วันเวลาปัจจุบัน 15 ก.ค. 2025, 21:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 30 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 14:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 11:05
โพสต์: 223


 ข้อมูลส่วนตัว


เอกอัจฉริยะบรมบุรุษ "พระพุทธเจ้า"
:b42: :b42: :b42:
นับตั้งแต่มีธาตุมีธรรมบังเกิดขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นในกาลอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตอันมิอาจจะกำหนดขอบเขตที่สิ้นสุดได้ก็ตามที ยอดแห่งเอกอัครบรมมหาบุรุษเพียงหนึ่งเดียว ผู้ถึงพร้อมด้วยคุณธรรมและคุณสมบัติอันเลอเลิศประเสริฐอย่างถึงที่สุดด้วยลักษณาการทั้งปวง ชนิดที่บรรลุถึงขีดขั้นหาที่ติมิได้ หาที่เปรียบมิได้ และหาที่เสมอสองมิได้เท่าที่ประวัติศาสตร์แห่งมวลหมู่มนุษยชาติจะพึงได้พบได้เห็นหรือได้รู้จัก แม้เพียงยลยินเพียงด้วยชื่ออย่างแท้จริงนั้น ย่อมไม่อาจจะที่จะเป็นใดอื่นไปได้อีกแล้ว นอกจากพระบรมศาสดาแห่งบวรพระพุทธศาสนา ผู้มีพระนามอันบังเกิดแต่พระคุณแห่งพระองค์เองทั้งสิ้นว่า “สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า” เป็นแน่นอน....

รูปภาพ


Credit : "เนาว์สถิตย์" (NAOSATITT)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 14:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2011, 16:58
โพสต์: 144

งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: มุก
อายุ: 29
ที่อยู่: จ.ระยอง

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 14:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 11:05
โพสต์: 223


 ข้อมูลส่วนตัว


และเมื่อได้ "คำตอบสุดท้าย"ที่แจ่มแจ้งที่สุดดังนี้ ก็หวังใจเป็นอย่างยิ่งว่า
การ"แบ่งชั้น"แห่งการเคารพนับถือพระพุทธเจ้าด้วย"บารมีภายนอก"โดยอคติภาพ ก็น่าจะสุดสิ้นลงได้แล้ว

ชอบเพ่งลงที่"แก่นแท้" คือ "มหากรุณาจิต"และ"พระพุทธคุณ"
แห่งพระพุทธะซึ่งมีเสมอเหมือนกันทุกพระองค์ จะประเสริฐสุดยิ่งกว่าเป็นไหนๆ

และนี้ ก็คือปฏิบัติการ"แก้ต่าง"ให้กับ"พระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ"ทั้งหลาย
ที่ถูกปรามาสและเข้าใจผิดมานานแสนนานให้กลับคืนสู่สัจจภาวะอันสูงสุดแท้จริงเสียที
อิมินา สักกาเรนะ สัพพพุทธา อภิปูชยามิ..........

รูปภาพ

Credit : "เนาว์สถิตย์" (NAOSATITT)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 14:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 11:05
โพสต์: 223


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อพระปัญญาธิกะพุทธเจ้าแผ่รัศมีไปตลอด 10,000 โลกธาตุได้เท่ากับพระวิริยาธิกะพุทธเจ้า

นั่นก็คือ พระมงคลพุทธเจ้า(พระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 3 ต่อจากพระทีปังกรพุทธเจ้า) ซึ่งเป็นวิริยาธิกะพุทธเจ้า บำเพ็ญพระบารมี 16 อสงไขย และมีพระฉัพพรรณรังสีที่แผ่ซ่านไปตลอด 10,000 โลกธาตุ(จักรวาล)เป็นนิรันดร์
แม้พระสมณโคดมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระปัญญาธิกะพุทธเจ้า ก็สามารถทำการเช่นนั้นได้เช่นกันด้วยอำนาจแห่งพุทธวิสัย อันมีเสมอเหมือนกันทุกๆพระองค์ ดังปรากฏหลักฐานชัดแจ้งใน”ขุททกนิกาย พุทธวงศ์”

เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ทรงเสด็จไปโปรดพระประยูรญาติที่นครกบิลพัสดุ์ แล้วทอดพระเนตรเห็นพระญาติยังมิยอมลงให้ ด้วยถือว่ายังเยาว์ชันษาอยู่ จึงต้องทรงแสดงฤทธิ์กำราบ ดังความตอนหนึ่งว่า

“พระศาสดาทรงแวดล้อมด้วยภิกษุขีณาสพรวมทั้งหมดสองหมื่นรูป คือกุลบุตรชาวอังคะและมคธะหมื่นรูป กุลบุตรชาวกรุงกบิลพัสดุ์หมื่นรูป เสด็จออกจากกรุงราชคฤห์ เดินทางวันละโยชน์ๆ สองเดือนก็เสด็จถึงกรุงกบิลพัสดุ์

เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จถึงแล้ว ฝ่ายเจ้าศากยะทั้งหลายก็ช่วยกันเลือกสถานที่ประทับอยู่ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยหมายพระทัยจักพบพระญาติผู้ประเสริฐสุดของตน จึงกำหนดแน่ชัดว่าอารามของนิโครธศากยะ น่ารื่นรมย์ ให้จัดทำวิธีปฏิบัติทุกวิธี จึงพากันถือของหอมและดอกไม้ออกไปรับเสด็จ แต่งพระองค์ด้วยเครื่องประดับทุกอย่าง บูชาด้วยของหอมดอกไม้และจุรณเป็นต้น นำเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าไปยังนิโครธารามนั่นแล.

ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าอันพระขีณาสพสองหมื่นรูปแวดล้อมแล้ว ประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์อย่างดีที่เขาจัดไว้.

ฝ่ายพวกเจ้าศากยะเป็นชาติมีมานะ กระด้างเพราะมานะ ต่างคิดกันว่า สิทธัตถกุมารหนุ่มกว่าเรา เป็นกนิษฐภาดา เป็นบุตร เป็นภาคิไนย เป็นนัดดา จึงกล่าวกะเหล่าราชกุมารที่หนุ่มๆ ว่า พวกเจ้าจงไหว้ เราจักนั่งอยู่ข้างหลังๆพวกเจ้า.

เมื่อเจ้าศากยะเหล่านั้นนั่งแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูอัธยาศัยของเจ้าศากยะเหล่านั้นแล้ว ทรงพระดำริว่า พระญาติเหล่านี้ไม่ยอมไหว้เรา เพราะตนเป็นคนแก่เปล่า เพราะพระญาติเหล่านั้นไม่รู้ว่า ธรรมดาของพระพุทธเจ้าเป็นเช่นไร ธรรมดากำลังของพระพุทธเจ้าเป็นเช่นไร หรือว่าธรรมดาของพระพุทธเจ้าเป็นเช่นนี้ ธรรมดากำลังของพระพุทธเจ้าเป็นเช่นนี้ ถ้ากระไร เราเมื่อจะแสดงกำลังของพระพุทธเจ้าและกำลังของฤทธิ์ ก็ควรทำปาฏิหาริย์ จำเราจะเนรมิตที่จงกรมแล้วด้วยรัตนะล้วน กว้างขนาดหมื่นจักรวาลในอากาศ เมื่อจงกรม ณ ที่จงกรมนั้น ตรวจดูอัธยาศัยของมหาชนแล้ว จึงจะแสดงธรรม.


ด้วยเหตุนั้น เพื่อแสดงความปริวิตกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านพระสังคีติกาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า

“เพราะพระญาติเหล่านั้น พร้อมทั้งเทวดาและ มนุษย์ ไม่รู้ว่า พระพุทธเจ้าผู้เป็นยอดคนนี้เป็นเช่นไร
กำลังฤทธิ์และกำลังปัญญาเป็นเช่นไร กำลังของพระพุทธเจ้าเป็นประโยชน์เพื่อเกื้อกูลแก่โลกเป็นเช่นไร. เพราะพระญาติเหล่านั้น พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์ไม่รู้ดอกว่า พระพุทธเจ้าผู้เป็นยอดคนเป็นเช่นนี้
กำลังฤทธิ์และกำลังปัญญาเป็นเช่นนี้ กำลังของพระพุทธเจ้า เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่โลกเป็นเช่นนี้.
เอาเถิด จำเราจักแสดงกำลังของพระพุทธเจ้าอันยอดเยี่ยม จักเนรมิตที่จงกรมประดับด้วยรัตนะ ในนภากาศ”

ครั้งนั้น พอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำริอย่างนี้ เทวดาทั้งหลายมีภุมมเทวดาเป็นต้น ที่อยู่ในหมื่นจักรวาล ก็มีใจบันเทิง พากันถวายสาธุการ เหล่าเทวดาภาคพื้นดิน ชั้นจาตุมหาราช ชั้นดาวดึงส์ ชั้นยามา ชั้นดุสิต ชั้นนิมมานรดี ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี และเหล่าเทวดาฝ่ายพรหม ก็พากันร่าเริงเปล่งเสียงดังกึกก้อง.

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแผ่แสงสว่างไปในหมื่นจักรวาล ทรงเข้าจตุตถฌานอันเป็นบาทแห่งอภิญญา ทรงออกจากฌานนั้นแล้วทรงเหาะขึ้นสู่อากาศ ด้วยอธิษฐานจิต ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ ท่ามกลางเทวบริษัทและมนุษยบริษัทอันใหญ่ เหมือนทรงโปรยธุลีพระบาทลงเหนือเศียรของพระประยูรญาติเหล่านั้น.
ครั้งนั้น พระศาสดาครั้นทรงทำปาฏิหาริย์ในอากาศแล้ว ทรงตรวจดูอาจาระทางจิตของมหาชน มีพระพุทธประสงค์จะทรงจงกรมพลาง ตรัสธรรมกถาพลาง ที่เกื้อกูลแก่อัธยาศัยของมหาชนนั้น จึงทรงเนรมิตรัตนจงกรมที่สำเร็จด้วยรัตนะทั้งหมด กว้างเท่าหมื่นจักรวาลในอากาศ.

ด้วยเหตุนั้น ท่านพระสังคีติกาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า

พระศาสดาพระองค์นั้นเป็นผู้มีพระจักษุ สูงสุดในนรชน ผู้นำโลก อันเทวดาผู้ประเสริฐทูลอ้อนวอนแล้ว
ทรงพิจารณาถึงประโยชน์แล้ว ในครั้งนั้น จึงทรงเนรมิตที่จงกรม อันสร้างด้วยรัตนะทั้งหมดสำเร็จลงด้วยดี.


รูปภาพ

Credit : "เนาว์สถิตย์" (NAOSATITT)


แก้ไขล่าสุดโดย narapan เมื่อ 15 มี.ค. 2011, 16:03, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 14:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 11:05
โพสต์: 223


 ข้อมูลส่วนตัว


เทวดาในหมื่นโลกธาตุดีใจได้เฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมภาวนา"พุทโธ"

พระชินสัมพุทธเจ้าจอมปราชญ์ ผู้ทรงพระมหา-
ปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ เมื่อทรงรุ่งโรจน์ ณ ที่
จงกรมนั้น ก็เสด็จจงกรม ณ ที่จงกรม.
เทวดาทั้งหมดมาประชุมกัน พากันโปรยดอก
มณฑารพ ดอกปทุม ดอกปาริฉัตตกะ อันเป็นของ
ทิพย์ลงเหนือที่จงกรม.
หมู่เทพในหมื่นโลกธาตุ ก็บันเทิง พากันชม
พระสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ต่างยินดีร่าเริงบันเทิงใจ
พากันมาชุมนุมนมัสการ.เหล่าเทวดาชั้นดาวดึงส์ เทวดาชั้นยามา
เทวดาชั้นดุสิต เทวดาชั้นนิมมานรดี เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตดี
มีจิตโสมนัสมีใจดีพากันชมพระผู้นำโลก.
เหล่านาค สุบรรณและเหล่ากินนรพร้อมทั้งเทพ
คนธรรพ์มนุษย์และรากษส พากันชมพระผู้มีพระภาค
เจ้า ผู้ทรงเกื้อกูลและอนุเคราะห์โลกพระองค์นั้น เหมือน
ชมดวงจันทร์ซึ่งโคจร ณ ท้องนภากาศฉะนั้น.
เหล่าเทวดาชั้นอาภัสสระ ชั้นสุภกิณหะ ชั้น
เวหัปผลาและชั้นอกนิฏฐะ ทรงครองผ้าขาวสะอาด พา
กันยืนประคองอัญชลี.
พากันโปรย ดอกมณฑารพ ๕ สี ประสมกับจุรณ
จันทน์ โบกผ้าทั้งหลาย ณ ภาคพื้นอัมพรในครั้งนั้น
อุทานว่า โอ! พระชินเจ้าผู้เกื้อกูลและอนุเคราะห์โลก.
พระองค์เป็นศาสดา เป็นที่ยำเกรง เป็นธง เป็น
หลัก เป็นที่พำนัก เป็นที่พึ่ง เป็นประทีปของสัตว์มี
ชีวิตทั้งหลาย เป็นผู้สูงสุดในสัตว์สองเท้า.
เทวดาทั้งหลายในหมื่นโลกธาตุผู้มีฤทธิ์ ผู้ยินดี
ร่าเริงบันเทิงใจ ห้อมล้อมนมัสการ.
เทพบุตรและเทพธิดาผู้เลื่อมใส ยินดีร่าเริงพากัน
บูชาพระนราสภ ด้วยดอกไม้ ๕ สี.
หมู่เทพเลื่อมใสยินดีร่าเริงชมพระองค์พากันบูชา
พระนราสภ ด้วยดอกไม้ ๕ สี.
โอ! น่าปรบมือในโลก น่าประหลาด น่าขนชูชัน
อัศจรรย์ ขนลุก ขนชันเช่นนี้ เราไม่เคยพบ.
เทวดาเหล่านั้นนั่งอยู่ในภพของตนๆ เห็นความ
อัศจรรย์ในนภากาศ ก็พากันหัวเราะด้วยเสียงดัง.
อากาศเทวดา ภุมมเทวดาและเทวดาผู้ประจำ
ยอดหญ้า และทางเปลี่ยว ก็ยินดีร่าเริงบันเทิงใจ
ประคองอัญชลีนมัสการ.
พวกนาคที่มีอายุยืน มีบุญ มีฤทธิ์ บันเทิงใจแล้ว
ก็พากันนมัสการบูชาพระนราสภ.
เพราะเห็นความอัศจรรย์ในนภากาศ เครื่องสังคีต
ดีดสีทั้งหลายก็บรรเลง เครื่องดนตรีหุ้มหนังก็ประโคม
ในอัมพรภาคพโยมหน.
เพราะเห็นความอัศจรรย์ในนภากาศ สังข์
บัณเฑาะว์และกลองน้อยๆ เป็นอันมากก็พากันบรรเลง
ในท้องฟ้า.
ในวันนี้ ความที่ขนชูชัน น่าอัศจรรย์เกิดขึ้นแล้ว
หนอ เราจักได้ความสำเร็จ ประโยชน์แน่แท้ เราได้ขณะ
กันแล้ว.
เพราะได้ยินว่า พุทฺโธ เทพเหล่านั้นก็เกิดปีติในทันใด
พากันยืนประคองอัญชลี กล่าวว่า พุทฺโธ พุทฺโธ.


หมู่เทพต่างๆ ในท้องฟ้า พากันประคองอัญชลี
เปล่งเสียง หึ หึ เปล่งเสียงสาธุ โห่ร้องเอิกอึงลิงโลดใจ.
เทพทั้งหลาย พากันขับกล่อมประสานเสียง
บรรเลง ปรบมือและฟ้อนรำ โปรยดอกมณฑารพ ๕ สี
ประสมกับจุรณจันทน์.
ข้าแต่พระมหาวีระ ด้วยประการไรเล่า ลักษณะ
จักรที่พระบาททั้งสองของพระองค์ จึงประดับด้วยธง
วชิระ ประฏาก เครื่องแต่งพระองค์ ขอช้าง.

รูปภาพ

Credit : "เนาว์สถิตย์" (NAOSATITT)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 15:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 11:05
โพสต์: 223


 ข้อมูลส่วนตัว


A Cosmic Religion
The religion of the future will be a cosmic religion. It should transcend a personal God and avoid dogmas and theology. Covering both the natural and the spiritual, it should be based on a religious sense arising from the experience of all things, natural and spiritual, as a meaningful unity. Buddhism answers this description... If there is any religion that would cope with modern scientific needs, it would be Buddhism...

"ศาสนาในอนาคต จะเป็นศาสนาสกลจักรวาล ซึ่งข้ามพ้นเรื่องพระเจ้าที่มีตัวตน และไม่มีเรื่องความเชื่อคำสั่งสอนแบบฝังหัวและเทววิทยา ศาสนานั้น ครอบคลุมเรื่องธรรมชาติและเรื่องจิตวิญญาณ ตั้งอยู่บนฐานความรู้สึกทางศาสนา ที่เกิดจากประสบการณ์แห่งสรรพสิ่ง ทั้งเรื่องธรรมชาติ และจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นเอกภาพรวมอย่างมีความหมาย พระพุทธศาสนาสามารถตอบสนอง สิ่งที่พรรณามานี้... ถ้าจะมีศาสนาใดๆ ที่เข้ากันได้กับความต้องการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ศาสนานั้น ก็คือพระพุทธศาสนา"

อัลเบิร์ต ไอสไตน์

ที่มา, May 19th, 1939, Albert Einstein’s speech on “Science and Religion” in Princeton, New Jersey, U.S.A.)

รูปภาพ

Credit : "เนาว์สถิตย์" (NAOSATITT)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 15:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


กำลังของพระพุทธเจ้า นั้นไม่มีประมาณ แผ่ไปตลอดทั่วหมื่นโลกธาตุ
:b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39:

สาธุสาธุสาธุ :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2011, 16:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 11:05
โพสต์: 223


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงพระสวัสดิโสภาคย์ทั้งหลายนั้น ทรงเป็นจอมอรหันต์ผู้อนุตรบุคคล คือทรงเป็นบุคคลเอก เป็นหนึ่งไม่มีสอง หาผู้ใดเสมอเหมือนมิได้ เพราะทรงกอรปไปด้วยคุณาธิคุณอันยอดยิ่งกว่าผู้ทรงคุณอื่นๆทั่วไป ด้วยต้องทรงสร้างสมอบรมอธิการบารมีทั้ง 30 ทัศมาอย่างเหลือล้น จนสุดที่จะนับจะประมาณได้ อย่างน้อยที่สุด ก็ต้องยาวนานถึง 20 อสงไขย 100,000 มหากัป สำหรับ “พระปัญญาธิกะพุทธเจ้า”(พระพุทธเจ้าผู้ยิ่งด้วยปัญญา) ส่วน “พระสัทธาธิกะพุทธเจ้า”(พระพุทธเจ้าผู้ยิ่งด้วยศรัทธา) หรือ “พระวิริยาธิกะพุทธเจ้า” (พระพุทธเจ้าผู้ยิ่งด้วยวิริยะความพากเพียร) ก็ยิ่งต้องใช้เวลาสร้างพระบารมีเป็นทบเท่าทวีคูณ ถึง 40 และ 80 อสงไขย กำไร 100,000 มหากัปตามลำดับ จึงจักสามารถตรัสรู้พระปรมาภิเษก สำเร็จยังพระสร้อยศรีสรรเพชญ์พุทธรัตนอนาวรญาณเป็นองค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นครูของทั้งมนุษย์และเทวดาทั้งปวงอย่างสมบูรณ์แบบและสมภาคภูมิอย่างแท้จริงได้

รูปภาพ

Credit : "เนาว์สถิตย์" (NAOSATITT)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2011, 16:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 11:05
โพสต์: 223


 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะด้วยเหตุที่การอุบัติบังเกิดขึ้นของที่สุดแห่งอัจฉริยบุคคลอันดับหนึ่งเฉกเช่นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายนั้น ย่อมจะเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง ด้วยเหตุแห่งเงื่อนไข,จิตใจ,ข้อจำกัดและระยะแห่งกาลที่ยาวนานจนเหลือที่จะนับได้ดังกล่าว จึงมีสรรพชีวิตเพียงไม่กี่ดวงเท่านั้นที่จักสามารถอดทน อดกลั้น ฟันฝ่าต่ออุปสรรค ความยากลำบาก และมหันตทุกข์ในสังสารวัฏต่างๆ สร้างสมไตรทศบารมีทั้ง 30 ประการจนตลอดรอดฝั่ง ถึงขั้นสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าได้ ดังปรากฏหลักฐานในพระไตรปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ว่า ในตลอดระยะเวลา 4 อสงไขย 100,000 มหากัป ที่ผ่านพ้นมา ได้มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ในโลกเพียง “28” พระองค์เท่านั้น โดยบางกัป ก็มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้เพียงพระองค์เดียว บางกัปก็มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้เพียง 2 หรือ 3 หรือ 4 พระองค์ และบางพุทธันดร(ช่วงเวลาจากพุทธสมัยของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งถึงพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง)บางคราว ก็ยืดยาวนานถึง 70,000 กัป ถึง อสงไขยกัปก็มี....

ซึ่งการดังกล่าวย่อมเป็นการยืนยันถึงพระพุทธพจน์หนึ่งให้เป็นที่แจ้งใจทั่วไปเป็นอย่างดีที่สุดว่า “กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท” หรือ “การบังเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย หาได้ยากยิ่ง” โดยแท้ฯ

รูปภาพ

Credit : "เนาว์สถิตย์" (NAOSATITT)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มี.ค. 2011, 21:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 11:05
โพสต์: 223


 ข้อมูลส่วนตัว


เพื่อเป็นการแสดงพระพุทธอัจฉริยภาวะอันประเสริฐสูงสุด หาใดเสมอสองมิได้แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายให้ปรากฏทั่วไป อันจะพึงเป็นมหากุศลใหญ่และแรงบันดาลใจอย่างไร้ขอบเขตที่สิ้นสุดสืบไปเมื่อหน้า จึงเป็นการอันสมควรแล้วที่จะได้รวบรวมเอาพระพุทธาธิคุณทั้งปวงอย่างสรุปรวบยอดมาประมวลบันทึกและนำเสนอไว้ ณ ที่นี้แท้ทีเดียว....

รูปภาพ

อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู
อะนุตตะโร ปุริสสะธัมมะสาระถิ สัตถาเทวะมนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ


รูปภาพ

พระคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นมีเป็นเอนกประการ สุดที่จะพรรณนา
แต่เมื่อรวบรัดกล่าวโดยย่อแล้วก็มี ๙ ประการ
คือ

๑. อรหํ เป็นผู้ไกลจากข้าศึก คือ กิเลส อีกนัยหนึ่งว่า เป็นผู้ที่ไม่มีที่รโหฐาน หมายความว่า แม้แต่ในที่ลับ ก็ไม่กระทำบาป
๒. สมฺมาสมฺพุทฺโธ เป็นผู้ที่ตรัสรู้โดยชอบด้วยพระองค์เอง
๓. วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน เป็นผู้ที่ถึงพร้อมด้วยวิชาและจรณะ วิชาและจรณะนี้ได้แสดงแล้วในปริจเฉทที่ ๗ ตอน สัพพสังคหะ ตรงมรรคอริยสัจจ ขอให้ดูที่นั่นด้วย

๔. สุคโต แปลว่า ทรงไปแล้วด้วยดี ซึ่งในที่นี้มีความหมายถึง ๔ นัย คือ
ก. เสด็จไปงาม คือไปสู่ที่บริสุทธิ์ อันเป็นที่ที่ปราศจากโทษภัยทั้งปวง ซึ่งหมายถึง อริยสัจจทั้ง ๔
ข. เสด็จไปสู่ฐานะอันประเสริฐ คือ อมตธรรม อันเป็นธรรมที่สงบระงับจากกิเลสและกองทุกข์ทั้งปวง
ค. เสด็จไปในที่ถูกที่ควร คือพ้นจากวัฏฏะ ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป
ง. ทรงตรัสไปในทางที่ถูกที่ชอบ คือทรงเทศนาในสิ่งที่เป็นความจริงและเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้ฟัง
ประมวลลักษณะแห่งพระพุทธดำรัสได้เป็น ๖ ลักษณะ
ดังจะแสดงโดยย่อที่สุด ดังนี้
(๑) ไม่จริง ไม่กอปร์ด้วยประโยชน์ ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น ไม่ตรัส
(๒) ไม่จริง ไม่กอปร์ด้วยประโยชน์ แม้จะเป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น ก็ไม่ตรัส
(๓) จริง แต่ไม่กอปร์ด้วยประโยชน์ ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น ไม่ตรัส
(๔) จริง แต่ไม่กอปร์ด้วยประโยชน์ แม้จะเป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น ก็ไม่ตรัส
(๕) จริงและกอปร์ด้วยประโยชน์ถึงจะไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่นก็รู้กาลที่จะตรัส
(๖) จริงและกอปร์ด้วยประโยชน์และเป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่นด้วยก็รู้กาลที่จะตรัส

๕. โลกวิทู พระพุทธองค์ทรงรู้โลกอย่างแจ่มแจ้งด้วยประการทั้งปวง คือ ทรงรู้จักโลก รู้จักเหตุเกิดของโลก รู้จักธรรมที่ดับของโลก และรู้จักทางปฏิบัติให้ถึงธรรมที่ดับของโลก

อีกนัยหนึ่ง หมายถึงการแจ้งโลกทั้ง ๓ คือ สังขารโลก สัตวโลก และโอกาสโลก

ก. สังขารโลก หมายถึง สังขารธรรม คือ รูปนาม ได้แก่ จิต เจตสิก รูปทั้งหมด ซึ่งเกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัย ด้วยการปรุงแต่ง ทำให้หมุนเวียนไปในสังสารวัฏฏ จำแนกโลกได้เป็นหลายนัย เช่น

โลกนับว่ามี ๑ ได้แก่ สพฺเพ สตฺตา อาหารฏฺฐิกา สัตว์ทั้งหลายย่อมอยู่ได้ด้วยต้องอาศัยอาหารเหมือนกันหมด
โลกนับว่ามี ๒ ได้แก่ นาเม จ รูเป จ คือ นาม ๑ รูป ๑ หรืออีกนัยหนึ่ง ว่าได้แก่ อุปาทินนกสังขาร ๑ อนุปาทินนกสังขาร ๑
โลกนับว่ามี ๓ ได้แก่ ตีสุ เวทนาสุ คือ เวทนา ๓ มี สุขเวทนา ทุกขเวทนา และ อทุกขมสุขเวทนา
โลกนับว่ามี ๔ ได้แก่ จตูสุ อาหาเรสุ คือ อาหาร ๔ มี กพฬีการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร และวิญญาณาหาร อีกนัยหนึ่งว่าได้แก่ สติปัฏฐาน ๔
โลกนับว่ามี ๕ ได้แก่ ปญฺจสุ อุปาทานกฺขนฺเธสุ คือ อุปาทานขันธ์ ๕ อีกนัยหนึ่งว่าได้แก่ อินทรีย ๕
โลกนับว่ามี ๖ ได้แก่ ฉสุ อชฺฌตฺติเกสุ อายตเนสุ คืออายตนะภายใน ๖ อีกนัยหนึ่งว่าได้แก่ นิสสรณียธาตุ ๖
โลกนับว่ามี ๗ ได้แก่ สตฺตสุ วิญฺญาณฏฺฐิตีสุ คือวิญญาณฐีติ ๗ อีกนัยหนึ่งว่าได้แก่ โพชฌงค์ ๗
โลกนับว่ามี ๘ ได้แก่ อฏฺฐสุ โลกธมฺเมสุ คือ โลกธรรม ๘ อีกนัยหนึ่งว่าได้แก่ อริยอัฏฐังคิกมัคค ๘
โลกนับว่ามี ๙ ได้แก่ นวสุ สตฺตาวาเสสุ คือ สัตตาวาส ๙ อีกนัยหนึ่งว่าได้แก่ โลกุตตรธรรม ๙
โลกนับว่ามี ๑๐ ได้แก่ ทสสุ อกุสลกมฺมปเถสุ คือ อกุสลกรรมบถ ๑๐ อีกนัยหนึ่งว่าได้แก่ กุสลกรรมบถ ๑๐
โลกนับว่ามี ๑๒ ได้แก่ อายตนะ ๑๒
โลกนับว่ามี ๑๘ ได้แก่ ธาตุ ๑๘

ข. สัตวโลก บาลีเป็น สัตตโลก หมายถึง บุคคล คือสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ซึ่งทรงแจ้ง ประเภท (บุคคล ๑๒) , เหตุให้เกิด, นิสัย, จริต, บารมี แห่งสัตว์เหล่านั้นทั้งสิ้น
ค. โอกาสโลก หมายถึง ภูมิ อันเป็นที่ตั้งแห่งสังขารธรรม คือ เป็นที่อาศัยเกิด อาศัยอยู่ของสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งมีจำนวนรวม ๓๑ ภูมิ

๖. อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ ทรงสามารถฝึกอบรมสั่งสอนแนะนำผู้ที่สมควรฝึกได้เป็นอย่างเลิศไม่มีใครเสมอเหมือน ทั้งนี้เพราะทรงทราบอัธยาศัยของสัตว์นั้น ๆ
๗. สตฺถา เทวมนุสฺสานํ ทรงเป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ซึ่งไม่มีศาสดาใดจะเทียมเท่า เพราะทรงนำสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากกองทุกข์ได้
๘. พุทฺโธ ทรงเห็นทุกอย่าง (สพฺพทสฺสาวี), ทรงรู้ทุกสิ่ง (สพฺพญฺญู) ทรงตื่น , ทรงเบิกบานด้วยธรรม
๙. ภควา ทรงเป็นผู้ที่มีบุญที่ประเสริฐสุด ทรงสามารถจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ตามควรแก่อัตตภาพของสัตว์นั้น ๆ

รูปภาพ

Credit:"เนาว์สถิตย์" (NAOSATITT)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2011, 10:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 11:05
โพสต์: 223


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

พระพุทธคุณ ๑๐๐ ประการ
"ดูก่อนท่านผู้เจริญ ! ขอท่านจงฟังซึ่งคำของข้าพเจ้าเถิด : ข้าพเจ้านั้น เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาค พระองค์ใด; พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น :-
1. เป็นนักปราชญ์ผู้ทรงไว้ซึ่งปัญญา
2. เป็นผู้ปราศจากแล้วจากโมหะ
3. เป็นผู้มีเสาเขื่อนเครื่องตรึงจิตอันหักแล้ว
4. เป็นผู้มีชัยชนะอันวิชิตแล้ว
5. เป็นผู้ปราศจากแล้วจากสิ่งคับแค้นสะเทือนใจ
6. เป็นผู้มีจิตสม่ำเสมอด้วยดี
7. เป็นผู้มีปรกติภาวะแห่งบุคคลผู้เป็นพุทธะ
8. เป็นผู้มีปัญญาเครื่องยังประโยชน์ให้สำเร็จ
9. เป็นผู้ข้ามไปได้แล้วซึ่งวัฏฏะสงสารอันขรุขระ
10. เป็นผู้ปราศจากแล้วจากมลทินทั้งปวง

ข้าพเจ้านั้น เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาค พระองค์ใด; พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น :
11. เป็นผู้ไม่มีการถามใครว่าอะไรเป็นอะไร
12. เป็นผู้อิ่มแล้วด้วยความอิ่มในธรรมอยู่เสมอ
13. เป็นผู้มีเหยื่อในโลกอันทรงคายทิ้งแล้ว
14. เป็นผู้มีมุทิตาจิตในสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง
15. เป็นผู้มีสมณภาวะอันทรงกระทำสำเร็จแล้ว
16. เป็นผู้ถือกำเนิดแล้วแต่กำเนิดแห่งมนูโดยแท้
17. เป็นผู้มีสรีระอันมีในครั้งสุดท้าย
18. เป็นผู้เป็นนรชนคือเป็นคนแท้
19. เป็นผู้อันใครๆ กระทำอุปมามิได้
20. เป็นผู้ปราศจากกิเลสอันพึงเปรียบได้ด้วยธุลี

ข้าพเจ้านั้น เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาค พระองค์ใด; พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น :
21. เป็นผู้หมดสิ้นแล้วจากความสงสัยทั้งปวง
22. เป็นผู้นำสัตว์สู่สภาพอันวิเศษ
23. เป็นผู้มีปัญญาเครื่องตัดกิเลสดุจหญ้าคาเสียได้
24. เป็นสารถีอันประเสริฐกว่าสารถีทั้งหลาย
25. เป็นผู้ไม่มีใครยิ่งกว่าโดยคุณธรรมทั้งปวง
26. เป็นผู้มีธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความชอบใจของสัตว์ทั้งปวง
27. เป็นผู้มีกังขาเครื่องข้องใจอันทรงนำออกแล้วหมดสิ้น
28. เป็นผู้กระทำซึ่งความสว่างแก่ปวงสัตว์
29. เป็นผู้ตัดแล้วซึ่งมานะเครื่องทำความสำคัญมั่นหมาย
30. เป็นผู้มีวีรธรรมเครื่องกระทำความแกล้วกล้า

ข้าพเจ้านั้น เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาค พระองค์ใด; พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น :
31. เป็นผู้เป็นยอดมนุษย์ แห่งมนุษย์ทั้งหลาย
32. เป็นผู้มีคุณอันใครๆ กำหนดประมาณมิได้
33. เป็นผู้มีธรรมสภาวะอันลึกซึ้งไม่มีใครหยั่งได้
34. เป็นผู้ถึงซึ่งปัญญาเครื่องทำความเป็นแห่งมุนี
35. เป็นผู้กระทำความเกษมแก่สรรพสัตว์
36. เป็นผู้มีเวทคือญาณเครื่องเจาะแทงซึ่งโมหะ
37. เป็นผู้ประดิษฐานอยู่ในธรรม
38. เป็นผู้มีพระองค์อันทรงจัดสรรดีแล้ว
39. เป็นผู้ล่วงกิเลสอันเป็นเครื่องข้องเสียได้
40. เป็นผู้หลุดรอดแล้วจากบ่วงทั้งปวง

ข้าพเจ้านั้น เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาค พระองค์ใด; พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น :
41. เป็นผู้เป็นดังพระยาช้างตัวประเสริฐ
42. เป็นผู้มีการนอนอันสงัดจากการรบกวนแห่งกิเลส
43. เป็นผู้มีกิเลสเครื่องประกอบไว้ในภพสิ้นสุดแล้ว
44. เป็นผู้พ้นพิเศษแล้วจากทุกข์ทั้งปวง
45. เป็นผู้มีความคิดเหมาะเจาะเฉพาะเรื่อง
46. เป็นผู้มีปัญญาเครื่องทำความเป็นแห่งมุนี
47. เป็นผู้มีมานะเป็นดุจธงอันพระองค์ทรงลดลงได้แล้ว
48. เป็นผู้ปราศจากแล้วจากราคะ
49. เป็นผู้มีการฝึกตนอันฝึกแล้ว
50. เป็นผู้หมดสิ้นแล้วจากกิเลสเครื่องเหนี่ยวหน่วงให้เนิ่นช้า

ข้าพเจ้านั้น เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาค พระองค์ใด; พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น :
51. เป็นผู้แสวงหาพบคุณอันใหญ่หลวง องค์ที่เจ็ด
52. เป็นผู้ปราศจากแล้วจากความคดโกง
53. เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งวิชชาทั้งสาม
54. เป็นผู้เป็นพรหมแห่งปวงสัตว์
55. เป็นผู้เสร็จจากการอาบการล้างแล้ว
56. เป็นผู้มีหลักมีเกณฑ์ในการกระทำทั้งปวง
57. เป็นผู้มีกมลศันดานอันระงับแล้ว
58. เป็นผู้มีญาณเวทอันวิทิตแล้ว
59. เป็นผู้ทำลายซึ่งธานีนครแห่งกิเลสทั้งหลาย
60. เป็นผู้เป็นจอมแห่งสัตว์ทั้งปวง

ข้าพเจ้านั้น เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาค พระองค์ใด; พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น :
61. เป็นผู้ไปพ้นแล้วจากข้าศึกคือกิเลส
62. เป็นผู้มีตนอันอบรมถึงที่สุดแล้ว
63. เป็นผู้มีธรรมที่ควรบรรลุอันบรรลุแล้ว
64. เป็นผู้กระทำซึ่งอรรถะทั้งหลายให้แจ่มแจ้ง
65. เป็นผู้มีสติสมบูรณ์อยู่เองในทุกกรณี
66. เป็นผู้มีความรู้แจ้งเห็นแจ้งเป็นปรกติ
67. เป็นผู้มีจิตไม่แฟบลงด้วยอำนาจแห่งกิเลส
68. เป็นผู้มีจิตไม่ฟูขึ้นด้วยอำนาจแห่งกิเลส
69. เป็นผู้มีจิตไม่หวั่นไหวด้วยอำนาจแห่งกิเลส
70. เป็นผู้บรรลุถึงซึ่งความมีอำนาจเหนือกิเลส

ข้าพเจ้านั้น เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาค พระองค์ใด; พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น :
71. เป็นผู้ไปแล้วโดยชอบ
72. เป็นผู้มีการเพ่งพินิจทั้งในสมาธิและปัญญา
73. เป็นผู้มีศันดานอันกิเลสตามถึงไม่ได้แล้ว
74. เป็นผู้หมดจดแล้วจากสิ่งเศร้าหมองทั้งปวง
75. เป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้แล้ว
76. เป็นผู้ไม่มีความหวาดกลัวในสิ่งเป็นที่ตั้งแห่งความกลัว
77. เป็นผู้สงัดแล้วจากการรบกวนแห่งกิเลสทั้งปวง
78. เป็นผู้บรรลุแล้วซึ่งธรรมอันเลิศ
79. เป็นผู้ข้ามแล้วซึ่งโอฆกันดาร
80. เป็นผู้ยังบุคคลอื่นให้ข้ามซึ่งโอฆะนั้น

ข้าพเจ้านั้น เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาค พระองค์ใด; พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น :
81. เป็นผู้มีศันดานสงบรำงับแล้ว
82. เป็นผู้มีปัญญาอันหนาแน่น
83. เป็นผู้มีปัญญาอันใหญ่หลวง
84. เป็นผู้ปราศจากแล้วจากโลภะ
85. เป็นผู้มีการไป การมาอย่างพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
86. เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี
87. เป็นบุคคลผู้ไม่มีบุคคลใดเปรียบ
88. เป็นบุคคลผู้ไม่มีบุคคลใดเสมอ
89. เป็นบุคคลผู้มีญาณอันแกล้วกล้า
90. เป็นผู้มีปัญญาละเอียดอ่อน

ข้าพเจ้านั้น เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาค พระองค์ใด; พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น :
91. เป็นผู้เจาะทะลุข่ายคือตัณหาเครื่องดักสัตว์
92. เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานเป็นปรกติ
93. เป็นผู้มีกิเลสดุจควันไฟไปปราศแล้ว
94. เป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่ฉาบทาได้อีกต่อไป
95. เป็นผู้เป็นอาหุเนยยบุคคลควรแก่ของที่เขานำไปบูชา
96. เป็นผู้ที่โลกทั้งปวงต้องบูชา
97. เป็นบุคคลผู้สูงสุดแห่งบุคคลทั้งหลาย
98. เป็นผู้มีคุณอันไม่มีใครวัดได้
99. เป็นผู้เป็นมหาบุรุษ
100. เป็นผู้ถึงแล้วซึ่งความเลิศด้วยเกียรติคุณ ;
ข้าพเจ้า เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาค พระองค์นั้น; ดังนี้ แล.

(คำของอุบาลีคหบดี ผู้เคยเป็นสาวกของนิคันถนาฏบุตรมาก่อน กล่าวตอบแก่คณะนิครนถ์ว่าเหตุใดเขาจึงเปลี่ยนใจมานับถือพระผู้มีพระภาคเจ้า. ม.ม. ๑๓/๗๗/๘๒ - พุทธประวัติจากพระโอษฐ์, พุทธทาส)

Credit:"เนาว์สถิตย์" (NAOSATITT)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2011, 10:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 11:05
โพสต์: 223


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ในบทว่า พุทฺโธ พระพุทธเจ้า นี้มีวิเคราะห์ดังต่อไปนี้.
ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะตรัสรู้สัจจะทั้งหลาย.
ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะยังหมู่สัตว์ให้ตรัสรู้.
ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะทรงเป็นผู้รู้สิ่งทั้งปวง.
ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะทรงหยั่งเห็นสิ่งทั้งปวง.
ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะทรงเป็นผู้ไม่มีคนอื่นแนะนำ.
ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะทรงเป็นผู้เบิกบาน.
ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะสิ้นอาสวะแล้ว.
ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะปราศจากอุปกิเลส.
ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะการถือบวช.
ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะอรรถว่าไม่เป็นที่สอง.
ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะอรรถว่าละตัณหาได้.
ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะเสด็จดำเนินทางเป็นที่ไปอันเอก.
ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะพระองค์เดียวตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยม.
ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะทรงได้เฉพาะความรู้ เป็นเหตุกำจัดความไม่รู้เสียได้.

บททั้งสามคือ พุทฺธิ พุทฺธํ โพโธ นี้ ไม่มีความแตกต่างกัน.
ผ้าเขาเรียกว่า ผ้าเขียว ผ้าแดง เพราะประกอบด้วยสีเขียวเป็นต้น ฉันใด.
ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะประกอบด้วยคุณของพระพุทธเจ้าฉันนั้น.


อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน
http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... 32&i=1&p=9
พุทธาปทานที่ ๑ ว่าด้วยเหตุให้สำเร็จเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... &A=1&Z=146
Credit:"เนาว์สถิตย์" (NAOSATITT)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2011, 11:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 11:05
โพสต์: 223


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่เพื่อประโยชน์ที่ใหญ่ยิ่ง

พระพุทธเจ้าเป็นนักต่อสู้เพื่อจุดมุ่งหมายที่ยิ่งใหญ่ เพื่อประโยชน์อันใหญ่ยิ่ง
นั่นก็คือ การบรรลุอรหันตสัมมาสัมโพธิญาณ และพระองค์ก็ทรงทำได้เป็นผลสำเร็จ


พระองค์เคยตรัสเล่ากับภิกษุทั้งหลาย ถึงการที่พระองค์ทรงบรรลุอรหันตสัมมาสัมโพธิญาณ
ได้ด้วยการอธิษฐานความเพียรอย่างแรงกล้าว่า


"เราได้รู้ธรรมถึงสองอย่าง
คือ ความไม่รู้จักพอในกุศลธรรม และความเป็นผู้ไม่ถอยหลังในการตั้งความเพียร"

"เราตั้งความเพียร คือ ความไม่ถอยหลังว่า แม้ว่าจะเหลือแต่หนัง เอ็น กระดูก เนื้อและเลือด
ในร่างกายเหือดแห้งไปก็ตามที เมื่อยังไม่บรรลุถึงประโยชน์ที่บุคคลจะบรรลุได้ด้วยกำลังของบุรุษ
ด้วยความเพียรของบุรุษ ด้วยความบากบั่นของบุรุษแล้ว เราจักไม่หยุดพากเพียร"

"เราตรัสรู้ได้เพราะความไม่ประมาท ได้บรรลุถึงธรรมที่ปลอดภัยจากกิเลสผูกมัดสัตว์อันไม่มีสิ่งอื่นยิ่งกว่า
ก็เพราะความไม่ประมาท"


องค์ใดพระสัมพุทธ...

พระพุทธองค์ทรงมีพระวิสุทธิคุณคือความบริสุทธิ์อันประเสริฐสุดอย่างครบถ้วน
ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้มหาชนตั้งแต่พุทธกาลจนป่านนี้ เกิดความเลื่อมใสอย่างสูงสุด
ไม่มีใดจะเปรียบปานหรือเทียบเคียงได้

ความบริสุทธิ์ของพระพุทธองค์ อาจมองเห็นได้ใน ๓ สถาน กล่าวคือ
๑. ทรงบริสุทธิ์ผุดผ่อง เพราะพ้นจากกิเลสทั้งปวงอย่างสิ้นเชิง
๒. ทรงบริสุทธิ์ผุดผ่อง เพราะพระองค์ทรงกระทำได้อย่างที่สอน
๓. ทรงบริสุทธิ์ผุดผ่อง เพราะพระองค์มุ่งสอนเพื่อผู้อื่น ไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ


:b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39:
Credit:"เนาว์สถิตย์" (NAOSATITT)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2011, 11:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 11:05
โพสต์: 223


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ทรงเป็นสัมมาสัมพุทธะ ประกาศพรหมจรรย์บริสุทธิ์

อาจารย์พรหมายุ เป็นอาจารย์พราหมณ์ วันหนึ่ง เมื่อชื่อเสียงของพระพุทธองค์ลือกระฉ่อน ล่วงหน้าไปในตำบลที่พระพุทธองค์กำลังจะเสด็จไปถึง เขาได้บอกแก่อุตระ ศิษย์รักว่า แน่ะอุตระ พระสมณโคดม โอรสเจ้าศากยะ ออกผนวชจากศากยะตระกูล เสด็จจาริกอยู่ในหมู่ชาววิเทหะ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ประมาณ ๕๐๐ รูป และเสียงที่กล่าวสรรเสริญพระโคคมนั้น กระพือไปแล้วอย่างนี้ว่า

"เพราะเหตุเช่นนี้ ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ชอบได้ด้วยตนเอง สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ไปดี รู้แจ้งโลก เป็นสารภีที่ฝึกคนควรฝึกได้ไม่มีใครยิ่งไปกว่า เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ เป็นผู้เบิกบาน จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์"

อาจารย์พราหมณ์พรหมายุกล่าวต่อไปถึงเสียงเล่าลือนั้นว่า

"พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ซึ่งโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา พร้อมทั้งมนุษย์ แล้วจึงประกาศให้ผู้อื่นรู้ ท่านแสดงธรรมไพเราะในเบื้องต้น ไพเราะในท่ามกลาง ไพเราะในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถะพร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง การได้เห็นพระอรหันต์ผู้เช่นนี้เป็นความดี"

แน่ะ อุตระ เจ้าจงไปเฝ้าพระโคดม แล้วสังเกตให้รู้ว่า เป็นความจริงดั่งเสียงสรรเสริญที่กระพือไปอย่างนั้นจริงหรือไม่ เราจักได้รู้จักพระสมณโคดมไว้ด้วยกัน

มีพระสุรเสียงไพเราะเสนาะโสต มีพระวาจาสุภาพสละสลวย

พระพุทธเจ้าท่านมีเสียงไพเราะ มีพระดำรัสชวนฟัง พราหมณ์คนหนึ่งชื่อจังกี ถึงกับกล่าวชมพระพุทธองค์ว่า

"พระสมณโคดม มีพระวาจาไพเราะ รู้จักตรัสถ้อยคำงดงาม มีพระวาจาสุภาพ สละสลวย ไม่มีโทษ ทำให้ผู้ฟังเข้าใจเนื้อความได้ชัดแจ้ง"

ชายหนุ่มคนหนึ่ง ชื่ออุตระ กล่าวชมพระพุทธองค์ว่า

"พระสมณโคดมนั้น ไปถึงอารามแล้ว (เย็นลง) ก็ประชุมบริษัทแสดงธรรม ไม่ประจบประแจงบริษัท สนทนาชักชวนบริษัทให้อาจหาญร่าเริงด้วยถ้อยคำที่ประกอบด้วยธรรม"

เสียงกังวานที่เปล่งออกจากพระโอษฐ์ของพระสมณโคดมนั้น ประกอบด้วยคุณลักษณะ ๘ ประการ คือ
๑. แจ่มใส
๒. ชัดเจน
๓. นุ่มนวล
๔. ชวนฟัง
๕. กลมกล่อม
๖. ไม่พร่าเลือน
๗. ซาบซึ้ง
๘. กังวาน

เสียงที่พระสมณโคดม ใช้เพื่อทำให้บริษัทเข้าใจเนื้อความไม่กึกก้องแพร่ออกไปนอกบริษัท ครั้นเมื่อพระสมณโคดม สังสันทนาการชักชวนให้อาจหาญรื่นเริงด้วยธรรมิกถา

บริษัทเหล่านั้น เมื่อลุกจากที่นั่งหลีกไปแล้ว ยังเหลียวมามองดูด้วยความไม่รู้สึกว่าอยากจะจากไป
ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าเห็นพระสมณโคดม เมื่อเสด็จดำเนินไปยืนอยู่ เข้าไปบ้านเรือน นั่งสงบนิ่งในบ้านเรือน ฉันภัตตาหารในบ้านเรือนนั้นแล้วนั่งสงบนิ่ง ฉันแล้วอนุโมทนา เมื่อกลับสู่อาราม ถึงอารามแล้วนั่งสงบนิ่ง ถึงอารามแล้วแสดงธรรมแก่บริษัท พระสมณโคดม นั่นเป็นเช่นกล่าวมานี้ด้วยฯ


นี่เป็นการแสดงความคิดเห็นของตนตามประสบการณ์ที่มีเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ของมาณพหนุ่มนามว่า อุตระ

ก็แลในมหาปุริสลักขณะ ๓๒ ประการ มีอยู่ข้อหนึ่งระบุไว้อย่างชัดเจนว่า พระพุทธองค์ทรงมีพระสุรเสียงดังเสียงพรหม ตรัสมีสำเนียงใสไพเราะดุจนกการเวก ย่อมสมจริงทุกประการดังนี้....

:b39: :b39: :b39: :b44: :b44: :b44: :b48: :b48: :b48:
Credit:"เนาว์สถิตย์" (NAOSATITT)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2011, 11:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 11:05
โพสต์: 223


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

:b8: :b8: :b8:

มีลักษณะมหาบุรุษครบถ้วน

พระพุทธองค์ท่านทรงมีลักษณะของบุคคลผู้เป็นมหาบุรุษครบถ้วน ๓๒ ประการ หรือที่เรียกว่า มหาปุริสลักษณะ อันประกอบด้วย

๑. มหาบุรุษ มีพื้นเท้าสม่ำเสมอ
๒. มหาบุรุษ ที่ฝ่าเท้ามีจักรเกิดขึ้น มีซี่ตั้งพัน พร้อมทั้งกงและดุม
๓. มหาบุรุษ มีส้นเท้ายาว
๔. มหาบุรุษ มีข้อนิ้วยาว
๕. มหาบุรุษ มีลายฝ่าเท้าอ่อนละมุน
๖. มหาบุรุษ มีลายฝ่ามือฝ่าเท้าดุจตาข่าย
๗. มหาบุรุษ มีข้อเท้าอยู่สูง
๘. มหาบุรุษ มีแข้งดุจแข้งเนื้อทราย
๙. มหาบุรุษ ยืนไม่ย่อตัวลง แตะเข่าได้ด้วยมือทั้งสอง
๑๐. มหาบุรุษ มีองคชาติตั้งอยู่ในฝัก
๑๑. มหาบุรุษ มีสีกายดุจทอง คือมีผิวหนังดุจทอง
๑๒. มหาบุรุษ มีผิวหนังละเอียด ละอองจับไม่ได้
๑๓. มหาบุรุษ มีขนขุมละเส้น เส้นหนึ่ง ๆ อยู่ขุมหนึ่ง ๆ
๑๔. มหาบุรุษ มีปลายขนช้อนขึ้น สีดุจดอกอัญชัน ขึ้นเวียนขวา
๑๕. มหาบุรุษ มีกายตรงดุจกายพรหม
๑๖. มหาบุรุษ มีเนื้อนูนหนาในที่ ๗ แห่ง (คือหลังมือหลังเท้าบ่อคอ)
๑๗. มหาบุรุษ มีกายข้างหน้า ดุจราชสีห์
๑๘. มหาบุรุษ มีหลังเต็ม (ไม่มีร่องหลัง)
๑๙. มหาบุรุษ มีทรวดทรงดุจต้นไทร กายกับวาเท่ากัน
๒๐. มหาบุรุษ มีคอ กลมเกลี้ยง
๒๑. มหาบุรุษ มีประสาทรับรสอันเลิศ
๒๒. มหาบุรุษ มีคางดุจราชสีห์
๒๓. มหาบุรุษ มีฟัน ๔๐ ซี่บริบูรณ์
๒๔. มหาบุรุษ มีฟันเรียบเสมอ
๒๕. มหาบุรุษ มีฟันสนิท (ชิด)
๒๗. มหาบุรุษ มีลิ้น (ใหญ่และยาว) เพียงพอ
๒๘. มหาบุรุษ มีเสียงดุจเสียงพรหม พูดเหมือนนกการเวก
๒๙. มหาบุรุษ มีตาเขียวสนิท (ตานิล)
๓๐. มหาบุรุษ มีตาดุจตาวัว
๓๑. มหาบุรุษ มีอุณาโลมหว่างคิ้ว ขาวอ่อนเหมือนสำลี
๓๒. มหาบุรุษ มีศีรษะรับกับกรอบหน้า


พระพุทธองค์ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า พระมหาบุรุษผู้สมบูรณ์ด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ เหล่านี้ ย่อมมีคติเป็นสองเท่านั้น ไม่เป็นอย่างอื่นได้เลย คือ ถ้าอยู่ครองเรือนจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม เป็นใหญ่ในแผ่นดิน มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต ทรงชนะแล้ว มีราชอาณาจักรอันมั่นคง สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการคือ
๑. จักรแก้ว
๒. ช้างแก้ว
๓. ม้าแก้ว
๔. แก้วมณี
๕. นางแก้ว
๖. คฤหบดีแก้ว
๗. ปริณายกแล้ว

พระราชบุตรของพระองค์มีกว่าพัน ล้วนกล้าหาญ มีรูปร่างสมเป็นวีรกษัตริย์ สามารถย่ำยีทหารของข้าศึกได้ พระองค์ทรงมีชัยชนะโดยธรรม มีมหาสมุทรเป็นขอบเขต ไม่มีหลักตอ ไม่มีเสี้ยนหนาม มีความมั่งคง เบิกบาน เกษม ร่มเย็น ปราศจากเสนียดคือ โจร ทรงครอบครองโดยธรรม อันสม่ำเสมอ มิได้ใช้อาชญาและศาสตรา
แต่หากพระมหาบุรุษนี้ ถ้าเสด็จออกบวชเป็นบรรพชิต ก็จะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีหลังคาคือกิเลสอันเปิดแล้วในโลก.....


:b42: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41:
Credit:"เนาว์สถิตย์" (NAOSATITT)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 30 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร