วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 19:43  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2010, 10:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อาหารเสริมต้องห้าม

แม้อาหารเสริมจะมีคุณประโยชน์ แต่อาหารเสริมบางประเภทกลับนำมาใช้
ผิดประเภท ผิดวัตถุประสงค์ หรือใช้ในปริมาณมากจนก่อให้เกิดผลข้างเคียง
กลายเป็นโทษและภัยร้ายให้กับร่างกายโดยไม่รู้ตัว


รูปภาพ

ในยุคที่หน้าตาและบุคลิกภาพภายนอกเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้หลายคนได้รับโอกาสที่มากกว่า…
อาหารเสริมเพื่อเพิ่มให้หน้าตาสวย หล่อ บุคลิกภาพดูดี
โดดเด่นแตกต่างจากคนทั่วไปจึงกลายเป็นอีกทางเลือกที่คนบางกลุ่มเลือกใช้...

“กลูตาไธโอน” ทางลัดอันตรายสู่ผิวขาว
ความนิยมอยากผิวขาวยังเป็น สุดยอดปรารถนาสำหรับผู้หญิงยุคใหม่
ล่าสุดวงการผิวขาวฮือฮากับสารตัวใหม่ “กลูตาไธโอน” เพราะสรรพคุณขาวจริง ขาวไว
โดยมองข้ามอันตรายที่ส่งผลร้ายถึงชีวิต
“กลูตาไธโอน” สารต้านโรค + แก่
สารกลูตาไธโอนเป็นโปรตีนที่ร่างกายเราสังเคราะห์ได้เอง
ทำหน้าที่ปกป้องเนื้อเยื่อของอวัยวะทุกส่วน
โดยการต่อต้านอนุมูลอิสระที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ และกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย
ช่วยตับขจัดสารพิษ โดยเฉพาะตัวยาหรือสารพิษที่ไม่ละลายน้ำ
เช่น โลหะหนัก สารฆ่าแมลง เมื่อรวมตัวกับสารกลูตาไธโอนจะช่วยให้ละลายน้ำได้
และถูกกำจัดออกจากร่างกาย ช่วยปกป้องดีเอ็นเอของเซลล์ไม่ให้ถูกทำลาย
ซึ่งเป็นการป้องกันการเกิดมะเร็งนั่นเอง

นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยพบว่า ผู้ที่อายุยืนยาวและมีสุขภาพแข็งแรง
มักจะตรวจพบสารกลูตาไธโอนปริมาณสูงในกระแสเลือด
ต่อมาวงการแพทย์ได้นำสารกลูตาไธโอนมาใช้เป็นยารักษาโรคเกี่ยวกับระบบเส้นประสาทบกพร่อง
เช่น โรคตับ โรคไต พาร์กินสัน อัลไซเมอร์หรือโรคสมองเสื่อม
โรคปลายเส้นประสาทอักเสบ มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งต่อมลูกหมาก
มานานกว่า 30 ปี โดยฉีดเข้าเส้นเลือดหรือกล้ามเนื้อ

เนื่องจากร่างกายเราสร้างกลูตาไธโอนได้เอง เมื่อต้องเสริมกลูตาไธโอนในปริมาณมาก
เพื่อมุ่งรักษาโรค จึงมีผลข้างเคียง โดยกลูตาไธโอนมีฤทธิ์ไปยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส
ซึ่งทำให้เม็ดสีของผิวหนังเปลี่ยนจากสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาว
ทำให้ผิวขาวขึ้นในเวลาอันสั้น จึงเกิดการแตกตื่นและนำกลูตาไธโอน
มาเป็นอาหารเสริมเพื่อชะลอวัย และหวังผลให้ผิวขาวใสหรือผิวขาวอมชมพู

กิน - ฉีดให้ขาว อันตรายถึงชีวิต

ในความเป็นจริงยาเม็ดกลูตาไธโอนที่เป็นอาหารเสริมไม่มีผลให้ผิวขาว
เพราะสารชนิดนี้จะไม่ถูกดูดซึม และถูกขจัดออกจากร่างกายในที่สุด
จึงได้มีการดัดแปลงนำมาผสมกับวิตามินซีแล้วฉีดเข้าเส้นเลือดหรือกล้ามเนื้อ
ครั้งละ 600 มิลลิลิตร สัปดาห์ละครั้ง ราคา 4,000 - 5,000 บาท ติดต่อกัน 3 - 5 สัปดาห์
ผิวจะเริ่มขาวขึ้นหลังฉีดครั้งแรกประมาณ 1 เดือน
หลังจากนั้น 2 เดือนผิวจะกลับมาเป็นสีเดิม จึงต้องฉีดซ้ำอยู่เป็นระยะ

ต่อมาองค์การอาหารและยาได้ ประกาศห้ามใช้กลูตาไธโอนเพื่อช่วยผิวขาวแล้ว
เนื่องจากกลูตาไธโอนทั้งชนิดเม็ดและชนิดฉีดเพื่อมุ่งผิวขาวมีกลูตาไธโอนสูง
ถึง 500 - 1,000 มิลลิกรัม ซึ่งมากกว่าปริมาณที่แพทย์อนุญาตให้ผู้ป่วยใช้
คือไม่เกิน 250 มิลลิกรัมต่อวัน และอาจทำให้แพ้ยาจนช็อกถึงขั้นเสียชีวิตเฉียบพลัน
หรือส่งผลในระยะยาว เช่น สะสมในร่างกายส่งผลเสียต่อตับและไตได้
และทำให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังเนื่องจากผิวไวต่อแสงแดด เพราะเม็ดสีผิวถูกทำลาย

เสริมกลูตาไธโอนด้วยการกิน

แม้การบริโภคกลูตาไธโอนใน ปริมาณมากจะส่งผลเสียต่อร่างกาย
แต่เมื่ออายุมากขึ้นหรือมีโรคแทรกซ้อน อาจทำให้ปริมาณกลูตาไธโอนที่ร่างกายผลิตได้ลดลง
ร่างกายขาดสารต้านอนุมูลอิสระ ผิวแห้ง เหี่ยวเร็ว ไม่เปล่งปลั่ง
แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ (ในกรณีที่ป่วย) หรือเลือกกินอาหารที่ช่วยกระตุ้นร่างกายให้สร้าง
กลูตาไธโอนได้ดีขึ้น ได้แก่ ปลา เนื้อหมู เนื้อวัว นม ไข่ หน่อไม้ฝรั่ง ผักโขม
มะเขือเทศ และผลไม้ เช่น แตงโม สตรอว์เบอรี่ องุ่น อะโวคาโด

“โกร๊ธฮอร์โมน” เรื่องเข้าใจผิดของคนอยากสูง

แม้ว่าโกร๊ธฮอร์โมนจะมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย
ทำให้เด็กสูงขึ้นเป็นผู้ใหญ่ หากเด็กขาดฮอร์โมนนี้จะกลายเป็นคนแคระ (dwarf)
ในทางกลับกันเด็กที่มีโกร๊ธฮอร์โมนมากเกินไปจะสูงกว่าปกติ
กลายเป็นยักษ์ได้ (giant) จากการศึกษาพบว่า
ในวัยผู้ใหญ่บทบาทของฮอร์โมนตัวนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความสูง
แต่มีผลเกี่ยวกับความชราโดยตรง เมื่ออายุมากขึ้น จำนวนโกร๊ธฮอร์โมน
ที่สร้างหลั่งมาจากต่อมใต้สมองส่วนหน้าจะน้อยลงเรื่อยๆ
จนทำให้เกิดการขาดโกร๊ธฮอร์โมนในที่สุด
เมื่อร่างกายขาดโกร๊ธฮอร์โมนอาการที่เกิดจากการขาด
โกร๊ธฮอร์โมนคือ ผิวหนังซีดขาว มีริ้วรอยร่องลึก
ผิวหนังขาดน้ำ ผิวบาง ผมบาง คิ้วบาง หนังตาหย่อน แก้มคล้อย ริมฝีปากบาง
ผิวหนังและกล้ามเนื้อฝ่อหย่อนยานไม่กระชับ ลงพุง กล้ามเนื้อสะโพกลีบ
ไขมันพอกพูน และหลังค่อม นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ เพิ่มขึ้น
เช่น หลอดเลือดหัวใจอุดตัน กระดูกพรุน เป็นต้น ทางด้านจิตใจก็มีผลกระทบด้วย
เช่น อารมณ์แปรปรวน กระวนกระวาย เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ซึมเศร้า
ขาดความมั่นใจในตัวเอง สันโดษ ไม่ชอบเข้าสังคม อาการต่างๆ เหล่านี้
ทำให้คนที่ขาดโกร๊ธฮอร์โมนมีคุณภาพชีวิตต่ำลง
ด้วยเหตุนี้ ในต่างประเทศจึงมีการศึกษาเรื่องการชดเชยโกร๊ธฮอร์โมนที่ขาดหายไป
โดยฉีดยาเข้าใต้ผิวหนังทุกวัน วันละครั้ง หลังฉีดประมาณ 15 วันถึง 1 เดือน
พบว่าสัดส่วนร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง เช่น ไขมันหน้าท้องลดลง
กล้ามเนื้อแข็งแรงและกระชับขึ้น หลังยืดตรง หลังจากฉีด 3 เดือน
ริ้วรอยบนใบหน้าเริ่มตื้นขึ้น แก้มและหนังตาที่เคยห้อยคล้อยยกกระชับ
และหลังจาก 6 เดือนถึง 2 ปี พบว่าระดับไขมันในเลือดลดลง ความหนาแน่นของกระดูกเพิ่มขึ้น
แต่ในขณะนี้ องค์การอาหารและยายังไม่ให้การรับรองว่า
วิธีนี้ปลอดภัยที่จะใช้กับมนุษย์ในระยะยาว
สิ่งที่ทางการแพทย์ ยังคงสงสัยคือ ผลข้างเคียงของโกร๊ธฮอร์โมน
จะไปกระตุ้นให้เซลล์มะเร็งเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วหรือไม่ หรือกระตุ้นให้เกิดโรคเบาหวาน
ซึ่งไม่อาจสรุปได้แน่ชัด นอกจากนี้การฉีดโกร๊ธฮอร์โมนยังมีราคาค่อนข้างสูง
และต้องฉีดอย่างต่อเนื่องทุกวัน

สร้างโกร๊ธฮอร์โมน ด้วยตัวเอง
เราสามารถดูแลและปฏิบัติตัว
ให้ต่อมใต้สมองมีการหลั่งโกร๊ธฮอร์โมนออกมาอย่างสม่ำเสมอได้
โดยปกติแล้วโกร๊ธฮอร์โมนจะหลั่งเฉพาะตอนกลางคืน
ช่วง 2 - 3 ชั่วโมงแรกของการนอนเท่านั้น คือประมาณเที่ยงคืนจนถึงตีสาม
การนอนดึกจะไปรบกวนการหลั่งโกร๊ธฮอร์โมน ทำให้หลั่งได้น้อยลง
จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนที่นอนดึกมักดูโทรมและแก่เร็ว
นอกจากนี้ควรรับประทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะ
โดยรับประทานผักอย่างน้อย 500 กรัมต่อวัน ผลไม้หลากหลายชนิด
และโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ไข่ ปลา ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพราะน้ำสำคัญมากต่อการชะลอวัย
และหลีกเลี่ยงการปรุงอาหารด้วยไขมันที่ใช้ความร้อนสูง
เช่น การปรุงอาหารด้วยการทอด...เพียงเท่านี้
ร่างกายของเราก็หลั่งโกร๊ธฮอร์โมนได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว

ไซบูทรามีน สารอันตรายในกาแฟลดความอ้วน

ช่วงนี้หลายคนอาจเห็นโฆษณา กาแฟลดความอ้วนตามสื่อต่างๆ
จนกลายเป็นเรื่องปกติ หลายคนไม่ลังเลที่จะดื่มกาแฟลดน้ำหนักที่กำลังเป็นที่นิยม
จริงๆ แล้วกาแฟช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือไม่ ลองมาค้นหาคำตอบกันดูค่ะ

กาแฟลดหุ่นได้จริงหรือ
โดยธรรมชาติกาแฟมีสารออกฤทธิ์ที่สำคัญคือกาเฟอีน
ซึ่งมีผลให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานมากขึ้น10เปอร์เซ็นต์
แต่ยังไม่มีรายงานวิจัยที่น่าเชื่อถือที่สนับสนุนว่าการดื่มกาแฟสามารถลดหรือควบคุมน้ำหนักได้
อย่างไรก็ตาม หากดื่มกาแฟในปริมาณมาก เช่นดื่มหลังอาหารทุกมื้อ
โดยคาดหวังว่าจะช่วยให้ร่างกายผอมและหุ่นดีนั้น อาจเกิดอันตรายกับร่างกายได้
เพราะจะทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ ระบบย่อยอาหารขับน้ำย่อยที่เป็นกรดในกระเพาะอาหารมากขึ้น
นอกจากนี้หากดื่มมาก ส่วนผสมอย่างน้ำตาล ครีม หรือนม
อาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ด้วยตัวช่วยผอมสวย...เชื่อได้แค่ไหน
สำหรับตัวช่วยที่เติมลงในกาแฟลดน้ำหนักมากมายหลายสูตร เช่น ไฟเบอร์ แอลคาร์นิทีน
สารสกัดจากถั่วขาว หรือสารอื่นๆ ซึ่งเชื่อกันว่าสารอาหารเหล่านี้มีกลไกในการควบคุมน้ำหนัก
แต่ อย.ไม่อนุญาตให้กล่าวอ้างสรรพคุณในการลดน้ำหนักเนื่องจากยังไม่มีการศึกษาวิจัยยืนยันว่า
สารเหล่านี้มีผลต่อการลดน้ำหนักอย่างชัดเจน

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อไม่นานมานี้ทาง อย.ยังได้ตรวจพบว่า
กาแฟและอาหารลดน้ำหนักบางผลิตภัณฑ์ที่มีการกล่าวอ้างว่า กินแล้วผอม
ได้เติม สารไซบูทรามีน ซึ่งเป็นยาลดความอ้วนที่เป็นอันตรายต่อร่างกายลงไปด้วย

“ไซบูทรามีน” สารต้องห้ามที่ควรระวังสารไซบูทรามีน
เป็นยาลดความอ้วนและยาควบคุมพิเศษที่ต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น และต้องอยู่
ภายใต้การควบคุมของสถานพยาบาล เนื่องจากการใช้ยาอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง
ที่อาจเกิดอันตรายจนถึงชีวิต เช่น ทำให้ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็ว ปากแห้ง
ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ ท้องผูก และที่สำคัญห้ามใช้ยานี้กับผู้ป่วย
ที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจขาดเลือด โรคเส้นเลือดสมองตีบ ผู้ป่วยโรคตับ โรคไต เป็นต้น
หากมีความจำเป็นต้องลดความอ้วนหรือควบคุมอาหาร
ทางที่ดีแนะนำให้ปรึกษาแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ
เฉพาะทาง เพื่อให้เกิดผลเสียกับร่างกายน้อยที่สุด
หรือทางที่ดีลองพึ่งแนวทางที่เป็นธรรมชาติที่สุดจะดีกว่าค่ะ


รูปภาพ

คลอโรฟิลล์ คุณอนันต์ โทษมหันต์
ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับทดแทนพืชผักสีเขียวที่ชื่อว่าคลอโรฟิลล์
(Chlorophyll) ปรากฏตัวอวดโฉมตามร้านขายยา ตามห้างสรรพสินค้า
ร้านเล็กร้านน้อย ตลอดจนแผงลอยตามตลาดนัดขายสินค้าทั่วไป
เวลาเดียวกัน สินค้าประเภทบำรุงหรือปรุงแต่งผิวพรรณให้งามดุจดั่งธรรมชาติ
ความงามของหญิงสาวยุคใหม่ ทำให้สาวๆ ลุ่มหลงกับสรรพคุณดังกล่าว
ถึงขั้นควักกระเป๋าจ่ายเงินจำนวนหนึ่งเพื่อซื้อมาทดแทนสิ่งที่ ตนเองขาดหายไป
เนื่องจากมีดารามาเป็นเครื่องรับรองประสิทธิผลที่เกิดขึ้น
ความจริงแล้ว เรารู้เรื่องราวที่มาของสารคลอโรฟิลล์ ตลอดจนคุณโทษที่แท้จริงแค่ไหน
หรือเพียงแต่ลุ่มหลงว่าเป็นสิ่งที่เข้ามาฟื้นสภาพที่แท้จริงของร่างกาย
และชโลมชีวิตให้สวยใสปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ

รู้จักคลอโรฟิลล์
คลอโรฟิลล์เป็นคลอโรพลาสเม็ดเล็กๆ มีสีเขียวอยู่ในเซลล์พืช
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพืชที่เกิดจากกระบวนการโฟโตซินทิซีส
หรือกระบวนการทำอาหารของพืชหลังจากที่ได้รับแสงอาทิตย์แล้ว
ส่วนนี้จะมีประโยชน์ต่อร่างกายคนมากเมื่อได้รับประทานเข้าไป
จากการวิจัยทางการแพทย์ยืนยันได้ว่า
ร่างกายคนเราก็สามารถนำสารคลอโรฟิลล์นี้ไปเป็นสารตั้งต้น
(precursor) ในการสร้างเม็ดเลือดแดงได้เมื่อร่างกายต้องการ
โดยเฉพาะในภาวะที่เกิดความบกพร่องในการ
สร้างเม็ดเลือดแดงเนื่องจากขาดสารอาหาร อย่างเช่น ในภาวะโลหิตจาง (anemia)
เรื่องการขายสารคลอโรฟิลล์ในบ้านเรานั้น มีทั้งทางตรงและผ่านตัวแทนจำหน่าย
ซึ่งสรรพคุณที่ใช้ลงโฆษณาทั้งที่ประกาศไว้ข้างกล่องและลงโฆษณาทางอินเทอร์เน็ต
บอกถึงสรรพคุณของคลอโรฟิลล์ไว้ว่า เป็นสารที่ช่วยในกระบวนการล้างสารพิษในเลือด
และขจัดของเสียที่สะสมในร่างกาย ทำให้สุขภาพดีขึ้น กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง
ฟอกเลือดให้สะอาด ฟื้นฟูการทำงานของตับ ลดปัญหาเส้นเลือดขอด
เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ลดรอยดำคล้ำใต้ตา ใบหน้าหมองคล้ำ
ช่วยในการปรับสมดุลกรดด่างในโรคเกาต์ โรครูมาทอยด์
เบาหวาน บรรเทาอาการริดสีดวงทวาร
ป้องกันการถูกทำลายจากอนุมูลอิสระและสารก่อมะเร็งร้าย
รักษาแผลอักเสบ แผลเปื่อย แผลถลอก ดับกลิ่นตัว กลิ่นปาก กลิ่นเท้า

ส่วนการประชาสัมพันธ์ไว้ ณ จุดขายหรือที่ข้างกล่องบรรจุสารคลอโรฟิลล์บอกว่า
วิธีรับประทาน ให้ผสมผงคลอโรฟิลล์ 1 ช้อนชาในน้ำ 250 เขย่าหรือคนให้เข้ากับน้ำ
(ใช้น้ำธรรมดาที่ไม่แช่ตู้เย็น) ดื่มแทนน้ำเปล่าวันละ 1 - 2 ลิตร หรือทั้งวันเลยยิ่งดี
ทำให้ผิวพรรณสดใส สุขภาพดี หากจะชงดื่มเป็นแก้วใช้ประมาณครึ่งช้อนชา
(ยิ่งเข้มเท่าไหร่ยิ่งดี) แต่ถ้าชงแล้วต้องดื่มให้หมดภายใน 1 วัน ห้ามทิ้งข้ามคืนเด็ดขาด
นอกจากนี้ การลงโฆษณาเพื่อการขายนั้นยังได้บอกรายละเอียดเกี่ยวกับที่มาของสารคลอโรฟิลล์
ไว้ว่า คลอโรฟิลล์ที่ขายกันนั้นสกัดจากหญ้าอัลฟัลฟาเกรดเอซึ่งเป็นพืชตระกูลถั่ว
ที่ปลูกในประเทศอเมริกา ซึ่งมีรูปแบบการปลูกด้วยระบบออร์แกนิก (ไม่ใช้สารเคมี)
มีรากลึกถึง 130 ฟุต จึงทำให้อัลฟัลฟาสามารถหาอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งในการจำหน่ายนั้นมีทั้งชนิดผงและชนิดน้ำ

ประโยชน์ที่แท้ของคลอโรฟิลล์
มนุษย์เราเริ่มใช้คลอโรฟิลล์ในการแพทย์เมื่อปี 1940 พร้อมๆ กับที่ใช้เป็นยาสีฟัน
ยาดับกลิ่นปาก และมีการใช้คลอโรฟิลล์ในการบำบัดโรค เช่น โรคทางเดินอาหารลำไส้ใหญ่
โรคผิวหนังชนิดต่างๆ โดยเฉพาะแผลเรื้อรัง เพื่อช่วยสมานแผล กล่าวคือ
คลอโรฟิลล์สามารถใช้รักษาแผล เรียกเนื้อให้แผลหายเร็วกว่าปกติ
มีบทบาทเป็นยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ทั้งยังดับกลิ่นเหม็นของแผล
และสามารถทำความสะอาดแผลให้สะอาดได้ดีกว่าสารตัวอื่น
สารคลอโรฟิลล์ที่มีอยู่ในพืชมีหลายชนิด ซึ่งส่วนใหญ่จะแบ่งออกเป็นประเภทที่ละลายในไขมัน
กับประเภทที่ละลายในน้ำ ประเภทที่ละลายในไขมันทาง FDA นั้นไม่รับรองให้รับประทาน
ส่วนประเภทที่ละลายในน้ำให้รับประทานได้แต่ต้องไม่เกินมาตรฐานที่กำหนดไว้
สารคลอโรฟิลล์สังเคราะห์ (ชนิดที่ละลายในน้ำ) ที่พบเห็นจากการโฆษณา FDA
กำหนดให้รับประทานได้ไม่เกิน 100 มิลลิกรัมต่อวันหรือในระหว่าง 100 - 300 มิลลิกรัมต่อวัน
ถ้าเกินกว่านั้นจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย

ฉะนั้นผู้บริโภคต้องอ่านคำเตือนข้างกล่องก่อนรับประทาน
หรือไม่ก็ต้องศึกษาตัวเองว่าร่างกายขาดสาร
อาหารประเภทนี้หรือไม่ เพราะถ้าทานมากเกินไปจะเกิดโทษต่อร่างกายมากกว่าประโยชน์
ซึ่งนักวิชาการส่วนใหญ่มองว่าการซื้ออาหารเสริมมาทานนั้นเป็นการสิ้นเปลือง
ถ้าหันมาซื้อผักโขมหรือผักที่มีสีเขียวแทนจะมีประโยชน์กว่า และไม่สิ้นเปลืองเงินมาก



ที่มา... http://www.kbeautifullife.com/health_we ... B8%A1.html

:b48: :b8: :b48:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร