วันเวลาปัจจุบัน 07 มิ.ย. 2025, 05:41  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 60 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2010, 08:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ภูมิต่างๆในมหาสากลจักรวาลจากพระไตรปิฏก

--------------------------------------------------------------------------------

ความเป็นจริงทางโลก
ในสากลจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์มากมาย เหนือความสามารถของมนุษย์ธรรมดาทั่วไป ที่จะรับรู้ได้ นอกจากบุคคลที่มีจิตมั่นคง มีอำนาจสมาธิ จึงจะรับรู้สิ่งอัศจรรย์ที่มีอยู่ในสากลจักรวาล ที่นอกเหนือจากจักรวาลของมนุษย์เรานี้ ถ้าเรามองดูท้องฟ้าในคืนที่ปราศจากเมฆ จะเห็นดวงดาวเต็มไปทั่ว ซึ่งเป็นกลุ่มดาวขนาดเล็ก ๆ ของระบบสุริยะ (Solar System) มีความกว้าง 40,030 ปีแสง มีดาวประมาณ 109 ดวงหรือหนึ่งพันล้านดวง นับเป็นหน่วยย่อยที่เล็กมาก เมื่อเทียบกับจำนวนมหาศาลแห่งสากลจักรวาล

นักดาราศาสตร์คำนวณว่า มีหมู่ดาวขนาดใหญ่อยู่ประมาณ 10 ล้านหมู่ และแต่ละหมู่มี 1 หมื่นแกแลคซี่ รวมกันแล้วมีถึง 1011 แกแลคซี่หรือหนึ่งแสนล้านแกแลคซี่ แต่ละแกแลคซี่มี 1011 ดวงดาวหรือหนึ่งแสนล้านดวง นอกจากดวงดาว ยังพบมวลสารใหญ่น้อย อีกมากมายเหลือคณานับ


น่าประหลาดก็คือ ทำไมสิ่งเหล่านี้ในจักรวาลของเรา จึงอยู่กันอย่างมีระเบียบ มีการเคลื่อนไหวโคจรที่ค่อนข้างคงที่ ทำให้นักดาราศาสตร์ สามารถคำนวณระยะทาง เวลา และทิศทางของดวงดาวได้อย่างแม่นยำ การที่จะเกิดอุบัติเหตุต่าง ๆ เช่น การชนกัน ก็มีน้อยมาก นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ได้อธิบายและยอมรับกันว่า มันเป็นไปโดยกลไกแห่งแควนตัม (Quantum Mechanics) ได้ตั้งขึ้นเป็นทฤษฎี เมื่อ ค.ศ. 1930 (พ.ศ. 2473) และนักวิทยาศาสตร์ได้พบว่ามีพลังควบคุมระหว่างกันและกันอยู่ ต่างให้แรงดึงดูด และแรงผลักที่มีดุลถ่วงกันพอดี มีผู้คำนวณว่าถ้าความพอดีนี้ ถูกกระทบกระเทือนด้วยแรงเพียงเล็กน้อย ก็จะเกิดการเสียดุล จะเกิดการโกลาหลในห้วงจักรวาลทันที พลังมหาศาลที่ควบคุมสิ่งต่าง ๆ ในจักรวาลนี้เรียกว่า พลังคอสมิค (Cosmic Energy)
โลกใบนี้ของมนุษย์เป็นดาวเคราะห์บริวารของดวงอาทิตย์ ซึ่งได้รับรังสีรัศมีจากดวงอาทิตย์ และบางส่วนก็ได้พลังจากดาวนพเคราะห์ เช่น ดวงจันทร์ ดาวอังคาร ดาวพุธ ดาวพฤหัส ดาวศุกร์ ดาวเสาร์ ที่รับพลังจากดวงอาทิตย์แล้ว นำไปผสมกับแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ สัตว์ พืช และทุกสิ่งที่ไม่มีชีวิต รวมทั้งแร่ธาตุอัญมณีต่าง ๆ ที่สามารถดูดซับพลังคอสมิคนี้ รวมทั้งแรงสั่นสะเทือนได้ตลอดเวลา


สำหรับมนุษย์เองจะมีรังสีรัศมีจากกายในที่เรียกว่ากายทิพย์ เป็นคลื่นอนุภาคเหนือการรับรู้ของมนุษย์ในสภาพปกติ รังสีรัศมีนี้เป็นคลื่นสั่นสะเทือนจากอำนาจสมาธิจิต ที่เชื่อมโยงกับอนุภาคของจักรวาล และจะดูดซับพลังที่มีคุณค่ามหาศาลนี้ เข้าและออกจากร่างกายได้ตลอดเวลา รังสีรัศมีเหล่านี้ มนุษย์ทุกคนมีสิทธิที่จะใช้เป็นพลังงาน นั่นคือพลังคอสมิค ที่มีอยู่หนาแน่นรอบตัว พร้อมที่จะพุ่งเข้าสู่ภายในกาย เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิต เพื่อซ่อมแซมสิ่งที่ชำรุดบกพร่อง เพื่อขจัดตัวเชื้อโรคเช่นไวรัสต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ สัตว์ และพืช นี่คือกลไกระบบของจักรวาล แห่งโลกมนุษย์ใบนี้


ความเป็นจริงทางธรรม
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้ตรัสรู้ และรู้แจ้งถึงความเป็นจริงของธรรมชาติ ในมหาสากลจักรวาล พระองค์ท่านได้สั่งสอนเรื่องของบาป บุญ คุณ โทษ สอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ทรงแสดงกำเนิดของสัตว์ นรก เปรต อสูรกาย ที่จะต้องไปทนทุกข์ทรมาน ตามกรรมที่ทำมาในอีกหลาย ๆ จักรวาลที่เป็นภพภูมิของสัตว์นรก ซึ่งหมายถึงจักรวาลเหล่านั้น มีแต่ความเดือดร้อน ทนทุกข์ทรมานอยู่เป็นนิจ สัตว์นรกเหล่านั้นได้แต่คร่ำครวญ ร่ำไห้ด้วยความทุกข์ ด้วยถูกไฟเผาตามทวารทั้ง 9



แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 05 ก.พ. 2010, 12:06, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2010, 09:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




000000000000000000000000000000000000000000000000000000.bmp
000000000000000000000000000000000000000000000000000000.bmp [ 466.22 KiB | เปิดดู 7539 ครั้ง ]
UFO.jpg
UFO.jpg [ 47.2 KiB | เปิดดู 7529 ครั้ง ]
galaxy.gif
galaxy.gif [ 39.53 KiB | เปิดดู 7528 ครั้ง ]
บางจักรวาลเต็มไปด้วยฝูงสัตว์นรก ที่ต้องทนทุกข์ทรมาน ด้วยการไต่บนภูเขาเหล็กที่ร้อนแรง แล้วก็หล่นลงเบื้องล่าง ด้วยอำนาจของลมและไฟ ลงระหว่างแท่งเปลวไฟที่ร้อนแรง สัตว์นรกมีแต่ความทุกข์ที่ไม่มีว่างเว้นเลย เหตุของกรรมที่ก่อในขณะที่เป็นมนุษย์อยู่ โดยการทำลายลูกในครรภ์ของตน ไม่เชื่อในบุญบาป ไม่เชื่อว่าตายแล้วเกิด พ่อแม่ไม่มีบุญคุณ ยุยงสงฆ์ให้แตกแยก ไม่มีศีลไม่มีสัตย์ มนุษย์เหล่านี้ เมื่อถึงกาลกิริยา ก็ต้องไปเกิดในจักรวาลที่มีแต่ความทุกข์ มากน้อย ตามแต่ละจักรวาลที่ตนจะต้องไปรับกรรม



บางจักรวาลก็เป็นภพภูมิของเปรต ซึ่งเปรตเหล่านี้มีความเดือดร้อนอดอยาก หิวโหย ไม่สามารถรับบุญกุศลที่ญาติมิตรได้อุทิศให้ ต้องทนทุกข์ทรมานจนกว่าจะสิ้นกรรม เปรตบางจำพวกที่มีรูปร่างเล็ก มีอำนาจอยู่บ้าง อาศัยอยู่ในจักรวาลของมนุษย์ เช่น อยู่ตามป่าเขา ตามต้นไม้ และตามศาลที่มนุษย์ปลูกสร้างไว้ มีฤทธิ์อำนาจที่จะแสดงได้ตามสมควร ซึ่งบางครั้ง ก็ทำให้มนุษย์หลงเชื่อว่า เป็นเทพเทวดาไปก็มี และก็มีมนุษย์บางจำพวก ที่ได้รับอุบัติเหตุโดยไม่รู้ตัว ถึงแก่ความตายกะทันหัน จิต เจตสิก และกายทิพย์ไม่สามารถ ที่จะไปสู่จักรวาลอื่นตามผลกรรมที่ทำไว้ เมื่อพ้นจากกายมนุษย์ที่ตนอาศัย ก็เกิดทันทีที่เราเรียกว่า สัมภเวสี โอปาปาติกะ อยู่ในอีกมิติหนึ่งใกล้เคียงกับมนุษย์ พวกนี้บางคนเมื่อเป็นมนุษย์ มีจิตใจชั่วร้าย เมื่อตายไปหาที่เกิดใหม่ไม่ได้ หรือลงไปเสวยกรรมในจักรวาลนรก ก็วนเวียนทนทุกข์ทรมานในโลกของจักวาลนี้อยู่ พวกนี้ยังมีจิตชั่วร้าย ก็คอยกลั่นแกล้งเข้าสิงมนุษย์ ทำให้เจ็บป่วยพิกลพิการก็มีอยู่มากมาย


พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงผลของบาปไว้อย่างชัดเจน สำหรับบุคคลที่เมื่อมีชีวิตอยู่ ได้ประกอบกรรมทำความชั่วร้ายไว้มากมาย ก็ต้องไปเกิดในจักรวาล ที่เรียกว่า นรก ซึ่งมีอยู่หลายแสนจักรวาล ที่มนุษย์จะต้องเสวยกรรม ในแต่ละจักรวาลตามกรรมชั่วของตน


ส่วนจักรวาลที่เรียกว่าภพภูมิที่ดีมีความสุข เป็นที่เกิดของมนุษย์ที่ประพฤติสุจริตด้วยกุศล ผู้ที่ปฏิบัติชอบ บำเพ็ญตบะ ถือศีลเจริญสมาธิ เรียกว่า จักรวาลแห่งสุคติภูมิ มี 3 ภูมิคือ
1. กามสุคติภูมิ มี 7 ภูมิจักรวาล
2. รูปาวจรภูมิ มี 16 ภูมิจักรวาล
3. อรูปาวจรภูมิ มี 4 ภูมิจักรวาล

1. กามสุคติจักรวาล
ได้แก่ มนุษย์ และสัตว์ที่บังเกิดในจักรวาลนั้น เนื่องจากเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา มีอยู่ 7 ภูมิ
มนุษย์ภูมิ 1 เทวภูมิ 6 ได้แก่
1. จาตุมหาราชิกาภูมิ
2. ตาวติงสาภูมิ
3. ยามาภูมิ
4. ดุสิตตาภูมิ
5. นิมมานรตีภูมิ
6. ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ


มนุษย์ภูมิ คือ จักรวาล เป็นที่อยู่ที่อาศัยของคนทั้งหลาย เรียกว่า ทวีปใหญ่หรือพื้นแผ่นดินทั้ง 4 ทิศ คือ
1. อุตตรกุรุทวีป อยู่ทางทิศเหนือ มนุษย์ในทวีปนี้มีใบหน้ารูปสี่เหลี่ยม มีการรักษาศีล 5 มีคุณสมบัติ 3 ประการคือ
1) ไม่ยึดถือเอาทรัพย์สินเงินทองเป็นของตน
2) ไม่มีการยึดถือในบุตร ภริยา สามี ว่าเป็นของตน
3) มีอายุยืน 1,000 ปี
2. ปุพพวิเทหทวีป อยู่ทางทิศตะวันออก ใบหน้ากลมคล้ายบาตรมีอายุยืน 700 ปี
3. อปรโคยานทวีป อยู่ทางทิศตะวันตก มีใบหน้ากลมคล้ายพระจันทร์ อายุ 500 ปี
4. ชมพูทวีป อยู่ทางทิศใต้ มีใบหน้ารูปไข่ จิตใจของมนุษย์ในทวีปนี้ มีความกล้าแข็งทั้งฝ่ายด ีและฝ่ายไม่ดี ถ้าอยู่ในฝ่ายดี ก็จะมีอายุยืนยาว สามารถบำเพ็ญบารมีสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ตลอดจนเป็นพระเจ้าจักรพรรดิได้ มนุษย์มีชื่อว่ามีความเข้าใจ รู้ในเหตุที่ควรและไม่ควร ถ้าอยู่ในฝ่ายไม่ดี ก็จะอายุสั้น และเมื่อตายลงก็จะไปยังจักรวาลนรก อายุขัยของมนุษย์ภูมินี้มีประมาณ 80 ปี
จักรวาลของเทวภูมิทั้ง 6
1. จักรวาลแห่งภูมิเทวดาชั้นที่ 1 คือ จาตุมหาราชิกาภูมิ มีเทวดา 4 องค์
1) ท้าววธตรัฎฐิ อยู่ทางทิศตะวันออก
2) ท้าววิรุฬหก อยู่ทางทิศใต้
3) ท้าววิรูปักขะ อยู่ทางทิศตะวันตก
4) ท้าวกุเวระหรือท้าวเวสสุวรรณ อยู่ทางทิศเหนือ

ทั้ง 4 องค์ เป็นผู้ดูแลรักษามนุษย์ในโลกนี้ด้วย มีชื่อว่า ท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 ทรงปกครองดูแลมนุษย์ และเทวดาที่มีที่อยู่อาศัยดังนี้
เทวดาที่อยู่บนพื้นแผ่นดิน เรียกว่า ภูมมะเทวดา
เทวดาที่อยู่ที่ต้นไม้ เรียกว่า รุกขะเทวดา
เทวดาที่อยู่ในอากาศ เรียกว่า อากาสะเทวดา
และยังมีเทวดาในภพภูมิจักรวาลชั้นต่ำนี้ที่มีความโหดร้ายอีก 4 จำพวก ได้แก่
1. เทวดาคันธัมมะ ที่สิงสถิตอยู่ภายในต้นไม้มีกลิ่นหอม เรียกว่า นางไม้ ชอบรบกวน มนุษย์ให้เกิดอุปสรรคขัดข้อง ทำให้เกิดเจ็บป่วย ทำให้ทรัพย์สมบัติเสียหายกับมนุษย์ผู้นั้น ที่นำไม้ที่มีนางไม้ของตนอาศัยอยู่มาใช้หรือนำมาปลูกบ้านเรือน
2. เทวดากุมภัณฑ์ เป็นเทวดาที่รักษาสมบัติ เพชร พลอย รักษาป่า ภูเขา แม่น้ำ ถ้ามนุษย์ทำล่วงล้ำก้ำเกินก็ให้โทษต่าง ๆ
3. เทวดานาค (นาคี) มีวิชาเวทมนต์คาถาต่างๆ ท่องเที่ยวอยู่ในจักรวาลของมนุษย์ บางทีก็เนรมิตเป็นคนหรือสัตว์สำแดงฤทธิ์ได้
4. เทวดายักษ์ พอใจที่เบียดเบียนสัตว์นรก เทวดา และมนุษย์
ซึ่งเทวดาทั้ง 4 ภูมินี้ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดตลอดไป
อายุโดยประมาณของเทพเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา นับได้ 500 ปีทิพย์ เทียบอายุมนุษย์ได้ประมาณ 9 ล้านปี


2. จักรวาลแห่งภูมิเทวดาชั้นที่ 2 คือ ตาวติงสาภูมิ เป็นที่อยู่ของมนุษย์ที่ทำกุศลในการสร้างถนนหนทาง ทำความสะอาดให้กับชุมชน ตั้งโรงทานเลี้ยงดูผู้คนที่อดอยาก ตั้งน้ำสะอาดให้ผู้คนได้ดื่มกิน สร้างศาลาที่พักให้ผู้สัญจรไปมา เมื่อถึงอายุขัยก็มาเกิดในชั้นที่ 2 นี้ ผู้ที่เป็นผู้นำทำการกุศลได้เกิดเป็นพระอินทร์ ผู้ที่เข้าร่วมได้บังเกิดเป็นเทวดาชั้นผู้ใหญ่ทั้งหมด ความเป็นอยู่ของเทวดาในชั้นดาวดึงส์ หรือ ตาวติงสา ล้วนแต่เป็นผู้ผู้เสวยทิพย์สมบัติจากบุญกุศลในอดีตของตน มีความเป็นหนุ่มเป็นสาว ไม่มีความเจ็บไข้ บริโภคอาหารที่เป็นทิพย์ พร้อมทั้งวิมานเป็นที่อยู่ของตน มีรัศมีสว่างไกลถึง 100 โยชน์ และผู้ที่จะเกิดเป็นพระอินทร์ มีศักดิ์ใหญ่ในชั้นดาวดึงส์นั้นต้องประกอบด้วยคุณธรรม 7 ประการ คือ
1) เลี้ยงดูบิดามารดา
2) เคารพต่อผู้ใหญ่ในตระกูล
3) มีวาจาอ่อนหวาน
4) ไม่กล่าวเท็จส่อเสียดนินทา
5) ไม่มีความตระหนี่เหนียว
;


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 05 ก.พ. 2010, 12:30, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2010, 09:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




000000000000000000000000000000000000000000000000000000.bmp
000000000000000000000000000000000000000000000000000000.bmp [ 466.22 KiB | เปิดดู 7586 ครั้ง ]



http://www.youtube.com/watch?v=9BjHvwSvpOw


:b42: :b42: :b42:
:b42: :b42: :b42:


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 05 ก.พ. 2010, 12:34, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2010, 21:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2010, 22:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




000000000000000000000000000000000000000000000000000000.bmp
000000000000000000000000000000000000000000000000000000.bmp [ 466.22 KiB | เปิดดู 7547 ครั้ง ]


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 04 ก.พ. 2010, 22:41, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2010, 12:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว






why???!

:b10: :b10: :b10:
:b6: :b6: :b6:


:b42: :b42: :b42:
:b42: :b42: :b42:
:b42: :b42: :b42:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2010, 12:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว





:b42: :b42: :b42:
:b42: :b42: :b42:
:b42: :b42: :b42:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2010, 13:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


เคยคิดเหมือนกันว่าจะเป็นไปได้ไหม?
ที่ว่า สวรรค์ชั้นต่างๆ ก็คือดวงดาวที่เจริญแต่ละดวงที่ลอย
คว้างอยุ่ในจักรวาล ส่วนนรก ก็คือดวงดาวที่ยังไม่เจริญ
หรือด้อยพัฒนา มีแต่ความแห้งแล้ง มีแต่ความขัดสน?????

ปริศนาของจักรวาล? ศึกษาได้ไม่รู้เบื่อ...ชอบมากค่ะ

อนุโมทนาค่ะท่านหลับอยู่ จะมีต่ออีกหรือเปล่าเอ่ย? :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2010, 13:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




000000000000000000000000000000000000000000000000000000.bmp
000000000000000000000000000000000000000000000000000000.bmp [ 466.22 KiB | เปิดดู 7506 ครั้ง ]
000000000000000000000000000000000000000000000000000000.bmp
000000000000000000000000000000000000000000000000000000.bmp [ 466.22 KiB | เปิดดู 7501 ครั้ง ]
เป็นเรื่องของความละเอียดครับ

เรื่องของธาตุธรรม ในพระไตรปิฏกมี!!!
:b8:

พระธรรมเทศนาหลวงพ่อสดวัดปากน้ำมี!!! :b8:
ความลับของเขาสิเนรุ คืออะไร? :b39:

หากทำแบบพุทธพจน์ตรัสได้แบบนี้คือ...


“ปุพฺเพนิวาสํ โย เวทิ
สคฺคาปายญฺจ ปสฺสติ
อโถ ชาติกฺขยํ ตโต อภิญฺญา โวสิโต มุนิ
สพฺพโวสิตโวสานํ ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ.”




“บุคคลใด รู้ขันธ์ที่อาศัยอยู่ในก่อนทั้งเห็นสวรรค์ [ทั้งเทวโลกและพรหมโลก] และอบาย, อนึ่ง บรรลุความสิ้นไปแห่งชาติ เสร็จกิจแล้ว เพราะรู้ยิ่ง เป็นมุนี,เราเรียกบุคคลนั้น ซึ่งมีพรหมจรรย์อันอยู่เสร็จสรรพแล้ว ว่าเป็นพราหมณ์.”

(ขุ.ธ.๒๕/๓๖/๗๑)



แล้วจะเห็นเอง...
ปล. ผมยังทำไม่ได้หรอกนะ อย่าเข้าใจผิด :b13: :b9: :b32:

:b8: :b8: :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 05 ก.พ. 2010, 14:22, แก้ไขแล้ว 6 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2010, 14:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




000000000000000000000000000000000000000000000000000000.bmp
000000000000000000000000000000000000000000000000000000.bmp [ 466.22 KiB | เปิดดู 7484 ครั้ง ]











:b42: :b42: :b42:
:b42: :b42: :b42:
:b42: :b42: :b42:


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 05 ก.พ. 2010, 14:05, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2010, 15:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




000000000000000000000000000000000000000000000000000000.bmp
000000000000000000000000000000000000000000000000000000.bmp [ 466.22 KiB | เปิดดู 7476 ครั้ง ]
8path.gif
8path.gif [ 103.1 KiB | เปิดดู 7470 ครั้ง ]
213 ควรศึกษาค้นคว้าอวกาศหรือไม่

ปัญหา ในห้วงอวกาศอันหาที่สุดมิได้นี้ จะมีที่แห่งใดแห่งหนึ่ง หรือไม่ ซึ่งสัตว์ทั้งหลายไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ ซึ่งเราควรไปถึง ควรรู้ ควรเห็น เพื่อความดับทุกข์ ?

พุทธดำรัสตอบ “....ดูก่อนผู้มีอายุ สัตว์ย่อมไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติในที่ใด เราไม่ประกาศว่าที่นั่นเป็นที่สุดแห่งโลกที่ควรรู้ ที่ควรเห็น ที่ควรไปถึงได้ด้วยการเดินทาง อีกทั้งเราก็ไม่ประกาศว่า จักมีการกระทำที่สุด แห่งทุกข์ได้ โดยไม่ไปถึงที่สุดแห่งโลก
“ผู้มีอายุ... เราย่อมบัญญัติโลก เหตุเกิดแห่งโลก ความดับแห่งโลก และทางปฏิบัติที่นำไปสู่ความดับแห่งโลก ลงที่ร่างกายอันมีความยาวประมาณหนึ่ง มีสัญญาและมีใจครองนี้เท่านั้น.....”

โคหิตัสสสูตร ที่ ๑ จ. อํ. (๔๕)
ตบ. ๒๑ : ๖๒ ตท. ๒๑ : ๕๗
ตอ. G.S. II : ๕๗


:b42: :b42: :b42:
:b8: :b8: :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 05 ก.พ. 2010, 15:45, แก้ไขแล้ว 5 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2010, 18:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




images.jpg
images.jpg [ 2.11 KiB | เปิดดู 7459 ครั้ง ]
19564.jpg
19564.jpg [ 27.57 KiB | เปิดดู 7456 ครั้ง ]
จักรวาลอันหนึ่ง โดยยาวและโดยกว้าง ประมาณ ๑,๒๐๓,๔๕๐ โยชน์ (๑ โยชน์ = ๑๖ กิโลเมตร)
ส่วนโดยรอบปริมณฑลทั้งสิ้น (ของจักรวาลนั้น) ประมาณ ๓,๖๑๐,๓๕๐ โยชน์

ขนาดหนาของแผ่นดิน ในจักรวาลนั้น แผ่นดินนี้ กล่าวโดยความหนา มีประมาณถึงเท่านี้ คือ ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์

ขนาดหนาของน้ำรองแผ่นดิน สิ่งที่รองแผ่นดินนั้นหรือ
คือน้ำอันตั้งอยู่บนลม โดยความหนามีประมาณถึงเท่านี้ คือ ๔๘๐,๐๐๐ โยชน์

ขนาดความหนาของลมรองน้ำ
ลมอัน (พัดดัน) ขึ้นฟ้า (โดยความหนา) มีประมาณ ๙๖๐,๐๐๐ โยชน์ นี่เป็นความตั้งอยู่พร้อมมูลแห่งโลก

ขนาดภูเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ) และต้นไม้ประจำทวีป อนึ่ง ในจักรวาลที่ตั้งอยู่พร้อมมูลอย่างนี้นั้น มี ภูเขาสิเนรุอันเป็นภูเขาสูงที่สุด หยั่ง (ลึก) ลงไปในมหาสมุทร ๘๔,๐๐๐ โยชน์ สูงขึ้นไป (ในฟ้า) ก็ประมาณเท่ากันนั้น
ภูเขาใหญ่ทั้งหลาย คือภูเขายุคันธร ภูเขาอิสินธร ภูเขากรวีกะ ภูเขาสุทัสสนะ ภูเขาเนมินธระ ภูเขาวินตกะ ภูเขาอัสสกัณณะ อันตระการไปด้วยรัตนะหลากๆ ราวกะภูเขาทิพย์ หยั่ง (ลึก) ลงไป (ในมหาสมุทร) และสูงขึ้นไป (ในฟ้า) โดยประมาณกึ่งหนึ่งแต่ประมาณแห่งภูเขาสิเนรุไปตามลำดับ ภูเขาใหญ่ทั้ง ๗ นั้น (ตั้งอยู่) โดยรอบภูเขาสิเนรุเป็นที่อยู่ของ (จาตุ)มหาราช เป็นที่ๆ เทวดา และยักษ์อาศัยอยู่

ภูเขาหิมวาสูง ๕๐๐ โยชน์ ยาวและกว้าง ๓,๐๐๐ โยชน์ (เท่ากัน) ประดับไปด้วยยอดถึง ๘๔,๐๐๐ ยอด
ต้นชมพู (หว้า) ชื่อนคะ วัดรอบลำต้นได้ ๑๕ โยชน์ ลำต้นสูง ๕๐ โยชน์ และกิ่ง (แต่ละกิ่ง)
ก็ยาว ๕๐ โยชน์ แผ่ออกไปวัดได้ ๑๐๐ โยชน์โดยรอบ และสูงขึ้นไปก็เท่ากันนั้น ด้วยอานุภาพของ ต้นชมพู (นี้) ไรเล่า ทวีปนี้จึงถูกประกาศชื่อว่า ชมพูทวีป

ก็แลขนาดของต้นชมพูนี้ใด ขนาดนั้นนั่นแหละเป็นขนาดของต้นจิตรปาฏลี (แคฝอย) ของพวกอสูร ต้นสิมพลี (งิ้ว) ของพวกครุฑ ต้นกทัมพะ (กระทุ่ม) ในอมรโคยานทวีป ต้นกัปปะในอุตตรกุรุทวีป ต้นสิรีระ (ซึก) ในบุพพวิเทหทวีป ต้นปาริฉัตตกะ ในดาวดึงส์ เพราะเหตุนั้นแล ท่านโบราณจารย์จึงกล่าวไว้ว่า
(ต้นไม้ประจำภพและทวีป คือ) ต้นปาฏลี ต้นสิมพลี ต้นชมพู ต้นปาริตฉัตตะของพวกเทวดา
ต้นกทัมพะ ต้นกัปปะ และต้นที่ ๗ คือ ต้นสิรีสะ ดังนี้

ขนาดภูเขาจักรวาล

ภูเขาจักรวาล หยั่ง (ลึก) ลงไปในมหาสมุทร ๘๒,๐๐๐ โยชน์
สูงขึ้นไป (ในฟ้า) ก็เท่ากันนั้น ภูเขาจักรวาลนี้ตั้งล้อมโลกธาตุทั้งสิ้นนั้นอยู่

ขนาดของภพและทวีป
ในโลกธาตุนั้น มีดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ภพดาวดึงส์ ๑๐,๐๐๐ โยชน์ ภพอสูร มหานรกอเวจี และชมพูทวีปก็ เท่ากันนั้น อมรโคยานทวีป ๗,๐๐๐ โยชน์ บุพพวิเทหทวีปก็เท่านั้น อุตตรกุรุทวีป ๘,๐๐๐ โยชน์ อนึ่ง ในโลกธาตุนั้น
ทวีปใหญ่ๆ ทวีป ๑ ๆ มีทวีปน้อยเป็นบริวาร ทวีปละ ๕๐๐
สิ่งทั้งปวง (ที่กล่าวมานี้) นั้น (รวม) เป็นจักรวาล ๑ ชื่อว่า โลกธาตุอัน ๑ ๑ในระหว่างแห่งโลกธาตุ ทั้งหลายมีโลกันตนรก (แห่งละ ๑)


๑. มหาฎีกาว่า จักรวาล ก็คือโลกธาตุ โลกธาตุได้ชื่อว่า จักรวาล ก็เพราะมีภูเขาจักรวาล ซึ่งสัณฐานดังกง
รถล้อมอยู่โดยรอบเท่านั้นเองไม่ใช่จักรวาลอัน ๑ โลกธาตุอัน ๑
๒. ท่านว่าจักรวาลหรือโลกธาตุนั้นมีมากนัก ช่องว่างในระหว่างจักรวาล ๓ จักรวาลต่อกัน มีโลกันตนรก ๑
ทุกแห่งไป โดยนัยนี้ คำว่า โลกันตนรก ก็แปลว่า นรกอันตั้งอยู่ในช่องระหว่างจักรวาล ๓ อันนั่นเอง

พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ใน "จูฬนีสูตร" พระไตรปิฎก หน้า ๒๑๕ เล่ม ๒๐ ว่า
จักรวาล ประกอบด้วยดวงจันทร์ โลก ดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์ทั้งหลายโคจร ไปร่วมกัน จะมีขุนเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ) (เป็นภูเขาทิพย์ที่เห็นได้เฉพาะผู้มีอภิญญา) ทวีปต่างๆ ที่ตั้งชื่อกันในสมัย นั้นคือ ชมพูทวีป อปรโคยานทวีป อุตรกุรุทวีป และปุพพวิเทหทวีป มหาสมุทรทั้ง ๔ (นับกันได้ในสมัยนั้น)
มีนรกขุมต่างๆ สวรรค์ชั้นต่างๆ และพรหมโลกชั้นต่างๆ
โลกธาตุ มี ๓ ขนาด คือ โลกธาตุอย่างเล็กมีจำนวนพันจักรวาล โลกธาตุอย่างกลางมีจำนวนล้านจักรวาล โลกธาตุอย่างใหญ่มีจำนวน แสนโกฏิจักรวาล



ทั้งโลกธาตุอย่างเล็กก็ดี อย่างกลางก็ดี อย่างใหญ่ก็ดี ยังมีอีกจำนวนมากมาย
"ทุกสิ่งทุกอย่างมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และแตกดับไปในที่สุด"
กำเนิดของโลกพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ใน "อัคคัญญสูตร" พระไตรปิฎก หน้า ๖๑ เล่ม ๑๑ ว่า
เกิดมีน้ำขึ้นในห้วงอวกาศอันมืดมิดก่อนแล้วนานๆไปเกิดการรวมตัวงวดเข้าเป็นง้วนดิน แล้วพัฒนาเป็นกระบิดิน
ต่อไปเป็นเครือดิน จากนั้นมีต้นข้าวและพืชทั้งหลายเกิดขึ้น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หมู่ดาว
นรกขุมต่างๆ เทวโลกและพรหมโลกชั้นต่างๆ ก็เกิดขึ้นเอง

กำเนิดชีวิตพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า "เพราะมีความอยาก จึงมีการเกิดเป็นสัตว์เป็นบุคคลขึ้นมา
เมื่อไม่มีความอยากการเกิดเป็นสัตว์เป็นบุคคลก็ไม่มี"

๑) ชมพูทวีป ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)

-มีธาตุมรกตอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุมรกตทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของชมพูทวีปมีสีน้ำเงินแกมเขียว
-มนุษย์ที่ชมพูทวีป มีความสูง ๔ ศอก มีอายุประมาณ ๑๐๐ ปี (อาจตายก่อนอายุได้ ไม่แน่นอน)
-มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ อายุยิ่งหย่อนขึ้นอยู่กับคุณธรรม ไม่แน่นอน
-สมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า "พระวิปัสสี" มนุษย์ในชมพูทวีปมีอายุถึง ๘๐,๐๐๐ ปี
-สมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า "พระเรวะตะ" มนุษย์ในชมพูทวีปมีความสูงถึง ๘๐ ศอก
-แต่เมื่อคุณธรรมเสื่อมลง จิตใจหยาบช้าลง อาหารเลวลง อายุก็ลดลง ร่างกายก็เตี้ยลง
-ต่อไปภายภาคหน้ามนุษย์ในชมพูทวีป จะมีอายุเพียง ๑๐ ปี เท่านั้น และตัวจะเตี้ยถึงขนาด
ต้องสอยมะเขือกิน เรียกยุคนั้นว่า "ยุคทมิฬ" เป็นยุคที่เสื่อมที่สุดของ "ชมพูทวีป"
-ดอกไม้ประจำชมพูทวีปคือ "ชมพู (ไม้หว้า)" ...เพราะเหตุนี้ ถึงเรียกว่า "ชมพูทวีป"
เพราะดอกไม้ประจำทวีปนี้คือ ดอก "ชมพู"
-ชมพูทวีป เป็นทวีปเดียวที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ต้องมาตรัสรู้ที่ทวีปนี้เท่านั้น
๒) ๒) อมรโคยานทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
-เป็นแผ่นดินกว้าง ๗,๐๐๐ โยชน์ ประกอบด้วยเกาะ และแม่น้ำใหญ่น้อย
-มีธาตุแก้วผลึกอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุแก้วผลึกทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของอมรโคยานทวีปมีสีแก้วผลึก
-มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีรูปหน้าเหมือนพระจันทร์ครึ่งซีก มีใบหน้าวงกลม คล้ายวงพระจันทร์ คนหน้าเหมือนดั่งเดือนแรม จมูกโด่ง คางแหลม
-มนุษย์ที่อมรโคยานทวีป มีความสูง ๖ ศอก มีอายุ ๕๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
-ดอกไม้ประจำอมรโคยานทวีปคือ "กะทัมพะ (ไม้กระทุ่ม)"
๓) ๓) ปุพพวิเทหะทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
-เนื้อที่กว้าง ๗,๐๐๐ โยชน์ มีเกาะ ๔๐๐ เกาะ
-มีธาตุเงินอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุเงินทำให้ทองฟ้า
และมหาสมุทรของปุพพวิเทหะทวีปมีสีเงิน
-มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีรูปหน้าเหมือนพระจันทร์เต็มดวง คนหน้ากลมเหมือนดวงจันทร์
มีใบหน้าตอนบนโค้งตัดลงมาเหมือนบาตร
-มนุษย์ที่ปุพพวิเทหะทวีป มีความสูง ๙ ศอก มีอายุ ๗๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
-ดอกไม้ประจำปุพพวิเทหะทวีปคือ "สิรีสะ (ไม้ทรึก)"
๔) ๔) อุตรกุรุทวีป ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
-มีพื้นที่เป็นรูปสี่เหลี่ยม เนื้อที่กว้าง ๘,๐๐๐ โยชน์ เป็นที่ราบ
-มีธาตุทองคำอยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุทองคำทำให้ทองฟ้า
และมหาสมุทรของอุตรกุรุทวีปมีสีเหลืองทอง
-มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ รูปร่างงาม มีลักษณะใบหน้าเป็นรูป ๔ เหลี่ยม รักษาศีล ๕ เป็นนิจ
ไม่ยึดถือสมบัติ บุตร ภรรยา สามี ว่าเป็นของๆตน
-มนุษย์ที่อุตรกุรุทวีป มีความสูง ๑๓ ศอก มีอายุ ๑,๐๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
-มีต้นไม้นานาชนิด ดอกไม้ประจำอุตรกุรุทวีปคือ "กัปปรุกขะ (กัลปพฤกษ์)"
ถ้าอยากได้อะไร ก็ไปนึกเอาที่ต้นกัลปพฤกษ์ จะสมปรารถนา
-มนุษย์ที่อุตรกุรุทวีป เมื่อตายจากทวีปนี้ ทุกคนจะได้ไปเกิดใน "เทวภูมิ ชั้นตาวติงสาห์ภูมิ" ทุกๆคน เป็นกฏตายตัว
-ในภาษาบาลี "อุตร" แปลว่า "เหนือ" ...เพราะเหตุนี้ ถึงเรียกทวีปนี้ว่า "อุตรกุรุทวีป"

ขอขอบคุณพระไตรปิฏกฉบับประชาชน


สําหรับเรื่องรูปร่างหน้าตาของมนุษย์ต่างดาวในแต่ละทวีปนั้น ตามในพระไตรปิฏกและอรรถกถาต่างๆ ยืนยันว่ารูปร่างเหมือนมนุษย์เราเนี่ยแหละครับ เพราะพื้นฐานการเกิดบนดาวเขาก็อาศัยธาตุทั้ง 4 เหมือนชมพูทวีป (ดาวโลกเรา)
ผมได้อ่านเจอในพระสูตรหนึ่ง กล่าวถึงโชติกะเศรษฐี ใครสนใจลองไปค้นอ่านได้ในพระไตรปิฏกครับ ท่านว่าโชติกะเศรษฐีนี้ มีบุญมาก เกิดมาเพื่อบํารุงพุทธศาสนาด้วย พอถึงเวลาที่ท่านจะมีภรรยา ปรากฏว่าหาคู่บารมีไม่ได้ เพราะกําลังบุญท่านสูงมาก ไม่มีหญิงคนไหนในโลกเทียบได้ที่จะมาเป็นภรรยาท่าน พระอินทร์ทราบดังนั้น ได้ไปนําหญิงสาวจากอุตกรุทวีปมาให้ เป็นภรรยา




ที่มา...
ลอกเขามาอีกที
:b13:


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 05 ก.พ. 2010, 18:34, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2010, 20:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




000000000000000000000000000000000000000000000000000000.bmp
000000000000000000000000000000000000000000000000000000.bmp [ 466.22 KiB | เปิดดู 7452 ครั้ง ]

:b42: :b42: :b42:
:b42: :b42: :b42:
:b42: :b42: :b42:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2010, 06:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


แปลว่า "มนุษย์ต่างดาว" มีจริง
และก็เป็น มนุษย์เหมือนมนุษย์โลก มีเหตุปัจจัยเป็นกำเนิด
เหมือนกัน อยู่ในวังวนวัฎฎะคล้ายกัน ใช่หรือเปล่าค่ะ?
นรก สวรรค์ ก็คือดาวทั้งหลายในจักรวาลนี้????? :b10:

จำได้ว่าอ่านพระไตรปิฎก เรื่องของกำเนิดจักรวาล
หลายครั้งแล้ว แต่ไม่ค่อยเข้าใจ เพราะไม่แจ่มแจ้ง
ภาษา ครั้งนี้พอจะเข้าใจลางๆบ้างแล้ว :b13:

ขอถามความคิดเห็นส่วนตัวของท่านเกี่ยวกับเรื่องของ
สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ท่านคิดว่ามันคืออะไร? เกิดจากอะไร?
ติดตามข้อมูลมานานเท่าที่จะหาได้ แต่ก็หาข้อสรุปไม่ได้
อ่านหนังสือแทบทุกเล่มที่พอจะหาได้ ปริศนาก็ยังคงเหมือนเดิม
อาจจะนอกเรื่องไปหน่อย ถือว่าเป็นการสนทนาแลกเปลี่ยน
ความคิดกันเท่านั้นเองนะค่ะ ขอบคุณค่ะ :b17:

ใช้เวลาอยู่ที่บ้านของท่านเกือบทั้งวันในวันนี้
ท่านเจ้าของบ้านคงไม่รังเกียจนะค่ะ :b16:


อนุโมทนค่ะท่านหลับฯ :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2010, 08:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องราวบางอย่างไม่ใช่อยู่ในสุริยะสูตร ไม่ใช่อยู่ในคราวที่พระพุทธองค์ตรัสกับพระอานนท์อย่างเดียว มีอยู่เยอะ :b16:
smiley


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 06 ก.พ. 2010, 08:31, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 60 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร