วันเวลาปัจจุบัน 03 พ.ค. 2025, 01:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2009, 10:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ก.ค. 2009, 08:36
โพสต์: 532

แนวปฏิบัติ: ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
สิ่งที่ชื่นชอบ: กรรมทีปนี , วิมุตติรัตนมาลี , ภูมิวิลาสินี
ชื่อเล่น: เจ้านาง
อายุ: 0
ที่อยู่: อยู่ในธรรม

 ข้อมูลส่วนตัว


:b44: :b44: :b44: ธรรมะคืออะไร? :b44: :b44: :b44:
ในห้องเรียนชั้นมัธยมปลาย อาจารย์ถามนักเรียนว่า ใครรู้บ้างไหมว่า ธรรมะคืออะไร
สองนาทีผ่านไป นักเรียนหญิงเรียนเก่งคนหนึ่งก็ยกมือตอบว่า คือพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ทันที ก็มีนักเรียนชายชิงตอบเสียงดังขึ้นว่า พระไตรปิฎก
อาจารย์จึงถามต่อว่า พระไตรปิฎกมีกี่พระธรรมขันธ์ นักเรียนคนเดิมก็ตอบว่ามี 84.000 พระธรรมขันธ์ พร้อมกับอมยิ้มด้วยความภาคภูมิใจที่ตอบได้
“แล้วใครเข้าใจความหมายของคำพูดที่ว่า เมื่อเห็นธรรมะ ก็เห็นพระพุทธเจ้า” อาจารย์ถาม
นักเรียนที่นั่งเงียบอยู่หลังห้องเรียน ก็ยกมือขอตอบบ้างว่า “ก็ใครที่เห็นธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ก็เหมือนได้เห็นพระพุทธเจ้า”
อาจารย์ถามอีกว่า “แล้วการเห็นธรรมะคืออะไรหรือ?” “ใช่เห็นหนังสือหรือตำราธรรมะใช่ไหม?” นักเรียนเริ่มฉงนคิด ไม่แน่ใจ หรือการที่ได้เห็นตำราก็ได้เห็นพระพุทธเจ้า อย่างนั้นหรือ
“หรือการที่ท่องตำราธรรมะได้มาก จำข้อธรรมได้มาก พูดได้คล่องแคล่ว มีผีปากเทศนาได้เก่ง ก็คือการได้เห็นธรรมะมากกว่าคนอื่นหรือไง?” อาจารย์ให้ข้อคิด
นักเรียนหญิงที่นั่งเงียบฟังมาแต่ต้นเริ่มกระสับกระส่ายจนเห็นได้ชัด อาจารย์จึงถามว่า แล้วเธอล่ะ มีความคิดเห็นอย่างไร
“ก็หนูเป็นคาธอลิกนี่คะ แล้วจะให้ตอบว่าธรรมะมีแต่ในศาสนาพุทธเท่านั้นหรือ หนูก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร” นักเรียนตอบอย่างตัดพ้อ
“ถ้าเช่นนั้น ธรรมะของหนูคืออะไร?” อาจารย์ถาม
“ธรรมะของหนูก็คือคำสอนของพระผู้เป็นเจ้าในคัมภีร์ไบเบิลค่ะ” นักเรียนตอบ
อาจารย์ชมว่าดี แล้วก็ถามไปทั่วทั้งห้องว่า มีใครเป็นมุสลิมไหม ลองช่วยตอบหน่อยซิว่า ธรรมะของเธอคืออะไร
นักเรียนหญิงอีกคนที่นั่งอยู่ด้านหน้าอาจารย์ยกมือแล้วก็ตอบว่า “ธรรมะของอิสลามก็มีค่ะ ก็คำสอนของพระอัลเลาะห์ และข้อความที่มีอยู่ในพระคัมภีร์กุรอานค่ะ”
ถึงตอนนี้ อาจารย์ก็ชักงงกับคำถามของตนเองเสียแล้ว ก็ทุกศาสนาก็มีคัมภีร์ มีตำรา มีคำสอนให้ทำดี ไม่ทำชั่ว แล้วทำจิตให้บริสุทธิ์กันทั้งนั้น แต่ธรรมะที่ตนเองเข้าใจนั้น คือความจริงแท้ของธรรมชาติหรือสัจจธรรมของสรรพสิ่ง แล้วธรรมะของแต่ละศาสนาต่างกันอย่างไรหรือ
หรือทุกๆศาสนาก็เหมือนกันที่ ใครที่มีการศึกษามาก อ่านมาก ท่องจำได้มาก พูดได้มาก เทศน์ได้มาก ก็คือผู้ที่เห็นธรรมะทั้งนั้น
ขณะที่กำลังครุ่นคิดหาข้อเฉลย ตาอยู่ ชายชราที่เป็นภารโรงของโรงเรียนและทุกคนรู้ว่าแกเรียนหนังสือน้อย นั่งฟังการโต้ตอบคำถามอยู่นอกห้องเรียน ก็พูดเปรยกับตนเองว่า “มันน่าจะเป็น ใครถึงธรรมะ ก็ถึงพุทธะ มากกว่ามั้ง”
อาจารย์พอได้ยิน ฉุกคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เบิกตากว้างด้วยความยินดี พร้อมกับพูดเสียงดังว่า “ใช่แล้ว ใช่แล้ว” “ธรรมะคือสภาวะของจิตที่เข้าถึงสภาวะธรรม ด้วยจิตที่บริสุทธิ์ หลุดจากการเกาะยึดความโลภ โกรธ หลง และกิเลส มลทินต่างๆ จิตก็จะเป็นจิตพุทธะนั่นเอง”
นั่นก็คือ เมื่อได้เห็นธรรมะ หรือเมื่อได้เข้าถึงธรรมจิต ก็เหมือนได้เห็นและเริ่มเข้าใจด้วยปัญญาในความหมายอันล้ำลึกของความเป็นพระพุทธะ ด้วยตัวเองได้เข้าใกล้สภาวะของพุทธจิตนั่นเอง
ถ้าอย่างนั้น การเข้าถึงธรรมะ ก็ไม่ใช่เป็นเพียงการวนเวียนอยู่กับตัวอักษรของคัมภีร์ หรือตำรา แต่เป็นการใช้จิตบริสุทธิ์เข้าถึงสภาวะธรรม ไม่ใช่ใช้ความรู้จากความทรงจำ แต่เป็นการใช้สภาวะจิตที่แจ่มใส เข้าจับธรรมะ จึงจะเริ่มต้นเกิดปัญญาสู่การรู้จริง ตื่นจริงจากกิเลส แล้วเบิกบานด้วยจิตที่บริสุทธิ์
เมื่อคิดได้ดังนั้น อาจารย์ก็วิ่งถลันออกจากห้องอย่างรวดเร็ว ตามหาตาอยู่ที่เดินลงบันไดไปชั้นล่าง พอได้พบ อาจารย์ก็ก้มลงกราบตาอยู่ด้วยความขอบคุณในพระคุณที่ตนคิดว่าได้ชี้แนะประตูดวงธรรมให้กับตน
ตาอยู่พอเห็นอาจารย์ทำเช่นนั้น ก็ตกใจยิ่ง พร้อมกับคุกเข่าลงต่อหน้าอาจารย์เช่นกัน และพูดเสียงแผ่วเบาว่า “อาจารย์ทำไมทำเช่นนี้?” อาจารย์รีบตอบว่า “ขอบคุณที่ลุงชี้แนะให้ผมพอจะเริ่มเข้าใจธรรมะครับ”
ตาอยู่พินอบพิเทา พูดอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนว่า “อาจารย์พูดเกินจริงแล้ว ผมไม่ได้รู้ธรรมะอะไรหรอกครับ ผมไม่มีความรู้อะไร เรียนก็น้อย ความรู้ก็น้อย จะไปกล้าแนะนำอาจารย์ที่จบด็อกเตอร์ เรื่องธรรมะได้อย่างไร”
อาจารย์ยิ้มทั้งน้ำตาคลอ “คุณลุงเป็นคนรู้จริง ถึงธรรมะจริง ส่วนผมเหมือนมีความรู้เยอะ แต่กลับไม่เข้าใจความลึกซื้งของธรรมะ เพราะติดยึดอยู่กับสิ่งที่อยู่ภายนอก เลยเข้าไม่ถึงแก่นธรรม”
ตาอยู่โบกมือปฏิเสธ “ผมรู้ไม่จริงหรอกครับ เพราะใจผมเดี๋ยวสงบ เผลอแป๊ปเดียวก็ขุ่นอีกแล้ว เหมือนมีเมฆบัง ผมยังต้องทำความสะอาดจิตใจตัวเองอีกนานและเยอะอยู่ครับ ผมยังเก็บรักษาจิตใจตัวเองให้สงบนิ่งใสสอาดตลอดเวลาไม่ได้ ยังแกว่งกับสิ่งยั่วยวน หรือสลัดอารมณ์ขุ่นมัวไม่ได้ตลอดเลยครับ”
ยิ่งฟัง อาจารย์ยิ่งรู้สึกศรัทธาตาอยู่มากยิ่งขึ้น เพราะคำพูดเหล่านี้มันไม่ใช่คำพูดของชายชราธรรมดาที่ไร้การศึกษา แต่มันบ่งบอกถึงภูมิปัญญาของคนมีสติปัญญาลึกซึ้งทีเดียว เพราะตาอยู่แกน่าจะปฏิบัติธรรมเป็นอาจินในทุกเสี้ยววินาทีของชีวิตจนเกิดสภาวะธรรมในจิตวิญญาณโดยธรรมชาติ ส่วนตนเองเรียนรู้ธรรมจากตัวอักษรในตำรา โดยไม่ได้ปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน จิตใจจึงยังยึดติดกับรูปลักษณ์ภายนอก ยังหยิ่งยะโสมีอัตตาสูง ส่วนตาอยู่แกอ่อนน้อมถ่อมตน สอดส่องตรวจสอบจิตใจตนเองตลอดเวลา และมีเมตตาสูง หน้าตาก็ยิ้มแย้มแจ่มใส เปี่ยมราศี แม้ภายนอกห่อหุ้มร่างกายด้วยเสื้อผ้าเก่าๆ ไร้เครื่องประดับ แต่เรียบง่าย สมถะ อยู่อย่างสง่า พอเพียง
วิเคราะห์ถึงตอนนี้แล้ว อาจารย์ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากเรียกตาอยู่ว่า “อาจารย์ครับ ต่อจากนี้ไป ขอผมเรียกลุงว่าอาจารย์นะครับ!”
ตาอยู่ตกใจ รีบบ่ายเบี่ยงว่า “อาจารย์อย่าทำอย่างนี้เลยครับ ผมเป็นอาจารย์ไม่ได้ครับ เพราะผมยังไม่สามารถมีสติรู้เท่าทันสิ่งยั่วยวน ที่รบกวนบดบังจิตใจ ผมยังต้องฝึกให้มีสติปัญญารู้แยกแยะทุกสภาวะจิตที่เกิดๆดับๆ อย่างรวดเร็วของแต่ละเสี้ยววินาที ผมยังทำไม่ได้”
อาจารย์ครุ่นคิดด้วยความกระอักกระอ่วน แต่ตาอยู่ก็ยิ้มอย่างมีเมตตา แล้วให้กำลังใจว่า “อาจารย์อย่าท้อแท้สิ้นหวังนะครับ เพราะถ้าไม่มีกิเลส ก็ไม่มีโอกาสเกิดพุทธจิตนะครับ”
อาจารย์ยิ้มรับคำด้วยปีติ และเอ่ยพึมพัมต่อว่า “ใช่แล้ว ถ้าไม่มีความมืด ไหนเลยจะมีความสว่าง ถ้าไม่มีความชั่ว ไหนเลยจะมีความดี ถ้าไม่มีสีดำ ไหนเลยจะมีสีขาว ใช่แล้ว เราต้องขอบคุณความมืดที่ทำให้เราเห็นความสว่าง เราต้องขอบคุณความชั่ว ที่ทำให้เราเข้าใจความดี เราต้องขอบคุณสีดำ ที่ทำให้เราแยกสีขาวได้ง่ายขึ้น”
ตาอยู่อมยิ้ม แล้วเสริมต่อว่า “แต่ถ้าอาจารย์จะสามารถปล่อยวาง ไม่ติดยึดกับทั้งสองขั้ว ทั้งสิ่งดีและไม่ดี แต่มองด้วยจิตที่เป็นกลางอย่างอิสระ ด้วยสติปัญญาที่เป็นธรรมชาติตามจริงได้ นั่นจะเป็นสิ่งประเสริฐสุดใช่ไหม?”
“แล้วมันเป็นอย่างไรหรือ?” อาจารย์ถาม ตาอยู่ถอนหายใจแล้วตอบว่า
“ผมก็ไม่รู้ครับ แต่เดาว่า น่าจะคล้ายความสุขสงบนิ่งยิ่งใหญ่ของจักรวาล ไร้ขอบเขต ว่างเปล่าแต่ไม่ใช่ไร้สภาพ และตรงกลางอาจมีจุดศูนย์กลางที่เล็กที่สุด แต่ก็กลับยิ่งใหญ่สุดเท่าจักรวาล เล็กสุดสู่ใหญ่สุด ใหญ่สุดสู่เล็กสุด อะไรทำนองนั้น มากกว่านี้ ผมก็ไม่รู้จริงๆ”
อาจารย์คุกเข่าฟังด้วยความสงบ แล้วก็พูดว่า “อย่างไรก็ตาม ผมถือว่าคุณลุงได้ให้ข้อชี้แนะที่วิเศษมากๆให้ผมแล้ว ต่อจากนี้ ผมจะพยายามหมั่นศึกษาและปฏิบัติ ถ้าผมมีบุญบารมีพอ ผมอาจจะได้บรรลุอะไรสักอย่าง แต่อย่างน้อยผมก็จะได้เป็นคนดีอย่างแน่นอน”
เมื่อระฆังดังขึ้น นักเรียนในชั้นเรียนก็เดินออกมา ต่างได้เห็น อาจารย์และตาอยู่นั่งคุกเข่า สนทนากันอย่างนอบน้อมอยู่บนระเบียง ต่างอมยิ้ม บ้างก็หัวเราะด้วยความขบขัน

โดย ผู้พยายามตื่น

:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

.....................................................
...รู้จักทำ รู้จักคิด รู้ด้วยจิต รู้ด้วยศรัทธา...
..................ศรัทธาธรรม..................


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2009, 08:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 เม.ย. 2009, 06:18
โพสต์: 731

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะจาริง
ธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม

ธรรม ก็คือ ความจริงที่มีอยู่ตามธรรมดาในธรรมชาติ
เช่นกฎแห่งเหตุและผล หรือกฎธรรมชาติ ความเป็นไปตามเหตุปัจจัย
ในเมื่อธรรมสูงสุด ไม่ใช่เทพสูงสุด
สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตัปัจจัย
เราจะไปอ้อนวอนขอผลดลบันดาลให้นั้นไม่ถูก
ถ้าเราต้องการผล เราต้องทำ เมื่อเราต้องทำ
ก็ไม่ต้องไปบูชายัญ ไม่ต้องไปอ้อนวอน
เมื่อบอกว่าผลที่ต้องการเกิดจากการกระทำ
แต่ต้องกระทำให้ตรงเหตุ จะกระทำอย่างไรให้ตรงเหตุ
ก็ต้องศึกษาว่าเหตุปัจจัยคืออะไร
แล้วทำเหตุปัจจัยให้ตรงกับผลที่ต้องการ
จึงต้องพัฒนาปัญญา ต้องเรียนให้รู้ธรรม
คือรู้ความจริงของเหตุปัจจัยนั้น
ถ้าเราต้องการผลดี เราก็ต้องทำเหตุปัจจัยคือกรรมที่ดี
ถ้าเราไม่ต้องการผลชั่ว เราก็ต้องไม่ทำกรรมชั่วที่เป๋นเหตุปัจจัยของมัน
เมื่อทำให้ตรงเหตุปัจจัยด้วยความเพียรพยายาม จึงจะได้ผล
พูดสั้นๆว่า เมื่อเชื่อธรรม ก็ต้องเชื่อกรรม
เมื่อเชื่อความจริงของเหตุและผล ก็ต้องเชื่อการกระทำ

ขอกราบอนุโมทนาบุญ สาธุ............. tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2009, 10:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2004, 08:57
โพสต์: 154


 ข้อมูลส่วนตัว




4-4.gif
4-4.gif [ 19.41 KiB | เปิดดู 2149 ครั้ง ]
pasitchina02.gif
pasitchina02.gif [ 61.94 KiB | เปิดดู 2150 ครั้ง ]
...............
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2009, 12:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

สาธุครับ

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร