วันเวลาปัจจุบัน 05 ต.ค. 2024, 06:51  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 11:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 มี.ค. 2005, 04:18
โพสต์: 1877


 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

วัดประจำรัชกาลที่ ๑
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์)

• ประวัติของวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
• ศาสนสถานและศาสนวัตถุอันงดงามล้ำค่า
• ตำนานพระพุทธรูปสำคัญ
• ศาสนวัตถุสำคัญอื่นๆ ภายในวัด
• จารึกวัดโพธิ์
• มรดกความทรงจำแห่งโลก
• รัตนกวีแห่งวัดโพธิ์
• พระตำหนักวาสุกรี
• ยักษ์วัดโพธิ์-นายทวารบาล
• ซุ้มประตูทรงมงกุฏ

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 11:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 มี.ค. 2005, 04:18
โพสต์: 1877


 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
พระมหาเจดีย์สี่รัชกาล เจดีย์ประจำรัชกาลที่ ๑-๔ ในยามราตรี


• ประวัติของวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม

วัดประจำรัชกาลที่ ๑ ถึง ๓...วัดเก่า ทำใหม่

สำหรับ วัดประจำรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
บางคนอาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็น วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว)
แต่จริงๆ แล้ววัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นวัดประจำพระบรมมหาราชวังเท่านั้น
ส่วนวัดประจำรัชกาลที่ ๑ จริงๆ แล้วก็คือ
“วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร” หรือ “วัดโพธิ์”
วัดโบราณเก่าแก่สร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
ที่ตั้งอยู่ใกล้กับวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) และพระบรมมหาราชวัง
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้เข้ามาบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่

“วัดโพธิ์” หรือมีนามทางราชการว่า
“วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร”
เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร เดิมชื่อว่า “วัดโพธาราม”
เป็นวัดโบราณเก่าแก่ที่ราษฎรสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี
แม้ไม่ปรากฏหลักฐานการสร้างที่แน่ชัด
แต่สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างขึ้นหลังจากปีพุทธศักราช ๒๒๓๑
ในรัชกาลสมเด็จพระเพทราชาต่อกับรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
เป็นวัดราษฎร์ขนาดเล็กอยู่ในเขตตำบลบางกอก ปากน้ำเจ้าพระยา เมืองธนบุรี
ชาวบ้านเรียกกันทั่วไปว่า “วัดโพธิ์” มาจนถึงกระทั่งทุกวันนี้

รูปภาพ
ด้านหน้าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์)


ครั้นมาในสมัยกรุงธนบุรี เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
หรือสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงสถาปนาเมืองธนบุรีเป็นนครหลวง
ได้ทรงกำหนดเขตเมืองหลวงทั้งสองฝั่ง มีแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ในเขตกลางเมืองหลวง
วัดโพธารามตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาจึงอยู่ในเขตพระมหานคร
และได้ยกขึ้นเป็นพระอารามหลวง มีพระราชาคณะปกครองตั้งแต่นั้นมา

จนกระทั่งในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑
องค์ปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ขึ้นเสวยราชสมบัติ
และได้ย้ายเมืองหลวงมายังฝั่งพระนคร มีการสร้างพระบรมมหาราชวังขึ้นใหม่
จึงทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดโพธารามที่อยู่ในบริเวณเดียวกันไปด้วย
และโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาวัดโพธารามเป็นวัดหลวงข้างพระบรมมหาราชวัง
ภายหลังวัดแห่งนี้ก็ได้ถือว่าเป็นพระอารามหลวงประจำรัชกาลที่ ๑

รูปภาพ
พระอุโบสถ นับเป็นหนึ่งในพระอุโบสถที่งดงามมากของวัดในเมืองไทย

รูปภาพ
บริเวณพระมณฑป (หอไตรจตุรมุข)


วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม พระอารามหลวงแห่งนี้
มีเนื้อที่ทั้งหมด ๕๐ ไร่ ๓๘ ตารางวา ตั้งอยู่ด้านทิศใต้ของพระบรมมหาราชวัง
ทิศเหนือจดถนนท้ายวัง ทิศตะวันออกจดถนนสนามไชย ทิศใต้จดถนนเศรษฐการ
ทิศตะวันตกจดถนนมหาราช มีถนนเชตุพนขนาบด้วยกำแพงสูงสีขาว
แบ่งเขตพุทธาวาสและเขตสังฆาวาสแยกจากกันไว้อย่างชัดเจน

มีหลักฐานปรากฏใน “จารึกวัดโพธิ์” ไว้ว่า
หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑
ทรงสถาปนาพระบรมมหาราชวังแล้ว ทรงพระราชดำริว่า
มีวัดเก่าแก่ขนาบพระบรมมหาราชวัง ๒ วัด ด้านเหนือ คือ วัดสลัก
(วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์) ส่วนด้านใต้ คือ วัดโพธาราม
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ขุนนางเจ้าทรงกรม ช่างสิบหมู่ฝีมือเยี่ยม
มาร่วมอำนวยการบูรณปฏิสังขรณ์เพื่อสถาปนาให้เป็นวัดหลวง
โดยเริ่มการบูรณปฏิสังขรณ์เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๓๑ ใช้เวลาถึง ๗ ปี ๕ เดือน ๒๘ วัน
จึงแล้วเสร็จและโปรดเกล้าฯ ให้มีการเฉลิมฉลองเมื่อปีพุทธศักราช ๒๓๔๔
แล้วพระราชทานนาม “วัดโพธาราม” ใหม่ว่า “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาวาศ”
ครั้นต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔
ได้โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนท้ายนามวัดเป็น “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม”
ดังปรากฏในศิลาจารึกซึ่งติดไว้ที่ผนังด้านในพระวิหารทิศพระพุทธโลกนาถมุขหลัง
เรื่องทรงสร้างวัดพระเชตุพน ครั้งรัชกาลที่ ๑ ความว่า

รูปภาพ
“พระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชดาญาณ” เจดีย์ประจำรัชกาลที่ ๑

รูปภาพ
“พระมหาเจดีย์ดิลกธรรมกรกนิทาน” เจดีย์ประจำรัชกาลที่ ๒

รูปภาพ
“พระมหาเจดีย์มุนีบัตรบริขาร” เจดีย์ประจำรัชกาลที่ ๓

รูปภาพ
“พระมหาเจดีย์ทรงพระศรีสุริโยทัย” เจดีย์ประจำรัชกาลที่ ๔


(มีต่อ ๑)

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 11:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 มี.ค. 2005, 04:18
โพสต์: 1877


 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
“พระพุทธเทวปฏิมากร” พระประธานในพระอุโบสถ


“ศุภมัศดุพระพุทธศักราชล่วงแล้วสองพันสามร้อยสามสิบเบดพระวะษา
ณ วันจันทร์เดือนสิบเบดแรมแปดค่ำปีระกานักสัตว์เอกศก
สมเดจ์พระบรมธรรมมฤกมหาราชาธิราชพระเจ้ารามาธิบดี
บรมนารถบรมบพิตรพระพุทธิเจ้าอยู่หัวผู้ผ่านพิภพไอศวรรยาธิปัดถวัลราช
กรุงเทพทวาราวะดีศรีอยุทธยามหาดิหลดภพนพรัตนราชธานี
บุรีรมย์อุดมพระราชมหาสถาน เสดจ์ทอดพระเนตร์เหนวัดโพธารามเก่า
ชำรุดปรักหักพังเปนอันมากทรงพระราชศัรทธาจะปติสังขรณ์ส้างให้บริบูรรณงามขึ้น
กว่าเก่าซึ่งที่เปนลุ่มดอนห้วยคลองสระบ่อร่องคูอยู่นั้น
ทรงพระกรุณาให้เอาคนสองหมื่นเศศฃนดินมาถมเตมแล้ว
รุ่งขึ้นปีหนึ่งสองปีกลับยุบลุ่มไปจึงให้ซื้อมูลดินถมสิ้นพระราชทรัพย์
สองร้อยห้าชั่งสิบห้าตำลึงจึ่งให้ปราบที่พูนมูล ดินเสมอดีแล้ว
ครั้นณะวันพฤหัศบดีเดือนสิบสองแรมสิบเบดค่ำปีฉลูนักสัตว์เบญจะศก
ให้จับการปัติสังขรณะส้างพระอุโบสถมีกำแพงแก้วกระเบื้องปรุะ
ล้อมรอบพื้นในกำแพงแก้ว แลหว่างพระระเบียงชั้นในชั้นนอกก่ออิฐห้าชั้นแล้วดาดปูน
กระทำพระระเบียงล้อมสองชั้นผนังพระระเบียงข้างในประดับกระเบื้องปรุะ
ผนังหลังพระระเบียงเขียนเปนลายแย่งมุมพระระเบียงนั้นเปนจัตุระมุข
ทุกชั้นมีพระวิหารสี่ทิศบันดาหลังคาพระอุโบสถพระวิหารพระระเบียงนั้น
มุงกระเบื้องเคลือบศรีเขียวเหลืองสิ้น
ตรงพระวิหารทิศตวันตกออกไปให้ขุดรากพระเจดีย์ใหญ่
กว้างสิบวาลึกห้าศอกตอกเขมเอาอิฐหักใส่กะทุ้งให้แน่นแล้วเอาไม้ตะเคียนยาวเก้าวา
น่าศอกจัตุรัศเรียงระดับประกับกันเป็นตะรางสองชั้น
แล้วจึงเอาเหล็กดอกเห็ดใหญ่ยาวสองศอกตรึงตะหลอดไม้แกงแนงทังสองชั้น
หว่างช่องแกงแนงนั้นเอาอิฐหักทรายถมกะทุ้งให้แน่นดีแล้วรุ่งขึ้นณะวันศุกร์
เดือนสามขึ้นสิบค่ำปีฃาลฉ้อศกเพลาเช้าสมเดจ์พระเจ้าอยู่หัวเสดจ์พระราชดำเนิร
พร้อมด้วยพระราชวงษานุวงษ์เสนาพฤฒามาตย์ราชปโรหิตโหราจารย์
มายังที่ลานพระมหาเจดีย์ จึงให้ชักชะลอพระพุทธปติมากรศรีสรรเพชญ์อันชำรุด
รับมาแต่กรุงเก่า เข้าวางบนราก
ได้ศุภฤกษประโคมฆ้องกลองแตรสังข์ดุริยางคดนตรีปี่พาทย์
เสดจ์ทรงวางอิฐทองอิฐนากอิฐเงินก่อรากข้าทูลลอองทุลีพระบาททังปวงระดมกันก่อถาน
กว้างแปดวาถึงที่บันจุจึงเชิญพระบรมธาตุ์แลฉลองพระเขี้ยวแก้วองค์หนึ่ง
พระเขี้ยวทององค์หนึ่งพระเขี้ยวนากองค์หนึ่ง บันจุในห้องพระมหาเจดีย์
แล้วก่อสืบต่อไปจนสำเรจ์ยกยอดสูงแปดสิบสองศอกกระทำพระระเบียงล้อมสามด้าน
ผนังนั้นเขียนนิยายรามเกรียรดิ์จึงถวายนามพระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชญดาญาณ
แลในวงพระระเบียงชั้นในมีพระมหาธาตุ์สี่ทิศนอกพระระเบียงชั้นนอก
หว่างพระวิหารคตนั้น มีพระเจดีย์ถานเดียวห้าพระองค์สี่ทิศญี่สิบพระองค์
เข้ากันทังพระมหาเจดีย์ใหญ่พระมหาธาตุ์เปนญี่สิบห้าพระองค์บันจุพระบรมธาตุสิ้น
แลมีพระวิหารคตสี่ทิศกำแพงแก้วคั่นประตูซุ้มประดับกระเบื้องเคลือบสองประตู
มีรูปสัตว์ประตูละคู่ ทำหอไตรย์มุงกระเบื้องหุ้มดิบุก
ฝาแลเสาปิดทองลายรดน้ำแลตู้รูปปราสาทใส่คำภีร์พระปะริยัติไตรย์ปิฎก
ทำการบุเรียนหอระฆัง พระวิหารน้อยซ้ายขวาสำหรับทายกไว้พระพุทธรูป
ขุดสระน้ำปลูกพรรณไม้ทำศาลารายห้าห้องเจ็ดห้องเก้าห้องเปนสิบเจ็ดศาลา
เขียนเรื่องพระชาฎกห้าร้อยห้าสิบพระชาติ์ทังตำรายาแลฤาษีดัดตนไว้
เปนทานทำกำแพงแก้วล้อมรอบนอก มีประตูซุ้มประดับกระเบื้องถ้วยสี่ประตู
มีรูปอสูรประจำประตูละคู่ มีประตูซุ้มประดับกระเบื้องเคลือบเก้าประตู
ทังประตูกำแพงคั่นสองเปนสิบเบ็ดประตูมีรูปสัตว์ประตูละคู่เปนรูปสัตว์ญี่สิบสองตัว
แล้วทำตึกแลกุฎีสงฆ์หลังละสองห้องสามห้องสี่ห้องห้าห้องหกห้องเจ็ดห้อง
ฝากะดานพื้นกะดานมุงกระเบื้องเปนกุฎีร้อยญี่สิบเก้าทำหอฉัน
หอสวดมนต์ศาลาต้มกรักตากผ้า สระน้ำ ทำกำแพงล้อมกุฎีอีกวงหนึ่ง
แลรีมฝั่งน้ำนั้นมีศาลาสามหน้าต้นตะพานพระสงฆ์สรงน้ำทำเวจกุฎีสี่หลัง
แลในพระอุโบสถพระวิหารพระระเบียงนั้นเชิญพระพุทธปติมากร
อันหล่อด้วยทองเหลืองทองสำฤท ชำรุดปรักหักพัง
อยู่ณะเมืองพระพิศณุโลกเมืองสวรรคโลกเมืองศุกโขไทเมืองลพบุรี
เมืองกรุงเก่าวัดศาลาสี่หน้าใหญ่น้อยพันสองร้อยสี่สิบแปด พระองค์ลงมา
ให้ช่างหล่อต่อพระสอพระเศียรพระหัตถ์พระบาทแปลงพระภักตร์พระองค์ให้งามแล้ว
พระพุทธรูปพระประธานวัดศาลาสี่หน้าน่าตักห้าศอกคืบสี่นิ้วเชิญมาบุณะ
ปติสังขรณเสรจ์แล้ว ประดิษถานเปนพระประธานในพระอุโบสถ
บันจุพระบรมธาตุ์ถวายพระนามว่าพระพุทธเทวะปติมากร
แลผนังอุโบสถเขียนเรื่องทศชาติ์ทระมานท้าวมหาชมภูแลเทพชุมนุม
พระพุทธรูปยืนสูงญี่สิบศอก ทรงพระนามว่าพระโลกนาถสาศดาจารย์
ปรักหักพังเชิญมาแต่วัดศรีสรรเพชญ์ กรุงเก่า
ปติสังขรณ์เสรจ์แล้วเชิญประดิษถานในพระวิหารทิศตะวันออกมุกหลัง
บันจุพระบรมธาตุ์ด้วย ผนังเขียรพระโยคาวจรพิจาระณาอาศภสิบ
และอุประมาญาณสิบพระพุทธรูปวัดเขาอินเมืองสวรรคโลก
หล่อด้วยนากน่าตักสามศอกคืบหาพระกรมิได้
เชิญลงมาบุณะปติสังขรณด้วยนากเสรจ์ แล้วประดิษถานไว้เปนพระประธาน
ในพระวิหารทิศตวันออกบันจุพระบรมธาตุ์
ถวายพระนามว่าพระเจ้าตรัสในควงไม้พระมหาโพธิ์มีต้นพระมหาโพธิ์ด้วย
แลผนังนั้นเขียนเรื่องมารพะจล พระพุทธรูปน่าตักสี่ศอกห้านิ้ว
เชิญมาแต่กรุงเก่าปติสังขรณ์เสรจ์แล้วประดิษถานไว้ในพระวิหารทิศไต้
ถวายพระนามว่าพระพุทธิเจ้าเทศนาพระธรรมจักรมีพระปัญจะวักคีทังห้า
นั่งฟังพระธรรมเทศนาด้วย แลผนังนั้นเขียนเรื่องเทศนาพระธรรมจักร
แลเทศนาดาวดึงษ์พระพุทธรูปน่าตักสามศอกคืบสิบนิ้ว
เชิญมาแต่ลพบูรีปติสังขรณ์เสรจ์แล้วประดิษถานไว้ในพระวิหารทิศตะวันตก
บันจุพระบรมธาตุ์ถวายพระนามว่าพระนาคปรก
มีพญานาคแผลงฤทธิ์เลิกพั้งพานมีต้นจิกด้วยแลผนังนั้นเขียนเรื่องพระเกษธาตุ์
พระพุทธรูปหล่อใหม่สูงแปดศอกคืบห้านิ้ว ประดิษฐานไว้ในพระวิหารทิศเหนือ
บันจุพระบรมธาตุ์ ถวายพระนามว่าพระป่าเลไลย
มีช้างถวายคนทีน้ำมีวานรถวายรวงผึ้งแลผนังนั้นเขียนไตรย์ภูมมีเฃาพระสุเมรุราช
แลเขาสัตตะพันท์ทวีปใหญ่ทังสี่แลเฃาพระหิมพานต์อะโนดาตสระแลปัญจะมหานัที
พระพุทธรูปในพระอุโบสถอารามเก่าน่าตักสี่ศอกเชิญเข้าประดิษฐานไว้
เปนพระประธานในการบุเรียร แล้วจัดพระพุทธรูปใส่ในพระระเบียงชั้นในชั้นนอก
แลพระวิหารคต เปนพระพุทธรูปมาแต่หัวเมือง ชำรุดปติสังขรณ์ขึ้นใหม่
หกร้อยแปดสิบเก้าพระองค์พระพุทธรูปทำด้วยอิฐปูน
สำหรับอารามชำรุดอยู่ร้อยแปดสิบสามพระองค์เข้ากันเปนพระพุทธรูป
แลพระอรหรรต์แปดร้อยเจดสิบสองพระองค์ลงรักปิดทองสำเรจ์เหลือนั้น
ข้าทูลลอองทุลีพระบาทสัปรุษทายกรับไปบุณะไว้ในพระอารามอื่น
แลการถาปะนาพระอารามเจ็ดปีห้าเดือนญี่สิบแปดวันจึงสำเรจ์
สิ้นพระราชทรัพย์แต่ที่จำได้คิดค่าดินถมอิฐปูนไม้ทรุงสักขอนสักไม้แก่น
เหล็กกระเบื้องฟืนไม้จากทำโรงงานร่างร้านเรือนฃ้าพระเสากระดานกุฎี
น้ำอ้อนน้ำมันยางชันดีบุก ทองเหลืองทองแดงศรี ผึ้ง
หล่อถ่านกระจกน้ำรักทองคำกระดาดชาดเสนเครื่องเขียนรงดินแดง
พระราชทานช่างแลเลี้ยงพระสงฆ์เลี้ยงช่างแล้วช่วยคนชายสกันหกสิบหกคน
สมโนครัวสองร้อยญี่สิบสี่คนเปนเงินเก้าสิบห้าชั่งสิบเบดตำลึง
สักแขนขวาถวายเปนข้าพระขาดไว้ในพระอาราม
ตั้งหลวงพิทักษ์ชินศรีเจ้ากรมขุนภักดีรศธรรม
ปลัดกรมควบคุมข้าพระรักษาพระอารามเข้ากันสิ้นพระราชทรัพย์ส้างและช่วยคน
เปนเงินสามพันเจ็ดร้อยแปดสิบห้าชั่งหกตำลึง
แล้วทรงพระกรรุณาให้เอาแพรลายย้อมครั่งทรงพระพุทธรูป
ในพระวิหารทิศพระระเบียง พระวิหารคตการบุเรียนพระมหาธาตุ์เจดีย์ใหญ่น้อย
สิ้นแพรร้อยพับแต่พระพุทธเทวะปติมากรในพระอุโบสถ
ทรงผ้าศรีทับทิมชั้นในตาดชั้นนอก
ครั้นณะวันศุกร์เดือนห้าแรมสิบสองค่ำปีระกาตรีนิศก
ให้ตั้งการฉลองอาราธนา พระราชาคณะถานานุกรมอะธิการ
อันดับฝ่ายคันธะธุระวิปัศนาธุระพันรูปพร้อมกันณะพระอุโบสถ
เพลาบ่ายแล้วสี่โมงห้าบาตสมเดจ์พระบรมนารถบรมบพิตร์พระพุทธิเจ้าอยู่หัว
เสดจ์พระราชดำเนิรพร้อมด้วยสมเดจ์พระอนุชาธิราชวงษานุวงษ์
เสนาพฤฒามาตย์ราชปโรหิตาจารย์มายังพระอุโบสถทรงสมาทานพระอุโบสถศีล
แล้วหลั่งน้ำอุทิโสทกบลงเหนือพระหัตถ์พระพุทธปติมากร ถวายพระอาราม
ตามพระบาฬีแก่พระสงฆ์มีองค์พระพุทธปติมากรเปนประธานมีนามปรากฏ
ชื่อวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาวาศมอบถวายพระวัณะรัตนพิพัฒญาณอดุล
สุนธรวรนายกปิฎกะธรามหาคะนิศรบวร ทักขิณาคณะสังฆารามคามวาสี
สถิตย์ในวัดพระเชตุพน แลัวถวายแก่พระพุทธปติมากร แพรยกไตรย์
หนึ่งบาตร์เหล็กเครื่องอัฐะบริฃารพร้อมย่ามกำมะหยี่
เครื่องย่ามพร้อมพัชแพรร่มแพรเสื่ออ่อนโอเถาโอคณะกาน้ำช้อนมุกขวดแก้ว
ใส่น้ำผึ้งน้ำมันพร้าวน้ำมันยา กลักใส่เทียนธูปสิ่งละร้อย
ไม้เท้ารองเท้าสายสะเดียงพระสงฆ์พันหนึ่งก็ได้เหมือนกันทุกองค์
ครั้นจบพระบาฬีที่ทรงถวายพระสงฆ์รับสาธุพร้อมกันประโคมดุริยางค์ดนตรี
แตรสังข์ฆ้องกลองสนั่นไปด้วยสรัทสำเนียงกึกก้องโกลาหล
พระสงฆ์รับพระราชทานแล้วไปสรงน้ำครองไตรย์มาสวดพระพุทธมนต์
เพลาเยนวันละพันรูปปรนิบัดิพระสงฆ์ฉันเช้าเพนสามวันพันรูปถวายกระจาดทุกองค์
ให้มีพระธรรมเทศนาบอกอานิสงษ์ทุกวันแล้วปรนิบัดิพระสงฆ์
ซึ่งศรัทธาทำดอกไม้เพลิงบูชาพระรัตนไตรย์ฉันเช้าทั้งเจดวัน
เปนพระสงฆ์หกร้อยญี่สิบสี่รูป ถวายผ้าสบงทุกองค์ถวายบาตร์เหล็ก
ซึ่งพระสงฆ์ไม่มีครองแล้วถวายกระจาดเสื่อร่มรองเท้าธูปเทียนไม้เท้าด้วย
แล้วให้ตั้งโรงฉ้อทานเลี้ยงสมณะชีพราหมณะ
อนาประชาราษฎรทังปวงแลมีโฃนอุโมงโรงใหญ่
หุ่นละคอนมอญรำระบำมงครุ่มคุลาตีไม้ปรบไก่งิ้วจีนญวนหกขะเมน
ไต่ลวดลอดบ่วงรำแพนนอนหอกดาบโตฬ่อแก้วแลมวย
เพลากลางคืนประดับไปด้วยประทีปแก้วระย้าแก้วโคมพวงโคมราย
แลดอกไม้รุ่งสว่างไปทั้งพระอาราม แล้วให้มีหนังคืนละเก้าโรง
มีดอกไม้เพลิงคืนละสองร้อยพุ่มระทาใหญ่แปดระทาพลุะประทัดพะเนียง
ดอกไม้ม้าดอกไม้กะถางดอกไม้กลต่างต่างแลมังกรฬ่อแก้ว
ญวนรำโคมเปนที่โสรมนัศบูชาโอฬาริกวิเศศ
เปนพระราชทรัพย์ทิ้งทานต้นกรรมพฤกษ์ฉลากพิกัดค่าพระราชบุตรบุตรี
พระภาคีไนยราชแลนางพระสนม ราชกุญชรอัศดรนาวาฉลากละห้าชั่งสี่ชั่งสองชั่ง
เป็นเงินสามร้อยสามสิบแปดชั่ง เงินใส่ผลมะนาวร้อยหกสิบแปดชั่งเข้ากัน
ทิ้งทานห้าร้อยหกชั่งคิดทังเงินค่าผ้าทรงพระ ดอกไม้สดบูชา
เลี้ยงพระสงฆ์กระจาดและโรงฉ้อทานเครื่องไทยทาน
ทำเครื่องโขนโรงโขนเครื่องเล่นเบ็ดเสร็จ
พระราชทานการมะโหระสพแลถวายระย้าแก้วโคมแก้วบูชาไว้ในพระอาราม
เปนเงินในการฉลองพันเก้าร้อยสามสิบชั่งสี่ตำลึงเข้ากัน
ทั้งสร้างเปนพระราชทรัพย์ห้าพันแปดร้อยสิบเบดชั่ง
ครั้นเสรจ์การฉลองพระอารามแล้วพายหลังทรงพระกรรุณา
ให้อัญเชิญพระพุทธปฏิมากรทังสอง ซึ่งสถิตย์ในพระวิหารฝ่ายทักขิณทิศ
แลทิศประจิมนั้นขึ้นไปประดิษถานไว้ ณพระวิหารวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ
ให้อัญเชิญพระพุทธปฏิมากรทังสองพระองค์
ซึ่งเชิญมาแต่เมืองศุกโขไทน่าตักห้าศอกคืบกับนิ้วหนึ่งเท่ากัน
พระองค์หนึ่งทรงพระนามพระพุทธชินราชเข้าประดิษฐานไว้แทนที่ในพระวิหาร
ฝ่ายทักขิณทิศ พระองค์หนึ่งทรงพระนามพระพุทธชินศรีเข้าประดิษถาน
ไว้แทนที่ในพระวิหารฝ่ายปัจจิมทิศคงดังเก่าซึ่งทรงพระราชศรัทธาบำเพ็ญพระราชกุศล
ทั้งนี้ ใช่พระไทยจะปรารถนาสมบัติบรมจักรจุลจักรท้าวพญาสามลราช
แลสมบัติอินท์พรหมหามิได้ ตั้งพระไทยหมายมั่น
พระบรมโพธิญานในอนาคตกาลจะรื้อสัตว์ให้พ้นจากสงสารทุกข์ แลการพระราชกุศล
ทั้งนี้ ฃออุทิศให้แก่เทพยุเจ้าในอนันตะจักรวาฬแลเทพยุเจ้าในฉกามาพจรแล
โสฬศมหาพรหม อากาศเทวดาพฤกษเทวดาภูมเทวดาอารักษเทวดาแลกษัตราธิราช
พระราชวงษานุวงษ์เสนาพฤฒามาตย์ราชปโรหิตสมณชีพราหมณ์อนาประชาราษฎร
ทั่วสกลราชอาณาจักรในมงคลทวีป จงอนุโมทนาเอาส่วนพระราชกุศลนี้
ให้เปนบุญลาภศิริสวัสดิทีฆายุศมฯ”
*

* หมายเหตุ : อักขรวิธีตามต้นฉบับ


รูปภาพ
พระอุโบสถ และ ซุ้มเสมายอดเจดีย์

รูปภาพ
พระพุทธรูปเก่าแก่ ที่พระระเบียงคด (พระวิหารคด) รอบพระอุโบสถ

รูปภาพ
พระพุทธรูปเก่าแก่ ในพระวิหารทิศทั้ง ๔ ทิศ


(มีต่อ ๒)

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 11:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 มี.ค. 2005, 04:18
โพสต์: 1877


 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

รูปภาพ
สางแปลง เฝ้าอยู่ที่ ซุ้มประตูกำแพงแก้ว


ครั้นรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่
เป็นเวลานานถึง ๑๖ ปี ๗ เดือน ขยายเขตพระอารามด้านใต้และตะวันตก
คือส่วนที่เป็นพระวิหารพระพุทธไสยาสน์ สวนมิสกวันสถาปนาขึ้นใหม่
พระมณฑป ศาลาการเปรียญ และสระจระเข้บูรณปฏิสังขรณ์ใหม่
เป็นโบราณสถานในพระอารามหลวงที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้
แม้การบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งล่าสุดเมื่อคราวเฉลิมฉลองกรุงเทพฯ ๒๐๐ ปี
เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๕ เป็นเพียงซ่อมสร้างของเก่าให้ดีขึ้น มิได้สร้างเสริมสิ่งใดๆ

เกร็ดประวัติศาสตร์ของการสถาปนาและการบูรณปฏิสังขรณ์วัดโพธิ์แห่งนี้
บันทึกไว้ว่า รัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๓ ขุนนาง เจ้าทรงกรมช่างสิบหมู่
ได้ระดมช่างในราชสำนัก ช่างวังหลวง ช่างวังหน้า และช่างพระสงฆ์ที่อยู่ในวัดต่างๆ
ผู้เชี่ยวชาญงานศิลปกรรมสาขาต่างๆ ได้ทุ่มเทผลงานสร้างสรรค์พุทธสถาน
และสรรพสิ่งที่ประดับอยู่ภายในวัดพระอารามหลวง
ด้วยพลังศรัทธาตามพระราชประสงค์ของพระองค์ท่านที่ให้เป็นแหล่งรวม
สรรพศิลป์ สรรพศาสตร์ เปรียบเป็นมหาวิทยาลัยแห่งสรรพวิชาไทย
(มหาวิทยาลัยเปิดแห่งแรกของไทย) ที่รวบรวมเอาภูมิปัญญาไทย
ไว้เป็นมรดกให้ลูกหลานไทยได้เรียนรู้กันอย่างไม่รู้จบสิ้น


จักรพันธุ์ โปษยกฤต จิตรกรชื่อดังของไทย กล่าวไว้ในหนังสือ
“โบสถ์วัดโพธิ์” เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒ ว่า

“ศิลปศาสตร์ในวัดโพธิ์ จึงเสมือนโอฆะแห่งวิชา
ที่สามารถตักตวงได้ ยังประโยชน์แก่กุลบุตร กุลธิดา
ให้อุดมสมบูรณ์อลังการด้วยปัญญาอยู่มิรู้เหือดแห้ง”


รูปภาพ

รูปภาพ
“พระอัคฆีย์เจดีย์” ที่มุมลานพระอุโบสถชั้นนอกทั้ง ๔ ด้าน

รูปภาพ

รูปภาพ
ถะ (สถูปเจดีย์หิน) ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างพระระเบียงคดชั้นนอกและชั้นใน


(มีต่อ ๓)

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 11:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 มี.ค. 2005, 04:18
โพสต์: 1877


 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
“พระพุทธเทวปฏิมากร” พระประธานในพระอุโบสถ

รูปภาพ
“ซุ้มจรณัม” ประจำประตูทางเข้าพระอุโบสถ


• ศาสนสถานและศาสนวัตถุอันงดงามล้ำค่า

ศาสนสถานและศาสนวัตถุสิ่งสำคัญที่น่าสนใจในวัดพระเชตุพนฯ นั้น
มีมากมายนับตั้งแต่ พระอุโบสถ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระประธาน
นามว่า “พระพุทธเทวปฏิมากร” อันหมายถึง เทวดามาสร้างไว้
เนื่องด้วยเป็นพระพุทธรูปที่มีลักษณะงดงามเป็นอย่างยิ่งสมกับชื่อ

ที่ใต้ฐานชุกชีพระแท่นประดิษฐานพระพุทธเทวปฏิมากร
พระประธานในพระอุโบสถ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่ก่อไว้ ๓ ชั้นนั้น
ในชั้นที่ ๑ ได้บรรจุพระบรมอัฐิ (บางส่วน)
และพระบรมราชสรีรางคารของบุรพกษัตริย์รัชกาลที่ ๑ ไว้ด้วย


“พระพุทธเทวปฏิมากร” พระประธานในพระอุโบสถ
เป็นพระพุทธรูปโบราณ ปางสมาธิ หน้าตักกว้าง ๕ ศอกคืบ ๔ นิ้ว

มีหลักฐานปรากฏใน ‘จารึกวัดโพธิ์’ ไว้ว่า
เดิมพระพุทธเทวปฏิมากรประดิษฐานอยู่ ณ วัดศาลาสี่หน้า (วัดคูหาสวรรค์)
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงสร้างวัดโพธาราม
ให้เป็นวัดใหญ่สำหรับพระนคร และได้ทรงขนานนามใหม่ว่า
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม พระองค์ได้ทรงเลือกหาพระพุทธรูป
ที่มีพุทธลักษณะงามสมควรเป็นพระประธานในพระอุโบสถของวัด
จึงได้พบและเลือกพระพุทธรูปองค์นี้จากวัดศาลาสี่หน้า (วัดคูหาสวรรค์) ดังกล่าว

ครั้งนั้น จึงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญมาประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถ
ถวายพระนามว่า “พระพุทธเทวปฏิมากร”

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ
“พระพุทธเทวปฏิมากร” นามอันมีความหมายว่า เทวดามาสร้างไว้


ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓
โปรดเกล้าฯ ให้รื้อพระอุโบสถเก่าซึ่งสร้างไว้ตั้งแต่ครั้งรัชกาลที่ ๑
ลงทั้งสิ้น แล้วทรงสร้างพระอุโบสถขึ้นใหม่ให้ใหญ่โตกว่าเก่า

ส่วนฐานพระพุทธเทวปฏิมากรนั้นรื้อของเก่าทำขึ้นใหม่ขยายเป็น ๓ ชั้น
พระสาวกเดิมมี ๒ องค์ ทรงสร้างขึ้นใหม่อีก ๘ องค์
รวมเป็นพระสาวก ๑๐ องค์ ดังที่ปรากฏอยู่จนกระทั่งถึงทุกวันนี้

ครั้นถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔
มีพระราชดำริถึงพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ซึ่งพระเจ้าลูกเธอในรัชกาลนั้นได้รับพระราชทานไปกระทำสักการบูชา
เมื่อเจ้านายพระองค์นั้นๆ สิ้นพระชนม์ไปแล้ว ไม่มีใครพิทักษ์รักษา
ได้เชิญมาเป็นของหลวง มีอยู่ควรจะประดิษฐานไว้ให้มหาชน
ได้กระทำสักการบูชาโดยสะดวก จึงโปรดเกล้าฯ ให้บรรจุพระบรมอัฐิในกล่องศิลา
แล้วเชิญมาบรรจุไว้ในพระพุทธอาสน์ของพระพุทธเทวปฏิมากร
และยังมีคำที่เล่าสืบกันมาว่าถึงพระอุณาโลมพระพุทธเทวปฏิมากรนั้น
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ได้โปรดให้สร้างถวายในครั้งนั้นด้วย

อนึ่ง พระพุทธเทวปฏิมากรพระองค์นี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จะทรงเคารพนับถือว่าเป็นเจดีย์สถานสำคัญแห่งหนึ่งมาช้านานแล้ว
เพราะปรากฏในจดหมายเหตุว่า เมื่อได้ทรงรับพระบรมราชาภิเษกเสร็จแล้ว
ได้เสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครโดยสถลมารค
เมื่อ ณ วันอังคาร เดือน ๖ แรม ๕ ค่ำ ปีกุน พุทธศักราช ๒๓๗๙

ครั้งนั้น จึงได้เสด็จประทับพระอุโบสถทรงกระทำสักการบูชา
พระพุทธเทวปฏิมากรเป็นปฐม เรื่องนี้เลยเป็นพระราชประเพณีตั้งแต่นั้นสืบมา
คือ เมื่อเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครโดยสถลมารคนั้น
ย่อมเสด็จประทับ ณ พระอุโบสถ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
ทรงกระทำสักการบูชาพระพุทธเทวปฏิมากรสืบมาทุกรัชกาล

รูปภาพ
ความงดงามของ “พระอุโบสถ” วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม

รูปภาพ
“พระอุโบสถ” ในยามราตรี


ในส่วนพระอุโบสถก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่น่าสนใจ แต่ที่แปลกและเด่นเป็นพิเศษคือ
ลักษณะพระระเบียงคด (พระวิหารคด) ที่สร้างล้อมพระอุโบสถถึง ๒ ชั้นด้วยกัน
แล้วเชื่อมต่อกับพระวิหารทิศทั้ง ๔ ทิศ
นอกจากนี้รอบๆ ซุ้มประตูกำแพงแก้ว
ยังมี สางแปลง ซึ่งมีลักษณะคล้ายตุ๊กตาจีนและมีรูปร่างแปลกกว่าสัตว์ชนิดอื่น
คอยเฝ้าอยู่ที่ซุ้มประตูกำแพงแก้วทุกด้าน

อีกทั้งบรรดา พระพุทธรูปเก่าแก่ ที่พระระเบียงคดรอบพระอุโบสถ
ล้วนมีความงดงามที่น่าทึ่งเช่นกัน จะพบว่าภายใต้พระพุทธรูปปูนปั้นเหล่านั้น
มีพระพุทธรูปโบราณหลายยุคทั้งสมัยอู่ทอง สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา ฯลฯ
บรรจุอยู่ภายใน ซึ่งตามประวัติการบูรณปฏิสังขรณ์วัดกล่าวว่า
รัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมพระพุทธรูปเก่าแก่จากหัวเมืองต่างๆ
นับได้จำนวนพันองค์ มาไว้รวมกันที่วัดโพธิ์แห่งนี้
แต่เพราะต้องการให้มองเห็นพระพุทธรูปเหล่านั้นเป็นลักษณะเดียวกันหมด
เพื่อความสวยงาม จึงเอาปูนมาพอกทับไว้ให้ได้ขนาด

ต่อมาปูนที่พอกไว้เริ่มทรุดโทรม จึงได้มีการปฏิสังขรณ์ใหม่อีกครั้ง
เมื่อกระเทาะปูนเก่าออกจึงพบพระหล่อสัมฤทธิ์ฝีมือช่างโบราณ
งดงามอย่างยากจะหาดูได้ ไม่เพียงพระพุทธรูปที่พระระเบียงคดเท่านั้น
พระพุทธรูปภายในพระวิหารทิศทั้ง ๔ ทิศก็ล้วนเก่าแก่และงดงาม
เป็นพระพุทธรูปที่มีคุณค่าทั้งในทางฝีมือและวัตถุที่นำมาสร้าง
ซึ่งบางองค์งดงามประหลาดกว่าพระพุทธรูปในวัดอื่นๆ

รูปภาพ
พระวิหารพระพุทธไสยาส (พระวิหารพระนอน)

รูปภาพ
บริเวณด้านหน้าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์)


(มีต่อ ๔)

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 11:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 มี.ค. 2005, 04:18
โพสต์: 1877


 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

รูปภาพ
พระพุทธไสยาส (พระนอน) ทางด้านพระพักตร์ขององค์พระ

รูปภาพ

รูปภาพ
พระพุทธไสยาส (พระนอน) ทางด้านพระปฤษฎางค์ (ด้านหลัง) ขององค์พระ


นอกจากนั้นก็ยังมีพระวิหารอีกหลายแห่งที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญไว้ทั้งสิ้น
ที่สำคัญคือ พระวิหารพระพุทธไสยาส หรือพระวิหารพระนอน
ภายในประดิษฐาน “พระพุทธไสยาส” หรือ “พระนอน” ปางโปรดอสุรินทราหู
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าฯ
ให้สร้างขึ้นในคราวปฏิสังขรณ์วัดครั้งใหญ่เมื่อ จ.ศ.๑๑๙๓ พ.ศ.๒๓๗๕
โดยสร้างองค์พระขึ้นก่อนแล้วจึงสร้างพระวิหารครอบองค์พระในภายหลัง

“พระพุทธไสยาส” หรือ “พระนอนวัดโพธิ์” ได้รับการยกย่องว่าเป็น
พระพุทธไสยาสที่มีพุทธลักษณะงดงามเป็นอันดับต้นๆ แห่งสยามประเทศ
ขนาดองค์พระยาว ๑ เส้น ๓ วา (๔๖ เมตร)
ความสูงจากพื้นถึงยอดพระเกตุมาลา ๑๕ เมตร

เฉพาะพระพักตร์จากไรพระศก (ไรผม) ถึงพระหนุ (คาง)
ยาว ๑๐ ศอก (๕ เมตร) กว้าง ๕ ศอก (๒.๕๐ เมตร)
พระพุทธบาท ยาว ๕ เมตร สูง ๓ เมตร
จัดว่าเป็นพระนอนที่มีขนาดองค์ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพมหานคร
และใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศไทย

รองลงมาจากพระนอนจักรสีห์ วัดพระนอนจักรสีห์ วรวิหาร จ.สิงห์บุรี
ซึ่งขนาดองค์พระยาว ๑ เส้น ๓ วา ๒ ศอก ๑ คืบ ๗ นิ้ว (๔๗.๔๐ เมตร)
และพระนอนกลางแจ้ง วัดขุนอินทประมูล จ.อ่างทอง
ซึ่งขนาดองค์พระยาว ๑ เส้น ๕ วา (๕๐ เมตร)


ดำเนินการสร้างโดยช่างสิบหมู่หลวง โดยมี
พระองค์เจ้าลดาวัลย์ กรมหมื่นภูมินทรภักดี
เป็นผู้กำกับดูแลการก่อสร้าง
เป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูน ลงรักปิดทองเหลืองอร่ามทั้งองค์
ในขณะที่พระพักตร์อิ่มเอิบ ดูขรึมขลังงดงามสมส่วน เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งศรัทธายิ่งนัก
เชื่อกันว่าเป็นปางโปรดอสุรินทราหู ในคติที่กล่าวว่า เพื่อลดทิฐิของอสุรินทราหู ผู้เป็นยักษ์
เรื่องการสำคัญผิดถึงความยิ่งใหญ่ของตัวตน ที่ถือตัวว่ามีร่างกายใหญ่โตกว่ามนุษย์
พระพุทธเจ้าจึงทรงเนรมิตพระวรกายให้ใหญ่กว่ายักษ์


ลักษณะพระพุทธไสยาสโดยทั่วๆ ไป มีลักษณะบรรทมตะแคงขวา
พระบาทขวาเลื่อมพระบาทซ้าย แต่พระพุทธไสยาสวัดโพธิ์นั้น
มีความแตกต่างออกไปเป็นเอกลักษณ์พิเศษ
คือ พระบาททั้งซ้ายและขวานั้นซ้อนเสมอกัน

อาจเป็นความตั้งใจของช่างสิบหมู่หลวงผู้สร้างที่ตั้งใจจะแสดงลวดลาย
ลักษณะเป็นภาพมงคล ๑๐๘ ประการ บนฝ่าพื้นพระบาททั้งสองก็เป็นได้

ที่น่าทึ่งคือ ลายจำหลักมุกภาพมงคล ๑๐๘ ประการ
ที่งดงามโดดเด่นอย่างยิ่งบนฝ่าพื้นพระบาททั้งสองข้าง

ซึ่งเป็นลายศิลปะไทยกับจีนผสมผสานกันกลมกลืนลงตัวอย่างประณีตศิลป์
หากพิจารณาแล้ว ภาพมงคล ๑๐๘ ประการ และลวดลายภูเขาต่างๆ
ในป่าหิมพานต์
เป็นคติแบบไทยที่รับมาจากชมพูทวีป
ส่วนภาพนก หงส์ ภูเขา เมฆ ฯลฯ รวมทั้งแนวคิดเรื่องฮวงจุ้ยเป็นคติแบบจีน

อนึ่ง การประดับลวดลายจำหลักมุกภาพมงคล ๑๐๘ ประการไว้ที่ฝ่าพระบาทนั้น
เป็นไปตามคติอินเดียโบราณที่เชื่อว่าพระพุทธเจ้าทรงมีพุทธลักษณะสำคัญอย่างหนึ่ง
คือ ฝ่าพระบาทมีลายมงคล ๑๐๘ ประการ ได้แก่ ปราสาท หอยสังข์ ช้าง แก้ว
นก หงส์ ภูเขา เมฆ ฯลฯ ตรงกลางเป็นรูปกงจักรตามตำรามหาปุริสลักขณะ
แสดงถึงพระบุญญาบารมีอันแรงกล้า ซึ่งหากเป็นพระพุทธรูปปางอื่นๆ
จะมองไม่เห็น ยกเว้นพระพุทธรูปปางไสยาสน์
ทำให้ช่างผู้สร้างบรรจงประดับลวดลายอันวิจิตรไว้อย่างเต็มที่

รูปภาพ

รูปภาพ
พระพุทธไสยาส (พระนอน) มีพุทธลักษณะงดงามเป็นอันดับต้นๆ แห่งสยามประเทศ

รูปภาพ
พระพุทธไสยาส (พระนอน) ขนาดองค์ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ และใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศ

รูปภาพ

รูปภาพ
พระบาทซ้ายและขวาซ้อนเสมอกัน

รูปภาพ
ลายจำหลักมุกภาพมงคล ๑๐๘ ประการที่พระบาทพระพุทธไสยาส (พระนอน)

รูปภาพ
๑ ในลายจำหลักมุกภาพมงคล ๑๐๘ ประการที่พระบาทพระพุทธไสยาส (พระนอน)

รูปภาพ
ภายในพระวิหารพระพุทธไสยาส (พระวิหารพระนอน)

รูปภาพ
“นายทวารบาล” ตุ๊กตาสลักหินรูปฝรั่งถือกระบอง
ที่ซุ้มประตูทางเข้าพระวิหารพระพุทธไสยาส (พระวิหารพระนอน)

(มีต่อ ๕)

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 11:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 มี.ค. 2005, 04:18
โพสต์: 1877


 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

รูปภาพ
วัดโพธิ์ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘อาณาจักรแห่งเจดีย์’
ในภาพ : พระมหาเจดีย์สี่รัชกาล เจดีย์ประจำรัชกาลที่ ๑-๔



ส่วนเหตุที่ “วัดโพธิ์” ได้รับการขนานนามว่าเป็น “อาณาจักรแห่งเจดีย์” นั้น
ก็เนื่องมาจากว่าที่นี่มีเจดีย์กว่าร้อยองค์ เป็นวัดที่ได้ชื่อว่ามีเจดีย์มากที่สุดแห่งหนึ่ง
ทั้งเจดีย์รายและเจดีย์หมู่ แต่เจดีย์ที่มีความงดงามและโดดเด่นที่สุดก็คือ
พระมหาเจดีย์สี่รัชกาล ซึ่งเป็นเจดีย์ประจำพระองค์ของรัชกาลที่ ๑-๔
อยู่ในบริเวณกำแพงสีขาว ซุ้มประตูทางเข้าเป็นสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์แบบจีน
ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบ เครื่องถ้วยหลากสี มีตุ๊กตาหินจีนประตูละคู่
พระมหาเจดีย์แต่ละองค์เป็นเจดีย์ย่อไม้สิบสองเพิ่มมุมสูง ๔๒ เมตร
ประดับกระเบื้องเคลือบและกระเบื้องเครื่องถ้วยลวดลายต่างๆ สังเกตได้ง่าย

เจดีย์องค์ที่ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบ สีเขียว มีนามว่า
“พระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชดาญาณ” เป็นเจดีย์ประจำรัชกาลที่ ๑
สร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑
เพื่อครอบพระพุทธรูป “พระศรีสรรเพชญ์” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่สูง ๑๖ เมตร
เดิมประดิษฐานอยู่ที่วัดพระศรีสรรเพชญ์ ในพระราชวังพระนครศรีอยุธยา
ที่ถูกพม่าทำลายจนเกินจะปฏิสังขรณ์ใหม่ได้ ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ

เจดีย์องค์ที่ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบ สีขาว มีนามว่า
“พระมหาเจดีย์ดิลกธรรมกรกนิทาน” เป็นเจดีย์ประจำรัชกาลที่ ๒
สร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓
ทรงพระราชอุทิศถวายแด่พระบรมราชชนก คือรัชกาลที่ ๒

เจดีย์องค์ที่ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบ สีเหลือง มีนามว่า
“พระมหาเจดีย์มุนีบัตรบริขาร” เป็นเจดีย์ประจำรัชกาลที่ ๓
สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๓ เช่นกัน ทรงพระราชอุทิศถวายเป็นพุทธบูชา

ส่วนเจดีย์องค์สุดท้ายนั้นเป็นเจดีย์องค์ที่ประดับด้วยกระเบื้อง สีขาบหรือสีน้ำเงินเข้ม
มีนามว่า “พระมหาเจดีย์ทรงพระศรีสุริโยทัย” เป็นเจดีย์ประจำรัชกาลที่ ๔
สร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔
ทรงสร้างขึ้นตามแบบพระเจดีย์ศรีสุริโยทัย แห่งกรุงศรีอยุธยา เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา

ในสมัยรัชกาลที่ ๔ นั้นได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง
พระมหาเจดีย์ทรงพระศรีสุริโยทัย ไว้ ๑ องค์ แต่ยังไม่ทันแล้วเสร็จ
ครั้นใกล้จะเสด็จสวรรคตได้มีพระราชดำรัสเฉพาะกับ รัชกาลที่ ๕ ว่า

“พระเจดีย์วัดพระเชตุพนฯ นั้นกลายเป็นใส่คะแนนพระเจ้าแผ่นดินไป
ถ้าจะใส่คะแนนอยู่เสมอจะไม่มีที่สร้าง ควรจะถือว่า
พระเจ้าแผ่นดินทั้งสี่พระองค์นั้น ท่านได้เคยเห็นกันทั้งสี่พระองค์
จึงควรมีพระเจดีย์อยู่ด้วยกัน ต่อไปอย่าให้ต้องสร้างทุกแผ่นดินเลย”
(พระราชวิจารณ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
เรื่องจดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี พ.ศ.๒๓๑๐-๒๓๘๑)


รูปภาพ
“พระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชดาญาณ” เจดีย์ประจำรัชกาลที่ ๑

รูปภาพ
“พระมหาเจดีย์ดิลกธรรมกรกนิทาน” เจดีย์ประจำรัชกาลที่ ๒

รูปภาพ
“พระมหาเจดีย์มุนีบัตรบริขาร” เจดีย์ประจำรัชกาลที่ ๓

รูปภาพ
“พระมหาเจดีย์ทรงพระศรีสุริโยทัย” เจดีย์ประจำรัชกาลที่ ๔

รูปภาพ
พระมหาเจดีย์สี่รัชกาล เจดีย์ประจำรัชกาลที่ ๑-๔


(มีต่อ ๖)

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 11:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 มี.ค. 2005, 04:18
โพสต์: 1877


 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

รูปภาพ
พระเจดีย์หมู่ห้าฐานเดียว


ส่วนบริเวณที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ก็คือ พระเจดีย์หมู่ห้าฐานเดียว
ที่สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
พระเจดีย์หมู่ห้าฐานเดียวนี้ประดิษฐานอยู่ตรงมุมพระวิหารคดทั้ง ๔ ด้าน
หมู่เจดีย์ประกอบไปด้วยพระเจดีย์ใหญ่ตรงกลาง
และล้อมรอบด้วยพระเจดีย์เล็กอีกสี่องค์อยู่บนฐานเดียวกัน
เป็นสถาปัตยกรรมเจดีย์ย่อไม้สิบสองและเจดีย์แบบไม้สิบสองเพิ่มมุม
ตัวเจดีย์ประดับด้วยกระเบื้องเครื่องถ้วยตัดประดิษฐ์เป็นลวดลายดอกไม้สวยงาม
และที่สำคัญภายในพระเจดีย์ได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ทุกองค์ด้วย

สำหรับ พระเจดีย์ราย ประดิษฐานอยู่รายรอบพระระเบียงชั้นนอก
เป็นสถาปัตยกรรมคล้ายเจดีย์หมู่ เจดีย์ย่อไม้สิบสอง มีทั้งหมด ๗๑ องค์
สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓
เดิมนั้นรัชกาลที่ ๓ ทรงมีพระราชประสงค์ให้เป็นที่บรรจุอัฐิของเจ้านายเชื้อพระวงศ์

รูปภาพ
พระเจดีย์ราย


นอกจากนี้ก็ยังมี รอยพระพุทธบาทจำลอง
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างถวายไว้ในพระอารามแห่งนี้
ประดิษฐานอยู่ ณ พิพิธภัณฑ์พระพุทธรูป บริเวณพระมณฑป (หอไตรจตุรมุข)
ที่ด้านหน้าซุ้มประตูทางเข้าพระมณฑป (หอไตรจตุรมุข) มี “ยักษ์วัดโพธิ์” (ตัวจริง)
ซึ่งตนเล็กยืนเฝ้าประตูอยู่ในตู้กระจก มีจำนวนเพียง ๒ คู่ ๔ ตนเท่านั้น คือ
ยักษ์กายสีแดง มีชื่อว่า “พญาแสงอาทิตย์” กับ ยักษ์กายสีเขียว มีชื่อว่า “พญามัยราพณ์”
ตั้งเก็บไว้ในตู้กระจกหน้าซุ้มประตูทางเข้าฯ ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้

ยักษ์กายสีเทา มีชื่อว่า “พญาขร” กับ ยักษ์กายสีเนื้อ มีชื่อว่า “พญาสัทธาสูร”
ตั้งเก็บไว้ในตู้กระจกหน้าซุ้มประตูทางเข้าฯ ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

“ยักษ์วัดโพธิ์” มีลักษณะคล้ายกับยักษ์ในวรรณคดีสำคัญเรื่องรามเกียรติ์
เช่นเดียวกับ “ยักษ์วัดพระแก้ว” หากแต่มีขนาดเล็กกว่ามาก
ที่มีตำนานเล่าขานว่าไปรบต่อสู้กับ “ยักษ์วัดแจ้ง” นั่นแหละ

สำหรับ พระมณฑป (หอไตรจตุรมุข) คืออาคารที่มีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส
ความแตกต่างกันของรูปแบบหลังคาเป็นที่มาของชื่อเรียกมณฑปทรงต่างๆ
สำหรับพระมณฑปของวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) นั้น
เป็น พระมณฑปทรงปราสาทยอดมงกุฎ ซึ่งมีลักษณะผสมผสานกัน
ระหว่างทรงมงกุฎและจัตุรมุข คือ มีการก่อมุขยื่นออกไปอีกทั้ง ๔ ด้าน
ยอดประดับด้วยมงกุฎเช่นกัน โดยเป็นสถาปัตยกรรมประดับกระเบื้องเคลือบ
เครื่องถ้วยหลากสี ลวดลายงามวิจิตร ภายในพระมณฑปมี ตู้เก็บพระไตรปิฎก
มี ศาลาราย ล้อมพระมณฑป ๓ ด้าน ผนังภายในศาลารายมีภาพจิตรกรรม
เรื่องกำเนิดรามเกียรติ์ ประเพณีรามัญกวนข้าวทิพย์ เป็นต้น
ผนังภายนอกศาลารายมีศิลาจารึกโคลงสุภาษิตเรียกว่า โคลงโลกนิติ

รูปภาพ

รูปภาพ
รอยพระพุทธบาทจำลอง ประดิษฐาน ณ พิพิธภัณฑ์พระพุทธรูป
ภายในบริเวณพระมณฑป (หอไตรจตุรมุข)



โดยรอบพระอุโบสถของวัดจะมี “ซุ้มเสมา”
ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญประการหนึ่งซึ่งส่งผลให้
“ใบเสมา” มีความโดดเด่นและมีความงดงามมากยิ่งขึ้น
ซุ้มเสมาเป็นอีกรูปแบบสถาปัตยกรรมหนึ่งที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรม
โดยสืบทอดแบบอย่างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย
เป็นแบบแผนที่ยังคงมีให้ศึกษามาจวบจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
สำหรับซุ้มเสมาของวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามนั้นเป็น
ซุ้มเสมายอดเจดีย์ คือซุ้มเสมาที่ทำเรือนซุ้มเป็นรูปสี่เหลี่ยม
ยอดซุ้มทำเป็นรูปทรงอย่างเจดีย์ มียอดแหลม


อีกทั้งยังมีโรงเรียนแพทย์แผนโบราณและการนวดแผนโบราณ
ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก และสิ่งที่เป็นจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของวัด
ก็คือ ตุ๊กตาหินจีน ซึ่งมีจำนวนมากมายที่ประดับอยู่ตามซุ้มประตู
หรือบริเวณต่างๆ ภายในวัด อันเป็นเสน่ห์ของวัดโพธิ์ที่น่าสนใจไม่น้อย

รูปภาพ

รูปภาพ
“ซุ้มเสมายอดเจดีย์” โดยรอบพระอุโบสถ


(มีต่อ ๗)

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 11:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 มี.ค. 2005, 04:18
โพสต์: 1877


 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
“ศาลาการเปรียญ” ในปัจจุบัน
(พระอุโบสถหลังเก่าของวัดโพธารามตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา)


รูปภาพ
บานหน้าต่างของศาลาการเปรียญ


• ตำนานพระพุทธรูปสำคัญ

สำหรับพระพุทธรูปสำคัญภายในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์)
นอกจาก พระพุทธไสยาส (พระนอน) และ พระพุทธเทวปฏิมากร
พระอุโบสถหลังเก่าของวัดโพธารามตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา
แต่ภายหลังการสถาปนาพระอุโบสถหลังใหม่ของวัดพระเชตุพนฯ แล้ว
จึงได้ลดฐานะพระอุโบสถหลังเก่าเป็น
“ศาลาการเปรียญ”
โดยภายในมี “พระพุทธศาสดา” ประดิษฐานเป็นองค์พระประธาน

“พระพุทธศาสดา” พระประธานในศาลาการเปรียญ มีขนาดหน้าตัก ๔ ศอก
พระพุทธรูปปางสมาธิองค์นี้ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างขึ้นเมื่อใด ใครเป็นผู้สร้าง
ปรากฏแต่ว่าเดิมเป็นพระประธานอยู่ในพระอุโบสถของวัดโพธาราม
เห็นจะตั้งแต่ครั้งแรกสร้างวัดขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาประมาณก็อยู่ในราว
รัชกาลสมเด็จพระเพทราชาต่อกับรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
เมื่อปี พ.ศ. ๒๒๓๑-๒๒๔๖ หรือภายหลังจากนั้นมา

ครั้นถึงกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
องค์ปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ทรงสถาปนาวัดพระเชตุพนฯ
แต่ครั้งยังเรียกว่า “วัดโพธาราม” อันเป็นอารามเก่า
ให้เป็นพระอารามใหญ่โตสำหรับพระนคร เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๓๒
ครั้งนั้นได้ทรงโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระอุโบสถขึ้นหลังใหม่
ส่วนพระอุโบสถหลังเก่านั้นให้สร้างแก้เป็นศาลาการเปรียญ
ซึ่งยังปรากฏอยู่ทุกวันนี้ ข้อนี้มีปรากฏอยู่ใน
พระนิพนธ์พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
เรื่องตำนานพระพุทธรูปสำคัญ
เพราะฉะนั้น “พระพุทธศาสดา”
จึงคงประดิษฐานเป็นพระประธานอยู่ในศาลาการเปรียญตั้งแต่นั้นมา

ครั้นต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๗๕ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนฯ
ครั้งนั้นได้ให้ปฏิสังขรณ์ศาลาการเปรียญให้ใหญ่โตกว่าเก่า
คือให้ตั้งเสารอยรอบนอกทำเป็นเฉลียงรอบต่อออกไปอีกชั้นหนึ่ง
ส่วนพื้นของเก่านั้นเป็นพื้นกระดานชำรุดหมด ให้รื้อเสียแล้วถมเป็นพื้นปูศิลา
ยกอาสนสงฆ์ทั้ง ๒ ข้างๆ ละ ๔ ห้อง ส่วน “พระพุทธศาสดา” นั้น
ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ประทับบนฐานชุกชีงดงาม
ก็คงประดิษฐานเป็นพระประธานอยู่ในศาลาการเปรียญต่อมาจนกาลทุกวันนี้

ตามเสาและเหนือขอบประตูหน้าต่างภายในมีกรอบไม้สักแกะสลัก
ลวดลายดอกพุดตานงดงามมาก ที่คอสองมุขหน้าและด้านหลัง
มีภาพจิตรกรรมฝาหนังนรกขุมต่างๆ และเปรต ๑๒ จำพวก

ต่อมารัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถวายพระนามว่า
“พระพุทธศาสดา มหากรุณาทิคุณ สุนธรธรรมทาน บุราณสุคตบพิตร”
และโปรดเกล้าฯ ให้จารึกพระนามลงในแผ่นศิลาประดับฐานไว้ดังปรากฏอยู่ทุกวันนี้

ในปี พ.ศ. ๒๕๔๗ มีการบูรณะศาลาการเปรียญเพิ่มอีก ที่ผนังด้านทิศตะวันออก
สร้างซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปประทับยืนปางเปิดโลก ภาพจิตรกรรมฝาผนัง
ภายในศาลาการเปรียญจัดให้เป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจและฝึกสมาธิ
ใกล้กับประตูกลางตรงหน้าองค์พระประธานตั้งธรรมมาสน์บุษบกไม้แกะสลัก
ฝีมือสกุลช่างอยุธยาตอนปลาย อันประณีตงดงาม

ปัจจุบันศาลาการเปรียญเป็นพุทธสถานที่ปฏิบัติธรรมแทนพระวิหาร
เพราะมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ ใช้เป็นที่ประกอบศาสนกิจ
ฟังเทศน์ ทำบุญ และใช้เป็นที่เรียนธรรมของพระภิกษุสงฆ์


รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ
“พระพุทธศาสดา” พระประธานในศาลาการเปรียญ

รูปภาพ

รูปภาพ
มองผ่าน “ธรรมมาสน์บุษบกไม้แกะสลัก” เข้าไปภายในศาลาการเปรียญ
(พระอุโบสถหลังเก่าของวัดโพธารามตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา)



(มีต่อ ๘)

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 11:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 มี.ค. 2005, 04:18
โพสต์: 1877


 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
“พระพุทธปาลิไลย” ในพระวิหารทิศเหนือมุขหน้า


ภายใน พระวิหารทิศเหนือมุขหน้า มีพระประธานเป็นพระพุทธรูปปางป่าลิไลยก์
ประดิษฐานอยู่ มีนามว่า “พระพุทธปาลิไลย” หรือนามทางการว่า
“พระพุทธปาลิไลย ภิรัติไตรวิเวก เอกจาริกสมาจาร วิมุตติญาณบพิตร”
พระพุทธรูปศิลปะรัตนโกสินทร์ วัสดุโลหะสัมฤทธิ์ สูง ๘ ศอก ๑ คืบ ๕ นิ้ว
องค์พระประทับนั่งบนศิลา มีช้างถวายคนโทน้ำและวานรถวายรวงผึ้ง


ปรากฏหลักฐานใน ศิลาจารึกวัดพระเชตุพนฯ ว่า
เมื่อ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑
ทรงสถาปนาวัดพระเชตุพนฯ ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๓๒
ครั้งนั้นได้ทรงสร้างขึ้นใหม่เป็นพระพุทธรูปหล่อปิดทองสูง ๘ ศอกคืบ ๕ นิ้ว
มีพระอาการประทับห้อยพระบาท ทรงบรรจุพระบรมธาตุแล้วเชิญประดิษฐาน
เป็นพระประธานในพระวิหารทิศเหนือมุขหน้า ถวายพระนามว่า “พระป่าเลไลย”
และโปรดฯ ให้หล่อรูปช้างถวายคนโทน้ำและรูปวานรถวายรวงผึ้ง ดังปรากฏอยู่ทุกวันนี้

พระพุทธรูปปางต่างๆ ทั้งหมดภายในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
นับว่า “พระพุทธปาลิไลย” พระประธานในพระวิหารทิศเหนือมุขหน้า
เป็นพระพุทธรูปที่หล่อขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๑ เพียงองค์เดียวเท่านั้น


ต่อมาถึงรัชสมัย รัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนฯ เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๗๕ ครั้งนั้นได้โปรดฯ
ให้ลงรักปิดทองใหม่ในคราวเดียวกันกับพระพุทธรูปอื่นๆ ทั่วทั้งพระอาราม
ดังมีข้อความปรากฏใน พระนิพนธ์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระปรมานุชิตชิโนรส (พระองค์เจ้าวาสุกรี สุวณฺณรํสี)
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๗ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ดังต่อไปนี้

พระนิพนธ์

ปวงปฏิมามากถ้วน ทงงอา วาศเอย
อุโบสถวิหารทิศสถยร ทกเหล้า
รบยงสามสริบนนดา เดอมใหม่ ก็ดี
มีอาทิพระเจ้าเบื้อง โบสถ์ประธาน
ทรงศรัทธาไป่เอื้อ ออมราช ทรัพย์แฮ
เว้นมัจเฉรมลาย โลภมล้าง
รงงเรขรักมาดผจง เผจอศทั่ว องค์เอย
รมยลใหม่แม้นสร้างซ้ำ สืบแสดง


ล่วงมาถึงรัชสมัย รัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
โปรดฯ ให้สร้างพระมหาเจดีย์ประจำพระองค์ในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
เมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปทรงก่อพระฤกษ์ในวันที่ ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๙๖
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ถวายพระนามพระพุทธรูปปางต่างๆ
ที่ประดิษฐานภายในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม

โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ถวายสร้อยพระนามของ “พระพุทธปาลิไลย”
พระประธานในพระวิหารทิศเหนือมุขหน้า ว่า
“พระพุทธปาลิไลย ภิรัติไตรวิเวก เอกจาริกสมาจาร วิมุตติญาณบพิตร” ดังนี้
และโปรดฯ ให้จารึกพระนามลงในแผ่นศิลาประดับฝาผนังไว้ดังปรากฏอยู่บัดนี้

รูปภาพ
“พระพุทธมารวิชัย” ในพระวิหารทิศตะวันออกมุขหน้า


ภายใน พระวิหารทิศตะวันออกมุขหน้า มีพระประธานเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย
มีขนาดหน้าตัก ๓ ศอกคืบ นามว่า “พระพุทธมารวิชัย” หรือนามทางการว่า
“พระพุทธมารวิชัย อภัยปรปักษ อัครพฤกษโพธิภิรมย อภิสมพุทธบพิตร”
พระพุทธมารวิชัยองค์นี้เป็นพระพุทธรูปโบราณ และปรากฏในศิลาจารึกวัดพระเชตุพนฯ ว่า
“เป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยนาก เดิมประดิษฐานอยู่ ณ วัดเขาอินทร์เมืองสวรรคโลก
ชำรุดหาพระกรมิได้”
กล่าวไว้เพียงเท่านี้ และไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างขึ้นเมื่อใด
ใครเป็นผู้สร้าง ในข้อนี้สันนิษฐานจาก ตำนานของเมืองสวรรคโลก เป็นลำดับดังนี้

เมืองสวรรคโลกเป็นเมืองโบราณ ตั้งแต่พวกล่ะว้ายังเป็นใหญ่ เดิมเรียกชื่อว่า “เมืองชะเลียง”
และตัวเมืองชะเลียงตามที่สันนิษฐานกันในชั้นหลังนี้ว่า ตั้งอยู่ที่ตำบลวัดมหาธาตุ
ซึ่งราษฎรเรียกว่าวัดน้อย ครั้นต่อมาพวกขอมได้แผ่อำนาจขึ้นไปจนถึงได้ปกครองเมืองชะเลียง
ครั้นถึงประมาณในราว พ.ศ. ๑๗๐๐ พวกไทยได้ลงมาตั้งเป็นอิศรมีอำนาจอยู่ที่เมืองเชียงแสน
ฝ่ายขอมเกรงว่าไทยจะแผ่อำนาจลงมาข้างใต้ จึงพร้อมกันยกบาธรรมราชขึ้นเป็นหัวหน้า
ให้จัดการบ้านเมือง เมื่อไทยแผ่อำนาจลงมาจริงพวกขอมก็สู้ไทยไม่ได้
ไทยจึงได้เมืองชะเลียงตั้งเป็นที่มั่นก่อน ครั้นต่อมาไทยจึงได้สร้างเมืองขึ้นใหม่
อีกเมืองหนึ่งทางทิศตะวันตก เมืองชะเลียงนั้นสร้างให้เป็นเมืองมีป้อมปราการมั่นคง
เรียกชื่อว่า “เมืองศรีสชนาไลย” เป็นราชธานีของไทยขึ้นในแดนสยามเป็นปฐม
ไทยจึงตั้งหน้าทำสงครามกับพวกของเมืองสุโขทัยต่อมา
จนถึงราว พ.ศ. ๑๘๐๐ ไทยจึงได้เมืองสุโขทัยจากพวกขอม
พระเจ้าศรีอินทราทิตย์ซึ่งเรียกกันว่า “พระร่วง” จึงได้มาเสวยราชย์อยู่ ณ เมืองสุโขทัย
นับเป็นรัชชกาลที่ ๑ ในราชวงศ์พระร่วง ส่วนเมืองศรีสัชนาไลยนั้นยังคงเป็นราชธานี
คู่กันกับเมืองสุโขทัยตลอดมา จนถึงรัชชกาลที่ ๓
และต่อมาเมื่อพระเจ้าเลือไทยเสวยราชย์อยู่ ณ เมืองสุโขทัย เป็นรัชชกาลที่ ๔ นั้น
จึงให้พระเจ้าลิไทยพระราชโอรสเป็นพระมหาอุปราชไปครองเมืองศรีสัชนาไลย
ดังปรากฏในศิลาจารึกครั้งรัชชกาลพระเจ้าลิไทยนั้นว่า
“เมื่อครั้งมหาศักราช ๑๒๖๙ (พ.ศ. ๑๙๐๐) ศกกุน
พระมหาธรรมราชาลิไทยเป็นพระมหาอุปราชอยู่ ณ เมืองศรีสัชนาไลย”
ดังนี้

ส่วนพระพุทธมารวิชัยฯ พระองค์นี้ซึ่งปรากฏว่าหล่อด้วยนากทั้งพระองค์
จึงเห็นว่าเกินกำลังที่ราษฎรพลเมืองจะสร้างได้ นอกจากเจ้านายผู้ครองนครเท่านั้น
เพราะฉะนั้นจึงน่าจะสันนิษฐานว่า เป็นพระพุทธรูปซึ่งพระเจ้าลิไทยได้สร้างขึ้น
ในสมัยเมื่อยังเป็นตำแหน่งพระมหาอุปราชครองเมืองศรีสัชนาไลยนั้น
ทั้งได้ปรากฏว่า พระเจ้าลิไทย นั้นทรงพระศรัทธากล้าหาญและรอบรู้แตกฉาน
ในพระไตรปิฎกอย่างยอดเยี่ยมในสมัยนั้น และเมื่อได้เสวยราชย์ครองกรุงสุโขทัยแล้ว
ยังทรงสร้างพระพุทธรูปหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์และพระศรีอาริย์เป็นต้น
และยังได้ทรงบำเพ็ญกุศลอื่นๆ อีกเป็นอันมาก จนได้พระนามปรากฏว่า “พระเจ้าธรรมราชา”
ครั้นต่อมากรุงสุโขทัยเสื่อมอำนาจลงจนถึงเป็นเมืองประเทศราชขึ้นกรุงศรีอยุธยา
เมื่อ พ.ศ. ๑๙๒๑ ส่วนเมืองศรีสัชนาไลยซึ่งเคยเป็นราชธานีมีเจ้านายปกครองมาแต่เดิมนั้น
คงเป็นแต่เมืองมีเจ้าเมืองปกครองเท่านั้น ถึงเช่นนั้นก็ยังถือว่าเมืองศรีสัชนาไลย
เป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่ง เพราะเป็นเมืองหน้าด่านต่อแดนประเทศลานนาเชียงใหม่
ซึ่งยังเป็นอิศรอยู่ในสมัยนั้นแต่ที่เรียกชื่อว่าเมืองสวรรคโลกนั้น
จะได้บัญญัติในยุคใดหาทราบไม่ และชื่อนี้แรกปรากฏในหนังสือพระราชพงศาวดาร
เมื่อแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ว่า “ทรงตั้งนักพระสุทันบุตรพระเจ้ากรุงกัมพูชา
ซึ่งเป็นพระราชบุตรบุญธรรมขึ้นไปครองเมืองสวรรคโลก”
ดังนี้

เมืองสวรรคโลกนั้นนับตั้งแต่เป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยาแล้วมา
ยังต้องระส่ำระสายหลายครั้งหลายหนดังนี้ คือ เมื่อแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
พระยายุทธิศฐรเจ้าเมืองเอาใจออกห่างไปเข้ากับพระเจ้าติโลกราชเจ้านครเชียงใหม่
ได้นำกองทัพมาตีหัวเมืองฝ่ายเหนือ เมื่อ พ.ศ. ๒๐๐๔
จนถึงกับสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถต้องเสด็จขึ้นไปประทับอยู่ ณ เมืองพิษณุโลก
และการสงครามระหว่างสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถกับพระเจ้าติโลกราชนั้น
ได้ติดพันกันมาช้านานจนถึง พ.ศ. ๒๐๑๘ พระเจ้าติโลกราชจึงได้ขอเป็นไมตรี
ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ คราวพระเจ้าหงษาวดียกกองทัพ
มาตีหัวเมืองฝ่ายเหนือ เมื่อ พ.ศ. ๒๑๐๖ ก็เดินกองทัพมาทางเมืองสวรรคโลก
ต่อมาเมื่อสมเด็จพระนเรศวรประกาศอิศรภาพ เมื่อ พ.ศ. ๒๑๒๗ นั้น
พระยาสวรรคโลกเข้าใจว่า สมเด็จพระนเรศวรจะสู้พระเจ้าหงษาวดีไม่ได้
จึงตั้งแขงเมืองอยู่ สมเด็จพระนเรศวรจึงต้องเสด็จไปตีเมืองสวรรคโลก
และเมื่อสมเด็จพระนเรศวรทำสงครามกับพระเจ้าหงษาวดีต่อมาในครั้งนั้น
ทรงเห็นว่ากำลังไทยในหัวเมืองฝ่ายเหนือไม่พอที่จะตั้งต่อสู้ฆ่าศึกได้
จึงให้กวาดผู้คนในหัวเมืองฝ่ายเหนือลงมาตั้งต่อสู้ฆ่าศึกที่พระนครศรีอยุธยาแห่งเดียว
เมืองสวรรคโลกจึงเป็นเมืองร้างอยู่ถึง ๘ ปี จนสมเด็จพระนเรศวรมีชัยชนะ
สงครามชนช้างกับพระมหาอุปราชแล้ว จึงได้กลับตั้งเมืองสวรรคโลกขึ้นอีก
แต่นั้นมาเมืองสวรรคโลกยังคงนับว่าเป็นเมืองโท มิได้เป็นเมืองสำคัญดุจกาลก่อน
มาถึงครั้งที่พม่ายกกองทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาครั้งหลังนั้น
เนเมียวสีหบดีแม่ทัพทางเหนือยกลงมาทางเมืองสวรรคโลก
เมืองสวรรคโลกก็ไม่มีกำลังที่จะต่อสู้ฆ่าศึกได้
เจ้าเมืองกรมการอพยพผู้คนพลเมืองหนีเข้าป่าไปหมด

ต่อมาเมื่อครั้งกรุงธนบุรี พระเจ้ากรุงธนบุรีมีชัยชนะพระฝาง
ได้หัวเมืองฝ่ายเหนือเป็นอาณาเขตหมดแล้ว จึงตั้งเมืองสวรรคโลกขึ้นอีกเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๓
และในปีนั้นเองโปมะยุง่วนให้กองทัพเมืองเชียงใหม่ยกลงมาตีเมืองสวรรคโลก
แต่ครั้งนี้กองทัพเมืองเชียงใหม่ตีเมืองสวรรคโลกไม่ได้
ครั้งอะแซหวุ่นกี้ยกกองทัพมา เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๘
เจ้าเมืองกรมการเมืองสวรรคโลกก็ต้องอพยพผู้คนพลเมืองหนีเข้าป่าไปอีก
ครั้งถึงรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทรฯ เมื่อไทยมีชัยชนะแก่พม่าแล้ว
พระบาทสมเด็จฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงโปรดฯ ให้ตั้งเมืองสวรรคโลกขึ้นอีก
แต่บ้านเมืองถูกฆ่าศึกศัตรูย่ำยีมาหลายครั้งหลายหน จนผู้คนพลเมืองร่อยหลอ
ไม่พอที่จะรักษาตัวเมืองได้ จึงโปรดฯ ให้ตั้งที่ว่าการเมืองขึ้นใหม่ที่ตำบลบ้านวังไม้ขอน
เรียกชื่อว่า “เมืองสวรรคโลก” จนบัดนี้ ก็เมื่อบ้านเมืองต้องระส่ำระสายหลายครั้งหลายหน
ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นฉะนี้ ส่วนเจดีย์สถานต่างๆ ในทางพระศาสนานั้นไม่ต้องสงสัยว่า
จะต้องชำรุดทรุดโทรมลงสักเพียงใด เพราะฉะนั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ทรงสถาปนาวัดพระเชตุพนฯ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๒ นั้นได้โปรดฯ ให้เชิญพระพุทธมารวิชัยฯ
ลงมาจากวัดเขาอินทร์เมืองสวรรคโลกครั้งนั้น จึงปรากฏว่าชำรุดจนถึงกับหาพระกรมิได้
และเมื่อทรงปฏิสังขรณ์สำเร็จแล้ว จึงทรงบรรจุพระบรมธาตุ
แล้วเชิญประดิษฐานเป็นพระประธานในพระวิหารทิศตะวันออกมุขหน้า
ถวายพระนามว่า “พระเจ้าตรัสในควงไม้พระมหาโพธิ์”

ครั้งถึงรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวถวายพระนามใหม่ว่า
“พระพุทธมารวิชัย อภัยปรปักษ อัครพฤกษโพธิภิรมย อภิสมพุทธบพิตร” ดังนี้
และโปรดฯ ให้จารึกพระนามลงในแผ่นศิลาประดับฐานไว้ดังปรากฏอยู่ทุกวันนี้


(มีต่อ ๙)

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 11:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 มี.ค. 2005, 04:18
โพสต์: 1877


 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
“พระพุทธโลกนาถ” ในพระวิหารทิศตะวันออกมุขหลัง


ส่วนภายใน พระวิหารทิศตะวันออกมุขหลัง บริเวณด้านหน้าพระอุโบสถ
มีพระประธานเป็นพระพุทธรูปยืนประดิษฐานอยู่ นามว่า “พระพุทธโลกนาถ” หรือนามทางการว่า
“พระพุทธโลกนาถ ราชมหาสมมตวงศ องคอนันตญาณสัพพัญญู สยัมภูพุทธบพิตร”

พระพุทธโลกนาถซึ่งเป็นพระพุทธรูปยืนปางห้ามญาติองค์นี้มีขนาดสูง ๒๐ ศอก
เดิมประดิษฐานอยู่ที่วัดพระศรีสรรเพชญ์ ในพระราชวังพระนครศรีอยุธยา
แต่เมื่อกรุงแตก วัดต่างๆ ถูกเผาทำลายรวมถึงวัดพระศรีสรรเพชญ์ด้วย
ดังนั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑
ทรงสถาปนาวัดพระเชตุพนฯ ขึ้น จึงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญ
พระพุทธโลกนาถจากวัดพระศรีสรรเพชญ์ ในพระราชวังพระนครศรีอยุธยา
มาประดิษฐานเป็นพระประธานในพระวิหารทิศตะวันออกมุขหลังจนปัจจุบัน

พระพุทธรูปพระองค์นี้มีพระนามมาแต่เดิมว่า “พระโลกนาถสาสดาจารย์”
เข้าใจว่าเป็นพระพุทธรูปซึ่งพระเจ้าแผ่นดินครั้งกรุงศรีอยุธยาทรงสร้างขึ้น
แต่จะได้สร้างขึ้นเมื่อใดนั้นมิได้ปรากฏ เดิมประดิษฐานอยู่ ณ
วัดพระศรีสรรเพชญ์ ในพระราชวังพระนครศรีอยุธยา
เมื่อพระนครศรีอยุธยาเสียแก่พม่าฆ่าศึก เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐
ครั้งนั้นพวกพม่าได้เก็บทรัพย์สมบัติและผู้คนไปเมืองพม่าเสียเป็นอันมาก
และยังซ้ำเผาพระมหาปราสาทพระราชมณเฑียรและวัดพระศรีสรรเพชญ์
ตลอดถึงบ้านเรือนราษฎรในพระนครนั้นด้วย
ในเวลาที่พระนครศรีอยุธยาเสียแก่พม่าฆ่าศึกนั้น
เจ้าตากจึงได้ไปตั้งรวบรวมรี้พลที่เมืองจันทบุรี
แล้วยกกองทัพเข้ามาชิงพระนครศรีอยุธยาได้จากพวกพม่า
แต่ในเวลานั้นหัวเมืองไทยที่มิได้เสียแก่พม่านั้น ต่างเมืองต่างก็ยังตั้งเป็นอิศรแก่กันอยู่
เจ้าตากคงจะเห็นว่าพระนครศรีอยุธยาใหญ่โตมาก
กำลังรี้พลที่มีอยู่ไม่พอที่จะตั้งรักษาต่อสู้ฆ่าศึกได้จึงลงมาตั้งเมืองธนบุรีขึ้นเป็นราชธานี

แต่เรื่องที่ปรากฏในหนังสือพระราชพงศาวดารนั้นว่า
“เมื่อเจ้าตากได้พระนครศรีอยุธยาจากพม่าฆ่าศึกแล้ว
ก็ดำริที่จะบำรุงพระนครให้ปรกติดีดังเก่า จึงได้เข้าไปพักแรมอยู่ ณ พระที่นั่งทรงปืน
อยู่คืนหนึ่ง จึงนิมิตรฝันว่าพระมหากษัตริย์แต่ปางก่อนมาขับไล่เสียบมิให้อยู่”


ดังนี้ เจ้าตากจึงได้อพยพผู้คนพลเมืองลงมาตั้งเมืองธนบุรีขึ้นเป็นราชธานี
เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๑ ตกลงคงปล่อยให้พระราชวังในพระนครศรีอยุธยา
เป็นพระราชวังร้างตั้งแต่นั้นมา ส่วนพระโลกนาถสาสดาจารย์ซึ่งประดิษฐานอยู่
ณ วัดพระศรีสรรเพชญ์ และต้องเพลิงเผาผลาญตั้งแต่ครั้งเสียพระนครแก่พม่าฆ่าศึกนั้น
ก็ย่อมชำรุดปรักหักพังทั้งต้องตรำฝนทนแดดอยู่ในที่นั้นช้านานตลอดสมัยรัชกาลกรุงธนบุรี
ครั้นถึงกรุงรัตนโกสินทรฯ พระบาทสมเด็จฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ทรงสถาปนาวัดพระเชตุพนฯ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๒ ครั้งนั้น จึงโปรดฯ
ให้เชิญพระโลกนาถสาสดาจารย์ลงมาจากวัดพระศรีสรรเพชญ์
ทรงปฏิสังขรณ์สำเร็จแล้ว ทรงบรรจุพระบรมธาตุแล้วเชิญประดิษฐาน
เป็นพระประธานในพระวิหารทิศตะวันออกมุขหลังดังปรากฏอยู่บัดนี้

อนึ่ง พระโลกนาถสาสดาจารย์พระองค์นี้
ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยานั้นชรอยมหาชนจะนิยมกันว่า
เป็นพระพุทธรูปซึ่งทรงอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์อะไรสักอย่างหนึ่ง
จึงเป็นมูลเหตุสืบมาในชั้นหลัง คือเจ้าจอมแว่นพระสนมเอกในรัชกาลที่ ๑
กราบทูลความปรารถนาใคร่จะอธิษฐานขอบุตร
จึงโปรดฯ ให้สลักศิลาเป็นรูปกุมารกุมารี
ประดับไว้ที่ฝาผนังพระวิหารเป็นพะยานปรากฏอยู่ทุกวันนี้
และมีโคลงจารึกไว้กับรูปกุมารกุมารีดังต่อไปนี้

รจนาสุดารัตนแก้ว กุมารี หนึ่งฤา
เสนอธิบายบุตรี ลาภได้
บูชิตเชฐชินศรี เฉลาฉลัก หินเฮย
บุญส่งจงลุได้ เสร็จด้วยดังถวิล
กุมารหนึ่งพึงฉลักตั้ง ติดผนัง
สถิตย์อยู่ทิศเบื้องหลัง พระไว้
คุณเสือสวาดิหวัง แสวงบุตร ชายเอย
เฉลยเหตุธิเบศร์ให้ สฤษดิแสร้งแต่งผล


โคลงจารึกไว้กับรูปกุมารกุมารีทั้ง ๒ บทนี้
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระดำรงราชานุภาพทรงพระวินิจฉัยไว้ดังต่อไปนี้

พระนิพนธ์

โคลงจารึกไว้กับภาพกุมารในวิหารพระโลกนาถนั้น
มักเข้าใจกันว่าเป็นพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ข้าพเจ้าได้พิจารณาดูเห็นเป็นแน่ว่า เป็นพระนิพนธ์สมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส
จึงสันนิษฐานว่า ในรัชกาลที่ ๑ เมื่อเจ้าจอมแว่นพระสนมเอก ซึ่งเรียกกันว่าคุณเสือ
กราบทูลความปรารถนาใคร่จะอธิษฐานขอบุตรนั้น โปรดฯ ให้ทำแต่รูปกุมารติดไว้
เรื่องเดิมของรูปกุมารเป็นแต่บอกเล่ารู้กันมา ชรอยพระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จะทรงพระราชดำริเกรงคนทั้งหลายภายหลังเห็นว่า รูปกุมารไม่เกี่ยวข้องกับพระศาสนา
จะรื้อทำลายเสีย จึงอาราธนาสมเด็จกรมพระปรมานุชิตฯ
ให้ทรงพระนิพนธ์โคลงบอกเรื่องของภาพกุมารไว้
เห็นเป็นในคราวเดียวกับเมื่อทรงขนานนามพระพุทธรูปในพระวิหารทิศ
สมเด็จกรมพระปรมานุชิตฯ จึงทรงใช้นามในโคลงว่าคุณเสือ
ตามซึ่งพระเจ้าลูกเธอในพระบาทสมเด็จฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงเรียกก่อน
แล้วคนทั้งหลายเรียกตามจนชินปากต่อมา
ถ้าเป็นพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ก็จะหาทรงใช้นามว่าคุณเสือเช่นนั้นไม่ อันนี้เป็นหลักสำคัญในข้อวินิจฉัย


ครั้นถึงรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ถวายสร้อยพระนามพระโลกนาถสาสดาจารย์ว่า
“พระพุทธโลกนาถ ราชมหาสมมตวงศ องคอนันตญาณสัพพัญญู สยัมภูพุทธบพิตร”
ดังนี้ แล้วโปรดฯ ให้จารึกพระนามลงในแผ่นศิลาประดับไว้ที่ฝาผนังดังปรากฏอยู่ทุกวันนี้

รูปภาพ

รูปภาพ
“พระพุทธโลกนาถ” ในพระวิหารทิศตะวันออกมุขหลัง


(มีต่อ ๑๐)

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 11:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 มี.ค. 2005, 04:18
โพสต์: 1877


 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

รูปภาพ
“พระพุทธชินศรี” ในพระวิหารทิศตะวันตกมุขหน้า


พระพุทธชินศรี หรือพระนาคปรก พระประธานในพระวิหารทิศตะวันตกมุขหน้า
เดิมเป็นพระพุทธรูปขนาดหน้าตักสามศอกคืบสิบนิ้ว อัญเชิญมาจากเมืองลพบุรี
ครั้นบูรณปฏิสังขรณ์แล้วจึงประดิษฐานไว้เป็นพระประธานในพระวิหารทิศตะวันตก
และได้สร้างพญานาคแผลงฤทธิ์และต้นจิกไว้ด้านหลังองค์พระประธานด้วย
จึงเรียกพระนามขององค์พระประธานว่า “พระนาคปรก” ดังปรากฏความใน
“จารึกเรื่องทรงสร้างวัดพระเชตุพนครั้งรัชกาลที่ ๑”
ว่า

“...พระพุทธรูปน่าตักสามศอกคืบสิบนิ้ว เชิญมาแต่ลพบุรีปติสังขรณ์เสรจ์แล้ว
ประดิษถานไว้ในพระวิหารทิศตะวันตกบันจุพระบรมธาตุ์ ถวายพระนามว่าพระนาคปรก
มีพญานาคแผลงฤทธิ์เลิกพั้งพานมีต้นจิกด้วยแลผนังนั้นเขียนเรื่องระเกษธาตุ์...”


พระพุทธรูปพระประธานในพระวิหารทิศตะวันตก มีเจตนาให้เป็นพระพุทธรูปปางนาคปรก
มาแต่ครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑
พระองค์จึงถวายพระนามพระพุทธรูปว่า พระนาคปรก และทำพญานาคพร้อมด้วยต้นจิกประกอบ

แม้ว่าต่อมาจะอัญเชิญพระพุทธชินศรีจากสุโขทัย มาประดิษฐานแทนพระพุทธรูปองค์เดิม
แต่แนวคิดเรื่องการเป็นพระพุทธรูปนาคปรกก็มิได้สูญหายไป
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ จึงถวายพระนามใหม่ว่า
“พระพุทธชินศรีมุนีนารถ อุรุคอาศนบัลลังก์ อุทธังทิศภาคนาคปรก ดิลกภพบพิตร”
ซึ่งย่อมมีเจตนาให้มีความหมายถึงพระพุทธประวัติตอนนาคปรกนั่นเอง


ปัจจุบันภายใน พระวิหารทิศตะวันตกมุขหน้า มีพระประธานเป็นพระพุทธรูปปางนาคปรก
ขนาดหน้าตัก ๕ ศอกคืบกับนิ้วหนึ่งประดิษฐานอยู่ นามว่า “พระพุทธชินศรี” หรือนามทางการว่า
“พระพุทธชินศรีมุนีนารถ อุรุคอาศนบัลลังก์ อุทธังทิศภาคนาคปรก ดิลกภพบพิตร”

และภายใน พระวิหารทิศใต้มุขหน้า มีพระประธานเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย
ขนาดหน้าตัก ๕ ศอกคืบกับนิ้วหนึ่งประดิษฐานอยู่ นามว่า “พระพุทธชินราช” หรือนามทางการว่า
“พระพุทธชินราช วโรวาทธรรมจักร อัครปฐมเทศนา นราศภบพิตร”

พระพุทธชินราช และพระพุทธชินศรีทั้ง ๒ พระองค์นี้ ปรากฏว่าเดิมได้ประดิษฐาน
อยู่ ณ เมืองสุโขทัย แต่ใครจะเป็นผู้สร้างและสร้างขึ้นเมื่อใดนั้นยากที่จะทราบได้
ถึงในศิลาจารึกครั้งสมัยรัชกาลพระเจ้าขุนรามคำแหง ก็กล่าวไว้แต่เพียงว่า
“กลางเมืองสุโขทัยนี้ มีพิหาร มีพระพุทธรูปทอง มีพระอัฎฐารส
มีพระพุทธรูปอันใหญ่ มีพระพุทธรูปอันงาม”
ดังนี้

และในศิลาจารึกครั้งสมัยรัชกาลพระเจ้าลิไทย ต่อนั้นมา ก็กล่าวไว้ว่า
“พระเจ้าลิไทยได้หล่อพระพุทธรูปด้วยทองสัมฤทธิ์และพระศรีอาริย์” ดังนี้เป็นต้น

ในจารึกทั้ง ๒ รัชกาลนี้ หาได้กล่าวถึงพระพุทธชินราช และพระพุทธชินศรี ทั้ง ๒ พระองค์นี้ไม่
เพราะฉะนั้นจึงน่าจะสันนิษฐานว่าพระยาไสยฤาไทย ซึ่งเป็นพระราชโอรสพระเจ้าลิไทย
ผู้ครองกรุงสุโขทัยต่อนั้นมาทรงพระนามว่า พระมหาธรรมราชา ได้สร้างขึ้น
เพื่อเป็นพระพุทธรูปสำคัญในรัชกาลของพระองค์ และคงจะได้ถวายพระนามว่า
พระพุทธชินราชพระองค์หนึ่ง พระพุทธชินศรีพระองค์หนึ่ง มาตั้งแต่แรกสร้างนั้นแล้ว
ดังปรากฏในศิลาจารึกวัดพระเชตุพนฯ ว่า
“ครั้นเสร็จการฉลองพระอารามแล้ว ภายหลังทรงพระกรุณาให้เชิญพระปฏิมากรทั้ง ๒
ซึ่งสถิตย์อยู่ในพระวิหารฝ่ายทักขิณทิศและประจิมทิศนั้น ขึ้นไปประดิษฐานไว้
ณ พระวิหารวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ให้เชิญพระปฏิมากรทั้ง ๒ พระองค์
ซึ่งเชิญมาแต่เมืองสุโขทัย น่าตัก ๕ ศอกคืบกับนิ้วหนึ่งเท่ากัน
พระองค์หนึ่งทรงพระนาม พระพุทธชินราช เข้าประดิษฐานไว้แทนที่ในพระวิหารฝ่ายทักขิณทิศ
พระองค์หนึ่งทรงพระนาม พระพุทธชินศรี เข้าประดิษฐานไว้แทนที่ในพระวิหารฝ่ายประจิมทิศ”
ดังนี้
และพระนามทั้ง ๒ นี้ก็น่าจะเลียนอย่างพระนาม
พระพุทธชินราชและพระพุทธชินศรีเมืองพิษณุโลกนั้นด้วย

พระพุทธชินศรี เป็นพระพุทธรูปที่อยู่ในอิริยาบถนั่งขัดสมาธิราบ
ลักษณะคือพระชงฆ์ขวาวางอยู่เหนือพระชงฆ์ซ้าย
ทำให้แลเห็นฝ่าพระบาทขวาเพียงข้างเดียว ในขณะที่ฝ่าพระบาทซ้ายอยู่ใต้พระชานุขวา
พระหัตถ์ทำปางมารวิชัย ลักษณะคือพระหัตถ์ขวาวางอยู่หน้าพระชงฆ์ขวา
พระหัตถ์ซ้ายวางอยู่เหนือพระเพลา พระองค์ประทับอยู่บนขนดนาคซ้อนกัน ๔ ชั้น
เบื้องหลังเป็นพังพานและเศียรนาค ๗ เศียร และมีต้นจิกอยู่ถัดออกไปทางเบื้องหลัง


ตามปกติแล้วพระพุทธรูปปางนาคปรกนิยมทำพระหัตถ์ในท่าสมาธิ
พระหัตถ์ทั้งสองวางเหนือพระเพลา โดยพระหัตถ์ขวาวางบนพระหัตถ์ซ้าย
แต่พระพุทธชินศรีกลับอยู่ในท่ามารวิชัย เป็นสิ่งที่อยู่นอกแบบแผนประเพณี
ที่เป็นเช่นนี้อธิบายได้ว่า เพราะขนดนาคกับพระพุทธรูปมิได้สร้างขึ้นครั้งเดียวกัน
โดยขนดนาคทำขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๑ ส่วนพระพุทธชินศรีสร้างขึ้นครั้งกรุงสุโขทัย
ซึ่งเป็นยุคสมัยที่นิยมพระพุทธรูปปางมารวิชัยเป็นอย่างยิ่ง
สร้างขึ้นโดยมิได้ตั้งใจให้เป็นพระพุทธรูปนาคปรกมาแต่แรก
แต่ด้วยพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ที่โปรดอัญเชิญพระพุทธรูปองค์นี้ มาประดิษฐานไว้เหนือขนดนาค
จึงทำให้เกิดเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยประทับอยู่บนขนดนาค


สำหรับในส่วนของนาคยังมีข้อน่าสังเกตเพิ่มเติมอีก กล่าวคือ
คัมภีร์พุทธศาสนาต่างพรรณนาเหตุการณ์นี้ว่าพญานาคมุจลินท์ขนดกาย
ล้อมองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๗ รอบ และแผ่พังพานปกป้องพระเศียร
แต่ขนดนาคที่ปรากฏร่วมกันกับพระพุทธชินศรีกลับทำในลักษณะของบัลลังก์
ให้พระพุทธองค์ประทับ มิได้ล้อมรอบ และพังพานนาคก็มิได้ปกเหนือพระเศียรอย่างมิดชิด
แต่เหมือนแผ่อยู่เบื้องหลังมากกว่า แม้ว่าจะไม่สอดคล้องกับคัมภีร์พุทธศาสนา
แต่นาคในลักษณะเช่นนี้ก็นิยมทำกันมาเนิ่นนานแล้ว
และสร้างพลังศรัทธาในองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อผู้พบเห็นได้เป็นอย่างดี
ประหนึ่งว่าแสดงอิทธิปาฏิหาริย์เหนือพญานาค แต่หากทำขนดนาคล้อมรอบ ๗ รอย
และแผ่พังพานคุ้มกันอย่างมิดชิด อาจให้ความรู้สึกอึดอัดต่อผู้พบเห็น
เพราะเสมือนว่าพระพุทธองค์กำลังถูกนาคทำร้าย

พระพุทธชินศรี มีรูปแบบตามอย่างพระพุทธรูปสุโขทัย
สอดคล้องกันกับประวัติที่ระบุว่าอัญเชิญมาจากเมืองสุโขทัย
แต่ทั้งนี้ลักษณะบางประการโดยเฉพาะพระพักตร์ในสมัยรัชกาลที่ ๑
โปรดให้อัญเชิญมาจากเมืองสุโขทัย
แต่ทั้งนี้ลักษณะบางประการโดยเฉพาะพระพักตร์
ก็ดูละม้ายกับพระพุทธสมัยรัตนโกสินทร์อยู่บ้าง ชวนให้นึกถึงข้อมูลเอกสารที่ระบุว่า
ในสมัยรัชกาลที่ ๑ โปรดให้อัญเชิญพระพุทธรูปที่ชำรุดหักพังจากหัวเมืองต่างๆ
คือ พิษณุโลก สวรรคโลก สุโขทัย ลพบุรี อยุธยา จำนวน ๑,๒๔๘ องค์
มาปฏิสังขรณ์ อาทิ ต่อพระศอ พระเศียร พระบาท
พระหัตถ์ที่ชำรุดเสียหาย แปลงพระพักตร์ แปลงพระองค์ให้งดงาม
อาจเป็นไปได้ว่า พระพุทธชินศรี ก็เป็นหนึ่งในพระพุทธรูปที่อัญเชิญมาในครั้งนี้ด้วย


รูปภาพ

รูปภาพ
“พระพุทธชินราช” ในพระวิหารทิศใต้มุขหน้า


พระพุทธชินราช หรือพระพุทธเจ้าเทศนาพระธรรมจักร
พระประธานในพระวิหารทิศใต้มุขหน้า
เดิมเป็นพระพุทธรูปขนาดหน้าตักสี่ศอกห้านิ้ว
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑
โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญมาจากกรุงเก่า ดังปรากฏความใน
“จารึกเรื่องทรงสร้างวัดพระเชตุพนครั้งรัชกาลที่ ๑”
ว่า

“...พระพุทธรูปน่าตักสี่ศอกห้านิ้วเชิญมาแต่กรุงเก่า
ปติสังขรณ์เสรจ์แล้วประดิษถานไว้ในพระวิหารทิศใต้
ถวายพระนามว่าพระพุทธเจ้าเทศนาพระธรรมจักร
มีพระปัญจะภักดีทั้งห้านั่งฟังพระธรรมเทศนาด้วย
แลผนังนั้นเขียนเรื่องเทศนาพระธรรมจักรและเทศนาดาวดึงส์...”


ในจารึกเรื่องทรงสร้างวัดพระเชตุพนครั้งรัชกาลที่ ๑
ภายหลังจากมีการฉลองพระอาราม วัดพระเชตุพนแล้ว
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
โปรดให้อัญเชิญพระประธานพระวิหารทิศใต้และทิศตะวันตก
ไปประดิษฐานไว้ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ (วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์)
และโปรดให้อัญเชิญพระพุทธรูปจากเมืองสุโขทัยมาประดิษฐานไว้แทน
ข้อความในร่างจารึกเดียวกันนี้ ยังกล่าวถึงการเชิญพระบรมธาตุ
เข้าประดิษฐานในพระชินราชด้วย ดังความว่า


“...แล้วเชิญพระบรมธาตุในพระราชวัง ๑๑ พระองค์นั้น
บรรจบกับพระบรมธาตุมาแต่เมืองน่านเข้ากัน ๖๐ พระองค์
กับทั้งเครื่องสักการบูชาเก่าใหม่ ทรงบรรจุไว้ในองค์พระชินราช
เชิญขึ้นสถิตเหนือวิจิตรบวรพุทธอาสนในพระวิหารด้านประจิมทิศ
ไว้เป็นที่เจดียถานให้เป็นที่สักการบูชาสนองพระพุทธองค์
ดุจทรงนั่งตรัสพระธรรมเทศนาพระธรรมจักรกัปปวัตนสูตร
โปรดปัญจวัคคียภิกษุทั้ง ๕ ในอิสิปัตนมฤคทายวัน
จึงเชิญธาตุอรหันต์ ๑๘๖ พระองค์ ใส่ในพระโกศแก้ว ๕ ใบ
ทรงบรรจุไว้ในองค์พระปัญจวัคคียภิกษุสาวกทั้ง ๕...”


นอกจากนั้น “โคลงบอกด้านการปฏิสังขรณ์”
ซึ่งกล่าวถึงการบูรณปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓
ได้มีการกล่าวถึง “พระพุทธชินราช” หรือ “พระพุทธเจ้าเทศนาพระธรรมจักร”
ซึ่งเป็นพระประธานในพระวิหารทิศใต้ ไว้ว่า

ศุโขทัยธรรมราชผู้ นามชิน ราชฤา
สถิตย์วิหารทักษิณ มุขหน้า
ธรรมจักรแจกพรหมินทร์ หมื่นภพ ผองเฮย
เบญจพัคคีย์มีห้า อยู่เฝ้าสดับแสดงฯ


ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔
ได้ถวายพระนามพระพุทธชินราช ดังปรากฏในจารึกที่ฐานพระพุทธชินราช
ว่า
“พระพุทธชินราช วโรวาทธรรมจักร อัครปฐมเทศนา นราศภบพิตร”


(มีต่อ ๑๑)

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 11:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 มี.ค. 2005, 04:18
โพสต์: 1877


 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
“พระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชดาญาณ” เจดีย์ประจำรัชกาลที่ ๑
เป็นที่ประดิษฐาน “พระศรีสรรเพชญ์” พระพุทธรูปยืนขนาดสูง ๑๖ เมตร



นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปยืนอีกองค์หนึ่ง แต่ไม่ค่อยมีใครรู้จักมากนัก
เพราะเป็นพระพุทธรูปยืนที่ประดิษฐานอยู่ใน พระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชดาญาณ
เจดีย์ที่ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีเขียวซึ่งเป็นพระเจดีย์ประจำรัชกาลที่ ๑
“พระศรีสรรเพชญ์” นั้นเป็นพระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่มีขนาดสูง ๑๖ เมตร
เดิมประดิษฐานอยู่ที่วัดพระศรีสรรเพชญ์ ในพระราชวังพระนครศรีอยุธยา
เช่นเดียวกับพระพุทธโลกนาถ และได้ถูกข้าศึกทำลายในคราวกรุงแตกเช่นเดียวกัน
อีกทั้งข้าศึกยังได้เอาไฟเผาเพื่อหลอมทองที่หุ้มองค์พระออกไปด้วย
องค์พระพุทธรูป “พระศรีสรรเพชญ์” จึงมีความเสียหายอย่างหนัก

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑
เคยโปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมพระศรีสรรเพชญ์ที่ชำรุดมากด้วยการหล่อขึ้นใหม่
แต่มีผู้ทัดทานไว้ว่าพระศรีสรรเพชญ์ได้เคยสร้างสำเร็จเป็นองค์พระพุทธรูปแล้ว
ไม่ควรเอาเข้าไฟหล่อขึ้นใหม่อีก พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ
ให้บรรจุพระศรีสรรเพ็ชญ์ที่เหลือแต่แกนพระไว้ในพระมหาเจดีย์
และถวายนามพระมหาเจดีย์ตามชื่อของพระพุทธรูปว่า
“พระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชดาญาณ” นั่นเอง


(มีต่อ ๑๒)

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 11:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 มี.ค. 2005, 04:18
โพสต์: 1877


 ข้อมูลส่วนตัว www


• ศาสนวัตถุสำคัญอื่นๆ ภายในวัด

รูปภาพ
บริเวณศาลาทิศรอบพระมณฑป (หอไตรจตุรมุข)

รูปภาพ
หอระฆัง ด้านหน้าพระวิหารพระพุทธไสยาส (พระวิหารพระนอน)


หอระฆัง เป็นสถานที่ต้องสร้างประจำไว้ที่วัดเพื่อเป็นสัญญาณบอกเวลา
และในความหมายพุทธปรัชญาหมายถึง การตื่นและรู้สัจธรรม
ตลอดทั้งให้ความรู้สึกแห่งสันติสุข เขตพุทธาวาสของวัด มีหอระฆัง ๒ หอ
คือด้านเหนือและด้านใต้ ขนาบพระมหาเจดีย์สี่รัชกาล เจดีย์ประจำรัชกาลที่ ๑-๔
ด้านใต้สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๑ ส่วนด้านเหนือสร้างในสมัยรัชกาลที่ ๓
เป็นสถาปัตยกรรมจตุรมุขยอดทรงเจดีย์ย่อไม้สิบสอง
ประดับด้วยกระเบื้องเครื่องถ้วยลวดลายหลากสี ฐานสูงก่อทึบ
มีบันไดและกำแพงล้อมรอบลานประทักษิณ

รูปภาพ
สระจระเข้


ภายใน สระจระเข้ มีสระน้ำก่ออิฐถือปูน ตรงกลางสระมีภูเขาและบันไดเวียนเดินขึ้นได้
บนยอดเขามีพระเจดีย์ขนาดเล็กประดิษฐานอยู่องค์หนึ่ง เป็นที่บรรจุ พระบรมสารีริกธาตุ
ทางด้านตะวันออกของสระมีตึกหลังหนึ่ง ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๓ ชาวบ้านเรียกว่า ตึกฝรั่ง มีลักษณะคล้ายเก๋งจีนปัจจุบันนี้
โดยรอบขอบสระจระเข้ปรับปรุงเป็นสวนปลูกพรรณไม้ในวรรณคดีไทย ไม้หอม ดูร่มรื่น

ตึกฝรั่ง เป็นทรงจีน หลังคาเป็นแบบฝรั่ง มีจิตรกรรมฝาผนังฝรั่งสิบสามห้าง
เดิมเคยเป็นที่เรียนหนังสือของเจ้าฟ้าและเชื้อพระวงศ์รุ่นโต

รูปภาพ

รูปภาพ
ภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนัง


(มีต่อ ๑๓)

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 11:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 มี.ค. 2005, 04:18
โพสต์: 1877


 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
จารึกวัดโพธิ์ติดอยู่บนเสาพระระเบียงคดชั้นในรอบๆ พระอุโบสถ


• จารึกวัดโพธิ์

ในช่วงการบูรณปฏิสังขรณ์วัดโพธิ์ พระอารามหลวงประจำรัชกาล
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑
องค์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ครั้งใหญ่อีกครั้งเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๗๓ นั้น
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ได้ทรงโปรดเกล้าฯ
ให้รวบรวมเลือกสรรตำรับตำราต่างๆ ชึ่งสมควรจะเล่าเรียน
เป็นชั้นสามัญศึกษามาตรวจตราแก้ไข ใช้ของเดิมบ้าง
หรือประชุมปราชญ์ผู้รู้หลักในวิชานั้นๆ ให้แต่งขึ้นใหม่บ้าง

ในส่วนของ “จารึกวัดโพธิ์” นั้น ได้เริ่มมีขึ้น
ในช่วงการบูรณปฏิสังขรณ์วัดครั้งใหญ่อีกครั้ง
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓
โดยการบูรณะในครั้งนั้น พระองค์ได้ทรงมีพระราชประสงค์
ให้พระอารามแห่งนี้เป็น “มหาวิทยาลัย” สำหรับประชาชนทั่วไป
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำเอาองค์ความรู้จากปราชญ์ของไทย
และสรรพศิลปวิทยาการต่างๆ เช่น ตำราการแพทย์ โบราณคดี
และวรรณกรรม โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอนทั้งหลาย ฯลฯ
มาจารึกลงบนแผ่นหินอ่อนจำนวน ๑,๓๖๐ แผ่น
ประดับไว้ตามบริเวณผนัง-เสาพระระเบียงรอบพระอุโบสถ
พระวิหาร พระวิหารคด และศาลารายรอบพระมณฑปภายในวัด

รูปภาพ
จารึกวัดโพธิ์บนศาลาราย


ดังที่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ทรงกล่าวไว้ในคำนำหนังสือ ‘ประชุมจารึกวัดพระเชตุพน’
ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ พ.ศ. ๒๔๖๒
ว่า
“...ในการที่ทรงปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนฯ มีพระราชประสงค์พิเศษอีกอย่างหนึ่ง
ซึ่งจะให้เป็นแหล่งเล่าเรียนวิชาความรู้ของมหาชนไม่เลือกชั้นบรรดาศักดิ์
ถ้าจะเรียกอย่างทุกวันนี้ ก็คือจะให้เป็นมหาวิทยาลัย
เพราะในสมัยนั้นยังไม่มีการพิมพ์หนังสือไทย
การเล่าเรียนส่วนสามัญศึกษาที่มีเรียนอยู่ตามวัดทั่วไป
แต่ส่วนวิสามัญศึกษาอันจะเป็นวิชาอาชีพของคนทั้งหลายยังศึกษาได้แต่ในสกุล
ผู้อยู่นอกสกุลโดยเฉพาะที่เป็นพลเมืองสามัญไม่มีโอกาสที่จะเรียนได้
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้รวบรวมเลือกสรรตำรับตำราต่างๆ ซึ่งสมควรจะเล่าเรียน
เป็นชั้นสามัญศึกษามาตรวจตราแก้ไข ใช้ของเดิมบ้าง
หรือประชุมผู้รู้หลักในวิชานั้นๆ โดยมาก เพื่อคนทั้งหลายไม่เลือกว่า
ตระกูลชั้นใดๆ ใครมีใจรักวิชาอย่างใด ก็ให้สามารถเล่าเรียนได้จาก
ศิลาจารึกที่วัดพระเชตุพนฯ จึงมีหลายอย่าง ทั้งเป็นความรู้ส่วนวรรณคดี
โบราณคดี และศัสตราคมต่างๆ เป็นอันมาก และได้เป็นประโยชน์แก่ผู้ศึกษา...”


รูปภาพ
จารึกเกี่ยวกับจุดต่างๆ บนร่างกายมนุษย์


จารึกทั้งหมดในวัดโพธิ์จากหนังสือ ‘ประชุมจารึกวัดพระเชตุพน’
(คณะสงฆ์วัดพระเชตุพนจัดพิมพ์เป็นที่ระลึกสมโภชหิรัญบัฏ
และฉลองอายุวัฒนมงคล ๘๕ ปี พระธรรมปัญญาบดี พ.ศ. ๒๕๔๔)
เมื่อแบ่งประเภทออกแล้วก็นับได้หลายหมวดด้วยกัน ดังนี้

หมวดประวัติ ได้แก่ จารึกเรื่องทรงสร้างวัดพระเชตุพน ครั้งรัชกาลที่ ๑,
จารึกครั้งรัชกาลที่ ๑ จดหมายเหตุเรื่องว่าด้วยพระบรมธาตุมาแต่เมืองน่าน,
การปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนถอดจากโคลงดั้นฯ, พระพุทธเทวปฏิมากร,
พระพุทธโลกนาถ, พระพุทธมารวิชัย, พระพุทธชินราช, พระพุทธชินศรี,
พระพุทธปาลิไลย, พระพุทธศาสดา, พระพุทธไสยาสน์,
รายการแบ่งด้านปฏิสังขรณ์ถอดจากโคลงดั้นฯ,
โคลงดั้นเรื่องปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพน
(พระนิพนธ์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส)
และโคลงบอกด้านการปฏิสังขรณ์

รูปภาพ
จารึกเกี่ยวกับจุดต่างๆ บนร่างกายมนุษย์


หมวดพระพุทธศาสนา ได้แก่ จารึกเรื่องพระสาวกเอตทัคคะ ๔๑ องค์
ติดไว้ที่เชิงผนังหน้าต่างระหว่างพระอุโบสถ
เนื้อหาอธิบายถึงประวัติของพระเถระแต่ละรูป เหตุที่ออกบวช
และคุณสมบัติพิเศษที่ได้รับการยกย่องไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ
ของพระเถระแต่ละองค์ เช่น พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ฯลฯ,
จารึกเรื่องพระสาวิกาเอตทัคคะ ๑๓ องค์
ที่อยู่เชิงผนังหน้าต่างพระวิหารพระพุทธไสยาสน์,
จารึกเรื่องอุบาสกเอตทัคคะ ๑๐ คน, จารึกเรื่องอุบาสิกาเอตทัคคะ ๑๐ คน,
จารึกเรื่องอสุภ ๑๐ และญาณ ๑๐, จารึกเรื่องฎีกาพาหุง ๘ บท,
จารึกเรื่องพระพุทธบาท, จารึกเรื่องธุดงค์ ๑๓, จารึกเรื่องพาหิรนิทาน,
จารึกเรื่องอรรถกถาชาดก, จารึกเรื่องศาลารายหลังที่ ๑,
จารึกเรื่องศาลารายหลังที่ ๒, จารึกเรื่องศาลารายหลังที่ ๓,
จารึกเรื่องศาลารายหลังที่ ๔, จารึกเรื่องศาลารายหลังที่ ๑๐,
จารึกเรื่องศาลารายหลังที่ ๑๒, จารึกเรื่องศาลารายหลังที่ ๑๓,
จารึกเรื่องศาลารายหลังที่ ๑๖, จารึกเรื่องศาลาการเปรียญ,
จารึกเรื่องเวสสันดรชาดก, จารึกเรื่องมหาวงษ์,
จารึกเรื่องนิรยกถา และจารึกเรื่องเปรตกถา

รูปภาพ
จารึกวัดโพธิ์ติดอยู่บนเสาพระระเบียงคดชั้นในรอบๆ พระอุโบสถ


หมวดวรรณคดี ได้แก่ จารึกเรื่องรามเกียรติ์, จารึกนิทานสิบสองเหลี่ยม
ที่จารึกไว้ที่คอสอง เฉลียงศาลาล้อมพระมณฑปทิศตะวันตก
(ปัจจุบันศาลาแห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์เก็บของมีค่าของวัด),
จารึกตำราฉันท์วรรณพฤติ, จารึกตำราฉันท์มาตราพฤติ,
จารึกเพลงยาวกลบทและกลอักษร,
จารึกโคลงกลบท ที่ติดอยู่ตามพระระเบียงของพระอุโบสถ
และจารึกโคลงภาพเรื่องรามเกียรติ์ ที่เป็นแผ่นหินอ่อนอยู่รอบพระอุโบสถ

หมวดทำเนียบ ได้แก่ จารึกทำเนียบตราตำแหน่งสมณศักดิ์,
จารึกทำเนียบหัวเมืองขึ้นของกรุงสยามและผู้ครองเมือง
และจารึกโคลงภาพคนต่างภาษา จารึกอยู่ตามผนังเฉลียงสกัดศาลารายรอบวัด
เพื่ออธิบายลักษณะ อุปนิสัย บ้านเมืองชาวต่างประเทศที่ชาวสยามคุ้นเคย

รูปภาพ
แผ่นจารึกรูปร่างสวยงามพบเห็นได้ทั่วไปในวัดโพธิ์


หมวดประเพณี ได้แก่ จารึกเรื่องรามัญหุงข้าวทิพย์, จารึกเรื่องมหาสงกรานต์,
จารึกเกี่ยวกับริ้วกระบวนแห่พระกฐินพยุหยาตราทางสถลมารค เป็นต้น

หมวดสุภาษิต
ได้แก่ จารึกฉันท์กฤษณาสอนน้อง
อยู่ที่ผนังด้านในศาลาหน้าพระมหาเจดีย์หลังเหนือ,
จารึกฉันท์พาลีสอนน้อง อยู่ที่ผนังด้านในศาลาหน้าพระมหาเจดีย์ทิศใต้,
จารึกสุภาษิตพระร่วง, จารึกฉันท์อัษฎาพานร และจารึกโคลงโลกนิติ
มีจำนวน ๔๒๐ บทด้วยกัน อยู่ที่ผนังด้านนอกศาลาทิศพระมณฑป

หมวดอนามัย ได้แก่ จารึกโคลงภาพฤาษีดัดตน
เป็นท่าดัดตนทั้ง ๘๐ ท่าที่จะแก้การปวดเมื่อยของอวัยวะต่างๆ
และจารึกอาธิไท้โพธิบาทว์ เป็นต้น

รวมทั้ง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปั้นรูปสลักหินฤาษีดัดตน
ในท่าต่างๆ จำนวนทั้งหมด ๘๐ ท่า สำหรับอธิบายประกอบตำรับตำรา

รูปภาพ
จารึกเกี่ยวกับโคลง กลอน ฉันท์ต่างๆ


การบูรณปฏิสังขรณ์วัดโพธิ์ครั้งใหญ่ในครั้งนั้น
ใช้เวลาไปถึง ๑๖ ปี ๗ เดือน จึงแล้วเสร็จ
ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้วัดโพธิ์ได้ชื่อว่าเป็น “มหาวิทยาลัย” เท่านั้น
แต่ยังทำให้วัดโพธิ์ในตอนนั้นดูงดงามจนกวีเอก
อย่าง “สุนทรภู่” ถึงกับเอ่ยชมออกมาเป็นบทกลอนว่า

“.....เห็นวัดโพธิ์โสภาสถาพร
สง่างอนงามพริ้งทุกสิ่งอัน
โอ้วัดโพธิ์เป็นวัดกษัตริย์สร้าง
ไม่โรยร้างรุ่งเรืองดังเมืองสวรรค์.....”


เรียกได้ว่าพระองค์ทรงพัฒนาวัดนี้ในทุกด้านอย่างไม่ขาดตกบกพร่องเลยทีเดียว
ซึ่งในรัชกาลต่อมาๆ จนถึงรัชกาลปัจจุบัน ก็ได้โปรดให้มีการบูรณปฏิสังขรณ์เรื่อยมา
ถือเป็นวัดที่มีความสำคัญมาตลอดทุกรัชกาลในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์

รูปภาพ
โคลงกลอักษร “กลโคลงพรหมภักตร์”


จารึกทั้งหมดนี้จึงเป็นความรู้ด้านศาสนา วิชาการวรรณคดี
โบราณคดี การแพทย์ ประวัติศาสตร์ และอีกหลายสาขา
ซึ่งทรงมุ่งหวังให้ยั่งยืนและเผยแพร่ให้ประชาชนศึกษาได้อย่างเสรี
เป็นแหล่งเล่าเรียนวิชาความรู้ของมหาชน โดยไม่เลือกชนชั้น วรรณะ
ยศถาบรรดาศักดิ์ เพราะในสมัยนั้นยังไม่มีหนังสือ ไม่มีโรงเรียน
การเล่าเรียนส่วนใหญ่จะมีสอนให้อยู่ตามวัดต่างๆ หรือตามบ้านผู้ดีมีสกุลเท่านั้น
พระอารามแห่งนี้จึงเปรียบเสมือนมหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย
เพิ่มเติมจากการเล่าเรียนวิชาสามัญศึกษาที่มีอยู่ตามวัดทั่วไป
แม้ว่าเวลาจะผ่านไปกว่า ๑๗๘ ปี วัดโพธิ์ก็ยังคงเป็นแหล่งเรียนรู้สรรพวิทยา
เห็นได้จากความรู้เกี่ยวกับโยคะศาสตร์และตำราการนวดแผนโบราณวัดโพธิ์
เป็นที่รู้จักแพร่หลายออกไปทั่วโลกในปัจจุบัน

รูปภาพ
จารึกโคลงกลอักษร “โคลงรวงผึ้ง”


(มีต่อ ๑๔)

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron