ผมเห็นทวนเข็มนะ

สนุกดีค่ะ...คุณยายมัท ต้องฝึกสมองอีกซีกมากมากแน่เลย

ลูกโป่งเห็นว่า บทความมีประโยชน์เกี่ยวข้องกับ
สมองซีกซ้ายและซีกขวาจ้า นำมาฝากนะจ๊ะ


การเรียนรู้ของมนุษย์มีเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
และมนุษย์สามารถเรียนรู้ได้จากหลากหลายวิธี
ซึ่ง “การอ่าน” ดูเหมือนจะเป็นวิธีที่เรา ค่อนข้างคุ้นเคย
และต้องยอมรับว่าเป็นวิธีที่ช่วยให้เราสามารถเรียนรู้โลกรอบตัวได้อย่างไม่มีขีดจำกัด
ใครอ่านมากก็มีความรู้มาก ดังนั้นคนที่อ่านได้เร็วก็จะยิ่งได้เปรียบ
เพราะจะมีข้อมูลความรู้มากกว่าใคร ซึ่งจะเป็นเครื่องมือ
นำพาไปสู่ผลประโยชน์ต่างๆ มากมายอย่างที่เราคาดไม่ถึง


ประเทศญี่ปุ่นจึงมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการอ่านเร็วกันอย่างจริงจัง
และทำให้ค้นพบว่า การจะอ่านให้เร็วได้นั้นมีส่วนสัมพันธ์กับสมองซีกขวาส่วนหน้า
แต่คนทั่วไปที่ไม่สามารถอ่านได้เร็วจะใช้สมองซีกซ้ายในการอ่าน
ในขณะที่คนที่สามารถอ่านหนังสือได้เร็วจะใช้ทั้งสมองซีกซ้ายและซีกขวาในการอ่าน
เมื่อรู้เช่นนี้จึงมีการคิดค้นวิธีการพัฒนาสมองซีกขวา
จนได้มาซึ่งวิธี การฝึกอ่านเร็วที่เรียกว่า Speed reading

มะซะฮิโระ ซะคะตะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทสปีดรีดดิ้งไทย
ซึ่งเป็น บริษัทที่นำวิธีการฝึกแบบ Speed reading เข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทย
เล่าว่า ระบบการศึกษาของทุกประเทศในโลก
มักจะเริ่มต้นการสอนโดยให้เด็กอ่านออก เสียงทีละคำ และทีละ หลาย ๆ คำ
จนผสมเป็นประโยค หลังจากนั้นก็จะสอนให้อ่านในใจแทน
ซึ่งหารู้ไม่ว่าการอ่านออกเสียงในใจทำให้การอ่านช้า
เพราะเราจะอ่านได้สูงสุดเท่ากับความเร็วในการอ่านออกเสียงเท่านั้น
และทำให้นักเรียนจดจำ รูปแบบการอ่านแบบนี้ไปตลอด
แต่จากการศึกษาวิจัยพบว่า หากใช้สมองซีกขวาร่วม
กับสมองซีกซ้ายจะช่วยให้ความสามารถในการอ่านหนังสือเพิ่มมากขึ้น
มีสมาธิ ดี สมองไว ทำความเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้เร็ว
สามารถจดจำสิ่งที่อ่านได้อย่าง แม่นยำ
ซึ่งความสามารถที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คนผู้นั้น
ประสบความสำเร็จในชีวิต และย่อมส่งผลดีต่อการพัฒนาประเทศโดยรวมอีกด้วย


มองซีกซ้ายและซีกขวาจะทำหน้าที่ต่างกัน
โดยสมองซีกซ้ายจะทำหน้าที่วิเคราะห์ การคิดเป็นเหตุผล
แต่จะรับข้อมูลช้า ๆ ทีละน้อยแบบเป็นขั้นตอน เรียงตามลำดับ
ในขณะที่สมองซีกขวาจะทำหน้าที่ควบคุมอารมณ์
สร้างจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และรับข้อมูลได้คราวละมาก ๆ อย่างรวดเร็ว
ดังนั้นการให้สมองซีกขวาได้ช่วยทำงาน
จะทำให้มนุษย์สามารถพัฒนาความสามารถด้านต่าง ๆ ได้อีกมาก
ซึ่งบุคคลที่เป็นอัจฉริยะของโลก
ก็ล้วนแต่เป็นผู้ที่ใช้สมองซีกขวาได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งสิ้น” มร.ซะคะตะ กล่าวย้ำ


เทคนิคการฝึกด้วย Speed reading จึงเป็นการฝึก
เพื่อสร้างความสมดุลของสมองทั้งสองซีก
เป็นการเปิดมุมมองของสายตาให้กว้างขึ้น
เป็นการอ่านหนังสือโดยมองหนังสือทั้งหน้าเสมือนการมองรูปภาพ
แทนที่จะสะกดอ่านทีละตัว ทีละคำ ซึ่งเมื่อมีการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง
สมองก็จะปรับเปลี่ยนการทำงานโดยอัตโนมัติ
แต่คงไม่ถึงกับจะไปกดปุ่มสั่งให้สมองซีกซ้ายซีกขวาทำงานได้ตามต้องการแต่อย่างใด
ข้อมูลความรู้เหล่านี้ก็ดูจะเป็นเรื่องที่น่าสนใจพอสมควร
เพราะประโยชน์ที่ ได้ก็เพื่อตัวเราเองและประเทศชาติ
ซึ่งใครอยากศึกษาเพิ่มเติมเรื่องเหล่านี้
ก็ลองไปดูได้ที่ http://www.speedreadingthai.com
เราอาจจะมี โอกาสได้ค้นพบศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวแบบที่ไม่เคยรู้มาก่อนก็ได้.


พลพิบูล เพ็งแจ่ม

ที่มา...เดลินิวส์
http://www.sudipan.net/phpBB2/viewtopic.php?p=12216






ความรู้เกี่ยวกับสมองซีกซ้าย-ขวา:

จากผลการวิจัยระบุว่า มนุษย์เราใช้พื้นที่สมองเพียงแค่ 5% - 10%
คนส่วนใหญ่ จะใช้สมองซีกซ้ายมากกว่าสมองซีกขวา
ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ การเรียน การทำงาน
ซึ่งยังมีพื้นที่สมองอีกจำนวนมากที่ไม่ได้ใช้งาน หรือใช้งาน น้อยมาก
ดังนั้นประเทศญี่ปุ่นจึงได้ศึกษา ค้นคว้า และวิจัย วิธีการดึงสมองส่วนนั้นมาใช้งาน
เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของมนุษย์ในด้านต่างๆ ให้มากขึ้น


จากการเปรียบเทียบหน้าที่ของสมองทั้งสองซีกจะเห็นว่า
สมองซีกขวากับสมองซีกซ้ายทำหน้าที่แตกต่างกัน และมีลักษณะเด่นไม่เหมือนกัน
เช่น เวลาเราอ่าน หนังสือ สมองซีกซ้ายจะรับข้อมูลที่อ่านได้น้อย และช้า
แต่มีข้อดีตรงที่รับอย่างเป็นขั้นตอน
ในทางกลับกัน สมองซีกขวามีความสามารถในการรับข้อมูลได้ที่ละมากๆ และเร็ว
แต่ไม่เป็นขั้นตอน ซึ่งหากเราดึงเอาจุดเด่นของสมองซีกขวาี
มาใช้ร่วมกับซีกซ้ายในการอ่านหนังสือ
จะทำให้เพิ่มศักยภาพในการอ่านหนังสือให้เร็ว และเข้าใจได้มากขึ้น

ที่มา http://www.speedreadingthai.com
http://www.sudipan.net/phpBB2/viewtopic.php?p=37663

เปิดแต่ละครั้ง หมุนไม่เหมือนกัน เอ้อดูแล้วทำเหมือนเป็นเรื่องแหกตาประชาชี มีสิ่งจูงใจมาล่อ
ให้คนเกิดความสนใจเข้ามาเสพในสิ่งที่โยงใยไปถึงสื่อสาระบางอย่าง เอ้อ ดี ดี ดี คนทำฉลาดดี ฉลาดที่ทำให้คนที่เข้ามาตามเส้นทางเชื่อในสิ่งที่นำเสนอได้อย่างแนบเนียน

จริง ๆ ลองเปิดกระทู้นี้สองอันพร้อม ๆ กัน หนึ่งหมุนซ้าย อีกหนึ่งหมุนขวา อืม ที่แท้ก็เรื่องแหกตาจริง ๆ นึกแล้วก็เหมือนกับการรับฟังธรรม การเลือกคบคน อยากให้ตนดูดีก็ต้องพยายามสร้างภาพให้น่าประทับใจ จนบางครั้งก็หารู้ไม่ว่าภาพที่สร้างนั้นมันสอดคล้องกับความเป็นจริงของตนแค่ไหน
จะสมองซ้ายหรือสมองขวา ช่างหัวมันเถอะ จริง ๆ มันก็แค่เรื่องแหกตากันเห็น ๆ อย่างนี้ล่ะ
เพราะไม่รู้ไง ไม่รู้กลลวงที่อยู่เบื้องหลัง จึงคิดว่าสิ่งที่เห็นนั้นจริง

ท่านผ้าเช็ดเท้าเก่งเข้่าใจทดลองดูให้รู้แน่นอน...
จริงๆ ข้าพเจ้าเองก็ไม่รู้ว่าเป็นการแหกตาประชาชี
หรือสามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริงเหมือนกันนะท่าน





แต่ยายมัทเปิดดูกี่ทีกี่ที ดูพร้อมกันกี่เครื่อง
มันก็ยังคงหมุนตามเข็มนาฬิกาอยู่ร่ำไปทุกทีเลยล่ะ

ไม่รู้มีใครจะอธิบายความเกี่ยวข้องนี้ในทางวิทยาศาสตร์ได้บ้างมั้ยหนอ!?!





ขอบคุณยายลูกโป่งมากจ้าที่นำความรู้มาฝากกันเพิ่มเติม...เป็นประโยชน์มากจริงๆ

เห็นเหมือนกันจ้า หมุนตามเข็มนาฬิกา ทุกเครื่อง ทุกที่ ทุกเวลา

ใครจะมานั่งอดทนกับการตั้งข้อสังเกต และทดสอบ เห็นกระทู้หนึ่งสรุปว่าเป็นการวนขวาโดยมีการนำภาพมาแยกเฟรม ทั้งเฟรมตาม และเฟรมทวน แต่ก็ลงสรุปความเห็นว่า หมุนตามเข็ม แต่ผมไม่เชื่อเพราะผมเห็นต่าง ผมเอาภาพมาแปะคู่กัน แล้ว Run ผมก็เห็นตาม และ ทวน พร้อม ๆ กัน
ผมเปลี่ยนเป็นเปิดหน้าต่างนี้สองหน้าต่างคู่กัน ผมพบว่ามันมีการหมุนที่ไม่พร้อมกัน และเห็นจังหวะที่ภาพหนึ่งหมุนทวน อีกภาพหมุนตามอย่างชัดเจน
มีตั้งข้อสังเกตตรงที่ มีบ้างที่คน ๆ หนึ่งเห็นตามตลอด ทั้ง ๆ ที่อีกสองคนเห็นตามและทวนและขานการเปลี่ยนในช่วงจังหวะเดียวกัน
มีตั้งข้อสังเกตตรงที่ มีที่คนหนึ่งเห็นตาม อีกคนเห็นทวน และก็กลับไปเห็นตรงกันข้ามในจังหวะเดียวกัน

มีตั้งข้อสังเกต มีคนที่เดี๋ยวก็เห็นตามเดี๋ยวก็เห็นทวน พลิกไปพลิกมา ซึ่งที่ว่า ๆ มา ผมเห็นแล้วทุกรูปแบบ จึงเห็นว่าบทสรุปยังไม่ค่อยสมเห็นสมผลนัก
จะสมเหตุสมผลมากขึ้นก็ต่อเมื่อมีการดูทั้ง การหมุนตาม หรือ การหมุนทวน
และการหมุนในลักษณะไหน ทำให้การตัดสินใจยากลำบาก หรือ การหมุนในลักษณะไหน
ทำให้เรามองมันไปในทิศทางที่ผิดเพี้ยนได้ง่าย และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทิศทางการหมุน
ประสาตามีการตอบรับการเปลี่ยนแปลงนั้นอย่างไร
ไม่รู้ครับ แบบว่าเอาแบบทดสอบมาทดสอบ แล้วบอกว่าเราเป็นเช่นนั้น เป็นเช่นนี้ ก็สนุกครับ
แต่บางครั้ง ผมเห็นว่าเราเชื่อกับลูกล่อลูกเล่นอย่างนี้กันง่ายเกินไป
นั่นส่วนหนึ่งครับ ส่วนอีกจำพวกหนึ่งคือ พวกเห็นของแบบนี้แล้วไม่เชื่อ คิดว่ามันจะต้องมีอะไรแอบซุกซ่อนอยู่ อันนี่ก็ถูกล่อให้ขุดคุ้ย...เช่นกัน สรุปเกมนี้ หลอกล่อคนได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง
แถมไอ้คนประเภทหลังนี่ จะอาการหนักกว่า เพราะถ้ามันไม่ได้คำตอบที่สมเหตุสมผล
มันจะทำราวกับว่า มันจะตายตาไม่หลับ
ขอโทษนะครับ ถ้าผมพูดทือ ๆ และดูเป็นวิชาการเกินไป

ลองตั้งจุดมองที่ส้นเท้าของภาพสักพักหนึ่งภาพจะหมุนตรงข้าม สลับกันได้ ลองดูครับ..

นั่งดู นอนดู ยืนดู ทุกองศาแล้ว
มันก็ยังหมุนตามเข็มนาฬิกาไ่ม่เปลี่ยนแปลงเลยอ่ะ ตาสมสีีสี
(ชื่อนี้แปลว่าอะไรจ๊ะ แปลกดีจัง)



ทำไงดี...สงสัยสมองซีกซ้ายของข้าพเจ้า...มันคงพิการไปแล้ว

นานครับ ต้องใช้เวลา คนทำมันฉลาดขอบอก มีการวิจัยใช้หลักการของกลศาสตร์ ฟิสิกส์
การกำหนดมุม การสร้างพื้นหลัง และการเคลื่อนเฟรม คือไม่ใช่การหมุนของวัตถุ แต่การเคลื่อนเฟรม ซึ่งการเคลื่อนเฟรมจะทำให้มิติของภาพ ซึ่งเป็นภาพสองมิติ(ของภาพสามมิติ) และการเคลื่อนเฟรม แทนการหมุนวัตถุ ซึ่งมันขัดแย้งกับระบบประสาท เพราะเราอยู่นิ่ง เมื่อเห็นสิ่งที่หมุน
เราจะคิดว่าสิ่งนั้นหมุน แต่จริง ๆ เป็นการจำลองภาพการเคลื่อนของผู้มอง แต่วัตถุนิ่ง
ว่างั๊น จริง ๆ ผมกล่าวไว้กว่านั้น ซึ่งผมก็กลับไปแก้ไขข้อมูลข้างบน จากภาพเป็นการลงรายละเอียดข้อสังเกตที่ผมสังเกตเห็น และทดลองในเบื้องต้น ตามศักยภาพผู้รับสื่อปลายทางแล้ว ถ้าผมเป็นผู้รับสื่อต้นทาง ผมจะไปกระชากคอไอ้คนสร้างภาพนี้มาถามแน่