่ถึงกระนั้นก็พอที่จะว่าง ๆ ๆ ๆ โล่ง โปร่ง...ดับ เย็น บ้างเหมือนกัน อาศัย คิดถึงคำสอนพระอาจารย์ทุกพระองค์ว่า อยู่กับอิริยาบถ......กำหนดให้ทัน ถึงจะช้าก็ยังดีกว่าไม่ได้ แฮ่ๆๆๆๆ คำแก้ตัวมั๊งค่ะ :b29: :b29:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 400 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 10, 11, 12, 13, 14, 15, 16 ... 27  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร