วันเวลาปัจจุบัน 22 พ.ค. 2025, 00:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 14:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ


“ต้อ” ปัญหาตาในผู้สูงอายุ

พญ.สมพร จันทรา จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระจกตา


โรคตาต้อ ปัญหาทางตาที่พบได้เมื่ออายุมากขึ้น
มาทำความรู้จักโรคนี้ เพื่อป้องกันและรักษาดวงตาให้คงการมองเห็นได้ดีตลอดไป
หลายท่านอาจมีความเข้าใจว่าอาการตามัวในผู้สูงอายุถือเป็นเรื่องปกติ
แต่ในความเป็นจริงแล้วโรคตาในผู้สูงอายุหลายๆ โรค สามารถป้องกันและรักษา
ทำให้มีการมองเห็นกลับมาดีขึ้นหรือดีเหมือนเดิมได้
โดยกลุ่มโรคที่ประชาชนทั่วไปรู้จักกันดีคือกลุ่มโรคต้อ
ประกอบด้วย ต้อกระจก ต้อหิน ต้อลม และต้อเนื้อ


:b39: ต้อกระจก (Cataract)

ต้อกระจกเป็นโรคตาที่เป็นสาเหตุของตาบอดมากที่สุดในประเทศไทย
และหลายประเทศทั่วโลก แต่เป็นโรคที่รักษาได้และให้ผลสำเร็จสูงเมื่อไม่สายเกินไป
ต้อกระจกเป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมของเลนส์แก้วตาตามธรรมชาติ
ทำให้เลนส์ขุ่น แสงจึงผ่านเลนส์เข้าไปยังจอประสาทตาได้น้อยลง
หรือทำให้เกิดการหักเหแสงที่ผิดปกติไปโฟกัสผิดที่ผู้ป่วยจึงมีสายตาพร่ามัว
มักเกิดพร้อมกันทั้ง 2 ข้าง แต่อาจมีความรุนแรงที่ไม่เท่ากัน


เลนส์แก้วตาที่ปกติช่วยให้ แสงตกกระทบที่จอประสาทตาได้พอดี
ทำให้เห็นภาพชัดเจน เลนส์แก้วตา กระจกตา รูม่านตา จอประสาทตา ตาปกติ
เมื่อเป็นต้อกระจก เลนส์แก้วตาขุ่นมากขึ้นทำให้แสงที่ผ่านเข้ามามีการหักเห
ไม่สามารถตกกระทบที่จอประสาทตาได้พอดี ทำให้เห็นภาพพร่ามัว
เลนส์แก้วตาขุ่นจากต้อกระจก รูม่านตา จอประสาทตา ตาที่เป็นต้อกระจก


การมองเห็นที่ผิดปกติไปเนื่องจากต้อกระจก

เลนส์แก้วตาใสทำให้เห็นภาพ ชัดเจน เลนส์แก้วตาขุ่นเล็กน้อย
เริ่มเห็นภาพพร่ามัว เลนส์แก้วตาขุ่นมาก ทำให้เห็นภาพพร่ามัวมาก


เมื่อเกิดต้อกระจกเลนส์แก้วตาจะขุ่นขึ้นอย่างช้าๆ จนไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ
ต่อมาเมื่อเลนส์แก้วตาขุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้ตาใช้เวลา
ในการปรับระยะภาพนานขึ้นซึ่งเป็นสาเหตุให้เห็นภาพพร่ามัว และมีแสงรบกวน
บางครั้งอาจทำให้การมองเห็นสีเปลี่ยนไปอีกด้วย


ต้อกระจกพบมากตามอายุที่มากขึ้น โดยมักพบในผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
แต่ปัจจุบันพบเร็วขึ้น คือ อายุ 55 ปีก็เริ่มมีต้อกระจกแล้ว
สำหรับผู้ที่มีสายตาสั้นปานกลางขึ้นไปอาจเป็นต้อกระจกเร็วขึ้นตั้งแต่อายุ 40 ปี
นอกจากนี้โรคหรือภาวะบางอย่างอาจทำให้เป็นต้อกระจกเร็วขึ้น
เช่น โรคเบาหวาน การได้รับอุบัติเหตุที่ดวงตา
การได้รับยาประเภทสเตียรอยด์ทั้งชนิดหยอดตาหรือรับประทานเป็นเวลานานๆ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี การรักษาต้อกระจกในปัจจุบันนับว่าทันสมัยมาก
มีการใช้คลื่นเสียงความถี่สูง (ultrasound) มาสลายต้อกระจก
ผ่านแผลเล็กๆ 2-3 มิลลิเมตร เรียกว่าวิธี phacoemulsification
โดยที่ไม่ต้องเย็บแผล (ชาวบ้านมักเรียกอย่างเข้าใจผิดว่าเป็นเลเซอร์)
ผู้ป่วยจึงสามารถมีกิจวัตรและใช้ชีวิตตามปกติได้ทันทีในวันรุ่งขึ้น
เพียงแต่ห้ามถูกน้ำและห้ามขยี้ตาหนึ่งสัปดาห์
การผ่าตัดก็ใช้แค่การหยอดยาชาหรือการฉีดยาชาเฉพาะ
ที่มีความปลอดภัยสูง โอกาสติดเชื้อต่ำ


นอกจากนี้ เทคโนโลยีของการใช้เลนส์แก้วตาเทียม
ที่ใส่เข้าไปทดแทนเลนส์ธรรมชาติเดิมที่ เสียไปก็นับว่าทันสมัยมาก
นอกจากจะเป็นเลนส์พับม้วนได้ สอดผ่านแผลเจาะเล็กๆ แล้ว
เลนส์แก้วตาเทียมในปัจจุบันยังมีชนิดที่ดูได้ทั้งใกล้และไกล
รวมทั้งเลนส์ชนิดที่แก้สายตาเอียง ซึ่งจักษุแพทย์จะเป็นผู้ร่วมพิจารณา
เลือกชนิดของเลนส์แก้วตาเทียมที่เหมาะสมกับผู้ป่วย


:b39: ต้อหิน (Glaucoma)

ต้อหินเป็นโรคตาเรื้อรังที่พบเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของการสูญเสียการมองเห็น
จากสถิติปัจจุบันพบผู้ป่วยโรคต้อหินทั่วโลกถึง 70 ล้านคน
ในประเทศไทยมีรายงานอุบัติการณ์ของโรคประมาณ 2.5-3.8%
หรือคิดเป็นจำนวนผู้ป่วยประมาณ 1.7-2.4 ล้านคน
มีผู้ป่วยจำนวนมากที่ต้องสูญเสียการมองเห็นทั้งหมดและตาบอดสนิท
เนื่องจากไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่เริ่มเป็นโรค เพราะโดยปกติโรคต้อหิน
จะไม่แสดงสัญญาณหรืออาการบ่งชี้ใดๆ ในระยะแรก
กว่าจะมีอาการก็สูญเสียการมองเห็นไปมากแล้ว


ต้อหินเป็นกลุ่มโรคที่มีการทำลายเซลล์เส้นใยประสาทตา
(ganglion cells & retinal nerve fibers)
ซึ่งร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นมาทดแทนใหม่ได้
ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงของขั้วประสาทตาอย่างช้าๆ ใช้เวลานานเป็นปีๆ
ทำให้การส่งภาพไปสู่สมองผิดปกติไป อาการของต้อหิน
คือการสูญเสียลานสายตาโดยเริ่มจากขอบนอกของลานสายตาก่อน
และแคบเข้าไปเรื่อยๆ จนถึงจุดกึ่งกลาง ทำให้ผู้ป่วยมักไม่มีอาการใดในระยะเริ่มต้น
การมองเห็นปกติ จุดบอด การมองเห็นเมื่อสูญเสียลานสายตาเล็กน้อย
การมองเห็นเมื่อสูญเสียลานสายตาไปมากแล้ว


การมองเห็นเมื่อสูญเสียลานสายตา


สาเหตุของการเกิดโรคต้อหินมีทั้งปัจจัยภายนอก เช่น
การหยอดยากลุ่มสเตียรอยด์เป็นเวลานาน อุบัติเหตุที่เกิดกับดวงตา
และปัจจัยภายใน เช่น ความดันลูกตาสูง อายุที่มากขึ้น เชื้อชาติ
ลักษณะของดวงตาของบุคคลนั้นๆ เอง พันธุกรรม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีญาติใกล้ชิด เช่น พี่น้องบิดามารดาเป็นต้อหิน
จะเห็นได้ว่าสาเหตุต่างๆ เกือบทั้งหมดนั้นเป็นปัจจัย
ที่เราไม่สามารถควบคุมหรือเปลี่ยนแปลงได้เลย ยกเว้นความดันลูกตา


การมีความดันลูกตาสูงมักเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
ซึ่งอาจเป็นไปแบบทันทีหรือค่อยๆ เพิ่มก็ได้
หลักการรักษาโรคต้อหินก็คือลดความดันลูกตา ซึ่งมีอยู่ 3 วิธีหลักๆ
คือ การใช้ยาหยอดตา การใช้เลเซอร์ และการผ่าตัด
โดยแพทย์จะตัดสินใจให้การรักษาแบบใดขึ้นกับข้อบ่งชี้ของชนิดต้อหินนั้นๆ
ความรุนแรงของโรค สภาพร่างกายของผู้ป่วย
รวมทั้งโรคประจำตัวของผู้ป่วยแต่ละรายที่อาจแตกต่างกันไป
แต่โดยทั่วไปแล้วมักจะใช้ยาหยอดตาลดความดันลูกตาก่อน
ซึ่งถือเป็นการรักษามาตรฐานเริ่มต้นสำหรับผู้ป่วยทุกราย
ถ้าไม่สามารถควบคุมความดันลูกตาได้จึงพิจารณาใช้เลเซอร์หรือใช้การผ่าตัด
เพื่อเปิดช่องทางระบายน้ำที่อยู่ในตาออกให้มากขึ้นเพื่อให้ความดันลูกตาลดลง


การดูแลรักษาในกรณีที่ตรวจพบว่าเป็นต้อหินแล้ว
คือ การใช้ยาหยอดตาลดความดันลูกตาอย่างสม่ำเสมอ
ตรวจติดตามการรักษากับจักษุแพทย์เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง
ส่วนผู้ที่ยังไม่เป็นโรค วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการสูญเสียจากต้อหิน
คือการตรวจพบในระยะเริ่มแรก โดยการตรวจสุขภาพตาเป็นประจำทุกปี
เมื่อมีอายุมากกว่า 40 ปี โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นต้อหิน
ถึงแม้ว่าจะไม่รู้สึกว่ามีอาการผิดปกติในดวงตาหรือการมองเห็นเลยก็ตาม


:b39: ต้อลม (Pingecular) และต้อเนื้อ (Pterygium)

เป็นกลุ่มโรคเดียวกันหรืออาจกล่าวได้ว่าต้อลม
คือระยะเริ่มต้นของต้อเนื้อนั่นเอง ต้อลมมีลักษณะนูนๆ สีขาว
เกิดจากการเสื่อมของเยื่อบุตาบริเวณหัวตาและหางตา
แต่ยังไม่ลามเข้าตาดำ เมื่อเป็นมากขึ้น การเสื่อมของเยื่อบุตา
จะลามเข้าไปในตาดำกลายเป็นแผ่นเนื้อสีแดง เรียกว่าต้อเนื้อ
เพราะส่วนที่ยื่นเข้าไปในตาดำมักจะมีลักษณะคล้ายเนื้อ
สาเหตุยังไม่ทราบแน่ชัด แต่พบว่าการระคายเคืองเรื้อรังจากสิ่งแวดล้อมภายนอก
เช่น แสงแดดซึ่งมีรังสีอัลตราไวโอเลต ฝุ่นละออง ควัน
อาจเป็นสาเหตุของการเกิดโรค จึงมักพบโรคนี้ในกลุ่มผู้ที่ต้องทำงานกลางแดด
เช่น ชาวไร่ ชาวสวน ชาวประมง นอกเหนือไปจากกลุ่มผู้สูงอายุ


วิธีการป้องกันไม่ให้เกิดโรคนี้ คือ หลีกเลี่ยงแสงแดด ฝุ่นละออง ควัน
ทุกครั้งที่ต้องอยู่กลางแดด ให้ใส่หมวก ถือร่ม และสวมแว่นกันแดด
ที่ได้มาตรฐานที่สามารถกันรังสีอัลตราไวโอเลตได้จริง
ในผู้ที่เป็นแล้ว โรคนี้มักไม่ทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร
และไม่มีอันตรายใดๆ ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด ฝุ่นควัน
และปรึกษาจักษุแพทย์เมื่อมีอาการเคืองตามาก
เพื่อพิจารณาให้ยาหยอดตาที่เหมาะสม ไม่ควรซื้อยาหยอดตาใช้เอง
เพราะยาบางตัวอาจมีส่วนผสมที่อันตราย ในผู้ที่เป็นต้อเนื้อซึ่งลุกลาม
เข้าไปบนกระจกตาขนาดพอสมควร บังการมองเห็นหรือทำให้การมองเห็นลดลง
แพทย์จะพิจารณาให้การรักษาโดยการผ่าตัดลอกออก
ร่วมกับการตัดเอาเยื่อบุตาที่ปกติจากส่วนบนของลูกตามาปะลงบริเวณตาขาวที่ได้
รับการลอกต้อเนื้อออกไปแล้ว เพื่อเป็นการป้องกันการกลับเป็นซ้ำ
ซึ่งได้ผลดีมากกว่าวิธีอื่นๆ หลังการผ่าตัดผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บตา
ปวดเคืองตาอีกประมาณ 1-2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม การลอกต้อเนื้อไปแล้ว
อาจมีโอกาสกลับเป็นซ้ำได้อีกถ้ายังคงได้รับการระคายเคืองเรื้อรัง
จากสิ่งแวดล้อมภายนอกอยู่ โดยทั่วไปพบว่าต้อเนื้อที่กลับเป็นซ้ำ
มักจะใหญ่ลุกลามลึกกว่าเดิม เพราะฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการป้องกันการเกิดโรคนั่นเอง


โรคตาต้อที่กล่าวมาทุกโรค วิธีที่ดีที่สุดคือการป้องกันโรค
อันดับถัดไปคือการตรวจให้พบโรคตั้งแต่ในระยะแรกๆ
ในคนปกติทั่วไปแนะนำให้ตรวจสุขภาพตากับจักษุแพทย์อย่างน้อยหนึ่งครั้ง
ในช่วง อายุ 25-40 ปี และรับการตรวจทุก 2-4 ปีในช่วงอายุ 40-64 ปี
หลังจากนี้ควรได้รับการตรวจสุขภาพตาเป็นประจำอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง
แม้จะไม่มีอาการผิดปกติใดๆ เพื่อจะได้มีดวงตาที่ดี มองเห็นภาพที่สวยสดใสตลอดไป



ที่มา...นิตยสารHealthToday

:b48: :b8: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 18:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

อนุโมทนาสาธุด้วยครับคุณลูกโป่ง smiley smiley smiley

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 19:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

:b8: อนุโมทนา..สาธุ..จร้า..น้องลูกโป่ง :b8:

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร