วันเวลาปัจจุบัน 14 ต.ค. 2024, 09:46  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2011, 09:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


“บุญ” และ “กุศล” ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
พุทธศาสนิกชนควรแยกให้ได้ เพื่อความหลุดพ้นอย่างแท้จริง
:: ท่านอาจารย์พุทธทาส อินทปัญโญ

รูปภาพ

เราเข้าใจและบางทีก็ใช้ คำว่า “ทำบุญ” “ทำทาน” “ทำกุศล” ปะปนกันไป ถ้าพิจารณาทางด้านผลของการกระทำว่า ให้ก็คือให้ ไม่ว่าจะให้อะไร แก่ใคร เพื่อลดละขัดเกลาจิตใจ หรือเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น แก่สังคม ก็แล้วไป แต่สำหรับผู้ที่ทำบุญด้วยประสงค์บุญเพื่อแลกเปลี่ยนบุญเป็นอะไรๆ นั่นอาจเป็นสัญญานอย่างหนึ่งว่า “ท่านทำการเผื่อการเกิดครั้งใหม่”

บุญ กับ กุศล

เมื่อใดมีการพิจารณากันให้ละเอียดถี่ถ้วน เมื่อนั้นจะพบความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เรียกกันว่า “บุญ” กับสิ่งที่เรียก (กัน) ว่า “กุศล” บ้าง ไม่มากก็น้อย แล้วแต่ความสามารถในการพินิจพิจารณา แต่ว่าโดยเนื้อแท้แล้ว “บุญ” กับ “กุศล” ควรจะเป็นคนละอย่าง หรือเรียกได้ว่าตรงกันข้าม ตามความหมายของรูปศัพท์แห่งคำสองคำนี้ทีเดียว

คำว่า บุญ มีความหมายว่า ทำให้ฟู หรือพองขึ้น บวมขึ้น นูนขึ้น ส่วนคำว่า กุศล นั้น แปลว่า แผ้วถาง ให้ราบเตียนไป โดยความหมายเช่นนี้เราย่อมเห็นได้ว่า เป็นของคนละอย่างหรือเดินคนละทาง บุญเป็นสิ่งที่ทำให้ฟูใจ พอใจ ชอบใจ เช่น ทำบุญให้ทานหรือรักษาศีลก็ตาม แล้วก็ฟูใจ อิ่มเอิบ หรือแม้ที่สุดแต่รู้สึกว่าตัวได้ทำสิ่งที่ทำยาก

ในกรณีที่ทำบุญเอาหน้า เอาเกียรติ อย่างนี้ก็ได้ชื่อว่าได้บุญเหมือนกัน แม้จะเป็นบุญชนิดที่ไม่สู้จะแพ้ หรือแม้ในกรณีที่ทำบุญด้วยความบริสุทธิ์ใจ เพื่อเอาบุญกันจริงๆ ก็ยังอดฟูใจไม่ได้ว่าตนจะได้เกิดในสุคติโลกสวรรค์ มีความปรารถนาอย่างนั้นอย่างนี้ ในภพนั้น ภพนี้ อันเป็น ภวตัณหา นำไปสู่การเกิดในภพใหม่ เพื่อเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ตามแต่ตนจะปรารถนา ไม่ออกไปจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฎสงสารได้ แม้จะไปเกิดในโลกที่เป็นสุคติ อย่างไรก็ตาม

ฉะนั้น ความหมายของคำว่าบุญ จึงหมายถึงสิ่งที่ทำให้ฟูใจและเวียนไปเพื่อความเกิดอีก ไม่มีวันที่สิ้นสุดลงได้


ส่วนกุศลนั้น เป็นสิ่งที่ทำหน้าที่แผ้วถางสิ่งกีดขวาง ผูกรัด หรือรกรุงรัง ไม่ข้องแวะกับความฟูใจ หรือพอใจเช่นนั้น แต่มีความมุ่งหมายจะกำจัดเสียซึ่งสิ่งต่างๆ อันเป็นเหตุให้พัวพันอยู่ในกิเลสตัณหา อันเป็นเครื่องนำให้เกิดแล้วเกิดอีก และมีจุดมุ่งหมายกวาดล้างสิ่งเหล่านั้นออกไปจากตัว

ในเมื่อบุญต้องการโอบรัดเข้ามาหาตัว ให้มีเป็นของของตัวมากขึ้น ในเมื่อฝ่ายที่ถือข้างบุญยึดถือ อะไรเอาไว้มากๆ และพอใจ ดีใจนั้น ฝ่ายที่ถือข้างกุศลก็เห็นว่าการทำอย่างนั้น เป็นความโง่เขลา ขนาดเข้าไปกอดรัดงูเห่าทีเดียว ฝ่ายข้างกุศล หรือที่เรียกว่า ฉลาด นั้น ต้องการจะปล่อยวาง หรือ ผ่านพ้นไป ทั้งช่วยผู้อื่นให้ปล่อยวาง หรือผ่านพ้นไปด้วยกัน ฝ่ายข้างกุศล จึงถือว่า ฝ่ายข้างบุญนั้นยังเป็นความมืดบอดอยู่

แต่ว่า บุญ กับ กุศล สองอย่างนี้ ทั้งที่มีเจตนารมณ์แตกต่างกัน ก็ยังมีการกระทำทางภายนอกอย่างเดียวกัน ซึ่งทำให้เราหลงใหลในคำสองนี้อย่างฟั่นเฝือ เพื่อจะให้เข้าใจกันง่ายๆ เราต้องพิจารณาดูที่ตัวอย่างต่างๆ ที่เรากระทำกันอยู่จริงๆ คือ

(๑) ในการให้ทาน ถ้าให้เพราะจะเอาหน้าเอาเกียรติ หรือเอาของตอบแทนเป็นกำไร หรือเพื่อผูกมิตร หาพวกพ้อง หรือแม้ที่สุดแต่เพื่อให้บังเกิดในสวรรค์อย่างนี้ เรียกว่าให้ทานเอาบุญหรือได้บุญ

แต่ถ้าให้ทานอย่างเดียวกันนั่นเอง แต่ต้องการเพื่อขูดความขี้เหนียวของตัว ขูดความเห็นแก่ตัว หรือให้เพื่อค้ำจุนศาสนาเอาไว้ เพราะเห็นว่าศาสนาเป็นเครื่องขูดทุกข์ของโลก หรือให้เพราะเมตตาล้วนๆ โดยบริสุทธิ์ใจ หรือ (ด้วย) อำนาจเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งปัญญาเป็นผู้ชี้ขาดว่า ให้ไปเสียมีประโยชน์มากกว่าเอาไว้ อย่างนี้เรียกว่า ให้ทานเอากุศลหรือได้กุศล ซึ่งมันแตกต่างๆ ไปคนละทิศละทางกับ การให้ทานเอาบุญ

เราจะเห็นได้กันสืบไปอีกว่า การให้ทานเอาบุญนั่นเอง ที่ทำให้เกิดการฟุ่มเฟือยขึ้นในสังคมฝ่ายผู้รับทาน จนกลายเป็นผลร้ายขึ้นในวงพระศาสนาเอง หรือในวงสังคมรูปอื่นๆ เช่น มีคนขอทานในประเทศมากเกินไป เป็นต้น การให้ทาน (ที่) ถูกนักคิดพากันวิพากษ์วิจารณ์ในแง่เสื่อมเสีย ก็ได้แก่ การให้ทานเอาบุญนี้เอง ส่วนการให้ทานเอากุศลนั้นอยู่สูงพ้นการที่ถูกเหยียดอย่างนี้ เพราะว่ามีปัญญาหรือเหตุผลเข้าควบคุม แม้ว่าอยากจะให้ทานเพื่อขูดเกลาความขี้เหนียวในจิตใจของเขา ก็ยังมีปัญญารู้จักเหตุผลว่า ควรให้ไปในรูปไหน มิใช่เป็นการให้ไปในรูป “ละโมบบุญ” หรือ “เมาบุญ” เพราะว่ากุศลไม่ได้เป็นสิ่งที่หวานเหมือนกับบุญ จึงไม่มีใครเมา และไม่ทำให้เกิดการเหลือเฟือ ผิดความสมดุลขึ้นในวงสังคมได้เลย นี่เราพอจะเห็นได้ว่า ให้ทานเอาบุญ กับให้ทานเอากุศลนั่น ผิดกันเป็นคนละอันอย่างไร


(๒) ในการรักษาศีล ก็เป็นทำนองเดียวกันอีก รักษาศีลเอาบุญคือรักษาไปทั้งที่ไม่รู้จักความมุ่งหมายของศีล เป็นแต่ยึดถือในรูปร่างของการรักษาศีล แล้วรักษาเพื่ออวดเพื่อนฝูง หรือเพื่อแลกเอาสวรรค์ ตามที่นักพรรณนาอานิสงส์เขาพรรณนากันไว้หรือ ทำอย่างละเมอไปตามความนิยมของคนที่มีอายุล่วงมาถึงวัยนั้นวัยนี้ เป็นต้น ยิ่งเคร่งเท่าใด ยิ่งส่อความเห็นแก่ตัว และความยกตัวมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งมีความยุ่งยากในครอบครัวหรือวงสังคมเกิดขึ้นใหม่ๆ แปลกๆ เพราะความเคร่งครัดในศีลของบุคคลประเภทนี้อย่างนี้เรียกว่า รักษาศีลเอาบุญ

ส่วนบุคคลอีกประเภทหนึ่ง รักษาศีลเพียงเพื่อให้เกิดการบังคับตัวเอง สำหรับจะเป็นทางให้เกิดความบริสุทธิ์ และความสงบสุขแก่ตัวเองและเพื่อนมนุษย์เพื่อใจสงบ สำหรับเกิดปัญญาชั้นสูง นี้เรียกว่า รักษาศีลเอากุศล

รักษา (ศีล) มีจำนวนเท่ากัน ลักษณะเดียวกัน ในวัดเดียวกัน แต่กลับเดินไปคนละทิศละทาง อย่างนี้เป็นเครื่องชี้ให้เห็นภาวะแห่งความแตกต่าง ระหว่างคำว่า บุญ กับคำว่า กุศล คำว่ากุศลนั้น ทำอย่างไรเสียก็ไม่มีทางตกหล่ม จมปลักได้เลย ไม่เหมือนกับคำว่า บุญ และกินเข้าไปมากเท่าไรก็ไม่มีเมา ไม่เกิดโทษ ไม่เป็นพิษ

ในขณะที่คำว่า “บุญ” แปลว่า เครื่องฟูใจนั้น
คำว่า “กุศล” แปลว่า ความฉลาด หรือเครื่องทำให้ฉลาด และปลอดภัย ร้อยเปอร์เซ็นต์


(๓) ในการเจริญสมาธิ ก็เป็นอย่างเดียวกันอีก คือ สมาธิเอาบุญก็ได้ เอากุศลก็ได้ สมาธิเพื่อดูนั่นดูนี่ ติดต่อกับคนโน้นคนนี้ที่โลกอื่นตามที่ตนกระหาย จะทำให้เก่งกว่าคนอื่น หรือสมาธิเพื่อการไปเกิดในภพนั้น ภพนี้ อย่างนี้เรียกว่า สมาธิเอาบุญ หรือได้บุญ เพราะทำใจให้ฟู ให้พอง ตามความหมายของมันนั่นเอง ซึ่งเป็นของที่ปรากฏว่าทำอันตรายแก่เจ้าของ ถึงกับต้องรับการรักษาเป็นพิเศษ หรือรักษาไม่หายจนตลอดชีวิตก็มีอยู่ไม่น้อย เพราะว่าสมาธิเช่นนี้ (มี) ตัณหาและทิฎฐิเป็นสมุฎฐาน แม้จะได้ผลอย่างดีที่สุดก็เพียงได้เกิดในวัฏสงสารตามที่ตนปรารถนาเท่านั้น ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน

ส่วนสมาธิที่มีความมุ่งหมายเพื่อการบังคับใจตัวเองให้อยู่ในอำนาจ เพื่อกวาดล้างกิเลส อันกลุ้มรุมจิตให้ราบเตียน ข่มขี่มิจฉาทิฎฐิ อันจรมาในปริมณฑลของจิต ทำจิตให้ผ่องใสเป็นทางเกิดของวิปัสสนาปัญญา อันดิ่งไปยังนิพพาน เช่นนี้เรียกว่า สมาธิได้กุศล ไม่ทำอันตรายใคร ไม่ต้องหาหมอรักษา ไม่หลงวนเวียนในวัฎสงสาร จึงตรงกันข้ามจาก สมาธิเอาบุญ


(๔) ครั้นมาถึง “ปัญญา” นี้ไม่มีแยกเป็นสองฝ่าย คือ ไม่มีปัญญาเอาบุญ เพราะตัวปัญญานั้นเป็นตัวกุศลเสียเองแล้ว เป็นกุศลฝ่ายเดียว นำออกจากทุกข์อย่างเดียว แม้ยังจะต้องเกิดในโลกอีก เพราะ (ปัญญา) ยังไม่แก่ถึงขนาด ก็มีความรู้สึกตัวเดินออกนอกวัฎสงสาร มีทิศทางดิ่งไปยังนิพพานเสมอ ไม่วนเวียนจนติดหล่ม จมเลน โดยความไม่รู้สึกตัว ถ้ายังไม่ถึงขนาดนี้ก็ยังไม่เรียกว่า ปัญญาในกองธรรม หรือธรรมขันธ์ของพุทธศาสนา ดังเช่นปัญญาในทางอาชีพหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เป็นต้น ตามตัวอย่างที่เป็นอยู่ในเรื่องจริงที่เกี่ยวกับการกระทำของพวกเราเอง

ดังที่กล่าวมาแล้วนี้ ทำให้เราเห็นได้ว่า การที่เราเผลอหรือถึงกับหลงเอาบุญ กับ กุศล มาปนเป เป็นอันเดียวกันนั้น ได้ทำให้เกิดความสับสนอลเวงเพียงไร และทำให้คว้าไม่ถูกตัวสิ่งที่เราต้องการ จนเกิดความยุ่งยากสับสน อลหม่านในวงพวกพุทธบริษัทเองเพียงไร ถ้าเรายังขืนทำสุ่มสี่สุ่มห้าเอาของสองอย่างนี้เป็นของอันเดียวกัน อย่างที่เรียกกันพล่อยๆ ติดปากชาวบ้านว่า “บุญกุศลๆ” เช่นนี้อยู่สืบไปแล้ว เราก็จะไม่สามารถแก้ปัญหาต่างๆ อันเกี่ยวกับการทำบุญกุศลนี้ให้ลุล่วงไปด้วยความดีจนตลอดกัลปาวสานก็ได้

ถ้ากล่าวให้ชัดๆ สั้นๆ

บุญเป็นเครื่องหุ้มห่อ กีดกั้นบาปไม่ให้งอกงามหรือปรากฏ
หมดอำนาจบุญเมื่อใด บาปก็จะโผล่ออกมาและงอกงามสืบไปอีก

ส่วนกุศลนั้น เป็นเครื่องตัดรากเหง้าของบาปอยู่เรื่อยไป
จนมันเหี่ยวแห้ง สูญสิ้นไม่มีเหลือ


ความต่างกันอย่างยิ่งย่อมมีอยู่ดังกล่าวนี้ คนปรารถนาบุญ จงได้บุญ คนปรารถนากุศล ก็จงได้กุศล และปลอดภัยตามความปรารถนา แล้วแต่ใครจะมองเห็นและจะสมัครใจ จะปรารถนาอย่างไร ได้เช่นนี้ เมื่อใดจึงจะชื่อว่า พวกเรารู้จักบุญกุศลกันจริงๆ รู้ทิศทางแห่งการก้าวหน้า และทิศทางที่วกเวียนว่าเป็นของที่ไม่อาจจะเอามาเป็นอันเดียวกันได้เลย แม้จะเรียกว่า “ทางๆ” เหมือนกันทั้งสองฝ่าย

วัดธารน้ำไหล
๒๕ มิ.ย. ๒๔๙๓


:b8: :b8: :b8: ความแตกต่างระหว่าง บุญ กับ กุศล ในทัศนะท่านพุทธทาสภิกขุ
พุทธทาส.คอม http://www.buddhadasa.com/freethinkbook/boonkusol.html

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2011, 16:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุ สาธุ สาธุ
ผมขอทำทั้งบุญและกุศลแล้วกันครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2011, 09:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b46: :b46: :b8: :b8: :b8: :b46: :b46:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ย. 2011, 00:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2015, 17:01 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: :b45: ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2021, 20:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2775


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร