วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 07:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2011, 10:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


ณัฐ ศักดาทร หนังสือคู่ใจ ของนักล่าฝัน

รูปภาพ


ไอสไตน์ เคยกล่าวเอาไว้ว่า คุณจะไม่แพ้ ถ้าคุณไม่ล้มเลิกความพยายาม ดูจะตรงกับ ชีวิตที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ของหนุ่มนักล่าฝันคนนี้ ณัฐ ศักดาทร the winner ของ af 4 ครับ จากเด็กหนุ่มหน้าตาดีที่เติบโตมาในครอบครัวอบอุ่น มีฐานะ แถมยังเรียนเก่ง จบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก แต่นั่น ไม่ได้หมายความว่า จะเป็นชีวิตที่สำเร็จรูปอยู่ตลอดเวลา เขายังคงมีความฝัน ที่จะต้องทำให้ได้ นั่นคือการเข้าสู่วงการบันเทิง เป็นนักร้อง ที่ประสบความสำเร็จ นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้น ของเส้นทางที่ท้าทาย ต้องต่อสู้ทั้งกับจิตใจของตัวเอง คนรอบข้าง รวมถึง เสียงวิพากษ์ วิจารณ์จากผู้คนทั้งประเทศ และสิ่งสำคัญ ที่เปลี่ยนให้เขาเป็นเด็กหนุ่มที่เชื่อมั่นในความฝันของตัวเอง เข้มแข็งและเพียรพยายาม จนประสบความสำเร็จในแบบที่เขาใฝ่ฝัน ก็คือ หนังสือ นั่นเองครับ

“ก่อนเข้าบ้าน AF ครับนัทกลับมาจากอเมริกาแล้วตอนนั้น แล้วมันจะเป็นช่วงที่เหมือนเรากำลังตามล่าความฝันของเราอ่ะแต่เรารู้สึกว่ามันไม่ไปไหนซะที แล้วก็เจอคนรอบข้างบ้างคนที่ก็เหมือนดูถูกอ่ะว่าแบบจะทำได้เหรออย่างงั้นอย่างงี้อะไรอย่างเงี่ยะครับ ก็มีวันนึ่งรู้สึกเหมือนอารมณ์อะไรไม่รู้อ่ะท้อด้วย ก็เดินเข้าให้ร้านหนังสือร้านนึ่งที่สยามสแควจำได้เลยครับแล้วก็ไปคุยคุณป้าคนหนึ่งคนที่เค้าเป็นคนที่ดูแลร้านอ่ะครับว่า ผมอยากอ่านหนังสือดีๆสักเล่มมีเล่มไหนไหนจะแนะนำไหม คือเค้าอย่างงี้เลยอ่ะแล้วเค้าก็บอกเอางี้ไหมเอาหนังสือของคุณจิกประภาส แล้วเราก็เอ๊ะ!พี่จิก ประภาส คือเรารู้จักกับเค้าในฐานะนักแต่งเพลงคนนึ่ง แต่นัทยังไม่เคยลองอ่านงานขียนของเค้าอ่ะครับก็เลยได้เล่มนี้มาอ่านแล้วคืนนั่นเนี่ยะอ่านแบบคืนเดียวจบเลยเพราะว่าเป็นครั้งแรกที่อ่านหนังสือแล้วรู้สึกว่าสนุก (หัวเราะ) ไม่ใช่ว่าสนุกเป็นครั้งแรกที่สนุกนะแต่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่ามันให้อะไรมากกว่าที่เราคิดจริงๆอ่ะ คือหนังสือเล่มเนี่ยะมันจะเป็นบทความสั้นๆ เรื่องเล่าหลายๆเรื่องของพี่จิกที่มันพูดถึงมุมมองหลายอย่างมากครับ แต่ว่าทั้งหมดทั้งมวลเนี่ยะจะเป็นบทความที่ชวนให้เรามองโลกให้แง่บวกมากขึ้น แล้วมันจะมีบทนึ่งอ่ะที่พูดถึงว่าไม้บรรทัดจำได้เลย เค้าก็จะพูดว่าทุกสิ่งทุกอย่างบางทีเนี่ยะ"

" เออ.. เปิดให้ฟังเลยก็ได้ครับเปิดอ่านดีกว่าสั้นๆนะครับ เค้าก็จะพูดว่า “การได้เข้าเรียนในสถาบันที่ไปสมัครสอบก็วัดคนไม่ได้ การจบจากสถาบันก็วัดคนไม่ได้ การได้เข้าทำงานก็วัดคนไม่ได้ ทำงานแล้วประสบความสำเร็จมีเงินมีทองก็วัดอะไรไม่ได้ จะวัดได้หรือไม่ได้ปัญหามันอยู่ที่ว่าไม้บรรทัดที่เราใช้วัดเป็นมาตราอะไร” คือเค้าก็พูดถึงว่าจริงๆแล้วสงครามหรือความขัดแย้งกันระหว่างมนุษย์ด้วยกันเองเนี่ยะในหลายๆเรื่องที่เรามาโต้เถียงกันด่าว่ากันเนี่ยะ จริงๆแล้วมันเกิดจากการที่เราใช้ไม้บรรทัดคนละอันกันทั้งนั้น "

แน่นอนครับว่า เมื่อตัดสินใจก้าวเข้าสู่เวทีการแข่งขัน ที่ถูกผู้คนเป็นล้านๆ จับตามอง ย่อมต้องมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งแง่บวก แง่ลบ ตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ รวมถึงข่าวลือต่างๆ ที่อาจบั่นทอนจิตใจ แต่ พลังของการอ่านหนังสือ ได้กลายเป็นภูมิคุ้มกันให้นัท มีหัวใจ ที่เข้มแข็ง นักล่าฝันคนนี้ จึงไม่เคยย่อท้อต่อ เสียงวิจารณ์ เขาเปลี่ยนน้ำตาให้เป็นพลังแห่งความพยายาม มองทุกอย่างในมุมบวก พัฒนาตัวเองอย่างสุดความสามารถ จนได้รับชัยชะ เป็นเสียงโหวตจากคนประเทศในที่สุด

“แล้วนัทก็เอาตรงนี้มาใช้อย่างตอนช่วงอยู่ในบ้านมันจะเป็นช่วงที่เราโดนเปรียบเทียบเยอะมากกับเพื่อนๆคนอื่นๆในบ้าน AF 4 หรือแม้แต่คนอื่นๆในวงการบันเทิง เราก็ต้องมาเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่านั่นคือไม้บรรทัดของเค้านะคนอื่นที่พูด เราต้องมีไม้บรรทัดของตัวเราเองที่เอาไว้วัดสิ่งที่เราต้องการไว้วัดว่าเราอยู่ในจุดไหนของความฝันของเราแล้วอย่าให้คนอื่นมาดูถูกเราได้ หนังสือของพี่จิก ประภาส มันเป็นเรื่องชีวิตประจำวันเลยแหละเรื่องทั่วไปมากๆ เก็บมุมเล็กๆน้อยๆส่วนใหญ่มันจะเป็น..อย่างเล่มเนี่ยะครับเป็นการรวบรวมคำถามของคนที่เขียนเข้าไปหาพี่จิกเค้า ซึ่งมันจะก็จะแบบครอบคลุมเรื่องทุกเรื่องในชีวิต ตั้งแต่ความรักยันวิทยาศาสตร์ยันคณิตศาสตร์มาจนถึงพุทธศาสนามาจนถึงเรื่องความฝัน นัทถึงชอบเล่มเนี่ยะครับเพราะว่ามันอ่านปุ๊บมันเหมือนเราได้เปิดโลกกว้างมาก 360 องศามากไม่ใช่เฉพาะเรื่องๆหนึ่ง ไม่ใช่เน้นเฉพาะเรื่องๆเดียวเล่มเนี่ยะอ่านแล้วโดยรวมทำให้รู้สึกว่าเป็นคนที่มองอะไรกว้างขึ้นและกว้างขึ้นไม่พอมองอะไรทุกอย่างในมุมที่มันบวกขึ้น นัทว่าตรงเนี่ยะมันเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆเลยทุกวันนี้เนี่ยะ เออ..มันบอกไม่ถูก นัทว่าสังคมทุกวันเนี่ยะมันมีหลายอย่างเข้ามาหาเราในแต่ละวันในชีวิตทุกๆคนนะครับ การที่จะอยู่กับชีวิตเราได้เป็นอย่างดีเนี่ยะบางทีเราก็ต้องรู้จักที่จะปรับมุมมองของตัวเองให้มันเป็นมุมมองที่บวกมากขึ้น ให้เรารู้จักเก็บแต่สิ่งดีๆมากขึ้นไม่งั้นโห่..ลำบาก แย่ รับสิ่งไม่ดีเข้าไปบ้างทีเราไม่รู้ตัวอ่ะครับเราก็จะกลายเป็นคนที่แบบคิดอะไรลบๆไปตลอดเวลาโดยที่เราไม่รู้ตัว"

"หลายคนอาจเคยได้รับประสบการณ์ดีๆ จากหนังสือ โดยเฉพาะ การเป็นสายใยแห่งความรัก ทั้งจากเพื่อน สู่เพื่อน หรือคนในครอบครัว เช่นเดียวกับน้องนัท และคุณแม่ ที่หนังสือได้กลายเป็นสื่อกลางแห่งความเข้าใจ การให้กำลังใจกันของทั้งสองคนด้วย
อย่างที่บอกคุณแม่ชอบอ่านหนังสือพวกธรรมะ เวลาคุณแม่เรียนรู้อะไรมาจากหนังสือเหล่านี้ก็จะมาเล่าสู่ให้นัทฟังคือมันจะไม่ใช่เล่มไหนเป็นพิเศษอ่ะนะครับอย่างที่มันเป็นบทเรียนอย่างช่วงตอนที่นัทออกมาจากบ้านใหม่ๆเจอกระแสข่าวอะไรต่างๆนานาอะไรอย่างงี้คือแม่เค้าก็จะใช่ธรรมะมาสอนว่าจริงๆแล้วเนี่ยะพุทธศาสนาสอนเราว่าไม่มีใครทำอะไรเราได้หรอก ถ้าใจเราไม่รับมันเข้ามาเองทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับจิตใจเราเองทั้งนั้น มันก็จะเป็นอีกบทเรียนนึ่งที่ช่วยนัท"

และหลังจากได้รับประสบการณ์ดีๆจากการอ่านมากมาย บวกกับอยากบอกเล่าประสบการณ์ของนักล่าฝันที่เต็มไปด้วยจังหวะชีวิตที่น่าสนใจ เขาจึงเขียนความทรงจำ เป็นหนังสือเล่มนี้ครับ และ หวังให้ตัวหนังสือของเขาเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ ที่กำลังต่อสู้เพื่อความฝัน ของตัวเอง เช่นกัน

"มันน่าจะมีประโยค ตัวหนังสือ หรือข้อความบางอย่างที่คนอ่านอ่านแล้วเหมือนได้ข้อคิดดีๆหรือได้ลองย้อนประยุกต์ใช้ในชีวิตของเค้าเองครับ อย่างบางบทมันก็จะพูดถึง เรื่อง การเป็นกำลังใจที่นัทหามาได้จากไหนอะไรแบบนี้ แล้วนัทต่อสู้กับมันยังไงจนความฝันเป็นจริงครับ ก็หวังว่าคนอ่านตรงนั้นก็จะเอาไปมองเส้นทางการตามล่าหาฝันของตัวเค้าเองบ้าง ว่าเอ๊ะ..ตรงนี้มันช่วยเค้าได้ยังไงบ้างครับ คือนัทแค่เขียนหนังสือเล่มนี้ออกมา ออกตัวเลยว่าไม่ได้จะเขียนเพื่อโชว์ว่าฉันเขียนเก่งอะไรแบบนะครับ แต่เป็นแค่คนนึงที่คิดว่ามีเรื่องราวที่เล่าแล้วน่าจะมีประโยขน์ต่อคนอื่น ถ้ามันมีประโยคไหนในนี้ที่มันไปสะกิดใจคนให้รู้สึกว่า อยากจะมองโลกในมุมบวกมากขึ้นแค่นี้ก็พอใจมากแล้วครับ"

"คืออย่างนึงเนี้ย คนจะชอบเดินมาหานัท อย่างจะมีผู้ปกครองบางคนเดินมาหานัท แล้วก็พูดกับนัทว่า อยากให้ลูกได้เรียน Harvard จัง อยากให้ได้เข้ามหาลัยที่มีชื่อเสียงติด Top Ten บ้างอะไรแบบนี้ แต่เวลานัทได้ยินประโยคอะไรแบบนี้แล้วเนี้ย นัทก็จะนึกค้านในใจครับว่า ทำไมต้องไปยึดติดกับอันดับหรือตัวเลขซะขนาดนั้น ให้ความสำคัญกับมันซะขนาดนั้น จริงๆแล้วเนี้ยสิ่งนึงที่สำคัญที่สุดที่ Harvard สอนนัทคือ การเรียนรู้มันเกิดขึ้นได้ในทุกๆสถานที่ในทุกวัน ทุกๆเวลา ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องไปอยู่ในสถาบันนี้เท่านั้นแล้วเราถึงจะเก่งและฉลาดได้ แต่ที่สำคัญ คือ เราจะต้องเป็นคนที่เปิดรับอยู่ตลอดเวลา อันนี้เป็นสิ่งนึงที่หากคนที่ได้สัมผัสจริงๆ ก็น่าจะนำไปใช้ได้"

หนุ่มนักล่าฝัน ของเรา ยังฝากเคล็ดลับการอ่านหนังสือ มาถึงคุณผู้ชม โดยเฉพาะคนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือด้วยครับ
"ก็สำหรับคนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือส่วนใหญ่นัทรู้สึกว่าคนจะแอนตี้การอ่านเพราะเหมือนถูกบังคับให้อ่านจากในวิชาเรียนหรืออะไรก็ตาม แล้วจะจำความรู้สึกนั้นมาแล้วเอามันมาผูกติดกับหนังสือทุกประเภทแต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่คือมันมีหนังสือที่แบบน่าอ่านเยอะแยะ พูดง่ายๆนัทเชื่อว่าหลายๆคนเนี่ยะก็ชอบอ่านการ์ตูน การ์ตูนก็ต้องถือว่าเป็นหนังสือประเภทหนึ่งนะครับมันขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกที่จะเรียนรู้อะไรจากมัน จริงๆแล้วการอ่านการ์ตูนมันก็มีหลายเรื่องที่ทำให้เราได้เรียนรู้จากมันได้ มีข้อคิดแล้วก็อย่างที่บอกคือเราต้องมองดูตัวเองว่าเอ๊ะ!ขนาดการ์ตูนเรายังอ่านได้เลยมันก็ต้องมีหนังสือประเภทอื่นที่เราต้องอ่านได้สิมันไม่ยากมันแตกแขนงไปได้ง่ายๆ อาจจะเริ่มจากการ์ตูน การ์ตูนเพลงอะไรอย่างงี้อ่ะคนที่ตามล่าความฝันคนที่อยากเป็นนักร้องในการ์ตูนอะไรยังเงี่ยะ เราก็อาจจะเริ่มไปต่อที่หนังสือเกี่ยวกับประเภทหนังสือเพลง หนังสือที่คนพูดถึงความทรงจำของเค้าในเพลงต่างๆอะไรอย่างเงี่ยะครับ มันก็จะค่อยๆแตกแขนงไปเรื่อยๆได้ ถ้าเราแตกแขนงไปได้เนี่ยะมันจะทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นด้วยนะ "

ฟังเรื่องราวของหนังสือ ที่เป็นเพื่อนคู่ใจของนักล่าฝัน อย่าง คุณนัท ศักดาทร วันนี้ ทำให้เราได้ล่วงรู้ความลับของการทำความฝันให้เป็นจริงข้อนึงที่ว่า การอ่านหนังสือ นั้นเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้การสู้เพื่อความฝันของเราเป็นความจริงขึ้นมาได้ จริงๆครับ

“การที่นัทได้เป็นคนทุกวันนี้และได้มายืนอยู่จุดนี้ทุกวันนี้ การอ่านมีส่วนมากๆเลยทีเดียวเพราะว่าการอ่านมันคือการเหมือนการปั้นมุมมองของเราให้มันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาที่มันเป็นได้ทุกวันนี้มันก็เหมือนกับการเปรียบมุมมองของเราเหมือนเด็กคนหนึ่งอ่ะการอ่านก็เหมือนการป้อนอาหารป้อนอะไรให้เค้าเติบโตขึ้นมา เลี้ยงดูเค้ามาให้สภาวะแวดล้อมแบบไหน ให้เค้าเติบโตขึ้นมาเป็นคนยังไงคือถ้าเราไม่ได้อ่านอะไรดีๆเลยอะมันก็จะเหมือนเด็กที่โตขึ้นมาแล้วแบบเกเร คือแบบไม่ฟังใคร เอาแต่ใจตัวเอง มุมมองของเราก็จะเป็นมุมมองที่เหมือนมันจะไม่ได้ช่วยให้เราได้ช่วยให้เรารู้สึกดีในแต่ละวันแต่ถ้าเราอ่านสิ่งที่ดีๆอยู่เรื่อยๆ เหมือนเราได้รับสารอาหารดีๆมาเรื่อยๆให้กับมุมมองความคิดของเรา เราก็จะเติบโตเป็นคนที่แบบมองอะไร...เค้าเรียกว่าไรอะ..เห็นชีวิตในด้านที่ดีมากขึ้นครับตรงนี้มันจะช่วยให้ทำทุกอย่างในชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น”

:b48: ขอบคุณบทความจาก : รายการ The Library ห้องสมุดจุดฝัน

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2011, 10:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว



.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร