วันเวลาปัจจุบัน 06 ต.ค. 2024, 20:44  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2009, 12:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

เทศกาลกินเจ กำหนดเอาวันตามจันทรคติ คือ เริ่มตั้งแต่ วันขึ้น 1 ค่ำ ถึง 9 ค่ำ เดือน 9
รวม 9 วัน 9 คืน นับตามปฏิทินจีน ซึ่งจะตรงกับเดือนตุลาคมของไทยเรา
โดยมีตำนานเล่าขานกันหลายตำนาน


สารบัญ

* 1 ความหมายของ เจ

* 2 ความหมายของธงเจ
o 2.1 สีแดง
o 2.2 สีเหลือง
o 2.3 สีขาว

* 3 ตำนานการกินเจ
o 3.1 ตำนานที่ 1 รำลึกถึงวีรชน 9 คน
o 3.2 ตำนานที่ 2 บูชาพระพุทธเจ้า
o 3.3 ตำนานที่ 3 ฝ่ายมหายาน
o 3.4 ตำนานที่ 4 พิธีบูชาเพื่อระลึกถึงราชวงศ์ซ้อง
o 3.5 ตำนานที่ 5 เล่าเอี๋ย
o 3.6 ตำนานที่ 6 เล่าเซ็ง
o 3.7 ตำนานที่ 7 การกินเจที่ภูเก็ต

* 4 อาหารเจ

* 5 เจกับมังสวิรัติ

* 6 กินเจเพื่ออะไร?
o 6.1 กินเพื่อสุขภาพ
o 6.2 กินด้วยจิตเมตตา
o 6.3 กินเพื่อเว้นกรรม

* 7 หลักธรรมในการกินเจ
o 7.1 การดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่นกล่าวคือ
o 7.2 การดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารที่ไม่เบียดเบียนตนเอง

* 8 การปฏิบัติตนในช่วงกินเจ

* 9 เจ็ดวันอันควรงดเว้นจากการกินเนื้อสัตว์
o 9.1 กินเจในวันเกิดของตนเอง
o 9.2 กินเจในวันเกิดของลูกหลาน
o 9.3 กินเจในวันแต่งงานหรือวันมงคลสมรส
o 9.4 กินเจในวันงานเลี้ยงเพื่อนฝูงญาติมิตร
o 9.5 กินเจในวันเซ่นไหว้บรรพบุรุษ
o 9.6 กินเจในงานทำบุญสร้างกุศลทุกโอกาส
o 9.7 กินเจในโอกาสขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์

* 10 ประโยชน์ของการกินเจ
o 10.1 ประโยชน์ของการกินเจในมุมมองของศาสนา
o 10.2 ประโยชน์ของการกินเจในมุมมองของแพทย์แผนปัจจุบันและแผนโบราณ
o 10.3 ประโยชน์ของการกินเจในมุมมองทางด้านโภชนาการ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2009, 12:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ความหมายของ เจ

คำว่า เจ ในภาษาจีนทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายานมีความหมายเดียวกับคำว่า อุโบสถ
ดังนั้นการกินเจก็คือการรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน
เหมือนกับที่ชาวพุทธในประเทศไทยที่ถืออุโบสถศีล หรือรักษาศีล 8
โดยไม่รับประทานอาหารหลังจากเที่ยงวันไปแล้ว

แต่เนื่องจากการถืออุโบสถศีลของชาวพุทธฝ่ายมหายานที่ไม่กินเนื้อสัตว์
จึงนิยมนำการไม่กินเนื้อสัตว์ไปรวมกันเข้ากับคำว่ากินเจ กลายเป็น การถือศีลกินเจ
ในปัจจุบันผู้ที่รับประทานอาหารทั้ง 3 มื้อแต่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ยังคงเรียกว่ากินเจ
ฉะนั้นความหมายก็คือคนกินเจมิใช่เพียงแต่ไม่กินเนื้อสัตว์
แต่ยังต้องดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม มีความบริสุทธิ์ สะอาด ทั้งกาย วาจา ใจ


"การกินเจ" ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หมายถึง
การถือศีลอย่างญวนและจีนที่ไม่กินของ สดคาว
แต่บริโภคอาหารประเภทผักที่ไม่มีของสดของคาวผสม
ซึ่งมาจากรากศัพท์คำภาษาจีนที่ว่า “เจียฉ่าย” หมายถึง การกินอาหารผัก
อาหารที่มาจากพืชผักธรรมชาติ ไม่มีเนื้อสัตว์ปะปน และไม่ปรุงด้วยผักฉุนทั้ง 5
ได้แก่ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุ้ยช่าย ใบยาสูบ
และงดเว้นน้ำนมสด นมข้น ด้วย เพราะถือว่าเป็นของสดของคาว

ประเพณีกินเจที่ชาวจีนเรียกกันว่า เก้าอ๊วงเจ หรือ กิ้วอ๊วงเจ แปลว่า เจเดือน 9
เริ่มต้นในวันขึ้น 1 ค่ำ ถึง 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีน รวม 9 วัน 9 คืน
ตรงกับเดือน 11 หรือเดือนตุลาคมของไทย (ตามปฏิทินสากล)
คำว่า "เก้าอ๊วง" หรือ กิ้วอ๊วง แปลว่า พระราชา 9 องค์ หรือนพราชา
หมายถึง ผู้เป็นใหญ่ทั้ง 9 ซึ่งเป็นที่มาของประเพณีกินผัก กินเจ


แก้ไขล่าสุดโดย อมิตาพุทธ เมื่อ 15 ต.ค. 2009, 14:12, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2009, 12:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ความหมายของธงเจ

อักษรแดง บนพื้นเหลือง เขียนว่า "ไจ" หรือ "เจ" มีความหมายว่า "ของไม่มีคาว"

ทำไมต้องใช้ธงสีเหลือง ตัวหนังสือสีแดง แต่งกายสีขาว?

สีแดง

เป็นสีที่ชาวจีนเชื่อว่าเป็นสีศิริมงคล ดังจะเห็นได้ว่าในงานมงคลต่างๆ ของคนจีน
ไม่ว่าจะเป็นงานแต่ง วันตรุษจีน

สีเหลือง

เป็นสีสำหรับใช้ในราชวงศ์ซึ่งอนุญาตให้ใช้ได้เพียงคนสองกลุ่มเท่านั้น
กลุ่มแรกคือ กษัตริย์ซึ่งเห็นได้จากหนังจีน เครื่องแต่งกายและภาชนะต่างๆ
เป็นสีเหลืองหรือทองซึ่งคนสามัญห้ามใช้เด็ดขาด
กลุ่มที่ส่องคือ อาจารย์ปราบผี ถ้าท่านสังเกตในหนังผีจีนจะเห็นว่าเขาแต่งกาย
และมียันต์สีเหลือง

สีขาว

ตามธรรมเนียมจีนสีขาวคือสีสำหรับการไว้ทุกข์ สีดำที่เราเห็นกันอยู่ในขณะนี้
เป็นการรับวัฒนธรรมตะวันตก ถ้าท่านสังเกตในพิธีงานศพของจีน
จะเห็นลูกหลานแต่งชุดสีขาวอยู่

สีซึ่งกล่าวมาทั้งหมดนี้สามารถนำไปเชื่อมโยงในตำนานข้างต้นที่กล่าวมาได้ทั้งหมด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2009, 13:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ตำนานการกินเจ

ตำนานที่ 1 รำลึกถึงวีรชน 9 คน

ชาวจีนกินเจเป็นการบำเพ็ญกุศลเพื่อรำลึกถึงวีรชน 9 คน ซึ่งเรียกว่า “หงี่หั่วท้วง”
ซึ่งได้ต่อสู้กับชาวแมนจูอย่างกล้าหาญถึงแม้จะแพ้ก็ตาม
ชาวบ้านได้พากันถือศีลกินเจนุ่งขาวห่มขาว เพราะเชื่อว่าการปฏิบัติเช่นนี้
จะช่วยชำระจิตวิญญาณเกิดความเข้มแข่งทางร่างกายและจิตใจ

ตำนานที่ 2 บูชาพระพุทธเจ้า

เพื่อเป็นการประกอบพิธีกรรมเพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้าใน อดีตกาล 7 พระองค์
และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ด้วยกัน
หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า “ดาวนพเคราะห์” ทั้ง 9 ได้แก่ พระอาทิตย์ พระจันทร์
พระอังคาร พระพุธ พระพฤหัสบดี พระศุกร์ พระเสาร์ พระราหู และพระเกตุ
ในพิธีกรรมบูชานี้สาธุชนในพระพุทธศาสนาสละเวลาทางโลก
มาบำเพ็ญศีลงดเว้นเนื้อสัตว์และแต่งกายด้วยชุดขาว

ตำนานที่ 3 ฝ่ายมหายาน

ผู้ถือศีลกินเจในพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาของชาวจีนในประเทศไทย
เพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้าในอดีลกาล 7 พระองค์ ดังมีในพระสูตร ปั๊กเต๊าโก๋ว
ฮุดเชียวไจเอียงชั่วเมียวเกง กล่าวไว้คือ พระวิชัยโลกมนจรพุทธะ
พระศรีรัตนโลกประภาโมษอิศวรพุทธะ พระเวปุลลรัตนโลกวรรณสิทธิพุทธะ
พระอโศกโลกวิชัยมงคลพุทธะ พระวิสุทธิอาศรมโลกเวปุลลปรัชญาวิภาคพุทธะ
พระธรรมมติธรรมสาครจรโลกมโนพุทธะ พระเวปุลลจันทรโภคไภสัชชไวฑูรย์พุทธะ
และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ คือพระศรีสุขโลกปัทมอรรถอลังการโพธิสัตว์
และพระศรีเวปุลกสังสารโลกสุขอิศวร โพธิสัตว์ รวมเป็น 9 พระองค์(หรือ “เก้าอ๊อง”)
ทรงตั้งปณิธานจักโปรดสัตว์โลก จึงได้แบ่งกายมาเป็นเทพเจ้า 9 พระองค์ด้วยกัน
คือ ไต้อวยเอี๊ยงเม้งทัมหลังไทแชกุน ไต้เจียกอิมเจ็งกื้อมึ้งงวนแชกุน
ไต้กวนจิงหยิ้งลุกช้งเจงแชกุน ไต้ฮั่งเฮี่ยงเม้งม่งเคียกนิวแชกุน
ไต้ปิ๊กตังง้วนเนี้ยบเจงกังแชกุน ไต้โพ้วปั๊กเก๊กบู๊เอียกกี่แชกุน
ไต้เพียวเทียนกวนพัวกุงกวนแชกุน ไต้ตั่งเม้งงั่วคูแชกุน ฮุ้ยกวงไตเพียกแชกุน
เทพเจ้าทั้ง 9 พระองค์ ทรงอำนาจตบะอันเรืองฤทธิ์
บริหารธาติดิน น้ำ ลม ไฟ และทอง ทั่วทุกพิภพน้อยใหญ่สารทิศ

ตำนานที่ 4 พิธีบูชาเพื่อระลึกถึงราชวงศ์ซ้อง

กินเจเพื่อเป็นการบูชากษัตริย์เป๊ง “กษัตริย์เป๊ง” เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ซ้อง
ซึ่งสิ้นพระชนม์โดยทรงทำอัตวินิบาต กรรม (การฆ่าตัวตาย)
ในขณะที่เสด็จไต้หวันโดยทางเรือ เมื่อมีพระชนนมายุได้ 9 พรรษา
พิธีบูชาเพื่อระลึกถึงราชวงศ์ซ้องนี้ มีแต่เฉพาะในมณฑลฮกเกี้ยน
ซึ่งเป็นดินแดนผืนสุดท้ายของราชวงศ์ซ้องเท่านั้น
โดยชาวฮกเกี้ยนได้จัดทำพิธีดังกล่าวนี้ขึ้นด้วยการอาศัยศาสนาบังหน้าการเมือง
การที่เผยแผ่มาสู่เมืองไทยได้นั้น เพราะชาวจีนแต้จิ๋ว
ที่อพยพจากฮกเกี้ยนนำมาเผยแผ่อีกทอดหนึ่ง

ตำนานที่ 5 เล่าเอี๋ย


1500 ปีมาแล้ว มณฑลกังไสเป็นดินแดนที่เจริญรุ่งเรืองมาก
ฮ่องเต้เมืองนี้มีพระราชโอรส 9 พระองค์ซึ่งเป็นเลิศทั้งบุ๋นและบู๊
จึงทำให้หัวเมืองต่างๆ ยอมสวามิภักดิ์ ยกเว้นแคว้นก่งเลี้ยดที่มีอำนาจเข้มแข็ง
และมีกองกำลังทหารที่เหนือกว่า ทั้งสองแคว้นทำศึกกันมาถึงครั้งที่ 4
แคว้นก่งเลี้ยดชนะโดยการทุ่มกองกำลังทหารที่มีทั้งหมดที่มากกว่าหลายเท่าตัว
โอบล้อมกองทัพพระราชโอรสทั้งเก้าไว้ทุกด้าน
แต่กองทัพก่งเลี้ยดไม่สามารถบุกเข้าเมืองได้จึงถอยทัพกลับ

จนวันหนึ่งชาวกังไสเกิดความแตกสามัคคีและเอาเปรียบกัน
เทพยดาทราบว่าอีกไม่นานกังไสจะเกิดภัยพิบัติจึงหาผู้อาสาช่วย
แต่ชาวบ้านจะพ้นภัยได้ก็ต่อเมื่อได้สร้างผลบุญของตนเอง
ดวงวิญญาณพระราชโอรสองค์โตรับอาสาและเพ่งญาณ
เห็นว่าควรเริ่มที่บ้านเศรษฐีใจบุญ ลีฮั้วก่าย

คืนวันหนึ่งคนรับใช้แจ้งเศรษฐีลีฮั้วก่ายว่ามีขอทานโรคเรื้อนมาขอพบเศรษฐี
จึงมอบเงินจำนวนหนึ่งให้เป็นค่าเดินทาง แต่ขอทานไม่ไปและประกาศให้ชาวเมือง
ถือศีลกินเจเป็นเวลา 9 วัน 9 คืนผู้ใดทำตามภัยพิบัติจะหายไป
เศรษฐีนำมาปฏิบัติก่อนและผู้อื่นจึงปฏิบัติตาม
จนมีการจัดให้มีอุปรากรเป็นมหรสพในช่วงกินเจด้วย

เล่าเอี๋ยเกิดศรัทธาประเพณีกินเจของมณฑลกังไสจึงได้ศึกษา
ตำราการกินเจของเศรษฐีลีฮั้วก่ายที่บันทึกไว้ แต่ได้ดัดแปลงพิธีกรรมบางอย่าง
ให้รัดกุมยิ่งขึ้นและให้มีพิธียกอ๋องส่องเต้ (พิธีเชิญพระอิศวรมาเป็นประธานในการกินเจ)

ตำนานที่ 6 เล่าเซ็ง

ชายขี้เมานามว่า เล่าเซ็ง เข้าใจผิดคิดว่าแม่ตนตายไปเพราะเป็นโรคขาดสารอาหาร
จนคืนหนึ่งแม่ได้มาเข้าฝันบอกว่า แม่ตายไปได้รับความสุขมาก
เพราะแม่กินแต่อาหารเจและตอนนี้แม่อยู่บนเขาโพถ้อซัว ตั้งอยู่บนเกาะน่ำไฮ้
ในมณฑลจิ๊ดเจียงถ้าลูกอยากพบแม่ให้ไปที่นั่น

ครั้นถึงเทศกาลไหว้พระโพธิสัตว์กวนอิมที่เขาโพถ้อซัว
เล่าเซ็งอยากไปแต่ไปไม่ถูกจึงตามเพื่อนบ้านที่จะไปไหว้พระโพธิสัตว์
เพื่อนบ้านเห็นเล่าเซ็งสัญญาว่าจะไม่กินเหล้าและเนื้อสัตว์จึงให้ไปด้วย
ระหว่างทางเดินสวนกับคนขายเนื้อเล่าเซ็งลืมสัญญาที่ให้ไว้เพื่อนบ้านก็หนีไป
โชคดีที่มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินผ่านมา
และต้องการไปไหว้พระโพธิสัตว์เล่าเซ็ง จึงขอตามนางไป

เมื่อถึงเขาโพถ้อซัวขณะที่เล่าเซ็งก้มลงกราบไหว้พระโพธิสัตว์นั้น
เขาเห็นแม่ลอยอยู่เหนือกระถางธูปที่คนอื่นมองไม่เห็น
ขณะเดินทางกลับเขาได้แยกทางกับหญิงสาวและได้พบเด็กชายคนหนึ่งยืนร้องไห้อยู่
จึงเข้าไปถามไถ่ได้ความว่าเป็นลูกของเขากับภรรยาที่เลิกกันไปนานแล้ว
เขาจึงพาไปอยู่ด้วยแล้ววันหนึ่งหญิงสาวที่นำทางไปเขาโพถ้อซัวมาขออาศัยอยู่ด้วย
ทั้งสามอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

หญิงสาวผู้นั้นเป็นสาวบริสุทธิ์ประพฤติตนเป็นคนดีอยู่ในศีลธรรมและถือศีลกินเจอยู่เนืองนิตย์
นางรู้ว่าใกล้ถึงวันตายของนางแล้วจึงบอกเล่าเซ็ง เมื่อถึงวันนั้นนางอาบน้ำแต่งตัวด้วยอาภรณ์
ที่ขาวสะอาดแล้วนั่งสักครู่ก็สิ้นลม เล่าเซ็งเห็นการจากไปด้วยดีของนางคล้ายกับแม่
จึงเกิดศรัทธายกสมบัติให้ลูกชายแล้วประพฤติตนใหม่
เมื่อตายไปจะได้บังเกิดผลเช่นเดียวกับแม่และหญิงสาวและประเพณีกินเจจึงเริ่มขึ้น

ตำนานที่ 7 การกินเจที่ภูเก็ต


มีคณะงิ้วจากเมืองจีนมาเปิดการแสดงที่กะทู้นานเป็นแรมปี
แล้วบังเอิญช่วงนั้นเกิดโรคระบาดขึ้นคณะงิ้วจึงจัดให้มีพิธีกินเจและสร้างศาลเจ้าขึ้น
เพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ หลังจากนั้นโรคภัยไข้เจ็บก็หายสิ้น
ชาวกะทู้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาจึงปฏิบัติตาม และหลังจากประกอบพิธีอยู่ประมาณ 2-3 ปี
ผู้ศรัทธามากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับอยากได้พิธีกินเจที่สมบูรณ์ตามแบบประเพณีมณฑลกังไส
ประเทศจีน จึงได้ส่งตัวแทนไปนำควันธูป (เหี่ยวเอี้ยน) ในการเดินทางกลับ
จะต้องคอยจุดธูปต่อกันมิให้ดับมอด
ศาลเจ้ากะทู้จึงได้ชื่อว่าเป็นต้นตำรับของพิธีกินเจในปัจจุบัน


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 26 ต.ค. 2009, 12:44, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2009, 13:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

อาหารเจ

ปัจจุบันมีการยอมรับกันโดยทั่วไปถึงคุณค่าของ "อาหารเจ"
เนื่องจากการรับประทานพืชผักในปริมาณที่มากกว่าปกติ งดเว้นเนื้อสัตว์
ทำให้กระเพาะได้พักจากภารกิจการย่อยเนื้อสัตว์ที่ทำประจำอยู่
และได้รับวิตามินเข้าไปเสริมสร้าง ซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอ
รวมทั้งได้โปรตีนจากถั่วชนิดต่างๆ ซึ่งแตกต่างจากโปรตีนที่เราได้รับจากเนื้อสัตว์
ช่วงเวลานี้จึงถือเป็นช่วงที่ร่างกายได้พักผ่อนจากการรับสารอาหารย่อยยาก
จากแหล่งอาหารต่างๆ รวมทั้งยังได้รับพลังใจจากการที่ปฏิบัติตัวอยู่ในศีล
ทำให้จิตใจอิ่มเอิบ เบาสบาย

หลายคนคิดว่า การรับประทานแต่อาหารเจจะทำให้เกิดโรคขาดอาหาร
ทั้งที่สาเหตุสำคัญของการเกิดโรคขาดอาหารนั้น
มาจากการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกหลัก
ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งกับผู้ที่กินเนื้อสัตว์และกินเจ
ซึ่งมีนิสัยการบริโภคที่ไม่คำนึงถึงคุณค่าของสารอาหารที่ได้รับ
คนที่กินเจอย่างถูกหลักก็จะได้รับอาหารที่มีคุณค่า
มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายอย่างครบถ้วนสมบูรณ์
การประกอบอาหารเจเพื่อรับประทานในช่วงนี้
จึงสามารถเลือกอาหารพวก ข้าวกล้อง (ใช้แทนข้าวขาว)
โปรตีนเกษตร (แทนเนื้อสัตว์) ผักสด เห็ดหอม ถั่วนานาพันธุ์
เต้าหู้ แป้งหมี่กึง ทดแทน และผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำเป็นอาหารชนิดต่างๆ


เจกับมังสวิรัติ

อาหารมังสวิรัติ คือ อาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบเช่นเดียวกับอาหารเจ
แต่หากเป็นมังสวิรัตินั้น สามารถนำผักทุกชนิดมาประกอบอาหารได้
แต่อาหารเจ ต้องงดเว้นผักฉุน 5 ประเภท (ดังที่กล่าวมาแล้ว)
รวมทั้งของเสพติดทุกชนิด และยังคงต้องประพฤติศีลร่วมด้วย
จึงจะเป็นการ ถือศีล-กินเจ ที่แท้จริง
ในขณะที่มังสวิรัติ หมายรวมถึงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์เท่านั้น

การกินเจ นอกจากจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของการสร้างบุญกุศลด้วยการละ เลิก เพื่อชีวิตแล้ว
ในแง่ของสุขภาพร่างกายก็พลอยได้รับประโยชน์ร่วมด้วย
เพราะถือเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่ร่างกายมีโอกาสพักผ่อน
จากการย่อยอาหารประเภทที่ย่อยยากทั้งหลาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2009, 13:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

กินเจเพื่ออะไร?

ผู้ที่กินเจอาจจะมีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกันไป
แต่จุดประสงค์หลักสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทดังนี้

กินเพื่อสุขภาพ

อาหารเจเป็นอาหารประเภทชีวจิต เมื่อกินติดต่อกันไปช่วงเวลาหนึ่ง
จะทำให้ร่างกายเกิดการปรับตัวให้อยู่ในสภาวะสมดุล
สามารถขับพิษของเสียต่างๆ ออกจากร่างกายได้ ปรับระบบไหลเวียนโลหิต
ระบบทางเดินอาหารให้มีเสถียรภาพ

กินด้วยจิตเมตตา

เนื่องจากอาหารที่เรากินอยู่ในชีวิตประจำวัน ประกอบด้วยเลือดเนื้อของสรรพสัตว์
ผู้มีจิตเมตตา มีคุณธรรมและมีจิตสำนึกอันดีงามย่อมไม่อาจกินเลือดเนื้อของสัตว์เหล่านั้น
ซึ่งมีเลือดเนื้อ จิตใจและที่สำคัญมีความรักตัวกลัวตายเช่นเดียวกับคนเรา

กินเพื่อเว้นกรรม

ผู้ที่เข้าใจอย่างลึกซึ้งย่อมตระหนักว่าการกินซึ่งอาศัยการฆ่า
เพื่อเอาเลือดเนื้อผู้อื่นมาเป็นองเราเป็นการสร้างกรรม
แม้ว่าจะไม่ได้เป็นผู้ลงมือฆ่าเองก็ตาม การซื้อจากผู้อื่นก็เหมือนกับการจ้างฆ่า
เพราะถ้าไม่มีคนกินก็ไม่มีคนฆ่ามาขาย กรรมที่สร้างนี้จะติดตามสนองเราในไม่ช้า
ทำให้สุขภาพร่างกายอายุขัยของเราสั้นลงเป็นบ่อเกิดของโรคภัยไข้เจ็บ
เมื่อผู้หยั่งรู้เรื่องกฎแห่งกรรมนี้จึงหยุดกินหยุดฆ่าหันมารับประทานอาหารเจ
ซึ่งทำให้ร่างกายเติบโตได้เหมือนกัน โดยไม่เห็นแก่ความอร่อยช่วงเวลาสั้นๆ
เพียงแค่อาหารผ่านลิ้นเท่านั้น


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 26 ต.ค. 2009, 12:45, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2009, 13:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

หลักธรรมในการกินเจ

ในทัศนะของคนกินเจ การกินที่ทำให้ชีวิตผู้อื่นต้องเดือดร้อนล้มตายนั้น
“มันมากเกินไป” ทั้งๆ ที่มนุษย์กินแต่อาหารพืชผักก็สามรถมีชีวิตอยู่ได้

การกินเจตั้งมั่นอยู่บนหลักธรรมสำคัญ 2 ประการ

การดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น กล่าวคือ

* ไม่เอาชีวิตของสัตว์ทั้งหลายมาต่อเติมบำรุงเลี้ยงชีวิตของตน

* ไม่เอาเลือดของสัตว์ทั้งหลายมาเป็นเลือดของตน

* ไม่เอาเนื้อของสัตว์ทั้งหลายมาเป็นเนื้อของตน

การดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารที่ไม่เบียดเบียนตนเอง

การรับประทานสิ่งใดก็ตามที่ทำลายสุขภาพร่างกายของตนให้ทรุดโทรม
คือ การเบียดเบียนตนเอง ปัจจุบันวิทยาการเจริญก้าวหน้าได้พิสูจน์ยืนยันว่า
เลือดและเนื้อของสัตว์ที่ถูกฆ่าตายเต็มไปด้วยพิษภัยมากมาย

ดังนั้นการกินเจจึงไม่ใช่เพื่อให้เกิดผลดีต่อจิตใจเท่านั้น
แต่ยังครอบคลุมไปถึงการมีสุขภาพพลานามัยที่ดีอีกด้วย
ร่างกายและจิตใจเป็นของคู่กันมีความสัมพันธ์ส่งผลถึงกัน
คนเราย่อมไม่อาจจะรู้สึกเบิกบานสดชื่นร่าเริงได้
ในขณะที่ร่างกายเจ็บป่วยทรุดโทรมย่ำแย่



การปฏิบัติตนในช่วงกินเจ

เมื่อตั้งมั่นที่จะปฏิบัติศีลและกินเจ ในช่วงเทศกาลกินเจ 9 วัน 9 คืนนี้แล้ว
ก็ควรจะศึกษาข้อห้ามต่างๆ ที่บัญญัติไว้เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติตัว
โดยทั่วไปแล้วจะมีข้อปฏิบัติดังนี้

* งดเว้นเนื้อสัตว์ หรือทำอันตรายต่อสัตว์

* งด นม เนย หรือน้ำมันที่มาจากสัตว์

* งดอาหารรสจัด หมายถึง อาหารรสเผ็ดมาก เค็มมาก หวานมาก เปรี้ยวมาก

* งดผักกลิ่นฉุน 5 ชนิด คือ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุยช่าย ใบยาสูบ
รวมทั้งเครื่องเทศที่มีกลิ่นฉุน

* รักษาศีล 5

* รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ รักษาอารมณ์ให้คงที่

* ทำบุญ ทำทาน บางคนที่เคร่งอาจนุ่งขาว ห่มขาว


สำหรับคนที่กินเจอย่างเคร่งครัด นอกจากจะ “ถือศีล-กินเจ”
แล้วยังต้องเลือกผู้ปรุงอาหารเจที่กินเจด้วย เพื่อให้ “อาหารเจ” นั้นบริสุทธิ์จริงๆ
บางคนจะมีการคัดแยกภาชนะที่บรรจุอาหารหรือใช้ปรุงอาหาร
แยกจากที่ใช้ใส่อาหารที่มีเนื้อสัตว์อย่างเด็ดขาด และในบางแห่งอาจพบว่า
มีการจุดตะเกียงเก้าดวงไว้เป็นเวลา 9 วันตลอดระยะเวลาการกินเจ
เพื่อเป็นการรำลึกถึงบุญคุณพ่อแม่ญาติพี่น้อง และเพื่อเป็นพุทธบูชา


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 26 ต.ค. 2009, 12:36, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2009, 13:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


เจ็ดวันอันควรงดเว้นจากการกินเนื้อสัตว์

แม้ว่าจะมีผู้คนจำนวนมากที่ยังคงเข่นฆ่ากินเลือดกินเนื้อสัตว์ทุกวัน
แต่อย่างน้อยที่สุดควรหยุดคิดสักนิดให้เห็นถึงความสำคัญของวันทั้ง 7
ที่ควรงดเว้นเนื้อสัตว์เพื่อเป็นมงคลชีวิตสู่ความสำเร็จของตนเองและครอบครัว
ถือเป็นมหากุศลและเมตตาธรรมสูงสุด

กินเจในวันเกิดของตนเอง

วันที่เราได้เกิดมามีชีวิตไม่ควรทำลายผู้อื่น
สัตว์ทั้งหลายเมื่อถือกำเนิดมาบนโลกต่างก็อยากมีชีวิตอยู่ยืนยาว
เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่งที่ไปฆ่าผู้อื่นแล้วกินเลือดกินเนื้อเขา
เพื่อฉลองวันเกิดของตนเองซึ่งเป็นการตัดทอนอายุขัยของผู้อื่นให้สั้นลง
แล้วจะหวังให้ตนเองมีอายุยืนยาวได้อย่างไร

กินเจในวันเกิดของลูกหลาน

ในวันเกิดของลูกหลานวันที่ชีวิตใหม่ถือกำเนิดผู้เป็นพ่อแม่ต่างชื่นชมยินดีเป็นที่สุด
ลูกของเราเรารักดังแก้วตาดวงใจยามลูกนอนก็คอยปัดเป่าพัดวีแม้แต่ยุง
เหลือบ ริ้น ไร มิยอมให้ขบกัด สัตว์ทุกตัวก็รักลูกของเขาเช่นเดียวกับมนุษย์
ดวงใจของผู้เป็นพ่อแม่ ไม่มีแบ่งแยกว่าเป็นมนุษย์หรือสัตว์
ลูกของใครใครก็รักเพราะฉะนั้นวันที่เราได้ลูกต่างสุดแสนดีใจ
แล้วทำไมจึงต้องทำให้ผู้อื่นเสียใจที่ลูกต้องตายจากไป

กินเจในวันแต่งงานหรือวันมงคลสมรส

วันแต่งงานหรือวันมงคลสมรสเป็นวันที่มีความหมายอย่างยิ่งในชีวิต
ในชั่วชีวิตของแต่ละคนจะมีงานมงคลนี้เพียงครั้งเดียว
ทุกคนเมื่อแต่งงานกันแล้วต่างก็อยากมีชีวิตที่ยั่งยืนได้ครองรักกันไปจนแก่เฒ่า
คู่รักของใครต่างก็รักและหวงแหนไม่ยอมให้ผู้ใดมาทำอันตราย
สัตว์ก็มีคู่ชีวิตรู้จักรักและหวงแหนเช่นกัน หากวันที่เราได้คู่ชีวิตมาเคียงข้าง
กลับเป็นวันที่เราพรากชีวิตคู่ของผู้ อื่นมานั้นมันช่างไม่ยุติธรรมเลย
ดังนั้นวันที่เราแต่งงานได้คู่ครองจึงไม่ควรพราดชีวิตสัตว์อื่น

กินเจในวันงานเลี้ยงเพื่อนฝูงญาติมิตร

ในโอกาสจัดงานเลี้ยงสังสรรค์รับรองเพื่อนฝูงญาติมิตรทุกคน
ที่มาร่วมชุมนุมต่างปลื้มปีติที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง
โอกาสที่น่ายินดีเช่นนี้เราไม่ควรใช้ชีวิตเลือดเนื้อของผู้อื่นมาเลี้ยงฉลอง
เพราะขณะที่เราดีใจที่ฉลองด้วยเลือดเนื้อผู้อื่น
แต่สัตว์ทั้งหลายต่างโศกเศร้าเสียใจที่ต้องตายจากกันไป
หากจัดเลี้ยงเพื่อนฝูงด้วยอาหารพืชผักและผลไม้ถือได้ว่าเป็นบุญกุศลยิ่งใหญ่
ที่บังเกิดขึ้นแก่เพื่อนฝูงผู้มาร่วมงาน
ซึ่งถือว่าเป็นความปีติยินดีให้แก่ทุกฝ่ายอย่างแท้จริง

กินเจในวันเซ่นไหว้บรรพบุรุษ

ผู้ที่มีความกตัญญูที่แท้จริงไม่พึงกระทำอย่างยิ่งในงานบำเพ็ญกุศลอุทิศ
ให้แก่ผู้ที่เราเคารพรัก ทุกคนรู้สึกโศกเศร้าเสียใจที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป
ฉะนั้นในงานศพจึงไม่ควรทำให้สัตว์ทั้งหลายต้องตายตามไปด้วย
ดวงวิญญาณของคนที่เขาเคาระรักเหล่านั้นย่อมจะจากไปโดยไม่มีความสงบสุขแน่
หากรู้ว่างานศพของตนเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้อื่นต้องล้มตายลงอย่างมากมาย

กินเจในงานทำบุญสร้างกุศลทุกโอกาส

คนเรามีโอกาสประสบสิ่งดีๆ ในชีวิตมีโอกาสที่ได้สร้างบุญกุศลอยู่เสมอ
เช่น วันขึ้นปีใหม่หรือวันทำบุญอื่นๆ การจัดงานทำบุญในวันเหล่านี้
ทุกคนต่างก็มุ่งหวังให้ตนมีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้ายิ่ง
ให้มีชีวิตที่ดีได้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขตลอดไป
ฉะนั้นในงานสร้างบุญกุศลทุกงานจึงไม่สมควรเลี้ยงพระ เณร แขกเหรื่อ
และเพื่อนฝูงด้วยชีวิตและความตายของสัตว์
เพราะเหตุนี้ในโอกาลงานบุญงานกุศลที่เราทุกคนปรารถนา
แต่ความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าอยู่เย็นเป็นสุข
จึงไม่ควรสร้างบาปซึ่งเป็นเหตุให้ชีวิตผู้อื่นต้องตาย
[แก้ไข] กินเจในโอกาสขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ในโอกาสที่ไปกราบไหว้สักการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ว่าพระองค์ใดก็ตาม
ทุกคนควรชำระล้างปาก ลิ้น ให้สะอาดด้วยการกินเจ
กระทำตนให้สะอาดทั้งกายวาจาและจิตใจ
เมื่อนั้นก็จะบังเกิดความสุขความเจริญเป็นสิริมงคลแก่ตัวเราเอง
การถวายเครื่องสักการะอื่นใดแม้จะมีราคาแพงสักเท่าไร
มันก็เป็นเพียงวัตถุสิ่งของเท่านั้น ขอให้ทุกคนจงนำเอา “จิตใจอันดีงาม”
ซึ่งมีอยู่แล้วในตัวของทุกๆ คนออกมาถวายเป็นเครื่องสักการะต่อสิ่งศักดิ์สิทธ์เบื้องบน
จิตใจที่มีแต่ความบริสุทธิ์ดีงามของมนุษย์นี่แหละเป็นเครื่องสักการะอันล้ำค่าที่สุด


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 26 ต.ค. 2009, 12:47, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2009, 13:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ประโยชน์ของการกินเจ

ประโยชน์ของการกินเจทุกคนไม่จำเป็นต้องมองแง่เดียวกัน
การปฏิบัติในการกินเจก็ไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ทั้งหมด
เพียงแต่ยึดหลักที่เป็นหลักสำคัญในการกินเจไว้ก็เพียงพอแล้ว
คือ การงดเว้นการกินเนื้อสัตว์ เลือกกินเฉพาะพืช ผัก ผลไม้
ซึ่งในส่วนนี้เกิดจากแง่มุมมองการกินเจบนปลายทางของผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน
โดยทั่วไปจะมีการมองประโยชน์ของการกินเจในมุมมองต่อไปนี้

ประโยชน์ของการกินเจในมุมมองของศาสนา


มุมมองของศาสนา จะมองประโยชน์ของการกินเจในแง่ของชีวิตและจิตใจ ได้แก่

* บังเกิดเมตตาจิต เกิดความสงบ สุขุม เยือกเย็น
อารมณ์ไม่ฉุนเฉียว ไม่หุนหันพลันแล่น ไม่โมโหง่าย
ดวงธรรมญาณอันบริสุทธิ์จะปรากฏออกมา
ซึ่งจะช่วยเกื้อกูลส่งเสริมให้บารมีธรรมสูงขึ้นเรื่อยๆ

* ทำให้มีสติมั่งคง มีสมาธิแน่วแน่ ไม่ประมาทเลินเล่อ
เป็นประโยชน์ ต่อการดำเนินชีวิต และการทำงาน สามารถรอดพ้นจากภัยต่างๆ
เช่น ภัยธรรมชาติ ภัยจากสัตว์ ภัยจากเคราะห์กรรม
เมื่อวิญญาณออกจากร่างก็จะไปสู่ภพภูมิที่ดี

* หยุดการทำบาป ตัวเวรกรรมที่ผูกพัน ทำให้ไม่เกิดการอาฆาต พยาบาท
ทำให้ปราศจากศัตรูทั้งมนุษย์และสัตว์ที่คิดมุ่งทำร้ายตามจองเวร

* หลังจากกินเจต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานาน สิ่งไม่ดีจะถูกขับออกไป
ความรู้สึกขุ่นมัวมืดมนจะหมดไป ความสดใสจะปรากฏขึ้นในจิตใจ
ถ่ายทอดออกไปสู่ใบหน้าให้มีความสะอาดสดใส

* ผู้ที่กินเจ รวมทั้งครอบครัวและบุตรหลาน และคนในปกครอง
จะเกิดความรุ่งเรืองในชีวิต มีเหตุให้เกิดอยู่ในดินแดนอารยะ มีแต่ความอุดมสมบูรณ์
ปราศจากการทำร้าย รบราฆ่าฟัน ไม่มุ่งร้ายทำลายชีวิตซึ่งกันและกัน

* ทำให้จิตสะอาดไม่ฟุ้งซ่าน จิตที่สะอาดจะทำให้มองเห็นกายอันแท้จริง
สามารถสู่นิพพานได้ในที่สุด

* เทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ความคุ้มครองอารักขา
ไม่ให้สิ่งเลวร้ายหรือวิญญาณชั้นต่ำเข้ามาทำร้าย

ผู้ที่มองประโยชน์ของการกินเจในแง่ของศาสนา
จะมีการปฎิบัติที่เคร่งครัดกว่า การมองประโยชน์ของการกินในแง่อื่น
ซึ่งมักจะให้ผลที่สามารถมองเห็นได้
อย่างเกินคาดเกินความคิดคำนึงพื้นฐานของคนทั่วไป
เช่น การลุยไฟ การใช้เหล็กเสียบแทงตนเองหรือม้าทรงต่างๆ
ในเทศกาลกินเจที่จังหวัดภูเก็ต และจังหวัดตรังนั่น
คือ ความเชื่ออันแรงกล้าทำให้เกิดสิ่งที่คนคิดว่าเป็นไปไม่ได้เสมอ


ประโยชน์ของการกินเจในมุมมองของแพทย์แผนปัจจุบันและแผนโบราณ

* ให้พลังเย็น โดยได้รับพลังงานจากฟรุกโตส ซึ่งมีในผักและผลไม้
เป็นพลังงานที่ไม่ทำร้ายร่างกาย

* ช่วยขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ทำให้ไม่มีสารพิษตกค้าง
เพราะ กากใยในพืชผักช่วยระบบการย่อยและระบบขับถ่าย
ทำให้ไม่เป็นโรคเกี่ยวกับลำไส้ รวมถึงโรคที่เกิดจากระบบขับถ่ายผิดปกติต่างๆ
เช่น โรคริดสีดวงทวาร

* หากรับประทานเป็นประจำ จะช่วยฟอกโลหิตในร่างกายให้สะอาด
เซลล์ต่างๆ ในร่างกายจะเสื่อมช้าลง ทำให้ผิวพรรณผ่องใส มีอายุยืนยาว
สายตาดี แววตาสดใส ร่างกายแข็งแรง มีความต้านทานโรค
มีความคล่องตัว รู้สึกเบาสบายไม่อึดอัด

* ทำให้ปราศจากโรคร้ายต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ
โรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน โรคตับ โรคสำไส้ โรคเกาต์ ฯลฯ
เพราะได้รับอาหารธรรมชาติที่มีประโยชน์ ซึ่งไม่เป็นสาเหตุของโรคต่างๆ
และยังช่วยป้องกันโรคร้ายเหล่านี้

* อวัยวะหลักของร่างกาย และอวัยวะเสริมทั้ง 5 ทำงานได้อย่างเต็มสมรรถภาพ
อวัยวะหลัก ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด อวัยวะเสริมทั้ง 5
ได้แก่ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะ ปัสสาวะ กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี

* ผู้ที่กินเจ จะมีร่างกายที่สามารถต้านทานต่อสารพิษต่างๆ ได้สูงกว่าคนปกติทั่วไป
ได้แก่ ยากำจัดศัตรูพืช ยาฆ่าแมลง หรือสารเคมีที่เป็นอันตราย อื่นๆ

อวัยวะหลัก ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด
มลภาวะที่เกิดจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์
ทั้งจากรถยนต์และโรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ
ซึ่งมีปะปนอยู่ในอากาศรวมถึงแหล่าอาหารและน้ำดื่ม

* กัมมันตภาพรังสี จากการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ และ การทำสงคราม
สารอาหารจากพืชพัก ช่วยให้เซลล์ในร่างกายทนต่อการทำลายจากกัมมันตภาพรังสีได้

ในทางการแพทย์ การกินเจ
มีประโยชน์ในการรักษาโรคที่สามารถพิสูจน์และมองเห็นได้จัดเจนกว่า
แม้ว่าการปฎิบัติจะไม่เคร่งครัดเท่ากับความต้องการประโยชน์ทางด้านศาสนา

ประโยชน์ของการกินเจในมุมมองทางด้านโภชนาการ

การกินเจ มักจะมีคนสงสัยว่า ได้อาหารครบ 5 หมู่หรือไม่
โดยเฉพาะโปรตีน ซึ่งคนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่า
โปรตีนในเนื้อสัตว์เป็นโปรตีนที่มีคุณภาพดีกว่าโปรตีนในพืช
ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด เพราะแท้จริงแล้วมีคุณค่าทางอาหารใกล้เคียงกัน
และโปรตีนในถั่วยังมีถึง 10 ชนิด ด้วยกัน
นอกจากนี้อาหารในหมู่อื่นก็ยังมีอยู่ในพืชครบทั้งสิ้น
จึงขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการกินอาหารมากกว่าว่ากินครบ 5 หมู่หรือไม่


ขอขอบคุณข้อมูลจาก...
- วิกิพีเดีย
- สำนักงานหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง
- วิทยสถานแห่งวัฒนธรรมตะวันออก
- ห้องสมุดการแพทย์และสุขภาพ
- ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต

ที่มา...คลังปัญญาไทย
http://www.panyathai.or.th/wiki/index.p ... 0%E0%B8%88

:b48: :b8: :b48:

:b44: รวมกระทู้ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับ “การกินเจ-มังสวิรัติ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=19&t=39721


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 26 ต.ค. 2009, 12:46, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2009, 14:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


ทานเจหนึ่งมื้อ หมื่นชีวิตรอดตาย

อนุโมทนา สาธุ กับคุณ ลูกโป่ง ด้วยครับ :b8: :b8:

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2009, 06:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2009, 04:12
โพสต์: 1067


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: อนุโมทนาสาธุ คุณลูกโป่ง สำหรับความเข้าใจเรื่อง
เทศกาลกินเจ หวัดดีค่ะ คุณวรานนท์ วันนี้เพิ่งเห็น
คุณอมิตาพุทธ หายไปนานเลย สวัสดีค่ะ :b8:
คนไร้สาระ ก็มีโอกาสได้ทานเจ อยู่บ่อย ๆ :b8:

.....................................................
...นฺตถิตัณหา สมานที...
ห้วงน้ำใหญ่โต เสมอด้วยตัณหาไม่มี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2009, 07:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2004, 08:57
โพสต์: 154


 ข้อมูลส่วนตัว




anumotana.gif
anumotana.gif [ 21.01 KiB | เปิดดู 8832 ครั้ง ]
ได้เวลาชำระกายใจให้สะอาดขึ้น หลังกินเจแล้วจะรู้สึกว่าจิตใจสงบขึ้นอย่างมาก tongue
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2009, 15:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.ย. 2007, 23:29
โพสต์: 1065


 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุด้วยค่า...คุณลูกโป่ง

:b4: :b8: :b8: :b8: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2009, 18:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ม.ค. 2008, 20:41
โพสต์: 448

ที่อยู่: bangkok, Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว




chicken in feces & dirt.j.jpg
chicken in feces & dirt.j.jpg [ 26.74 KiB | เปิดดู 8776 ครั้ง ]
กลอนสะกิดใจ

สัพเพ สัตตา เสียงร้องขอ ชีวิตจิตหวั่นไหว

เสียงห่ำหั่น เข่นฆ่า น่าสยอง

เสียงซวบซาบ ดาบคมเชือด เลือดไหลนอง

เสียงกรีดร้อง สะท้านจิต สะกิดใจ

เสียงสัพเพ สัตตา พาให้คิดว่าชีวิตนี้ มีค่า กว่าสิ่งไหน

อเวรา อย่ามีเวร อย่ามีภัย
ชีวิตใคร ใครก็หวง อย่าล่วงเกิน

ท่องสัพเพ สัตตา มาแต่ไหน ยังเข้าใจ ในเนื้อแท้ ้แค่ผิวเผิน

ยังฆ่าบ้าง กินบ้าง อย่างเพลิดเพลิน ยังใช้เงิน ซื้อชีวิต อนิจจา

สัตว์เกิดกาย มาใช้กรรม ที่ทำไว้ เป็นเป็ดไก่ กุ้งปลา ูและหมูหมา

ตามเหตุต้น ผลกรรม ที่ทำมา มิใช่ฟ้า ประทานมา ให้คนกิน

มีปัญญา แต่ไฉน จึงไม่คิด
มองชีวิต กลับเห็น เป็นทรัพย์สิน

เสียงกรีดร้อง ก่อนตาย ใครได้ยิน น้ำตาริน เมื่อถูกเฉือด เลือดกระเซ็น

พูดว่าเขา เกิดมา เป็นอาหาร เขาลนลาน หนีตาย ใครมองเห็น

เขาจนใจ พูดไม่ได ้เถียงไม่เป็น ช่างเลือดเย็น เข่นฆ่า ไม่ปราณี

มีพืชผัก มากมาย นับไม่ถ้วน ทุกกลิ่นรส สดใส หลายหลากสี

ธรรมชาติ วางไว้ อย่างดิบดี สัตว์วิ่งหนี พืชเต็มใจ ให้กินมัน

เพราะเรากิน เขาจึงฆ่า เอามาขาย เราสบาย แต่สัตว์โลก ต้องโศกศัลย์

ท่องสัพเพ สัตตา มาทุกวัน
เมตตากัน โปรดอย่าฆ่า และอย่ากิน



ประพันธ์โดย
คุณประวิทย์ ชัยศิริสัมพันธ์

ใครๆ ก็ไม่รักผม

หนีกันเถอะ

ให้โลกเราสวยพวกเราต้องช่วยกันไม่เบียดเบียนกันแล้วโลกนี้จะสดใส

-----------------------------------------------------------------------------------
อ้างอิงจากเวป

ชีวิตในวฎสงสาร ต่างเวียนว่าย วัฏฏะชาติ อนาถภพ " แด่ชีวิตเพื่อนร่วมโลก ต่างเวียนว่าย วัฏฏะชาติ อนาถภพ
บ้างประสบ ถูกเขาฆ่า บ้างฆ่าเขา
ยุติธรรม คือกรรม ที่ตามเรา
วิบากเก่า ไม่ลืมชาติ ไม่ขาดอายุความ

ชีวิต ในวฎสงสาร

ต่างเวียนว่าย วัฏฏะชาติ อนาถภพ
บ้างประสบ ถูกเขาฆ่า บ้างฆ่าเขา
ยุติธรรม คือกรรม ที่ตามเรา
วิบากเก่า ไม่ลืมชาติ ไม่ขาดอายุความ อ่านจากเวปข้างล่าง น่าสนใจ


http://www.watsai.net/webb/view.php?No=126&visitOK

--------------------------------------------------------------------------------

บทกลอนเพื่อชีวิตเรื่องไก่
พระเทพวิสุทธิเมธี ป.ธ.9 (เจ้าคุณเที่ยง) เจ้าคณะภาค 11
วัดระฆังโฆสิตาราม

๐ เอ๊กอิเอเอ้กเสียงนี้มีความหมาย เป็นจุดขายเงินตรามหาศาล

มันคือไก่ขุมทองของรัฐบาล ยอดอาหารคู่โลกโภคภัณฑ์

กะต๊ากกะต๊ากแซ่เสียงแม่ไก่ ยามออกไข่ถ่ายฟองเป็นของขวัญ

ให้เราท่านทั่วถิ่นได้กินกัน รสนิ่มมันทอดปรุงบำรุงพลัง

ไก่ธุรกิจทำเงินเกินคาดหมาย เรื่องซื้อขายกำไรสมใจหวัง

เสี่ยโกเฮงซีพีเศรษฐีดัง บ้านดุจวังเพราะขายไก่ได้ราคา

๐ เป็นเศรษฐีเพราะไก่สมใจนึก ทุกคนคึกอยากรวยด้วยตัณหา

ปลูกโรงไก่เล้าไก่เต็มไร่นา เป็นสินค้าขายออกทั้งนอกใน

ต่างคนต่างอยากรวยฉวยโอกาส จิตหมายมาดมุ่งรับทรัพย์ลื่นไหล

เงินทองสะดวกโดยโกยกำไร เศรษฐีไก่สมอยากบ่ยากเย็น

บางคนโง่ซื่อบื้อเรื่องซื้อขาย พบฉิบหายฉับพลันทันตาเห็น

จนเพราะการค้าน้ำตากระเด็น ช้ำลำเค็ญร้องว่าไก่ฆ่ากู

ไข้หวัดนกระบาดอนาถจิต ไก่เกิดติดโรคร้ายตายจมหู

ถูกฝังเผาเป็นล้านบานตะกู เป็ดห่านหมูเนื้ออร่อยพลอยล้มตาย

๐ โรคห่าล่าชีวิตให้ปลิดปลด ไก่กำสรดอยู่ไปไร้ความหมาย
โรคแลคนรุมล่าฆ่าวอดวาย ทารุณร้ายสุดอนาถชาติไก่เอย

ไก่กับคนผูกพันกันนานมา ครั้งปู่ย่าเราท่านขานเฉลย

เห็นไก่อยู่กับไก่ไม่ห่างเลย ทุกคนเคยเลี้ยงไก่กินไข่แดง

ไก่เป็นอาหารเป็นเพื่อนเตือนให้คิด ขันสะกิดรับสุรีย์ทอสีแสง

จ้องดูเราดุจแม่พ่อคอตะแคง คล้ายชี้แจงความเป็นมิตรนิจนิรันดร์

อรุณรุ่งเรืองรองท้องฟ้าใส นกกาไก่เกาะกลุ่มชุมนุมขัน

บ้านหรือวัดเซ็งแซ่แต่ละวัน สัตว์คู่ขวัญชีวิตจิตวิญญาณ

๐ มันมองเราเรามองมันด้วยหรรษา คนเมตตาหยิบโปรยโรยอาหาร

มีของกินผลไม้ให้เป็นทาน ร้องเรียกขานคุ้นปากจากดวงใจ

สัตว์บ่เคยเป็นญาติกันนั้นบ่มี พระชินสีห์ชี้แจงแถลงไข

ภพภูมิแห่งสงสารเนิ่นนานไกล สัตว์เล็กใหญ่ล้วนญาติชาติผ่านมา

สันนิวาสเป็นญาติแต่ชาติก่อน อดีตย้อนผูกใจใฝ่ปรารถนา

เกิดสำนึกมั่นหมายร่วมชายคา แรงตัณหาอยากหวังฝังรูปนาม

๐ ฆ่าเป็ดกินเป็ดตายเกิดเป็นเป็ด ผลชั่วเผล็ดร้องก๊าบบาปแห่หาม

เวรกรรมรุมประชิดรุกติดตาม คอยคุกคามเข่นฆ่าน้ำตานอง

คนฆ่าไก่กินไก่เกิดเป็นไก่ บาปล่าไล่สู่ปูมภูมิสยอง

เกิดตายเท่าขนไก่ไร้ต่อรอง ฆ่าหมูต้องเป็นหมูคู่เวรกัน

เกิดเป็นหมูหมากาไก่ให้ประโยชน์ แต่ทุกข์โทษคุกคามนามรูปขันธ์

ยิ่งเกิดยิ่งพอกโง่จมโลกันต์ บาปโมหันธ์มืดมิดปิดทางเดิน

สมองหมูหมากาไก่ไร้คุณภาพ แต่เอิบอาบด้วยคลื่เบาตื้นเขิน

ขาดสติยับยั้งพลังเกิน งมงายเพลินโลกแล่นแดนอบาย.......

๐ จุติสู่ภพภูมิปูมนรก ดุจดาวตกพุ่งลับแสงดับหาย

มืดมิดมหัศจรรย์สุดบรรยาย ยมทูตร้ายล้อมรุมอุ้มแห่ไป

ต้องทนทุกข์ทรมานเนิ่นนานช้า มิรู้ว่าสุดกู่อยู่หนไหน?

คุกนรกสุดสยองล้วนกองไฟ ร่างเผาไหม้เกิดใหม่ใช้โทษทัณฑ์

มรสุมเวรกรรมกระหน่ำหนัก ภูติผีทักหมาเห่าเขย่าขวัญ

วิญญาณไก่เป็ดห่านขานพร้อมกัน เซ็งแซ่ลั่นโจทก์จี้ทวงหนี้บุญ

ญาติปู่ย่าตายายที่ตายไป เกิดเป็นไก่หมาหมูอยู่ใต้ถุน

ผลวิบากกรรมโหดโทษทารุณ ลูกหลานขุ่นฆ่าขายหมายเงินทอง

๐ อันเวรกรรมทำไว้ในไตรจักร์ เบาหรือหนักพอกพูนคูณสนอง

ปราศจากมิตรศัตรูผู้ปกครอง คอยจับจ้องล้างผลาญสถานเดียว

กรรมที่สร้างไว้เสร็จสำเร็จผล ควบคุมคนผู้สร้างอย่างแน่นเหนียว

อยู่ทิศไหน?เคียงข้างไม่ห่างเชียว เกาะกุมเกี่ยวแสดงผลให้ยลยิน

พลังเวรพลังกรรมทรงอำนาจ ไม่คลาคลาดตามติดนิจสิน

ถึงเวลารุกถล่มร่างจมดิน ไม่สุดสิ้นชาติภพจบไม่เป็น

ยุติคำกลอนเรื่องไก่ไว้เท่านี้ ขอน้องพี่ทั้งหลายคลายทุกข์เข็ญ

พ้นจากความอดอยากยากลำเค็ญ ได้พบเห็นพวกไก่ให้เมตตา ฯ.......

(จาก นสพ.ธรรมะ สาส์นสวรรค์ ประจำวันที่ 1-30 เมษายน 2547)


ขอขอบคุณที่มา
http://www.o2blog.com/myblog/blog.ph...style=1&id=328


--------------------------------------------------------------------------------
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2009, 18:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ตำนานพิธีกินเจ ของชาวภูเก็ต

เชื่อ กันว่าภูเก็ตเป็นแห่งแรกในภาคใต้ที่จัดประเพณีกินเจขึ้น โดยแรกเริ่มมีขึ้นที่ชุมชนจีนเก่าแก่อย่างชุมชนกระทู้ ในอำเภอกะทู้ ซึ่งอยู่ห่างจากอำเภอเมืองภูเก็ตราว 10 กิโลเมตร เมื่อมาถึงบ้านกะทู้ จะเห็น “อ๊าม” หรือศาลเจ้าตั้งโดดเด่นอยู่ริมถนนกลางหมู่บ้าน

ประวัติความเป็นมาของศาลเจ้ากระทู้นั้น ย้อนอดีตไปได้ถึง พ.ศ.2353 เมื่อพม่ายกทัพมาตีเมืองถลาง (ภูเก็ต) พน่าล้อมอยู่ 27 วัน เมืองถลางจึงเสียแก่พม่า พลเมืองถลางจึงอพยพหลบหนีไปอยู่เมืองพังงา อีกส่วนหนึ่งหนีลงไปทางตอนใต้ คือ บ้านกะทู้ โดยจดหมายเหตุของชาวฝรั่งเศส ซึ่งปรากฏหลักฐานในประวัติศาสตร์ชาติไทย เขียนไว้ว่า ในสมัยกรุงธนบุรี และต้นรัตนโกสินทร์ เขตแดนเมืองภูเก็ตกับเมืองถลาง ซึ่งคงแบ่งปันกันไว้ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยานั้น ปรากฏอยู่ในพงศาวดารเมืองถลาง ดังนี้

เขต แดนเมืองภูเก็ตกับเมืองถลาง เอาบางคูคด ซึ่งตามคลองเป็นแดน ตามแนวเขตแดนที่แบ่งกั้นนี้ เมืองถลางอยู่ทางเหนือของเกาะ และเมืองภูเก็ตอยู่ทางใต้ ฉนั้น ในปี พ.ศ. 2368 ชุมชนแห่งแรกที่เติบโตเป็นเมืองภูเก็ต ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 คือ บ้านกะทู้ อำเภอกะทู้

เนื่อง จากผืนดินในบริเวณนั้นอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่ดีบุก ผู้คนจึงหลั่งไหลไปขุดค้นทรัพย์ในดินกันอย่างมากมาย ส่วนใหญ่เป็นคนจีน ทั้งที่อพยพมาจากเมืองถลางเดิมและมาจากเมืองจีน …มี ไข้ป่า ตลอดจนภยันตรายต่างๆ จากสัตว์ป่ามากมาย แต่ผู้คนในหมู่บ้านกะทู้กลับเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งได้นำเอาวัฒนธรรม ประเพณีดั้งเดิมของตนเข้ามาผสมผสานกับผู้คนในท้องถิ่นได้อย่างกลมกลืน

คุณ ชัยยุทธ ปิ่นประดับ ปราชญ์ชาวบ้าน ซึ่งเป็นชาวกะทู้แต่กำเนิด เล่าว่า คนจีนในกะทู้สมัยนั้นมีความเชื่อและศรัทธาในพระจีน อันประกอบด้วย เซียน หรือเทวดาหลายองค์ตามลัทธิเต๋าที่ตนนับถือ เมื่อบุกเบิกพื้นที่ทำมาหากิน จึงหาวิธีแก้ไขทุกขภัยธรรมชาติต่างๆ ด้วยการอัญเชิญพระหรือเจ้าแต่ละองค์ที่ตนนับถือมากราบไหว้บูชา ให้คุ้มครองปกปักรักษาตนเองและครอบครัว ท้องถิ่นที่ตนอาศัย ให้ร่มเย็นเป็นสุขโดยทั่วกัน

ต่อมาไม่นานได้มีคณะงิ้วเดินทางมาจากเมืองจีน มาเปิดการแสดงที่บ้านกะทู้ และสามารถปักหลักแสดงที่บ้านกะทู้ได้ทั้งปี เนื่องจากเศรษฐกิจของชาวกะทู้ในสมัยนั้นดีมาก มีเงินเพียงพอที่จะอุดหนุนชมการแสดงของงิ้วคณะนี้ … แต่ แล้วผู้แสดงงิ้วคณะนี้เกิดเจ็บป่วยขึ้น ทำให้คณะงิ้วคิดได้ว่า พวกตนละเลยไม่ได้ประกอบพิธีกินผัก ซึ่งเคยกระทำเป็นประจำทุกปีที่เมืองจีน จึงตกลงกันประกอบพิธีกินผักขึ้นที่โรงงิ้วนั่นเอง

ภายหลังการประกอบพิธีกินผักที่โรงงิ้วสิ้นสุดลง โรคภัยไข้เจ็บต่างๆก็หายไปจนหมดสิ้น ทำความประหลาดใจให้กับชาวกะทู้เป็นอย่างมาก จึงขอวิธีการประกอบพิธีกินผัก เพื่อจัดทำกันในชุมชนของบ้านกะทู้บ้าง

จากนั้นก็เริ่มพิธีกินผักกันที่บ้านกะทู้ ตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำ ไปจนถึงวันขึ้น 9 ค่ำ รวม 9 วัน 9 คืน เพื่อการถือศีลปฏิบัติธรรม ชำระร่างกายและจิตใจให้บริสุทธิ์ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง ครอบครัว และท้องถิ่น

ในครั้งนั้น ได้ใช้สถานประกอบพิธีกินผักเป็นครั้งแรก โดยสร้างเป็นโรงเรือนที่ข้างบ้านนายไฮ้ (ปัจจุบันเป็นที่ดินเอกชน อยู่ก่อนถึงศาลเจ้ากะทู้ หรือ ไล่ทู้เต้าบูเก้ง ประมาณ 50 เมตร) เมื่อ บรรดาชาวจีนในหมู่บ้านกะทู้ บ้านเก็ตโฮ่ ร่วมกันยึดถือประเพณีกินผักตามแบบอย่างของคนคณะงิ้วแล้วเกิดผลดี โรคภัยไข้เจ็บของคนในหมู่บ้านลดน้อยลง และเมื่อคณะงิ้วดังกล่าวย้ายสถานที่ไปแสดงที่อื่น ได้มอบรูปพระเล่าเอี๋ย พระลี้โล้เซี้ย ให้ชาวกะทู้ได้บูชา ชาวบ้านจึงรวมตัวกันจัดตั้งศาลเจ้าขึ้น ตั้งชื่อว่า ศาลเจ้าจิวอองหยา ต่อมา ต่อมาหลวงอำนาจนรารักษ์ (ต้นตระกูลตัณฑเวทย์) ซึ่งเป็นนายเหมืองใหญ่ และเป็นผู้นำชุมชนบ้านกะทู้ได้ส่งคนไปนำเอา “เหี่ยวเอี้ยน” หรือขี้เถ้าธูปและกระถางธูปจากมณฑลกังใส ประเทศจีน มาไว้ที่ศาลเจ้ากะทู้ เพื่อให้พิธีถือศีลกินผักมีความถูกต้องสมบูรณ์

ในวันขึ้น 7 ค่ำ เดิอน 9 ของจีน ชาวกะทู้ได้ต้อนรับที่หัวท่าบางเหนียว (สะพานหิน) และเมื่อมาถึงศาลเจ้าบ้านกะทู้ ท่านผู้รู้ได้อัญเชิญป้ายเต้าบูเก้ง (สถานที่ชุมนุมของดวงพระวิญญาณ) แล้วจึงได้กระทำพิธีกินผักตามประเพณีดั้งเดิมที่สมบูรณ์แบบตั้งแต่นั้นมา

ท่านผู้รู้เล่าว่า “เมื่อ ครั้งตนเดินทางไปมณฑลกังไส ได้เข้าไปยังสถานที่ประกอบพิธีกินผักของศาลเจ้าในมณฑลกังไสด้วย ได้พบกับพระสงฆ์ซึ่งพำนักอยู่ในสถานที่แห่งนั้น พระสงฆ์นำไปดูรายชื่อผู้ที่เข้าร่วมพิธีกินผักของศาลเจ้ากินผักที่กะทู้ ซึ่งมีชื่อปรากฏอยู่ในศาลเจ้าของมณฑลกังไส ซึ่งผลมาจากการทำพิธีส่างกิ้วอ๋องเอี๋ยนนั่นเอง เมื่อชาวกะทู้ทราบความ จึงบังเกิดความศรัทธาในพิธีกินผักมากยิ่งขึ้น”

ติอมา ในปี พ.ศ. 2456 ชาว บ้านเห็นว่าศาลเจ้ามีสภาพชำรุดทรุดโทรม และคับแคบสำหรับพิธีกินผัก ด้วยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมมากขึ้น จึงตั้งคณะกรรมการเรี่ยไรเงินจากร้านค้า นายเหมือง และชาวกะทู้ จัดหาที่ดินสร้างศาลเจ้า หรือฉ้ายตึ้ง แห่งใหม่ โดยได้ซื้อที่ดินของนาย หับ เนื้อที่ 3 งาน 41 วา สร้างอ๊ามกะทู้ ต่อมาจึงเปลี่ยนชื่อเป็น ไล้ทู้เต้าบู้เก้ง ในปัจจุบัน

เนื่องจากศาลเจ้ากะทู้ (ไล้ทู้เต้าบู้เก้ง) เป็น ศาลเจ้าที่ได้เริ่มกินผักขึ้นเป็นครั้งแรกของจังหวัดภูเก็ต ประชาชนชาวภูเก็ตส่วนมากจึงเกิดความศรัทธาเลื่อมใสในการกินผักของศาลเจ้านี้ มาก เมื่อถึงเทศกาลกินผักของทุกปี ประชาชนที่อยู่ท่าเรือ กมลา เชิงทะเล สะปำ ฉลอง และป่าตอง ต่างพากันมาร่วมพิธีกินผักที่ศาลเจ้ากะทู้กันเป็นจำนวนมาก … ใน ปีต่อๆมา ได้มีศาลเจ้าในจังหวัดภูเก็ต เช่น ศาลเจ้าบางเหนียว ศาลเจ้าท่าเรือ ศาลเจ้าเชิงทะเล ศาลเจ้าม่าจ้อโป๋พังงา เป็นต้น มาอัญเชิญเหี่ยวโห้ย หรือเหี่ยวเอี้ยน จากศาลเจ้ากะทู้ไปประดิษฐานที่ศาลเจ้าในท้องถิ่นของตนเอง ซึ่งถือเสมือนว่าได้รับมาจากแผ่นดินจีนเช่นกัน

นอกจากนี้ศาลเจ้าในต่างจังหวัด และ ในต่างประเทศ ก็ได้มาอัญเชิญ เหี่ยวโห้ย หรือเหี่ยวเอี้ยน จากศาลเจ้ากะทู้ไปเช่นกัน คือ ศาลเจ้าตะกั่วป่า (จังหวัดพังงา) ศาลเจ้ากระบี่ ศาลเจ้าไท้เป๋ง (ประเทศมาเลเซีย) เป็นต้น

อาจารย์กฤษฎา ชาญยนตร์ ผู้รู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมไทย-จีน ของชาวกะทู้ ได้อธิบายไว้เกี่ยวกับการประกอบพิธีกรรมของศาลเจ้าว่า ตำราและคัมภีร์ต่างๆที่ใช้ในการประกอบพิธีกินผัก ห้ามนำออกมาเปิดเผย ผู้ใดนำมาเปิดเผยจะมีอันเป็นไป ตำราและคัมภีร์ดังกล่าวนี้ นำออกมาเปิดเผยได้เฉพาะในระหว่างพิธีกินผักเท่านั้น เมื่อเสร็จจากพิธีกินผักแล้ว ให้นำไปเก็บไว้ที่เดิมในศาลเจ้าทันที … “แม้ว่าที่อื่นๆ จะเรียกพิธีถือศีลไม่กินเนื้อสัตว์นี้ว่า เทศกาลกินเจ แต่ที่ภูเก็ตเราเรียกว่าประเพณีถือศีลกินผัก”

วีระศักดิ์ ประดิษฐ์ ชาวกะทู้อีกผู้หนึ่งกล่าวว่า นอกจากประเพณีกินผักแล้ว ยังมีประเพณีชาวไทย-จีน ในชุมชนกะทู้อื่นๆที่น่าสนใจอีกหลายอย่าง แม้แต่อาหารหรือขนมง่ายๆ ก็สามารถบอกเล่าเรื่องราว วิถีความเชื่อ ได้มากมาย อาทิ ขนมเต่าหรืออั้งกู้ ซึ่งมีสีแดงอันเป็นสีมงคลของชาวจีนนั้น นิยมใช้ในงานมงคลอย่างงานแต่งงาน เพราะเชื่อว่า จะทำให้ผู้รับเจริญรุ่งเรือง อายุยืนนานเหมือนเต่า

ส่วนขนมชนิดที่เรียกว่า “อิ๋วปึ่ง” นั้นสำหรับทำในโอกาสที่มีเด็กแรกเกิด โดยเฉพาะครอบครัวที่ได้ลูกชาย เมื่อเด็ดอายุครบ 1 เดือนก็จะนำไปแจกเพื่อนบ้าน ญาติพี่น้อง บางคนก็จะให้ขนมอั้งกู้ตอบแทนกลับมา เป็นต้น

แม้ว่าชุมชนกะทู้จะไม่มีพื้นที่ติดทะเล ไม่มีชายหาด เหมือนพื้นที่อื่นๆ แต่กะทู้เป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ด้วยพื้นที่สีเขียว มีประเพณีท้องถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ และมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน การอนุรักษ์ไว้ซึ่งมรดกแห่งวิถีท้องถิ่นของชุมชนกะทู้จะช่วยกระตุ้นให้เกิด จิตสำนึกแก่คนรุ่นหลัง ให้ช่วยกันอนุรักษ์สืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นต่อไป
เรื่องราวจากลุงมะตูมนะค่ะ


รูปภาพ

รูปภาพ

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"


แก้ไขล่าสุดโดย ปลายฟ้า...ค่ะ เมื่อ 25 ต.ค. 2009, 16:35, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร