วันเวลาปัจจุบัน 02 พ.ค. 2025, 21:12  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2011, 09:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ย. 2010, 12:12
โพสต์: 45

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความรักไม่ได้อยู่ที่หัวใจ แต่อยู่ที่ใจทั้งดวง
เพราะหัวใจกว้างไม่ถึงคืบ
ขณะที่ดวงใจแผ่กว้างได้ครอบโลกเท่าความรัก

เกิดมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก พวกเราทุกคนถูกธรรมชาติฝึกให้เห็นแก่ตัว อยากได้อะไรต้องได้ ไม่ว่าจะอยากดูดนม อยากอยู่ในอ้อมอกแม่ อยากได้ของเล่น ฯลฯ คนอื่นต้องหามาให้ โดยไม่ต้องสนใจว่าใครเขาจะเหนื่อยยากขนาดไหน ไม่ต้องสนใจฟังว่าใครเขาจะอ้อนวอนให้หยุดแผดเสียงอย่างไร ฉันจะเอาของฉันเสียอย่าง ใครจะทำไม

เมื่อโตขึ้นคนส่วนใหญ่ก็ยังไม่พ้นจากแรงทะยานอยากและความเห็นแก่ตัวแบบเมื่อแรกเกิดสัก เท่าใด จะเขยิบขึ้นมานิดเดียว ก็คือความเข้าใจว่าไม่มีใครตามใจให้เราทุกอย่างเหมือนพ่อแม่เท่านั้น

ที่แน่ยิ่งกว่าอะไร คือ เราจะสนใจความอยากของตัวเองมากกว่าความทุกข์ของคนอื่นเสมอ!

รักแท้อาจสอนให้คุณเห็นแก่ตัวน้อยลง และค่อยๆยกระดับรักให้สูงขึ้น แต่คงดีหากคิดจะยกระดับความรักด้วยตนเองโดยไม่ต้องคอยรักแท้บงการ เพราะบางครั้งรักแท้มาช้า หรือสายเกินกว่าที่คุณจะแก้ความเห็นแก่ตัวจัดเสียแล้ว

ความรักที่สูงเหนือกว่าภาคพื้นกามารมณ์ เรียกว่าความรักแบบพรหม คือเหล่าพรหมใช้ความรักแบบนี้เป็นเครื่องกำเนิด ตลอดจนเป็นเครื่องรักษาชีวิต จิตของพวกท่านรักได้โดยไม่ต้องอาศัยกามล่อ อีกทั้งเป็นความรักไม่จำกัด ไม่เลือกหน้า ไม่แบ่งชนชั้นวรรณะ เราจึงเรียกความรักแบบพรหมว่า ‘พรหมวิหาร ๔’ ซึ่งแปลตรงตัวว่า ‘เครื่องอยู่ของพรหม’

ความรักแบบพรหมจะทำให้คุณบังเกิดความเข้าใจว่า รักแท้เป็นสิ่งที่ตั้งต้นจากตัวคุณได้ ไม่ใช่ต้องรอขอความร่วมมือจากใคร

รักแท้แบบพรหมไม่เคยตามหาตัวคุณ แต่คุณต้องไล่ล่าหามันเอาเอง และเมื่อหาเจอ คุณจะย้อนกลับมาเปรียบเทียบได้ว่ารักแบบหญิงชายอยู่ต่ำระดับกว่าเพียงใด เป็นสุขน้อยกว่ากันขนาดไหน คุณจะเห็นถนัดว่า ก็เมื่อเท้าของคนเรา จมอยู่ในโคลนตมแห่งกิเลส แล้วแสวงหาความรักกันด้วยมือที่เปื้อนโคลนตมแห่งกิเลส ความรักจะไม่เปื้อนมลทินอย่างไรได้

ต่อเมื่อมือเท้าสะอาดจากโคลนตมแห่งกิเลส นั่นเองความรักจึงอยู่ในมือได้โดยไม่เปื้อนมลทิน

รักได้โดยไม่ต้องรอความน่ารัก คือรักเหนือรัก เป็นรักในอุดมคติที่ทำได้จริง ลองมาดูเป็นข้อๆครับว่าเหล่าพรหมท่านทำกันอย่างไร

๑) มีเมตตา
เมตตา ในความรักแบบพรหม ก็คือความรู้สึกรักนั่นเอง แต่เป็นรักที่ไม่เจืออยู่ด้วยความเห็นแก่ตัว มีแต่ความปรารถนาให้ใครต่อใครเป็นสุข ซึ่งก็เป็นตรงข้ามกับความเกลียดชังหรือผูกใจพยาบาท อันเปรียบเสมือนไฟทางจิตที่ลุกโพลงตลอดวันตลอดคืน โดยมีหัวใจร้อนๆเป็นถ่านเชื้อเพลิง

เริ่มรักแบบหญิงชาย คุณอาจถูกดึงดูดให้มา ‘ปรารถนาดีต่อกัน’ ด้วยเรื่องคาวๆ แต่ต่อมาเมื่อร่วมบุญ ร่วมกุศลทางกาย วาจา ใจ ก็อาจพัฒนาขึ้นเป็นความรู้สึกลึกซึ้งซึ่งไม่ต้องอิงกามารมณ์ ต่อให้แยกจากกัน ไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกแล้ว ก็ยังอยากให้อีกฝ่ายมีความสุขเสมอ ห่วงใยอยู่เสมอ เรื่องแต่หนหลังที่แล้วมาจะแค้นเคืองเพียงใดก็ลืมได้หมด ไม่เก็บมาเป็นอารมณ์ทั้งหมด

ความเมตตาจึงเป็นเรื่องของใจล้วนๆ คุณเห็นใครมีเมตตาได้จากรังสีเยือกเย็นที่ฉายชัดจากนัยน์ตา หรือรัศมีความอบอุ่นอ่อนโยนที่แผ่ออกมาจากตัวให้รู้สึก

ใครที่ไปถึงความมีเมตตาอย่างใหญ่ ย่อมรู้สึกได้ถึงพื้นฐานความเป็นจิตที่หนักแน่นมั่นคง และแผ่รัศมีได้กว้างขึ้นเรื่อยๆ จึงเรียกว่า ‘แผ่เมตตา’ และเมื่อประคองไว้ในอาการเช่นนั้นได้นานเกิน ๕ นาที จิตจะเข้าสู่ภาวะตั้งมั่นเป็นสมาธิอย่างใหญ่ เหมือนหัวตัวหายไป เหลือแต่ความเบิกบาน ยิ้มแย้ม และขยายขอบเขตรอยยิ้มกว้างไกลไพศาล ปีติสุขเบิกบานเหมือนน้ำพุที่ฉีดซ่านไม่รู้อิ่มรู้เบื่อ

ความแผ่ไปแห่งรักอย่างไม่เลือกหน้า ไม่มีประมาณชนิดนั้น เรียกว่า ‘อัปปมัญญาสมาบัติ’ คือเป็นฌาน จิตใหญ่เป็นหนึ่งเดียว ประกอบด้วยความรู้สึกรักได้โดยไม่ต้องเห็นหน้าใคร ไม่ต้องมีคน ไม่ต้องมีสัตว์มาเป็นเป้ายิงความรักใส่ จิตแผ่ไปครอบโลก ปีติสุขจึงซ่านไกลขนาดรู้สึกว่าจะเผื่อแผ่ความสุขไปถึงใครก็ได้ เป็นคนหรือสัตว์ก็ได้ เป็นเทวดาหรือสัตว์นรกก็ได้

๒) มีความกรุณา
กรุณาในความรักแบบพรหม หมายเอาความคิดจะลงมือช่วยใครต่อใครให้พ้นทุกข์ หรือที่สุขอยู่แล้วก็อยากช่วยให้สุขยิ่งๆขึ้นจนถึงความบริบูรณ์ไม่กลับไม่ เปลี่ยน ซึ่งเป็นตรงข้ามกับความเห็นแก่ตัวและความตระหนี่ถี่เหนียว อันก่อความแห้งแล้งให้กับสังคมมนุษย์มาทุกยุคทุกสมัย

เริ่มรักแบบหญิงชาย คุณอาจอยากได้รับความกรุณาจากอีกฝ่าย และไม่ค่อยอยากเป็นฝ่ายกรุณาเขาหรือเธอ อาจด้วยความกลัวเสียเปรียบ หรืออาจจะเห็นว่าเขาหรือเธอรักคุณมากกว่า ก็ต้องเอาใจคุณมากกว่า ทำอะไรให้คุณมากกว่า

แต่ต่อมาเมื่อร่วมบุญร่วมกุศลทางกาย วาจา ใจ ก็อาจพัฒนาขึ้นเป็นความอยากทำอะไรให้คนรักบ้าง อาจจะในรูปของการตอบแทน แล้วเขยิบขึ้นเป็นความหวังดี คิดริเริ่มช่วยเหลือเองโดยไม่ต้องรออีกฝ่ายทำให้ก่อน รวมทั้งไม่ได้หวังจะให้คนรักมาตอบแทนในรูปแบบเดียวกันหรือรูปแบบไหนๆด้วย

ถ้าต่อยอดพัฒนาจากกรุณาคนรักไปเป็นกรุณาสังคมผู้ด้อยโอกาส หรือกรุณาสัตว์หน้าตาน่าสงสารทั้งหลาย ก็ย่อมไปถึงความกรุณาอย่างใหญ่ สะสมไว้เป็นสิบๆปีแล้ว จิตจะแผ่กระแสเยือกเย็นโอฬาร ราวกับเป็นปราสาทราชวังให้ผู้สัมผัสใกล้ชิดได้รู้สึก

ความอยากช่วยเหลือไม่เลือกหน้า ไม่มีประมาณชนิดนั้น ถ้าตกถึงฌาน มีความเป็นหนึ่งเดียว ก็เรียกว่าเป็นอัปปมัญญาสมาบัติเช่นกัน แต่ทางเข้าของสมาบัติจะมีความยิ่งใหญ่กว่าการแผ่เมตตาเฉยๆ เนื่องจากพัฒนามาจากการสั่งสมบารมีลงมือช่วยจริง

๓) มีมุทิตา
มุทิตาในความรักแบบพรหม คือการพลอยยินดีกับเรื่องดีของคนอื่น หมายถึงว่าเมื่อเห็นใครได้ดี มีสุข มีความเจริญรุ่งเรือง ประสบความสำเร็จทางโลกหรือทางธรรม ก็เกิดความแช่มชื่นโสมนัสตาม ซึ่งเป็นตรงข้ามกับความริษยา อันก่อความร้าวฉานให้กับใครต่อใครทั้งโลกมาชั่วกาลนาน

เริ่มรักแบบหญิงชาย คุณอาจพลอยดีใจไปกับความสำเร็จหรือความเจริญก้าวหน้าของคนรัก แทบเหมือนเป็นเรื่องน่ายินดีของคุณเอง เพราะหน้าตาของคุณอยู่คู่เขา เมื่อใบหน้าของเขาใหญ่ขึ้น ใบหน้าของคุณก็พลอยใหญ่ตามไปด้วย

ทว่าพอเลิกเป็นคนรักกัน ความพลอยดีใจของคุณอาจกลับเปลี่ยนเป็นหมั่นไส้ ไม่สบอารมณ์ ไม่อยากได้ยินเรื่องดีๆที่เป็นมงคลของคนรักเก่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าได้ยินว่าพบคนใหม่ที่ดีกว่าคุณ ให้ความสุขได้มากกว่าที่คุณเคยให้ อันนี้อย่าว่าแต่จะพลอยยินดี แค่เอาตัวให้รอดจากการกระอักเลือดเสียก่อนก็ยากแล้ว!

ความรักแบบพรหมจะไม่คำนึงว่าใครเคยเป็นคนรัก ใครกำลังเป็นคนชัง ขอให้เป็นคนเถอะ ขอให้เป็นสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตใดๆเถอะ ถ้าได้ดีเป็นพลอยชื่นใจด้วยได้หมด

การฝึกให้ยินดีกับทุกคนนับเป็นเรื่องยาก เพราะความริษยาหรือความพยาบาทมักออกมาขวางหน้า ยิ่งเค้นยิ่งฝืด เหมือนจะให้เสแสร้งแกล้งยินดีที่คนรักเก่าไปได้คนใหม่ดีกว่าตนนั้น มันผิดธรรมชาติเอามาก

ทางเดียวที่คุณจะชื่นใจ ได้กับความสุขความเจริญของคนและสัตว์ไม่เลือกหน้า คือต้องคอยแผ่เมตตาและกรุณามากจนเกิดสมาธิ จิตตั้งมั่น ซ่านปีติสุขเยือกเย็นได้โดยไม่ต้องมีใบหน้าใครเป็นเครื่องเหนี่ยวนำ ทำได้อย่างนั้นธรรมชาติของใจคุณถึงจะต่างจากเดิม จิตของคุณจะพลอยยินดีกับใครต่อใครไปเองโดยไม่ต้องฝืน เพราะสิ่ง เดียวที่จิตคุณต้องการคือความสุขในรัก ไม่อยากเสียสุขในรักให้กับกิเลสคู่ปรับ อันได้แก่ความริษยาและความพยาบาทแต่อย่างใด

ความสามารถแช่มชื่นกับผู้อื่น เมื่อสะสมให้มากอย่างไม่เลือกหน้า ไม่มีขอบเขตประมาณแล้ว ย่อมเข้าถึงอัปปมัญญาสมาบัติได้เช่นกัน เพียงมีความโสมนัสกับเรื่องดีของใคร ใจก็หน่วงเป็นอารมณ์แห่งฌานได้แล้ว

สรุปคือสิ่งที่จะรักษาความสุขไว้ได้ ก็คือความพลอยยินดี ไม่ใช่ความริษยาพยาบาท นี่เองมุทิตาจึงเป็นหนึ่งในสิ่งที่พรหมต้องมี หากยังบกพร่อง หากยังมีข้อยกเว้น ก็ยังนับเป็นพรหมไม่ได้ครับ

หมายเหตุไว้ด้วย ว่าไม่ใช่ช่วยยินดีหรือพลอยแช่มชื่นดะไปหมด เป็นต้นว่าเห็นคนยิงชู้ดับคามือ แก้แค้นสำเร็จ เลยพลอยตบมือหัวเราะร่าไปกับเขา นั่นเท่ากับคุณร่วมยินดีในการฆ่า ซึ่งก็จะได้ส่วนแห่งบาปอันเกิดจากการฆ่า ไม่ใช่มุทิตาแบบพรหมแน่นอนครับ

๔) มีอุเบกขา
อุเบกขาในความรักแบบพรหม คือการมีใจเป็นกลางกับกรรมของคนอื่น เพราะเห็นตามจริงแล้วว่าใครทำอย่างไร ย่อมได้รับผลสอดคล้องตามนั้น

โดยทั่วไปความรักแบบหญิงชายจะไม่สอนให้คุณเป็นกลางวางเฉย เพราะเมื่อเห็นคนรักประสบทุกข์ ก็ย่อมอยากยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ตลอดจนทำทุกอย่างเพื่อให้คนรักพ้นความผิด แม้จะต้องเป็นคนทำผิดเสียเอง

ตรงข้ามเมื่อเห็นคนรักเก่าประสบสุข ก็จะนึกอยากแช่งให้เจอความทุกข์เสียบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณยังคงเสียอกเสียใจกับการเลิกรากัน คุณอาจถึงขนาดอยากทำตัวเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ของเขาเสียเองเลยก็ได้

อุเบกขาแบบพรหมเกิดขึ้นได้สองระดับ ระดับแรกคือการทำความเข้าใจด้วยสติปัญญาแบบนึกคิด คือสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ทุกคนต่างเคยทำทั้งบุญและบาป เมื่อบุญถึงเวลาผลิดอกออกผลเต็มที่ ก็ย่อมไม่มีสิ่งใดทำให้เจ้าของบุญต้องเป็นทุกข์ เช่นเดียวกับเมื่อบาปถึงเวลาเผล็ดผลเต็มกำลัง ก็ย่อมไม่มีสิ่งใดทำให้เจ้าของบาปเป็นสุขไปได้เช่นกัน

ความเข้าใจในระดับนึกคิดนั้น จะให้ผลเป็นความรู้สึกวางเฉยได้ก็ต่อเมื่อคิดบ่อย เห็นเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับใคร ถ้าช่วยได้ก็ช่วยด้วยความกรุณาแบบพรหม แต่หากช่วยไม่ได้ก็ต้องคิดวางอุเบกขาแบบพรหมว่าเป็นกรรมของเขาเช่นกัน

อีกระดับหนึ่งที่เหนือกว่านั้น คือการหยั่งรู้เข้าไปในเรื่องของกรรมวิบากจริงๆ คือจิตเกิดอภิญญาอันมีสมาธิชั้นสูงเป็นบาทฐาน คือเมื่อเรียนรู้ไว้ก่อนว่าร่างกายเป็นผลของกรรมเก่า รูปร่างหน้าตาเป็นผลของกรรมเก่า เพศเป็นผลของกรรมเก่า ชะตากรรมทั้งหลายเป็นผลของกรรมเก่า ก็สามารถใช้จิตตรวจสอบดูความจริงอันเป็นเบื้องหลังกรรมทั้งหมดเหล่านั้น

เมื่อจิตมีกำลังมากพอ ย่อมเกิดญาณหยั่งรู้ และพบว่ากรรมวิบากเป็นความจริง โดยจะเห็นเป็นเรื่องๆไป เช่น เมื่อพบว่าคนรักเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน จู่ๆมีรถบรรทุกถลาเข้าบี้บดจนยับเยินไปทั้งคัน แทนที่จะร้องไห้คร่ำครวญ ตัดพ้อต่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าทำไมไม่เห็นดูแลคนดี ผู้มีอภิญญาย่อมตรวจดูได้ด้วยตนเอง โดยหน่วงนิมิตโศกนาฏกรรมของคนรักไว้ด้วยใจ แล้วน้อมนึกว่าโศกนาฏกรรมนี้มีสิ่งใดเป็นต้นเหตุ

ด้วยความแก่กล้าของญาณ ผู้ทรงอภิญญาก็อาจเห็นถนัดว่าคนรักเคยไปซุ่มดักฆ่าใครกลางทางเอาไว้แต่ปาง ก่อน มาชาตินี้ถึงจุดตัดของเวลาที่ต้องเสวยผลบาปนั้น จึงบันดาลให้ต้องตายอนาถกลางทาง ทั้งหมดหาใช่การกลั่นแกล้งหรือการดูดายจากภูตผีหรือเทวดาที่ไหนเลย

คุณจะทราบด้วยญาณ ว่าปาณาติบาตหนักๆที่เคยทำไว้ มักวางแผนให้เจ้าของกรรมต้องตายด้วยอุบัติเหตุก่อนที่จะเกิดมามีเลือดเนื้อ เสียอีก ด้วยความหยั่งทราบนี้เอง คุณจึงไม่ตีโพยตีพายโวยวายกับใคร แต่จะสงสารสัตว์โลกเท่าเทียมกัน แม้แต่คนที่กำลังอยู่ดีมีสุข คุณก็จะไม่รู้สึกว่าเขา ‘เคราะห์ดี’ ไปกว่าคนที่กำลังประสบเคราะห์ร้ายแต่อย่างใดเลย

ทุกคนโชคร้ายที่ไม่รู้เรื่องกรรมวิบากเหมือนๆกันหมด!

อุเบกขาแท้จริงระดับพรหมที่อยู่เหนือมนุษย์ ใจจึงเป็นกลาง หนักแน่นยิ่งกว่าแผ่นดิน ผิดว่าตามผิด ถูกว่าตามถูก ไม่ปล่อยให้ความรักหรือความเกลียดมาครอบงำได้ จิตจึงเป็นอิสระ และพร้อมจะเข้าถึงฌาน เป็นอัปปมัญญาสมาบัติได้ทุกเวลา

สำหรับอุเบกขาที่ฝึกได้ในชีวิตคู่นี่นะครับ เอาแค่ให้ชีวิตคู่เป็น ‘สนามฝึกดัดจิต’ ก็พอแล้ว คนเราไม่เห็นตัวเองผิด เห็นแต่ตัวมีความชอบ และเห็นแต่ความผิดของคู่ครอง แล้วบางทีรู้ทั้งรู้ว่าตัวเองผิด ก็จะดันทุรังงัดเหตุผลข้างๆคูๆมาบีบให้คนรักยอมรับว่าตนเองถูกให้จงได้

ที่ผ่านมาเมื่อผิดแล้วไม่ว่าตามผิด ทำให้จิตบิดเบี้ยว ถึงตอนครองคู่ก็อาจอาศัยชีวิตคู่เป็นสนามฝึกดัดจิตให้ตรง โดยเริ่มจากการยอมลงให้กับเหตุผล ตอนแรกๆอัตตาจะยังหนา ไม่เอื้อให้อยากยอมรับ แต่เมื่อพิจารณามากเข้า ย้ำกับตัวเองมากเข้าว่าทำอย่างนี้เราผิดจริง หรือทำอย่างนั้นเรามีส่วนผิดด้วย เลิกคิดคำแก้ตัวต่างๆนานา ผ่านเดือนผ่านปีคุณจะกลายเป็นคนจิตตรง เห็นอะไรตามจริงอย่างเต็มตัว โดยไม่ต้องฝืนใจอีก

สำหรับงานเขียนอื่นๆทั้งหมดที่ผ่านมาของดังตฤณ ซึ่งมีตั้งแต่นวนิยายรักสนุกๆ ไปจนกระทั่งวิธีเจริญสติอย่างละเอียด ตลอดจนนิตยสารรายปักษ์ "ธรรมะใกล้ตัว" สามารถเข้าไปอ่านได้ฟรีที่

http://dungtrin.com

ส่วนเว็บที่เน้นความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความรักโดยตรง ขอแนะนำเว็บแสงดาวส่องทาง ซึ่งเหมาะตั้งแต่สำหรับวัยรุ่นที่ยังวุ่นอยู่กับรัก ไปจนถึงวัยทำงานที่เข้าสู่ช่วงของการใช้ชีวิตคู่แล้ว

http://star4life.com


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2011, 10:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7820

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: :b8: :b8: :b20:

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร