วันเวลาปัจจุบัน 03 มิ.ย. 2025, 00:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2010, 12:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ


สุขภาพล้วนๆ

ใช่ว่าจะกินแต่แคลเซียม แล้วจะทำให้กระดูกแข็งแกร่ง
ไม่เป็นสาวกระดุกเปราะ หลังโก่ง เมื่อเป็นคุณยาย
เพราะทุกวันนี้คุณอาจเผลอกินอาหารที่ทำลายกระดูกแบบไม่รู้ตัวก็เป็นได้


อาหารที่ลดความหนาแน่นของกระดูก


:b14: 1. ดื่มกาแฟมากกว่าวันละ 2 ถ้วย
มีงานวิจัยล่าสุดจากกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริการะบุว่า
กาแฟแค่ 2 ถ้วยก็มากพอที่จะทำให้กระดูกเปราะบางได้
เนื่องจาก คาเฟอีนในกาแฟ จะทำให้ร่างกายขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะ
ว่าแล้วสาว ๆ ที่ติดกาแฟ ก็ดื่มน้อย ๆ ลงจะดีกว่านะ

:b14: 2. น้ำอัดลม
มีงานวิจัยล่าสุดพบว่าเครื่องดืมเย็นซ่าชื่นใจชนิดนี้
มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดภาวะกระดูกหักง่ายค่ะ
โดยผู้ที่ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำ
จะมีโอกาสเกิดกระดูกพรุนมากกว่าผู้ที่ไม่ดื่ม 3-4 เท่าทีเดียวละ
อยากให้กระดูกแข็งแรง ดื่มให้น้อยลง จะดีกว่านะ

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสุขภาพของกระดูก
ผู้หญิงที่มีอายุเกิน 30 ปีแล้ว ความหนาแน่นของกระดูก
นอกจากจะไม่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังเริ่มลดลงด้วย หากช่วงก่อนหน้านี้
คุณไม่ได้บำรุงกระดูกให้แข็งแรงเต็มที่ ก็อาจทำให้คุณกลายเป็นยายแก่
ที่กระดูกเปราะบางและแตกหักได้ง่าย โดยเฉพาะกระดูกบริเวณสะโพก
ซึ่งจะเจ็บปวดและทรมานมาก นอกจากนี้ ผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือน
กระดูกจะบางลงราว ๆ 2 เปอร์เซ็นต์ทุก 1 ปี ในขณะที่การกินแคลเซียม
เมื่ออายุมากขึ้น ไม่ได้ช่วยความเพิ่มความหนาแน่นให้กับกระดูกแต่อย่างใด
เพียงแต่ช่วยชะลอการสูเสียปริมาตรของกระดูกลง
มาเริ่มต้นสร้างความแข็งแรงให้กระดูกตั้งแต่วัยสาว ๆ หน้ายังใสดีกว่า



วิธีเสริมความแข็งแรงให้กระดูก

นอกจากการหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำลายความหนาแน่นของกระดูกแล้ว
วรหาวิธีปกป้องและเสริมความแข็งแรงให้กระดูกกันตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่า

:b16: 1. ออกกำลังกาย
เป็นวิธีที่ช่วยให้กระดูกแข็งแรงค่ะไม่ว่าจะเป็นการเดิน วิ่ง แอโรบิค
เล่นเทนนิส ยกเวท กระโดดเชือก
ช่วยเสริมความหนาแน่นให้กระดูกได้ ยกเว้นการว่ายน้ำที่กลับไม่ได้ผลดีนัก


:b16: 2. รับประทานอาหารที่มีแคลเซียม
แคลเซียมเป็นสารอาหารที่สำคัที่สุดสำหรับกระดูกและฟัน
โดยเฉพาะแคลเซียมในนมและผลิตภัณฑ์จากนม เช่น โยเกิร์ต
เนยแข็งเป็นแคลเซียมที่ดูดซึมได้ดี แต่ก็มักได้ไขมันเป็นของแถม
หากเลือกเป็นนมพร่องมันเนย ก็น่าจะปลอดภัยกว่า
นอกจากนี้ อาหารพื้นบ้านเช่นปลากรอบ กุ้งแห้ง กะปิ ผักใบเขียว
เต้าหู้แผ่น และถั่วเหลือง ก็เป็นเป็นอาหารที่มีแคลเซียมสูงเช่นกัน
โดยเฉพาะถั่วเหลืองนั้นนอกจากช่วยชะลอความเสื่อมของกระดูกแล้ว
ยังลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมอีกด้วย


:b16: 3. ควบคุมน้ำหนักตัว
การที่ปล่อยให้น้ำหนักตัวมากเกินไปจะทำให้คุณเสี่ยงกับการเป็นโรคกระดูกผุได้


:b16: 4. เลิกสูบบุหรี่
สาวๆ ที่ติดบุหรี่ มักมีปัญหาโรคกระดูกผุก่อนเวลาได้
เนื่องจากบุหรี่ จะขัดขวางการทำงานของฮอร์โมนเอสโตรเจน
ซึ่งช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมในลำไส้


:b16: 5. วิตามินดี
วิตามินดีช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมในลำไส้
ช่วยเพิ่มปริมาตรของกระดูกได้ โดยเฉพาะนม
มีทั้งแคลเซียมและวิตามินดีสูง แต่การซื้อวิตามินดีมารับประทาน
จะทำให้เกิดการสะสมในร่างกายมากเกินไป และเกิดอันตรายได้


:b36: :b36: :b36: :b36: :b36: :b36: :b36: :b36: :b36:


พลังมหัศจรรย์ในอาหาร
เป็นยาขนานวิเศษที่ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง
ไร้โรคภัยมาเบียดเบียน ...


:b1: 1. เต้าหู้ ... คุณภาพคับก้อน
จากเมล็ดถั่วเหลืองซึ่งจัดว่าเป็นยอดขุนพลของพืชตระกูลถั่ว
ถูกแปลงโฉมมาเป็นเต้าหู้หลากหลายรูปแบบ มีทั้งชนิดก้อน ชนิดหลอด
จะเลือกแบบแข็งหรือแบบนิ่มก็ยังได้ เลือกได้ตามใจชอบกัน
ราคาก็ไม่แพง หาซื้อได้ง่าย แต่ให้คุณค่าสูงอุดมด้วยโปรตีน
เหล็กและแคลเซียม แต่ปลอดคลอเรสเตอรอล


ดร . แอนเดอร์สันแห่งมหาวิทยาลัยเคนตักกี ระบุว่า
การกินเต้าหู้ เป็นประจำทุกวันจะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ
และยังช่วยป้องกันการผิดปกติของฮอร์โมนที่จะก่อให้เกิดมะเร็งบางชนิด
โดยเฉพาะมะเร็งเต้านมและมะเร็งลำใส้ สำหรับสาวๆ ที่ต้องการมีผิวพรรณที่สดใส
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ควรรับประทานเต้าหู้สัปดาห์ละ 3 ครั้ง
จัดเมนูอาหารเต้าหู้ไว้บนโต๊ะอาหารทุกวันนอกจากสุขภาพจะดีแล้ว
ผิวพรรณก็จะสดใสขึ้นอีกด้วยเห็นไหมคะ คุณภาพคับก้อนจริงๆค่ะ


:b1: 2. มะเขือเทศ ..... พระเอกตัวจริงของอาหารอิตาลี
ผลไม้สีสันสดใสชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดในเม็กซิโก
ต่อมาได้นิยมปลูกกันอย่างแพร่หลายในยุโรป
แต่กลายมาเป็นพระเอกตัวจริงในอิตาลี
ชาวอิตาลีจัดได้ว่าเป็นนักบริโภคมะเขือเทศ
ตัวยอาหารยอดฮิตของอิตาลี ล้วนมีมะเขือเทศเป็นส่วนผสมสำคัญ
เคล็ดลับความอร่อยของอาหารอิตาลีจึงอยู่ที่ซอสมะเขือเทศนี่แหล่ะค่ะ


ผลสรุปของสถาบันมะเร็งแห่งชาติของสหรัฐระบุว่า
การบริโภคมะเขือเทศและผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศในปริมาณสูง
สามารถลดความเสี่ยงจากการเป็นมะเร็งหลายชนิดได้
โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งในช่องท้อง
เนื่องจากในมะเขือเทศมีสารไลโคพีน (Lycopene) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง
และโรคที่เกี่ยวกับทางเดินอาหารได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้วิตามินเอและซีในมะเขือเทศก็ยังช่วยให้สุขภาพผิวสดใส
ชนิดที่ไม่ต้องพึ่งเครื่องสำอางราคาแพงกันเลยทีเดียว


:b1: 3. กินกระเทียมให้เป็นยาโดยไม่ต้องพึ่งใบสั่งแพทย์
คงจะคุ้นเคยกันดีสำหรับพืชสมุนไพรชนิดนี้
เพราะแทบทุกครัวเรือนต่างมีไว้คู่ครัว
ถ้าศึกษาจากผลงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกแล้ว
เราอาจจะต้องเก็บกระเทียมไว้เคียงคู่กับตู้ยาก็เป็นได้


ดร . วาร์โรอี . ไทเลอร์ ที่ปรึกษาคณะเภสัชศาสตร์
แห่งมหาวิทยาลัยเพอดู เวส ลาฟาเยต พบว่า
กระเทียมมีสรรพคุณเสมือนยาแอสไพริน คือทำให้โลหิตไหลเวียนดีขึ้น
สารอัลลิซินในกระเทียม จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง
ช่วยให้ระบบการย่อยอาหารและการขับถ่ายมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากนี้การกินกระเทียมเป็นประจำทุกวันโรคหัวใจก็ไม่ถามหากันง่าย ๆ
เพราะกระเทียมเป็นตัวช่วยลดปริมาณคลอเรสเตอรอล
และไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้เป็นอย่างดี


ยังไม่หมดนะค่ะ สำหรับสรรพคุณของกระเทียม ..
หากเราย้อนประวัติศาสตร์ไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
กระเทียมเป็นผู้ช่วยตัวเอกในการรักษาบาดแผลของทหาร
เนื่องจากกระเทียมมีฤทธิ์ในการทำลายเชื้อโรคสารพัดชนิด
ทั้งเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อรา ก่อนจะหยิบอาหารเข้าปากในมื้อต่อไป
อย่าลืมกระเทียมสดๆสัก 2 ช้อนชา
รับประทานคู่กับอาหารมื้ออร่อยของคุณนะคะ
คุณจะได้สารอาหารที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสรรพคุณทางยาทีเดียว


:b1: 4. แก้นิสัยโกรธง่ายด้วยโยเกิร์ต
ดร . เม็ทชนิคอฟแห่งสถาบันปาสเตอร์ ในฝรั่งเศส
ได้สรุปผลงานของเขาไว้ว่า การกินโยเกิร์ตทุกวัน
จะทำให้สุขภาพดีและอายุยืน จุลินทรีย์แลคโตแบคซิลัสในโยเกิร์ต
จะช่วยสร้างยาปฎิชีวนะใน ลำใส้ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อแบททีเรียต่างๆ
เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ลำใส้ ป้องกันกระเพาะจากการเป็นแผล
ลดไขมันในเส้นเลือด และยังช่วยไม่ให้ฟุ้งซ่านและโกรธง่ายอีกด้วย


:b36: :b36: :b36: :b36: :b36: :b36: :b36: :b36: :b36:


6 อัศวินสำหรับร่างกาย

ร่างกายของคนเราสามารถสร้างคอเลสเตอรอลได้เองอยู่แล้ว
ดังนั้นถ้าเรารับประทานอาหารที่มีไขมันสูงระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด
ก็จะมีสูงขึ้นตามไปด้วย เสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดอุดตันและหัวใจวายแน่นอน
อาหารบางอย่างมีคุณสมบัติช่วยควบคุมคอเลสเตอรอลได้เป็นอย่างดีเยี่ยม
6 อัศวินตัวสำคัญนั้น คือ มะเขือต่างๆ หอมหัวใหญ่
กระเทียม ถั่วเหลือง แอปเปิ้ลและโยเกิร์ต



วันใดมื้อใดที่คุณมีเมนูอาหารซึ่งอุดมไปด้วยไขมันมากๆ
ก็ควรรับประทานอัศวินตัวหนึ่งตัวใดเพื่อควบคุมไขมัน
เช่น เมื่อรับประทานแกงกะทิที่มันๆ ก็ควรรับประทานมะเขือเปราะ หรือมะเขือพวงมากๆ


เมื่อรับประทานไข่มากๆ ซึ่งเป็นตัวเพิ่มคอเลสเตอรอลที่น่ากลัวนัก
คุณก็ควรรับประทานหอมหัวใหญ่ร่วมกับไข่เจียวหรือไข่ดาวด้วย
หรือรับประทานแอปเปิ้ลวันละ 1 ผลทุกๆ วัน
หรือโยเกิร์ตวันละ 1 ถ้วยทุกๆ วัน
รับประทานกระเทียมสดๆเล็กน้อยกับอาหารจานยำ จานคาวต่างๆ
เพื่อขับคอเลสเตอรอลออกจากร่างกาย
อันเป็นเรื่องที่แสนง่ายดายกว่าการเลิกรับประทานอาหารมันๆ ทุกจานโดยสิ้นเชิง
คุณยังสามารถรับประทานเนยแฮม เบคอน ขาหมู ไข่
หรือ อาหารไขมันสูงจานต่างๆ ได้ในบางมื้อบางวัน
หากเพียงคุณรู้จักรับประทานอาหารอัศวินเหล่านี้เข้าไปด้วย
ซึ่งนอกจากจะช่วยลดคอเลสเตอรอลแล้ว
อาหาร 6 อย่างนี้ยังมีคุณค่าของสารอาหารและแร่ธาตุสำคัญ
ที่จะนำประโยชน์สู่ร่างกายของคุณอย่างมากมายในด้านอื่นๆ อีกด้วย
เช่น แอปเปิล หอมใหญ่และโยเกิร์ต ช่วยให้คุณขับถ่ายดี ผิวพรรณสวยงาม เป็นต้น


:b36: :b36: :b36: :b36: :b36: :b36: :b36: :b36: :b36:


เรื่องกล้วยๆ

การกินกล้วยหอมหนึ่งผล ไม่เพียงแต่ทำให้อิ่มท้องเท่ากับข้าวหนึ่งจานเท่านั้น
แต่กล้วยยังให้ผลทางยาและสมุนไพรที่ข้าวไม่มี
คือสามารถดูแลและรักษากระเพาะอาหารของเราได้
ดร . จีนคาร์เพอร์ นักโภชนาการ แจ้งว่า
กล้วยเป็นผลไม้ที่ช่วยบรรเทาอาการ
อาหารไม่ย่อยในกระเพาะ (dyspepsia) ได้เป็นอย่างดี
การรับประทานกล้วยเป็นประจำจะทำให้กระเพาะแข็งแรง
ปัญหาจากกรดในกระเพาะจะลดลง ผู้ที่มีปัญหาแผลในกระเพาะจะมีอาการดีขึ้น
นอกจากนี้ กล้วยยังมีฤทธิ์ทางปฏิชีวนะ สามารถฆ่าเชื้อได้อีกด้วย
จากการศึกษาผู้ป่วย 46 คน ที่มีอาการปวดในกระเพาะ
โดยไม่มีแผลในกระเพาะอาหาร โดยจัดให้ผู้ป่วยจำนวน 23 ราย
ได้รับกล้วยผงบรรจุแคปซูลทุกวัน
ส่วนอีก 23 ราย ให้รับแคปซูลของยาหลอกที่บรรจุแป้งธรรมดา


พบว่าผ่านไปได้ 8 สัปดาห์ ผู้ป่วยที่ได้รับผงกล้วย
ร้อยละ 50 ไม่มีอาการปวดเกิดขึ้นเลย และร้อยละ 25 มีอาการดีขึ้น
ส่วนผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอกจำนวน ร้อยละ 20 เท่านั้นที่บอกว่ามีอาการค่อยยังชั่วขึ้น
แสดงให้เห็นว่าการรับประทานกล้วย
แม้ว่าจะอยู่ในรูปของกล้วยผงก็สามารถช่วยบรรเทาอาการโรคกระเพาะได้



ที่มา...ThaiReaderClub.com

:b48: :b8: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2010, 16:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว




4-4.gif
4-4.gif [ 19.41 KiB | เปิดดู 1135 ครั้ง ]
:b8: :b8: :b8: อนุโมทนาสาธุด้วยครับ :b8: :b8: :b8:


smiley smiley smiley

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร